1. คณะกรรมการนโยบายการเงินมีมติคงอัตราดอกเบี้ยที่ร้อยละ 1.25 ต่อปี |
- คณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) มีมติคงอัตราดอกเบี้ยนโยบายไว้ที่ร้อยละ 1.25 ต่อปี แม้ว่าเศรษฐกิจโลกจะปรับตัวดีขึ้น เนื่องจากมีปัจจัยเสี่ยงต่อการฟื้นตัวในระยะต่อไป โดยเฉพาะประเทศอุตสาหกรรมหลัก |
. |
ขณะที่เศรษฐกิจเอเซียมีโอกาสฟื้นตัวได้เร็วกว่า ซึ่งอาจทำให้เกิดความแตกต่างในการดำเนินนโยบายและส่งผลให้การเคลื่อนย้ายเงินทุนระหว่างประเทศผันผวนมากขึ้น ขณะที่แรงกดดันต่ออัตราเงินเฟ้อจากด้านอุปสงค์ยังคงอยู่ในระดับต่ำ อย่างไรก็ดี ในปี 2553 คาดว่าอัตราเงินเฟ้อมีแนวโน้มปรับตัวสูงขึ้น ทั้งจากราคาน้ำมัน การยกเลิกมาตรการรัฐ และการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจ |
. |
- สศค. วิเคราะห์ว่า ปัจจุบันเสถียรภาพภายในประเทศอยู่ในเกณฑ์ดีจากอัตราเงินเฟ้อที่ยังไม่เร่งตัวขึ้นมาก โดยล่าสุด Q4/52 อัตราเงินเฟ้อทั่วไปและพื้นฐานอยู่ที่ร้อยละ 1.9 และ 0.1 ต่อปีตามลำดับ อีกทั้งคาดการณ์ว่าอัตราการว่างงานใน Q4/52 จะอยู่ในระดับต่ำที่ร้อยละ 1.1 ของกำลังแรงงาน |
. |
อย่างไรก็ดี ในปี 53 ราคาน้ำมันอาจมีแนวโน้มสูงขึ้นจาก 61.3 เหรียญต่อบาร์เรล เป็น 80 เหรียญต่อบาร์เรล ราคาโภคภัณฑ์ต่างๆ อาจขยับขึ้น บวกกับหลัง มี.ค. 53 จะยกเลิก 5 มาตรการ 6 เดือน ซึ่งจะทำให้อัตราเงินเฟ้อเร่งตัวขึ้นได้ โดยคาดว่าทั้งปี 53 อัตราเงินเฟ้อทั่วไปและพื้นฐานอยู่ที่ร้อยละ 3.4 และ 1.5 ต่อปีตามลำดับ |
. |
2. ธนาคารกสิกรไทยมองเศรษฐกิจปี 53 โตด้วยมาตรการดอกเบี้ย |
- ธนาคารกสิกรไทยมองปี 53 เศรษฐกิจไทยฟื้นตัวได้ไม่เต็มที่ ขยายตัวในอัตรา 3 – 3.5 % ห่วงปัจจัยการเมืองฉุดภาพรวมประเทศ พร้อมคาดทิศทางดอกเบี้ยไตรมาสแรกทรงตัวที่ 1.25 % โดยแนวโน้มขาขึ้นช่วงครึ่งหลังของปี |
. |
- สศค.วิเคราะห์ว่า เศรษฐกิจไทยในปี 53 คาดว่าจะกลับมาขยายตัวได้ที่ร้อยละ 3.5 ต่อปี โดยมีแรงส่งทางเศรษฐกิจที่ฟื้นตัวชัดเจนในช่วงท้ายปี 52 ทั้งด้านการส่งออกที่กลับมาขยายตัวเป็นบวกและการใช้จ่ายภายในประเทศที่ปรับตัวดีขึ้นต่อเนื่องทั้งจากการบริโภคและการลงทุนภาคเอกชน |
. |
นอกจากนี้ การฟื้นตัวที่เร็วกว่าที่คาดของเศรษฐกิจคู่ค้าหลักของไทยจะช่วยให้ปริมาณการส่งออกสินค้าและบริการ กลับมาขยายตัวเป็นบวกได้ ทั้งนี้ หากมีการขึ้นอัตราดอกเบี้ยในครึ่งหลังของปีมาก อาจส่งผลต่อการลงทุนภาคเอกชนได้ ทั้งนี้ จาก Sensitivity ของการขึ้นอัตราดอกเบี้ย 1% จะทำให้การเติบโตของเศรษฐกิจช้าลง 0.03% จากกรณีฐาน |
. |
3. ธนาคารกลางจีนประกาศเพิ่มสำรองเงินฝากแบงก์พาณิชย์ ป้องกันฟองสบู่ |
- ธนาคารกลางจีนประกาศปรับเพิ่มสัดส่วนกันสำรองเงินฝากของธนาคารพาณิชย์ขึ้น ร้อยละ 0.5 สู่ระดับร้อยละ 16.0 โดยจะมีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 18 ม.ค. 53 ทั้งนี้จากความวิตกกังวลเรื่องการคุมเข้มในตลาดสินเชื่อภายใต้ความต้องการควบคุมอัตราเงินเฟ้อของจีน ทำให้เทรดเดอร์ลดการถือครองสกุลเงินเอเชีย ค่าเงินจึงอ่อนลงถ้วนหน้าไม่ว่าจะเป็นเงินวอนของเกาหลีใต้ รูเปียห์อินโดนีเซีย และดอลลาร์ไต้หวัน นอกจากนี้ยังส่งผลกระทบเชิงลบต่อบรรยากาศการซื้อขายในตลาดหุ้นเอเชียอีกด้วย |
. |
- สศค. วิเคราะห์ว่า การปรับเพิ่มการสำรองเงินฝากในครั้งนี้เป็นนโยบายต่อเนื่องหลังจากที่จีนได้ออกมาตรการหลายอย่างในการหยุดความร้อนแรงของเศรษฐกิจ เนื่องจากกังวลกับปัญหาเงินเฟ้อพุ่งและการขยายสินเชื่อที่ร้อนแรง หลังตัวเลขทางเศรษฐกิจเดือน ธ.ค.52 ออกมาดี เช่น คำสั่งซื้อภาคอุตฯ ที่เพิ่มสูงสุดในรอบ 20 เดือน มาอยู่ที่ระดับ 56.6 การส่งออกที่ขยายตัวกว่าร้อยละ 17.6 ค่อปี |
. |
ทั้งนี้ สศค.คาดว่าเศรษฐกิจจีนในปี 53 จะขยายตัวที่ร้อยละ 9.0 ต่อปี ซึ่งจะมีส่วนสำคัญที่สนับสนุนให้การส่งออกสินค้าของไทยขยายตัวได้ที่ร้อยละ15.5 ต่อปี เพราะขณะนี้สัดส่วนการส่งออกของไทยไปจีนอยู่ที่ร้อยละ 10.3 ขยับขึ้นไปเบียดสัดส่วนที่ส่งออกไปยุโรปและญี่ปุ่นที่ร้อยละ 10.5 และ 10.4 ของมูลค่าส่งออกรวม |