เนื้อหาวันที่ : 2010-01-04 09:38:51 จำนวนผู้เข้าชมแล้ว : 563 views

ตลท. เผยสิ้นปี 52 ดัชนีตลาดหลักทรัพย์เพิ่มขึ้นถึง 63%

นางภัทรียา เบญจพลชัย กรรมการและผู้จัดการ ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย เปิดเผยว่า การซื้อขายหลักทรัพย์ในปี 2552 นี้ นับว่ามีปัจจัยที่ส่งผลกระทบต่อการซื้อขายตั้งแต่ช่วงต้นปี ทั้งปัจจัยด้านการเมืองและเศรษฐกิจทั้งในและต่างประเทศ โดยการซื้อขายหลักทรัพย์ในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (SET) มีการปรับตัวดีขึ้นในช่วงปลายปี โดยภาพรวมการซื้อขายหลักทรัพย์ของปี 2552 ดีขึ้นกว่าปี 2551 ทั้งราคาและมูลค่าการซื้อขาย

.

โดย ณ วันที่ 30 ธันวาคม 2552 ซึ่งเป็นวันทำการสุดท้ายของปี 2552 ดัชนีตลาดหลักทรัพย์ฯ (SET Index) ปิดที่ 734 จุด เพิ่มขึ้นจากจุดปิด ณ สิ้นปี 2551 ถึงร้อยละ 63โดยจุดสูงสุดของปีอยู่ที่ระดับ 751.86 และต่ำสุดที่ระดับ 411.27 สำหรับมูลค่าการซื้อขายเฉลี่ยต่อวันอยู่ที่ 17,853 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 12.5  เมื่อเทียบกับปี 2551

.

ดัชนีตลาดหลักทรัพย์ เอ็ม เอ ไอ (mai Index) ปิดที่ระดับ 215.3 จุด หรือเพิ่มขึ้นร้อยละ 32 จากปีก่อนหน้า  โดยมีมูลค่าการซื้อขายเฉลี่ยต่อวันอยู่ที่ 372 ล้านบาท  เพิ่มขึ้นร้อยละ 50 เมื่อเทียบกับปี 2551 ส่วนมูลค่าหลักทรัพย์ตามราคาตลาดของ mai อยู่ที่ 39,130 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 77 จากปีที่ผ่านมา

.

ทั้งนี้ ณ วันที่ 29 ธ.ค. 2552 กลุ่มผู้ลงทุนที่มีการซื้อสุทธิในตลาดหลักทรัพย์ฯ มากที่สุด คือกลุ่มผู้ลงทุนต่างประเทศ  มียอดซื้อสุทธิ 38,498 ล้านบาท ในขณะที่ปี 2551 ผู้ลงทุนต่างประเทศขายสุทธิ 162,346 ล้านบาท ส่วนบัญชีบริษัทหลักทรัพย์ปี 2552 ซื้อสุทธิ 1,850 ล้านบาท  ในขณะที่ผู้ลงทุนทั่วไปในประเทศขายสุทธิ 36,759 ล้านบาท และผู้ลงทุนสถาบันในประเทศขายสุทธิ 3,589 ล้านบาท

.

สำหรับการเข้าจดทะเบียนในปี 2552 มีบริษัทจดทะเบียนเข้าใหม่รวม 17 บริษัท (SET 6 บริษัท mai 11 บริษัท) โดยบริษัทจดทะเบียนใหม่มีการระดมทุนรวม 6,170 ล้านบาทผ่านการเสนอขายหุ้นต่อประชาชนทั่วไป (IPO) คิดเป็นมูลค่าหลักทรัพย์ตามราคาตลาด (ณ ราคา IPO) ของบริษัทเข้าใหม่ 30,264 ล้านบาท

.

ในขณะที่บริษัทจดทะเบียนทั้งหมดมีการระดมทุน (SET และ mai  ไม่รวมบริษัทจดทะเบียนเข้าใหม่) รวม 23,405 ล้านบาท ทั้งนี้ มูลค่าหลักทรัพย์ตามราคาตลาดของตลาดหลักทรัพย์ฯ และตลาดหลักทรัพย์เอ็ม เอ ไอ ปี 2552 เพิ่มขึ้นจากสิ้นปี 2551 มาอยู่ที่ 5.91  ล้านล้านบาท (ณ 30 ธ.ค.52) เพิ่มขึ้นถึงร้อยละ 65

.

นางภัทรียากล่าวว่า ในปี 2553 ตลาดหลักทรัพย์ฯ ยังคงเดินหน้าตามกรอบกลยุทธ์ 5 ปี โดยได้วาง 4 กลยุทธ์หลัก เพื่อให้ตลาดหลักทรัพย์ฯ ทำหน้าที่เป็นกลไกสำคัญในการเสริมสร้างศักยภาพและขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศ ได้แก่ 1) การเพิ่มคุณภาพและยกระดับความน่าเชื่อถือของตลาดหุ้นไทย 2) การเพิ่มสภาพคล่อง  3) การสร้างฐานสำหรับอนาคต และ 4) การเตรียมความพร้อมรับกระบวนการปฏิรูปตลาดหลักทรัพย์ฯ เป็นบริษัทมหาชน

.

ในขณะเดียวกัน ยังดำเนินโครงการเพื่อการพัฒนาตลาดทุนไทยในระยะยาวต่อเนื่อง ผ่านสถาบันกองทุนเพื่อพัฒนาตลาดทุน (CMDF)  ซึ่งกลยุทธ์หลักทั้ง 4 ข้อนี้ จะเป็นการสร้างความแข็งแกร่งตลาดหุ้นไทยรอบด้าน เน้นเพิ่มคุณภาพและปริมาณธุรกรรมเพื่อเป็นรากฐานสำคัญของตลาดทุนไทย และการพัฒนาเศรษฐกิจของประเทศให้เติบโตในระยะยาว