News & Movement

7 ค่ายรถ 6 ผลิตภัณฑ์ดัง คว้ารางวัลธุรกิจยานยนต์ยอดนิยม TAQA Award 2015

          สุกิจ ตันสกุล (ที่ 6 จากซ้าย) ประธานกรรมการบริหาร บริษัท คัสต้อม เอเซีย จำกัด, นายวิชัย จิราธิยุต (ที่ 4 จากซ้าย) ผู้อำนวยการสถานบันยานยนต์ และ ดร.สุวัฒน์ ทองธนากุล (ที่ 6 จากขวา) บรรณาธิการอำนวยการธุรกิจสื่อเครือผู้จัดการ ร่วมพิธีประกาศผลและมอบรางวัลธุรกิจยานยนต์ยอดนิยม ประจำปี 2558 หรือ Thailand Automotive Quality Award 2015 (TAQA) โดยมีนายขวัญชัย ปภัสร์พงษ์ (ที่ 3 จากซ้าย) ประธานจัดงานมหกรรมยานยนต์ (Motor Expo) และ นายสนธิรัตน์ สนธิจิรวงศ์ (ที่ 5 จากซ้าย) ที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม ร่วมแสดงความยินดีกับ 13 แบรนด์ดังซึ่งประกอบด้วยบริษัทรถและผลิตภัณฑ์เกี่ยวเนื่องที่ได้รับรางวัลอันทรงเกียรติในปีนี้ ณ อาคารชาเลนเจอร์ อิมแพคท์ เมืองทองธานี

มาลี ร่วมสนับสนุนโครงการ “ปั่นเพื่อพ่อ Bike for Dad” มอบน้ำผลไม้จำนวน 10,000 กล่อง

          บริษัท มาลีสามพราน จำกัด (มหาชน) หรือ น้ำผลไม้ “มาลี” ร่วมสนับสนุนโครงการ “ปั่นเพื่อพ่อ” หรือกิจกรรมปั่นจักรยานเฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ด้วยการมอบน้ำผลไม้เพื่อใช้ในการจัดกิจกรรม จำนวนทั้งสิ้น 10,000 กล่อง โดยมี นางอรรชกา สีบุญเรือง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุสาหกรรม เป็นผู้รับมอบ ณ สำนักงานปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม พร้อมกันนี้บริษัทฯ ได้ให้พนักงาน รวมพลังออกปั่นจักรยานสามัคคีในวันแห่งประวัติศาสตร์ครั้งนี้ด้วย

ทาทา มอเตอร์ส เซ็นสัญญาสนับสนุน บางกอกกล๊าส เอฟซี บู๊ศึกไทยพรีเมียร์ลีก

          มร.ซานเจย์ มิชรา (ซ้าย) กรรมการผู้จัดการ บริษัท ทาทา มอเตอร์ส (ประเทศไทย) จำกัด, ดร.เอเค จินดัล (ที่ 2 จากซ้าย) ผู้บริหารระดับสูงฝ่ายวิศวกรรมวิจัยและออกแบบรถยนต์เพื่อการพาณิชย์ บริษัท ทาทา มอเตอร์ส จำกัด พร้อมด้วย นายปวิน ภิรมย์ภักดี (ที่ 2 จากขวา) ประธาน และ นายศุภสิน ลีลาฤทธิ์ (ขวา) รองประธานสโมสรบางกอกกล๊าส ร่วมถ่ายภาพในงานแถลงข่าว ทาทา มอเตอร์ส ประเทศไทย เซ็นสัญญาเป็นผู้สนับสนุน สโมสรบางกอก กล๊าส ในศึกฟุตบอลไทย พรีเมียร์ลีก 2016 อย่างเป็นทางการ ที่สนามลีโอ สเตเดียม

FedEx Express คว้ารางวัล องค์กรที่มีความรับผิดชอบต่อสังคมดีเด่น

         วิสุทธิ์ พันธ์สุขุมธนา (กลาง) ผู้จัดการอาวุโส ฝ่ายปฏิบัติการ ตัวแทนจากบริษัท FedEx Express ประเทศไทย เข้ารับมอบรางวัล องค์กรที่มีความรับผิดชอบต่อสังคมดีเด่น ระดับโกลด์ จาก ฯพณฯ กลิน ที. เดวีส์ เอกอัครราชฑูตสหรัฐอเมริกาประจำประเทศไทย (ซ้าย) และ ดาเรน บัคลีย์ (ขวา) ประธานหอการค้าอเมริกันในประเทศไทย โดย FedEx Express ได้รับยกย่องให้เป็นพันธมิตรเชิงสร้างสรรค์ที่มีความเป็นเลิศในด้านความคิดสร้างสรรค์และนวัตกรรมที่นำมาใช้ในโครงการเพื่อสังคม ซึ่งเป็นอีกหนึ่งบทพิสูจน์ถึงความมุ่งมั่นของบริษัทในการสนับสนุนชุมชนท้องถิ่นในประเทศไทย

ซีเกท รับรางวัล องค์กรที่มีความรับผิดชอบต่อสังคมดีเด่น จากหอการค้าอเมริกันในประเทศไทย

          นายเจฟฟรี่ย์ ดี. ไนการ์ด รองประธานอาวุโสฝ่ายปฏิบัติการหัวอ่านและบันทึกข้อมูล บริษัท ซีเกท เทคโนโลยี (ประเทศไทย) จำกัด (กลาง) ถ่ายภาพร่วมกับ ฯพณฯ กลิน ที. เดวีส์ เอกอัครราชทูตสหรัฐอเมริกาประจำประเทศไทย (ซ้าย) และนายแมท แบรดลีย์ ประธานหอการค้าอเมริกันในประเทศไทย (ขวา) ในโอกาสเข้ารับรางวัล องค์กรที่มีความรับผิดชอบต่อสังคมดีเด่น ระดับโกลด์และได้รับการยกย่องให้เป็นพันธมิตรเชิงสร้างสรรค์ (Creative Partnership Recognition) ประจำปี 2558 จากหอการค้าอเมริกันในประเทศไทย เมื่อเร็ว ๆ นี้

อัลไลด์ เทเลซิส โชว์เทคโนโลยีระบบเครือข่าย ในงาน Smart Network 2015

          บริษัท อัลไลด์ เทเลซิส  (ประเทศไทย) จำกัด ซึ่งเป็นผู้นำด้านการพัฒนาและผลิตอุปกรณ์ระบบเครือข่ายจากประเทศญี่ปุ่น ได้นำเสนอโซลูชั่นระบบเครือข่ายประสิทธิภาพสูงมาจัดแสดง ในงานเทคโนโลยีอุบัติใหม่ความท้าทายเพื่อเปลี่ยนแปลงองค์กรสู่เศรษฐกิจดิจิทัล หรือ Smart Network 2015 นำโดย นางสาวสุลวัณ จันทรวรินทร์ ผู้จัดการฝ่ายการตลาด (คนแรกจากซ้าย) พร้อมทีมงานฝ่ายขายและฝ่ายวิศวกรระบบเครือข่าย

แอลจีพาน้อง ๆ เปิดประสบการณ์ชมภาพยนตร์ คุณทองแดง The Inspiration ร่วมสร้างรอยยิ้มและแรงบันดาลใจในการทำความดี

          บริษัท แอลจี อีเลคทรอนิคส์ (ประเทศไทย) จำกัด นำโดย คุณนิพนธ์ วงษ์แสงอรุณศรี ผู้อำนวยการฝ่ายการตลาด จัดกิจกรรม Life’s Good Life’s Inspired ชีวิตดี ด้วยแรงบันดาลใจที่ดี พาน้อง ๆ จากสถานสงเคราะห์เด็กหญิงบ้านราชวิถี สถานสงเคราะห์บ้านเด็กอ่อนพญาไทและมูลนิธิเมเจอร์แคร์ เข้าร่วมชมภาพยนตร์แอนิเมชั่น เรื่อง คุณทองแดง The Inspirations ณ โรงภาพยนตร์เมเจอร์ ซีนีเพล็กซ์ เซ็นทรัลเวสต์เกต เพื่อมอบรอยยิ้มและสร้างแรงบันดาลใจ

ยิบอินซอย เปิดลานใบไม้ ต้อนรับขบวนจักรยาน ปั่นเพื่อพ่อ Bike For Dad มอบน้ำดื่ม 100,000 ขวด

          คุณมรกต ยิบอินซอย กรรมการผู้จัดการใหญ่ และประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ยิบอินซอย จำกัด พร้อมคณะผู้บริหารและพนักงาน ร่วมจัดกิจกรรมเปิดพื้นที่ลานใบไม้แจกน้ำดื่ม YIP IN TSOI LOVE THE KING จำนวน 100,000 ขวด พร้อมทั้งอำนวยความสะดวกจุดบริการพักรถจักรยาน เพื่อสนับสนุนกิจกรรม ปั่นเพื่อพ่อ Bike For Dad บนเส้นทางสิริมงคลเฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ณ ลานใบไม้ บริษัท ยิบอินซอย จำกัด ในวันที่ 11 ธันวาคม 2558 ที่ผ่านมา

ร่วมแสดงความยินดี เปิดตัวยางกูรู

          นายเกียรติศักดิ์ กีรติยากรสกุล (ที่ 2 จากซ้าย) กรรมการผู้จัดการ บริษัท เค.พี.เอ็น. มอเตอร์ คาร์ จำกัด ผู้จัดจำหน่ายรถยนต์และธุรกิจยานยนต์ครบวงจร พร้อมด้วย นายดำรงศักดิ์ เรือนใจดี (ที่ 1 จากซ้าย) กรรมการผู้จัดการ บริษัท คิวโกว์ จำกัด ผู้เชี่ยวชาญด้านที่ปรึกษาทางการตลาดทั้งออนไลน์และออฟไลน์ครบวงจร รับมอบดอกไม้แสดงความยินดี จาก คุณอ่ำ อัมรินทร์ นิติพน ดารานักร้อง เนื่องในโอกาสเปิดตัวเว็บไซต์ www.yangguru.com เพื่อจำหน่ายยางแบรนด์ดังยี่ห้อต่าง ๆ ในรูปเเบบออนไลน์ ณ โชว์รูม เค.พี.เอ็น. มอเตอร์ คาร์

เชลล์เปิดตัว สถานีฯ เชลล์ วี-เพาเวอร์ แห่งแรกของโลก ใจกลางกรุงเทพฯ ทางเลือกใหม่ เพื่อลูกค้าที่ใส่ใจคุณภาพและความสะดวกรวดเร็ว

          มร.อิสวาน คาปิทานี่ (กลาง) รองประธานบริหาร ธุรกิจการตลาดค้าปลีก กลุ่มบริษัท รอยัล ดัทช์ เชลล์ นายอัษฎา หะรินสุต (ซ้าย) ประธานกรรมการ บริษัท เชลล์แห่งประเทศไทย จำกัด และ มร.แกรนท์ แมคเกรเกอร์ กรรมการบริหาร ธุรกิจการตลาดค้าปลีก บริษัท เชลล์แห่งประเทศไทย จำกัด ร่วมกันแถลงข่าวการเปิดตัวสถานีฯ เชลล์ วี-เพาเวอร์ แห่งแรกของโลก ที่จะเริ่มเปิดให้บริการแก่ลูกค้าในบริเวณใจกลางกรุงเทพฯ 2 สาขา บนถนนอโศกและถนนพระราม 9 กลางเดือนมกราคม 2559 เพื่อเป็นทางเลือกใหม่ให้กับลูกค้าที่ใส่ใจในคุณภาพของน้ำมันเชื้อเพลิงและต้องการประสบการณ์เหนือระดับด้วยบริการที่สะดวกและรวดเร็ว

ไดกิ้นส่งโปรโมชั่นรับหน้าหนาว โอฮาโย วินเทอร์ ซุปเปอร์ คูล วันนี้ ถึง 31 มกราคม 2559

          บริษัท สยามไดกิ้นเซลส์ จำกัด ส่งท้ายปีเก่าต้อนรับปีใหม่ย่างเข้าสู่ฤดูหนาว ด้วยโปรโมชั่น โอฮาโย วินเทอร์ ซุปเปอร์ คูล เพียงซื้อเครื่องปรับอากาศไดกิ้น อาร์ 32 อินเวอร์เตอร์ ที่เข้าร่วมรายการ รับสิทธิ์ผ่อน 0% นานสูงสุด 10 เดือนและรับเงินคืนสูงสุด 5% เมื่อซื้อเครื่องปรับอากาศไดกิ้น อาร์ 32 อินเวอร์เตอร์ราคาปกติทุกรุ่น รับฟรี! นาฬิกาปลุกลายณเดชน์ลิมิเต็ด อิดิชั่นที่ส่งเสียงปลุกเป็นเสียงคนพูดพร้อมกระดานจดบันทึกและปากกาลบได้ มูลค่า 1,599 บาท 1 เรือน จำกัดเฉพาะโปรโมชั่นนี้เท่านั้น และบัตรของขวัญจากเทสโก้โลตัส มูลค่า 500 บาท สำหรับเครื่องปรับอากาศไดกิ้นรุ่นสแมช (ซีรีส์ FTM) รับทันที บัตรของขวัญเทสโก้โลตัส มูลค่า 500 บาท ตั้งแต่ 1 ธันวาคม 2558 ถึง 31 มกราคม 2559 หรือจนกว่าของสมนาคุณจะหมด ห้ามพลาด!

เลอโนโว เปิดตัวสมาร์ทโฟน Lenovo VIBE S1 กล้องหน้าคู่ครั้งแรกในประเทศไทย

          เลอโนโว นำโดย คุณสมศักดิ์ อธิศัยตระกูล ผู้จัดการประจำประเทศไทย ฝ่ายผลิตภัณฑ์สมาร์ทโฟน เปิดตัว Lenovo VIBE  S1 (เลอโนโว ไวบ์ เอส วัน) สมาร์ทโฟนหน้าจอขนาด 5 นิ้ว ที่มาพร้อมกล้องหน้าคู่และดีไซน์ที่โดดเด่น ด้วยด้านหลังตัวเครื่องที่ทำจากกระจกโค้งมนพร้อมรองรับทุกการสัมผัส โดยมีให้เลือก 3 สีด้วยกัน ได้แก่ สีขาวไข่มุก, สีน้ำเงินเข้ม และ สีทองแชมเปญ Lenovo VIBE S1 เป็นสมาร์ทโฟนรุ่นล่าสุดจากสมาร์ทโฟนตระกูล VIBE ที่ถูกออกแบบมาเพื่อเพิ่มประสิทธภาพในการถ่ายภาพเซลฟี่อย่างล้ำสมัย

แซส รับรางวัลองค์กรที่มีผลงานด้านความรับผิดชอบต่อสังคมดีเด่นประจำปี 2558 จากหอการค้าอเมริกันในประเทศไทย

          นายทวีศักดิ์ แสงทอง กรรมการผู้จัดการ บริษัท แซส ซอฟท์แวร์ (ไทยแลนด์) จำกัด (คนกลาง) เข้ารับรางวัล องค์กรที่มีผลงานด้านความรับผิดชอบต่อสังคมดีเด่น ประจำปี 2558 (AMCHAM CSR Excellence (ACE) Recognition 2015) จากหอการค้าอเมริกันในประเทศไทย โดยมี นายนายกลิน ทาวน์เซนด์ เดวีส์ เอกอัครราชทูตสหรัฐอเมริกาประจำประเทศไทย (คนซ้าย)ให้เกียรติเป็นประธานมอบรางวัล พร้อมด้วย นายดาร์เรน บัคลีย์ ประธานหอการค้าอเมริกันในประเทศไทย (คนขวา) ในฐานะเป็นองค์กรที่ทำกิจกรรมและตระหนักถึงความรับผิดชอบต่อสังคมอย่างต่อเนื่อง และยังได้จัดทำโครงการ แซส เคอริคูลัม พาธเวย์ (SAS Curriculum Pathways) ซึ่งเป็นบทเรียนออนไลน์ทางการศึกษา ตามแนวพระราชดำริของสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี

วิทยาลัยวิทยาศาสตร์สาธารณสุข จุฬาฯ ร่วมกับ โนวาร์ตีส ประเทศไทย จัดสัมมนาเพื่อพัฒนาระบบบริการสุขภาพที่เหมาะสมและยั่งยืน

          วิทยาลัยวิทยาศาสตร์สาธารณสุข จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ร่วมกับ บริษัท โนวาร์ตีส (ประเทศไทย) จำกัด จัดงานสัมมนาเรื่อง การเงินการคลังและการเข้าถึงบริการสุขภาพ ครั้งที่ 2 เพื่อสะท้อนมุมมองและความคิดเห็นจากภาคส่วนต่าง ๆ สู่การกำหนดนโยบายด้านการคลังของระบบสุขภาพอย่างยั่งยืนและเหมาะสมกับประเทศไทย รวมทั้งเกิดประโยชน์สูงสุดแก่ผู้ป่วย โดยมีผู้ทรงคุณวุฒิจากในประเทศและต่างประเทศเข้าร่วมการบรรยาย ซึ่งภายในงานมีนิสิต นักศึกษา บุคลากรทางการแพทย์และสาธารณสุขสนใจเข้าร่วมงานจำนวนกว่า 70 คน ณ ห้องแกรนด์บอลรูม โรงแรมปทุมวัน ปริ๊นเซส

วิศวลาดกระบังร่วมกับสมาคมวิศวกรรมเคมีฯ จัดประชุมนานาชาติวิศวกรรมเคมี RSCE ครั้งที่ 22

          ศ.ดร.สุชัชวีร์ สุวรรณสวัสดิ์ อธิการบดี สจล., รศ.ดร.คมสัน มาลีสี คณบดีคณะวิศวกรรมศาสตร์ สจล.และ รศ.ดร.อัญชลีพร วาริทสวัสดิ์ หล่อทองคำ นายกสมาคมวิศวกรรมเคมีและเคมีประยุกต์แห่งประเทศไทย ร่วมเป็นประธานพิธีเปิดงานประชุมนานาชาติวิศวกรรมเคมี ครั้งที่ 22 ภายใต้หัวข้อ เชื่อมโยงการเปิดประชาคมอาเซียนกับการศึกษาวิจัยและอุตสาหกรรม ณ โรงแรมโนโวเทล สุวรรณภูมิแอร์พอร์ท จัดโดยภาควิชาวิศวกรรมเคมี คณะวิศวกรรมศาสตร์ สถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหารลาดกระบัง (สจล.) ร่วมกับสมาคมวิศวกรรมเคมีและเคมีประยุกต์แห่งประเทศไทย วัตถุประสงค์เพื่อส่งเสริมและยกระดับความก้าวหน้าของวิศวกรรมเคมีสู่คุณภาพ ประสิทธิภาพ และความปลอดภัย สร้างสรรค์ความร่วมมือของนักวิจัย วิศวกร นักวิชาการและบุคคลากรเพื่อประโยชน์ต่อคุณภาพชีวิตของประชาชน ธุรกิจอุตสาหกรรมและสังคมส่วนรวม

ทีมผู้บริหารยูไนเต็ด มอเตอร์เวิกส์ เยือนเจแอลจี สำนักงานใหญ่ สหรัฐอเมริกา พร้อมแผนรุกเป็นผู้นำอุตสาหกรรมรถกระเช้าในประเทศไทย

          เจแอลจี อินดัสทรีส์, อิงก์ สหรัฐอเมริกา บริษัทยักษ์ใหญ่ระดับโลกในอุตสาหกรรมรถกระเช้า นำโดย มร.แฟรงค์ อาร์ เนเรนเฮาเซน ประธานบริษัท (ที่ 2 จากขวา) ให้การต้อนรับ มร.ทิโมธี เชีย ชี หมิง ประธานบริหาร Executive Chairman (ที่ 1 จากขวา) บริษัท ฮับสูน โกลบอล คอร์ปอเรชั่น พร้อมด้วย มร.อาซึชิ โตมิตะ กรรมการผู้จัดการ บริษัท ยูไนเต็ด มอเตอร์เวิกส์ (สยาม) จำกัด (มหาชน) (ที่ 2 จากซ้าย) ในโอกาสเยือนบริษัท เจแอลจี อินดัสทรีส์, อิงก์ สำนักงานใหญ่ เพื่อร่วมพัฒนากลยุทธ์ในการขยายตลาดรถกระเช้ายกสูงในประเทศไทย รวมถึงเสนอนโยบายและทิศทางในการรุกตลาดประเทศไทย ณ เฮเกอร์สทาวน์ รัฐแมรี่แลนด์ สหรัฐอเมริกา พร้อมทั้ง เยี่ยมชมโรงงาน ตลอดจนกระบวนการผลิตที่ล้ำหน้ารถกระเช้าแบรนด์ “เจแอลจี” ณ แมคคอนแนลสเบิร์ก รัฐเพนซิลวาเนีย สหรัฐอเมริกา

แซสแนะนำเทคโนโลยีวิเคราะห์ข้อมูลได้แบบเรียลไทม์ ช่วยป้องกันภัยคุกคามทางไซเบอร์

          บริษัท แซส ซอฟท์แวร์ (ไทยแลนด์) จำกัด ผู้นำด้านการวิเคราะห์ข้อมูลเชิงธุรกิจ โดย มร.อิมาม ฮอค กรรมการผู้จัดการ สายงานด้านโซลูชั่นการป้องกันการทุจริตทางไซเบอร์ ประจำภูมิภาค ยุโรป/ตะวันออกกลาง/แอฟริกา และเอเชียแปซิฟิก ได้ถ่ายทอดความรู้ให้กับสื่อมวลชนในประเด็น การวิเคราะห์พฤติกรรม และติดอาวุธธนาคาร - องค์กรยุคใหม่ลดความเสี่ยงการฉ้อโกงทางไซเบอร์” ซึ่งเป็นภัยคุกคามที่กำลังเพิ่มมากขึ้นทั่วโลก และแนวโน้มการโจมตีในไทยจะสูงขึ้นในอีก2-3 ปีข้างหน้า ในโอกาสเดินทางเข้าร่วมประชุมในประเทศไทย ณ สำนักงานแซส ซอฟท์แวร์ (ไทยแลนด์) อาคารเอ็กเชนท์ ทาวเวอร์ ชั้น38 สี่แยกอโศก กรุงเทพฯ

บีเอสเอ มอบประกาศนียบัตรรับรองวีร่าเฟิร์ม (Verafirm) แก่ ก.ล.ต. และไทยยามาฮ่ามอเตอร์ จำกัด

          บีเอสเอ พันธมิตรซอฟต์แวร์ มอบประกาศนียบัตรรับรองวีร่าเฟิร์ม (Verafirm) แก่ สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) สำหรับการบริหารจัดการสินทรัพย์ซอฟต์แวร์ตามมาตรฐาน ISO 19770-1 โดย ก.ล.ต. นับเป็นองค์กรแห่งแรกของอาเซียนที่ได้รับการรับรองนี้ นอกจากนี้ บีเอสเอยังมอบประกาศนียบัตรรับรองวีร่าเฟิร์ม (Verafirm) แก่ บริษัท ไทยยามาฮ่ามอเตอร์ จำกัด บริษัทองค์กรภาคเอกชนรายแรกในประเทศไทยที่มีการบริหารจัดการสินทรัพย์ซอฟต์แวร์ตามมาตรฐาน ISO 19770-1 ด้วยเช่นกัน

สวทช. พร้อมส่งฑูตเยาวชนวิทยาศาสตร์ JENYSYS 2015 ตะลุยแดนญี่ปุ่น เรียนรู้วัฒนธรรมและเสริมประสบการณ์วิทยาศาสตร์

          สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) จัดงานแสดงความยินดีและปฐมนิเทศแก่น้อง ๆ ฑูตเยาวชนวิทยาศาสตร์ไทยจำนวน 29 คน ที่ได้รับคัดเลือกเข้าร่วมโครงการแลกเปลี่ยนเยาวชนระหว่างประเทศญี่ปุ่นและประเทศอาเซียน หรือ JENESYS 2015 จำนวน 10 วัน ระหว่างวันที่ 29 พฤศจิกายน-8 ธันวาคม 2558 ณ กรุงโตเกียว และเกาะคิวชู ประเทศญี่ปุ่น เพื่อเรียนรู้และแลกเปลี่ยนวัฒนธรรมระหว่างไทยและญี่ปุ่น พร้อมเสริมสร้างประสบการณ์ด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี โดยมี ดร.อ้อมใจ ไทรเมฆ ผู้ช่วยผู้อำนวยการ สวทช. และ นายชิโร่ เทราชิมา (Shiro Terashima) เลขานุการเอก สถานเอกอัครราชทูตญี่ปุ่น ประจำประเทศไทย ร่วมแสดงความยินดี

เปิดตัว 3M™ Cubitron™ II ครั้งแรกในเมืองไทย เพื่อสุดยอดงานขัดอุตสาหกรรม

          แผนกผลิตภัณฑ์งานขัดอุตสาหกรรม บริษัท 3เอ็ม ประเทศไทย จำกัด ร่วมกับ บริษัท Okomoto ผู้ผลิตเครื่องจักร ได้นำเสนอเทคโนโลยี 3M™ Cubitron™ II ในหินเจียร Precision Grinding Wheels เป็นครั้งแรกในประเทศไทย ในงาน Metalex 2015 เมื่อเดือน พฤศจิกายนที่ผ่านมา ในโอกาสนี้ได้รับเกียรติจากผู้เชี่ยวชาญ 3เอ็ม Mr. Helmut Gaisberger, Global Manager (Machine OEM's, Precision Grinding & Finishing Business) มาแนะนำนวัตกรรม 3M™ Cubitron™ II ผลผลิตทางวิศวกรรมที่สร้างสรรค์เม็ดแร่รูปทรงสามเหลี่ยม ให้มีคุณสมบัติเพิ่มความสามารถในการกัดกินที่เร็วขึ้น ลดความร้อนสะสมบนผิวงาน ยืดอายุการใช้งานของหิน ประสิทธิภาพสูงรอบการเจียรเร็วขึ้นถึง 50% ซึ่งได้รับความสนใจเป็นอย่างมากจากผู้เข้าชมงาน ทั้งวิศวกร ผู้ใช้งาน และผู้ประกอบการผลิตชิ้นส่วนโลหะ

มูลนิธิพีแอนด์จี สานฝันเด็กพิเศษ เนรมิตรขวดแชมพูสร้างสนามเด็กเล่น ในโครงการสนามเด็กเล่นรีไซเคิล 88 สนามเฉลิมพระเกียรติ 88 พรรษา

          มูลนิธิพีแอนด์จีประเทศไทยเพื่อสังคม และบริษัท พรอคเตอร์ แอนด์ แกมเบิล เทรดดิ้ง (ประเทศไทย) จำกัด หรือ พีแอนด์จี ประเทศไทย ร่วมด้วย สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.) กระทรวงศึกษาธิการ, มูลนิธิการจัดการทรัพยากรอย่างยั่งยืน (3 อาร์) และสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย ร่วมกันจัดงานแถลงข่าวเปิด โครงการสนามเด็กเล่นรีไซเคิล 88 สนาม เฉลิมพระเกียรติ 88 พรรษา โดยได้รับเกียรติอย่างสูงจาก ดร. สุเมธ ตันติเวชกุล เป็นประธาน ในการส่งมอบสนามเด็กเล่นรีไซเคิลที่ผลิตจากขวดแชมพู แพนทีน เฮดแอนด์โชวเดอร์ รีจอยส์ และ เฮอร์เบิล เอสเซ้นส์ ให้กับเด็กกลุ่มที่มีความต้องการพิเศษ เพิ่มเติมให้ครบ 88 สนาม ภายในปี 2560 มูลค่า 15,000,000 บาท เพื่อถวายเป็นพระราชกุศล เนื่องในโอกาสพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดชทรงพระชนมายุครบ 88 พรรษา ในวันที่ 5 ธันวาคม 2558

กลุ่ม ปตท. จัดกิจกรรม ก๊อดจิ ดิ แอดเวนเจอร์ เวิลด์ ชวนเด็กไทยรู้รักษ์พลังงาน

          นายอรรถพล ฤกษ์พิบูลย์ (ที่ 2 จากซ้าย) รองกรรมการผู้จัดการใหญ่ หน่วยธุรกิจน้ำมัน และ นายประเสริฐ สลิลอำไพ (ที่ 2 จากขวา) ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่ สื่อสารองค์กรและกิจการเพื่อสังคม บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) เอาใจเด็กๆ ส่งท้ายปี! จัดกิจกรรม ก๊อดจิ ดิ แอดเวนเจอร์ เวิลด์ มหกรรมผจญภัยดินแดนแห่งโลกอนาคต ที่ส่งเสริมให้เด็กๆ ตระหนักถึงความสำคัญและรู้รักษ์พลังงานผ่าน 7 ฐานกิจกรรมสุดสนุก พร้อมฉลองความสำเร็จแคมเปญอนุรักษ์พลังงาน “ก๊อดจิ ดิ แอดเวนเจอร์” ที่ได้รณรงค์ให้ความรู้ด้านสิทธิและหน้าที่ในการใช้พลังงานให้แก่เด็กและเยาวชน ผ่านการ์ตูนแอนิเมชั่น 3D ฝีมือคนไทย และกิจกรรมการเรียนรู้ด้านพลังงานในโรงเรียนทั่วประเทศตั้งแต่ช่วงต้นปีที่ผ่านมา โดยมี เมทินี กิ่งโพยม และน้องสกาย ชาร์พเพิลส์/มอส-ปฏิภาณ ปฐวีกานต์ และ น้องโสน-สิสราญ ปฐวีกานต์ ร่วมกิจกรรม ณ ลานอีเดน ชั้น 1 ศูนย์การค้าเซ็นทรัลเวิลด์

เอ็กซ์วายแซดพริ้นติ้ง ยักษ์ใหญ่เครื่องพิมพ์ 3 มิติระดับโลก เปิดสำนักงานในไทย เร่งบุกตลาดเครื่องพิมพ์ 3 มิติไทยอย่างจริงจัง

          นายไซมอน เสิ่น (ที่ 3 จากซ้าย) ประธานกรรมการ บริษัท เอ็กซ์วายแซด พริ้นติ้ง อิงค์ ผู้ผลิตและออกแบบเครื่องพิมพ์ 3 มิติรายใหญ่ทึ่สุดของโลก ประกาศจัดตั้งสำนักงานในประเทศไทย และเปิดตัวแบรนด์ เอ็กซ์วายแซด อย่างเป็นทางการในไทย พร้อมรุกขยายฐานตลาดและนำเสนอประสบการณ์ที่เหนือกว่าของเครื่องพิมพ์ 3 มิติแก่ผู้บริโภคชาวไทย โดยมี นายคงสิทธิ์ โจวกิจเจริญ (ที่ 5 จากซ้าย) กรรมการผู้จัดการ บมจ. แคล-คอมพ์ อีเล็คโทรนิคส์ (ประเทศไทย) ร่วมในงานแถลงข่าว ณ โรงแรมสยาม เคมปินสกี้ 

เหมราชฯ จัดประชุมลูกค้า และการแข่งขันกอล์ฟการกุศลประจำปี 2558

          บริษัท เหมราชพัฒนาที่ดิน จำกัด (มหาชน) จัดงานประชุมลูกค้าประจำปี เพื่อให้ข้อมูลธุรกิจ ผลิตภัณฑ์และบริการใหม่ต่าง ๆ โดยรับเกียรติจากวิทยากรรับเชิญจากสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน ธนาคารมิซูโฮ บริษัท ไอเอชเอส ออโต้โมทีฟ บริษัทจัดการและพัฒนาทรัพยากรน้ำภาคตะวันออก ร่วมให้เกียรติบรรยาย พร้อมจัดแข่งขันกอล์ฟการกุศล เพื่อระดมทุนสำหรับพัฒนาชุมชนในบริเวณนิคมอุตสาหกรรมของเหมราชฯ โดยปีนี้ เงินรายได้จากการแข่งขันทั้งสิ้นจำนวน 240,100 บาท ได้แบ่งมอบให้แก่ศูนย์พัฒนาเด็กเล็ก 4 แห่ง สถานีอนามัย อบต.เขาคันทรง ชลบุรี และโรงเรียนบ้านท่าจาม และโรงเรียนวัดเฉลิมลาภ จ. ระยอง เพื่อสนับสนุนการซ่อมแซมและใช้เป็นงบประมาณ

มูลนิธิ มิตซูบิชิ อิเล็คทริคไทย มอบเงิน 300,000 บาทให้แก่ สพฐ. สนับสนุนโครงการเกษตรเพื่ออาหารกลางวัน

          นายเอนก รัตน์ปิยะภาภรณ์  (ที่ 3 จากขวา) ท่านที่ปรึกษาด้านเทคโนโลยีเพื่อการเรียนการสอน คณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.) รับมอบเงินสนับสนุนโครงการเกษตรเพื่ออาหารกลางวันให้กับโรงเรียนระดับประถมศึกษาในต่างจังหวัด ในสังกัดสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน จำนวน 300,000 บาท จาก มูลนิธิมิตซูบิชิ อิเล็คทริคไทย นำโดย มร.เรียวจิ อันโด (ที่ 3 จากซ้าย) กรรมการผู้จัดการ บริษัท มิตซูบิชิ อิเล็คทริค (เอเชีย) ประเทศไทย จำกัด ตัวแทนประธานกรรมการมูลนิธิมิตซูบิชิ อิเล็คทริคไทย พร้อมด้วย มร.โอซามุ โคชิ (ซ้ายสุด) กรรมการและเลขานุการ และ มร.มาซายูกิ ไซโต (ที่ 2 จากซ้าย) กรรมการและรองเลขานุการ ณ สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน กระทรวงศึกษาธิการ

บี.กริม เพาเวอร์ มั่นใจกับ ดาต้าเซ็นเตอร์พร้อมใช้ จากชไนเดอร์ อิเล็คทริค เจ้าแรกใน SEA

          นายธนัตถ์ เตชะธนบัตร (ขวาสุด) รองประธานกลุ่มธุรกิจไอที ชไนเดอร์ อิเล็คทริค ประเทศไทย นำเสนอโซลูชั่นดาต้าเซ็นเตอร์พร้อมใช้ (Prefabricated Data Center) ที่มีความโดดเด่น ด้านการออกแบบระบบดาต้าเซ็นเตอร์และอุปกรณ์ต่าง ๆ ตามความต้องการของลูกค้าได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ สามารถเคลื่อนย้ายได้สะดวกในทุกสถานการณ์ ให้กับ บริษัท บี.กริม เพาเวอร์ จำกัด โดยมี นายโชติ ชูสุวรรณ (กลางซ้าย) รองกรรมการผู้จัดการใหญ่ สายงานควบคุมปฏิบัติการ และ นายนภดล รัตนวราหะ (กลางขวา) First Vice President–Information and Communication Technology เป็นผู้ร่วมออกแบบความต้องการขององค์กร พร้อมด้วย นางสาวกนกกมล เลาหบูรณะกิจ (ซ้ายสุด) รองประธานฝ่ายกลยุทธ์ และลูกค้าองค์กร กลุ่มงานขาย บริษัท ฟูจิตสึ ซีสเต็มส์ บีสซีเนส (ประเทศไทย) จำกัด ซึ่งเป็นพันธมิตรคู่ค้าของชไนเดอร์ อิเล็คทริค ได้ร่วมถ่ายภาพความร่วมมือกันเมื่อเร็ว ๆ นี้ 

ฟูจิ ซีร็อกซ์คว้ารางวัล Green Office ระดับทอง จากกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม

          มร.โคจิ เทสึกะ ประธาน บริษัท ฟูจิ ซีร็อกซ์ (ประเทศไทย) จำกัด รับโล่รางวัลหน่วยงานที่ผ่านเกณฑ์มาตรฐานการเป็นสำนักงานสีเขียวระดับดีเยี่ยม Green Office ระดับทอง จาก ฯพณฯ พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เนื่องในงาน “วันสิ่งแวดล้อมไทยและวันอาสาสมัครพิทักษ์ทรัพยากรและสิ่งแวดล้อมหมู่บ้านแห่งชาติ ประจำปี 2558” เพื่อแสดงให้เห็นว่า ฟูจิ ซีร็อกซ์ เป็นธุรกิจที่มีความรับผิดชอบต่อสิ่งแวดล้อมในทุกกระบวนการผลิตอย่างแท้จริง จนได้รับการรับรองในระดับดีมาก (เงิน) ในปี 2557 และพัฒนาแนวทางการดำเนินธุรกิจตามมาตรฐานสำนักงานสีเขียวอย่างต่อเนื่อง จนคว้ารางวัลระดับดีเยี่ยมในปีนี้ ซึ่งจัดโดยกรมส่งเสริมคุณภาพสิ่งแวดล้อมกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ณ ศูนย์แสดงสินค้าอิมแพค เมืองทองธานี นนทบุรี

กระทรวงอุตสาหกรรม หนุนเกษตรแปรรูป เร่งพัฒนาศักยภาพธุรกิจ SMEs ผ่านโครงการโอ-ปอย

          นายอาทิตย์ วุฒิคะโร ปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม กล่าวว่า ในสถานการณ์ปัจจุบัน ปัญหาเรื่องเศรษฐกิจโลกชะลอตัว สินค้าเกษตรราคาตกต่ำ เป็นภารกิจเร่งด่วนในการพลิกฟื้นเศรษฐกิจไทยโดยมุ่งเน้นช่วยเหลือภาคธุรกิจ เอสเอ็มอีและโอทอป รวมถึงกระตุ้นเศรษฐกิจฐานรากให้หมุนเวียน ผ่านกองทุนและโครงการต่าง ๆ อย่างชัดเจน ซึ่งระยะเวลาต่อจากนี้ ล้วนมุ่งสู่การสร้างความเข้มแข็งให้กับเศรษฐกิจภายใน ที่ระดับจุลภาคมากขึ้น

          ทั้งนี้ กระทรวงอุตสาหกรรมได้ให้ความสำคัญกับอุตสาหกรรมแปรรูปการเกษตรและอาหาร ซึ่งเป็นสาขาที่มีศักยภาพสูง เพราะนอกจากเชื่อมโยงกิจกรรมทางเศรษฐกิจ ทั้งในภาคเกษตร ภาคอุตสาหกรรม และภาคบริการแล้ว เมื่อมองทั้งห่วงโซ่อุปทานยังเกี่ยวข้องกับผู้คนจำนวนมาก ที่สำคัญคือใช้วัตถุดิบผลิตผลทางการเกษตรในพื้นที่ เช่น ข้าว ยาง ข้าวโพด มันสำปะหลัง ปาล์มน้ำมัน นม ผัก-ผลไม้ต่าง ๆ ทำให้เศรษฐกิจท้องถิ่นมีการหมุนเวียน จากการรับซื้อผลผลิต การผลิตเป็นผลิตภัณฑ์ การลงทุน การจ้างงาน การขนส่ง บริการ ทำให้เกิดกิจกรรมทางเศรษฐกิจขึ้น ซึ่งโครงการหนึ่งที่ได้ดำเนินการมาอย่างต่อเนื่องตั้งแต่ปี พ.ศ.2550 คือ โครงการพัฒนาขีดความสามารถในการแข่งขันของอุตสาหกรรมในภูมิภาค หรือ OPOAI โดยวัตถุประสงค์หลักของโครงการ OPOAI คือการพัฒนาขีดความสามารถของสถานประกอบการให้มีศักยภาพเพิ่มมากขึ้น โดยการสร้างกระบวนการทำงานภายในให้เข้มแข็ง ควบคู่กับการสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับผลิตภัณฑ์ ซึ่งเมื่อระบบภายในเข้มแข็งมีภูมิคุ้มกันที่ดีแล้ว ก็จะส่งผลให้ระบบเศรษฐกิจไทยเดินหน้าต่อไปได้อย่างมั่นคง และสามารถรับการเปลี่ยนแปลงที่จะเกิดขึ้นในภายภาคหน้าได้

          โดยการดำเนินโครงการฯ มีการจัดจ้างที่ปรึกษาที่มีความเชี่ยวชาญเฉพาะด้านเข้าไปให้ความช่วยเหลือปรึกษาแนะนำสถานประกอบการที่เข้าร่วมโครงการผ่านแผนงานพัฒนาที่ถือเป็นภารกิจหลักของกระทรวงอุตสาหกรรมที่ ครอบคลุมตลอดโซ่อุปทานใน 6 ด้าน เพื่อให้ผู้ประกอบการเข้าสู่กระบวนการพัฒนาแก้ไขปัญหาได้อย่างถูกต้อง สามารถลดต้นทุน เพิ่มรายได้ และสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับผลิตภัณฑ์ ประกอบด้วย 1.การบริหารจัดการโลจิสติกส์ เพื่อปรับปรุงกระบวนการทางด้านโลจิสติกส์ให้มีประสิทธิภาพและลดต้นทุนการขนส่งให้ต่ำลง 2.การเพิ่มประสิทธิภาพการผลิต หรือลดต้นทุนการผลิต โดยปรับปรุงกระบวนการด้านการผลิตให้มีประสิทธิภาพเพิ่มขึ้นและต้นทุนที่ต่ำลง 3.การปรับปรุงคุณภาพและการพัฒนางาน เพื่อให้มีระบบการบริหารจัดการและควบคุมคุณภาพที่ดี 4.การลดต้นทุนพลังงาน เพื่อให้องค์กรสามารถลดต้นทุนการใช้พลังงานได้อย่างมีประสิทธิภาพทั้งระยะสั้นและระยะยาว 5.การยกระดับมาตรฐานผลิตภัณฑ์/ระบบมาตรฐานสากล เพื่อสร้างความพร้อมขององค์กรในการยื่นขอรับรองมาตรฐานต่าง ๆ และ 6.กลยุทธ์ขับเคลื่อนการตลาด โดยการวางแผนการตลาด รวมทั้งการพัฒนาผลิตภัณฑ์และบรรจุภัณฑ์ให้สามารถแข่งขันได้อย่างยั่งยืน

          นายอาทิตย์ วุฒิคะโร ปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม กล่าวเพิ่มเติมถึงโครงการ OPOAI ว่า ปัจจุบันอยู่ระหว่างการติดตามผลการดำเนินโครงการในปี 2558 ซึ่งได้พัฒนายกระดับ 158 สถานประกอบการอุตสาหกรรมแปรรูปเกษตรใน 76 จังหวัดทั่วประเทศ พร้อมกันนี้ในปี 2559 โครงการยังคงดำเนินการอย่างต่อเนื่อง ขณะนี้อยู่ในระหว่างดำเนินการรับสมัครผู้ที่ต้องการจะเข้าร่วมโครงการเพื่อพัฒนาศักยภาพของสถานประกอบการให้เพิ่มมากยิ่งขึ้น ซึ่งจากผลการดำเนินงานที่ผ่านมาจนถึงปี 2558 โครงการฯ ได้ช่วยเหลือสถานประกอบการอุตสาหกรรมแปรรูปการเกษตรทุกประเภท จำนวน 1,041 ราย สามารถเพิ่มมูลค่าทางเศรษฐกิจรวมกว่า 3,600 ล้านบาท โดยวัดจากการลดต้นทุน เพิ่มประสิทธิภาพการผลิต รวมถึงยอดขายที่เพิ่มขึ้น

          สำหรับสถานประกอบการที่ได้เข้าร่วมโครงการโอปอยนั้น จะได้รับการพัฒนาขีดความสามารถในการแข่งขัน ซึ่งทางโครงการโอปอย จะส่งทีมที่ปรึกษาของโครงการเข้าไปช่วยท่านในการพัฒนาซึ่งในการทำงานจะเป็นการเจาะลึกข้อมูลของสถานประกอบการการของท่านโดยเฉพาะ โดยทีมงานที่ปรึกษาจะเข้าไปศึกษาข้อมูลของสถานประกอบการจากคณะผู้บริหารของสถานประกอบการ เพื่อดูว่าสมควรที่เข้าพัฒนาในแผนงานไหนมากที่สุด เมื่อได้ข้อสรุปทางทีมที่ปรึกษาจะมีแผนการดำเนินงานให้ปฏิบัติจริง และติดตามผลพร้อมทั้งคำปรึกษาเป็นระยะ ๆ ในระยะเวลาการทำงานของที่ปรึกษาประมาณ 8-10 วันทำการ รวมระยะเวลาในการปฏิบัติงานโดยประมาณคือ 4-6 เดือน จึงจะเสร็จสิ้นโครงการ

          ประโยชน์ที่ทางสถานประกอบการได้รับโดยตรงที่เห็นเด่นชัดมากที่สุดคือ ได้รับรู้ถึงข้อบกพร่องของสถานประกอบการเองว่ามีข้อบกพร่องอะไรบ้าง ไม่ว่าจะเป็นเรื่องการผลิต การบริหารงาน และอื่น ๆ ที่บางครั้งสถานประกอบการอาจจะมองไม่เห็นข้อบกพร่องนั้น ๆ นอกจากนี้ยังได้รับการพัฒนาและแก้ไขจุดบกพร่องนั้น เป็นการเฉพาะจุดจริง ๆ นอกจากนี้แล้วทางทีมที่ปรึกษายังได้มีการวางแผนงานระยะสั้น ระยะกลาง และระยะยาว เพื่อเป็นแนวทางในการพัฒนาตนเองต่อไป ที่สำคัญการให้คำปรึกษาแนะนำทั้งหมดไม่เสียค่าใช้จ่ายใด ๆ ทั้งสิ้น ยกเว้นส่วนที่จะต้องลงทุนปรับปรุงสถานประกอบการ ซึ่งทางสถานประกอบการต้องเป็นผู้ลงทุนเอง ซึ่งผลที่ได้รับในระยะยาวนั้นคุ้มเกินคุ้มทีเดียว

          ทั้งนี้ หากสถานประกอบการใดมีความสนใจเข้าร่วมโครงการสามารถติดต่อขอทราบรายละเอียดได้ที่ สำนักงานอุตสาหกรรมจังหวัดทุกจังหวัด หรือสำนักงานปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม ถนนพระรามที่ 6 เขตราชเทวี กรุงเทพฯ 10400 โทรศัพท์ 0-2202-3173 หรือดูรายละเอียดโครงการที่ www.opoai.com

ETDA จับมือ ICT ญี่ปุ่น เพิ่มขีดความสามารถทีมไซเบอร์ไทย รู้ทันภัยคุกคาม

          สำนักงานพัฒนาธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์ (องค์การมหาชน) (สพธอ.) หรือ ETDA (เอ็ดด้า) กระทรวงไอซีที จับมือ กระทรวงสารสนเทศ และการสื่อสาร (MIC) ประเทศญี่ปุ่น อบรมหลักสูตรการฝึกปฏิบัติด้านไซเบอร์ (Cyber Defense Exercise with Recurrence) หรือ CYDER เพื่อพัฒนาขีดความสามารถด้านการรับมือและการจัดการภัยคุกคามไซเบอร์ของเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องกับการรับมือด้านความมั่นคงปลอดภัยสารสนเทศ (Computer Security Incident Response Team: CSIRT) โดยวิทยากรผู้ทรงคุณวุฒิจากประเทศญี่ปุ่น

          สุรางคณา วายุภาพ กล่าวว่า การอบรมครั้งนี้เป็นผลมาจากการลงนามแถลงการณ์ร่วม เรื่องความร่วมมือระหว่างกระทรวงไอซีทีและ MIC ประเทศญี่ปุ่น เมื่อเดือนเมษายน 2558 ที่ผ่านมา โดยครั้งนี้จะมีการสอนให้ใช้เครื่องมือเพื่อวิเคราะห์สาเหตุและความเสียหายที่เกิดขึ้น รวมถึงขั้นตอนรับมือภัยคุกคาม และจะมีการจำลองเหตุการณ์การถูกโจมตี เพื่อให้ผู้เข้าร่วมอบรมได้ใช้ความรู้ที่ได้รับในการฝึกปฏิบัติจริง โดยกระทรวงไอซีทีคาดหวังว่าจะมีจัดอบรมเช่นนี้ ร่วมกับประเทศสมาชิกอาเซียนในอนาคต รวมถึงความร่วมมืออื่น ๆ เพื่อแลกเปลี่ยนประสบการณ์และยกระดับความรู้ความสามารถของบุคลากรด้าน Cybersecurity ร่วมกันอย่างต่อเนื่อง

          ทางด้าน ดร.ชัยชนะ มิตรพันธ์ กล่าวเสริมว่า “เราเริ่มอบรมจากบุคลากรของไทยเซิร์ต สำนักความมั่นคงปลอดภัยของ ETDA และสำนักป้องกันและปราบปรามการกระทำความผิดทางเทคโนโลยีสารสนเทศ กระทรวงไอซีทีก่อน เนื่องจากเป็นหัวใจสำคัญของการดูแลความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์ของประเทศไทย และสามารถเป็นศูนย์กลางในการบูรณาการความร่วมมือ รวมทั้งแบ่งปันความรู้และความชำนาญไปสู่หน่วยงานต่าง ๆ ทั้งของรัฐและเอกชนได้ การอบรมครั้งนี้จะช่วยเพิ่มขีดความสามารถในการรับมือและจัดการภัยคุกคามให้แก่พวกเขาไปอีกระดับ เพื่อให้สามารถรับมือกับการโจมตีทางไซเบอร์ได้อย่างมีประสิทธิภาพและทันเหตุการณ์”

          ทั้งนี้ การอบรมจัดเป็น 2 รุ่น รุ่นละ 8 คน โดยมี สุรางคณา วายุภาพ ผู้อำนวยการ ETDA พร้อมด้วย ดร.ชัยชนะ มิตรพันธ์ รองผู้อำนวยการ ETDA ร่วมเปิดการอบรมในครั้งนี้ ซึ่งได้รับเกียรติจาก Mr.Kunihiro Tsutsui, Deputy Director, ICT Security Office, MIC ประเทศญี่ปุ่น Mr.Hajime Onga, First Secretary, Embassy of Japan และ Mr.Sato Hiroshi ประธานบริษัท NEC (ประเทศไทย) ร่วมให้ความรู้ในการอบรม

GPSC สร้างความเชื่อมั่นในการเติบโตพร้อมกับกลุ่ม ปตท. ลงนามสัญญาจำหน่ายไฟฟ้าให้กับ PTTGC

          ดร.เติมชัย บุนนาค กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท โกลบอล เพาเวอร์ ซินเนอร์ยี่ จำกัด (มหาชน) หรือ GPSC ผู้นำทางการผลิตและการจำหน่ายไฟฟ้า ไอน้ำ และสาธารณูปโภค และแกนนำด้านพลังงานไฟฟ้าของกลุ่ม ปตท. ได้เปิดเผยว่าบริษัทเตรียมการที่จะลงนามสัญญา หรือ Head of Agreement มูลค่า 15,000 ล้านบาท อายุสัญญา 15 ปี สำหรับการจำหน่ายกระแสไฟฟ้าให้กับ บริษัท พีทีที โกลบอล เคมิคอล จำกัด (มหาชน) (PTTGC) ซึ่งมีแผนที่จะก่อสร้างโรงงานเพื่อเพิ่มกำลังการผลิตสาร LLDPE ของ PTTGC โดยมีที่ตั้งโครงการอยู่ในบริเวณใกล้เคียงกับโรงงาน LLDPE เดิมภายในนิคมอุตสาหกรรมผาแดง จังหวัดระยอง ซึ่งรับสาธารณูปโภคจาก GPSC มาตั้งแต่ปี 2554 โรงงานแห่งใหม่หรือ LLDPE2 นี้ มีความต้องการใช้ไฟฟ้าจาก GPSC เพิ่มขึ้นประมาณ 18 MW ตั้งแต่เดือน เมษายน 2560 เป็นต้นไป รวมไปถึงการขยายอายุสัญญาซื้อขายไฟฟ้าของโรงงาน LLDPE ฉบับเดิมที่ได้ทำไว้กับ PTTGC ปริมาณ 46 MW ออกไปอีก 7 ปี เพื่อให้มีระยะเวลาสอดคล้องกับสัญญาซื้อขายไฟฟ้าฉบับใหม่ที่จัดทำขึ้น ซึ่งมีกำหนดระยะเวลาถึงปี 2575

          ทั้งนี้ GPSC ได้เตรียมการก่อสร้างโรงไฟฟ้าแห่งใหม่ หรือศูนย์ผลิตสาธารณูปการ 4 (CUP-4) ภายในพื้นที่นิคมอุตสาหกรรมเอเชีย จ.ระยอง ซึ่งเป็นการเพิ่มกำลังการผลิตให้รองรับการเติบโตทางธุรกิจ และความต้องการสาธารณูปโภคที่เพิ่มขึ้นของลูกค้าอุตสาหกรรม

          ดร.เติมชัย กล่าวเสริมว่า “GPSC มุ่งมั่นที่จะก้าวขึ้นเป็นหนึ่งในผู้นำด้านธุรกิจไฟฟ้าของภูมิภาคเอเชีย ด้วยการขยายการลงทุนและพัฒนาโครงการทั้งในและต่างประเทศ โดยการลงนามสัญญาซื้อขายไฟฟ้าดังกล่าว เป็นส่วนหนึ่งของกลยุทธ์ในการเติบโตทางธุรกิจที่จะเติบโตไปพร้อมกับการขยายธุรกิจของบริษัทในกลุ่ม ปตท. เพื่อสร้างความมีเสถียรภาพด้านไฟฟ้าและสาธารณูปโภคต่อกระบวนการผลิตของบริษัทต่าง ๆ ในกลุ่ม ปตท. ต่อไป โดยบริษัทฯ จะเริ่มรับรู้รายได้ตั้งแต่ปี 2560 เป็นต้นไป”

สำนักงานสลากกินแบ่งรัฐบาลมอบรางวัล นักกีฬาเยาวชนรายการภูเก็ต ดิงกี้ ซีรี่ส์ ในงานภูเก็ตคิงส์คัพรีกัตต้า ครั้งที่ 29

          สำนักงานสลากกินแบ่งรัฐบาล เป็นเจ้าภาพจัดงานเลี้ยงและมอบรางวัลแก่นักกีฬาเยาวชนผู้ชนะจากรายการภูเก็ต ดิงกี้ ซีรี่ส์ ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของการแข่งขันเรือใบชิงถ้วยพระราชทานภูเก็ตคิงส์คัพรีกัตต้าครั้งที่ 29 เผยการร่วมเป็นพันธมิตรกับภูเก็ตคิงส์คัพรีกัตต้าและสนับสนุนเรือใบเยาวชนครั้งนี้สอดคล้องกับภารกิจด้านกิจกรรมเพื่อสังคมของสำนักงานสลากฯ โดยมีจุดประสงค์เพื่อให้เยาวชนของชาติใช้เวลาว่างให้เกิดประโยชน์ โดยกีฬาเรือใบถือเป็นกิจกรรมการออกกำลังกลางแจ้งที่ทำให้เยาวชนได้พัฒนาภาวะผู้นำ ทักษะการตัดสินใจและการสร้างมิตรภาพ  สำนักงานสลากฯ จึงต้องการส่งเสริมให้เยาวชนหันมาเล่นกีฬาเรือใบให้มากยิ่งขึ้นและมุ่งหวังที่จะพัฒนานักกีฬาเรือใบทุกระดับชั้นให้เกิดพัฒนาการเพื่อก้าวสู่การแข่งขันบนเวทีโลกต่อไป

          ผศ.ดร.ธนวรรธน์ พลวิชัย คณะกรรมการสลากกินแบ่งรัฐบาล กล่าวว่า “รายการภูเก็ต ดิงกี้ ซีรี่ส์ ถือเป็นการอุ่นเครื่องก่อนเปิดฉากการแข่งขันเรือใบรุ่นใหญ่ของภูเก็ตคิงส์คัพรีกัตต้า ครั้งที่ 29 โดยเปิดโอกาสให้เยาวชนในพื้นที่ได้มาร่วมแข่งขันอย่างสนุกสนานและแลกเปลี่ยนประสบการณ์ร่วมกัน การร่วมมือครั้งนี้ยังก่อให้เกิดผลกระทบเชิงบวกต่อสังคมในหลายระดับ ตลอดจนเชื่อมโยงกิจกรรมสาธารณประโยชน์ของเราสู่โครงสร้างทางสังคมได้อย่างมีประสิทธิภาพ ซึ่งสำนักงานสลากฯ เล็งเห็นว่าการจัดงานในรูปแบบนี้มีความสำคัญอย่างยิ่งต่อการพัฒนาศักยภาพของเยาวชนของเรา การร่วมเป็นพันธมิตรกับภูเก็ตคิงส์คัพรีกัตต้าครั้งนี้สอดคล้องกับภารกิจด้านกิจกรรมเพื่อสังคมของสำนักงานสลากฯ”

          ทั้งนี้ ผู้ชนะเลิศในรุ่นออพติมิสต์เยาวชนชาย ได้แก่ ณัฐพงศ์ ยวงงาม จาก Phuket Youth Sailing Club รุ่นออพติมิสต์เยาวชนหญิง ได้แก่ กีรติการ ครองบุญ จาก NAC3SC และรุ่นเลเซอร์ ได้แก่ ธีระพงษ์ ต่อกระโทก จาก Phuket Youth Sailing Club

          งานแข่งขันเรือใบชิงถ้วยพระราชทานภูเก็ตคิงส์คัพรีกัตต้า ก่อให้เกิดการประสานความมือระหว่างองค์กรภาครัฐบาลและภาคเอกชนเพื่อการส่งเสริมและสนับสนุนให้เยาวชนทุกช่วงอายุหันมาสนใจการเล่นกีฬา การจัดพิธีมอบรางวัลในรายการภูเก็ต ดิงกี้ ซีรี่ส์ ถือเป็นการสร้างขวัญและกำลังใจให้แก่นักกีฬารุ่นเยาว์ที่ได้ทุ่มเทฝึกซ้อมและร่วมแข่งขันในรายการนี้

          การแข่งขันเรือใบชิงถ้วยพระราชทานภูเก็ตคิงส์คัพรีกัตต้า ครั้งที่ 29 มีผู้ให้การสนับสนุนได้แก่ กะตะกรุ๊ป รีสอร์ท ประเทศไทย เป็นผู้สนับสนุนหลักการจัดงาน ร่วมด้วยองค์กรพันธมิตร ได้แก่ สำนักงานสลากกินแบ่งรัฐบาล, สำนักงานส่งเสริมการจัดการประชุมและนิทรรศการ (องค์การมหาชน), และการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย ตลอดจนผู้ร่วมสนับสนุน ได้แก่ บริษัท เซ็นทรัลพัฒนา จำกัด (มหาชน), บริษัท ปตท.จำกัด (มหาชน), ไวน์มองต์แคลร์โดยสยามไวเนอรี่, และบริษัท หาดทิพย์ จำกัด (มหาชน) ส่วนพันธมิตรสื่อมวลชนของงาน ได้แก่ Phuket Gazette, PGTV, Prestige, SailWorld.com, Yachtstyle, Sea Yachting, Phuket Magazine, Image Asia, The Guide Phuket, RL Magazine, Phuket Marine Guide และ Art & Culture

          ผู้สนใจสามารถเข้าชมรายละเอียดงานได้ที่เว็บไซต์อย่างเป็นทางการ http://www.kingscup.com/ หรือติดต่อสำนักงานภูเก็ตคิงส์คัพรีกัตต้า โทรศัพท์/แฟกซ์ +66 (0)7627-3380 หากต้องการรายละเอียดการจัดงานทั่วไป กรุณาติดต่อที่อีเมล์ info@kingscup.com รายละเอียดการแข่งขัน ติดต่ออีเมล์ racing@kingscup.com

 

          ภาพข่าว: ผศ.ดร.ธนวรรธน์ พลวิชัย (ที่ 4 จากขวา) คณะกรรมการสลากกินแบ่งรัฐบาล มอบรางวัลนักกีฬาเรือใบเยาวชนผู้ชนะในรายการภูเก็ต ดิงกี้ ซีรี่ส์ ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของการแข่งขันเรือใบชิงถ้วยพระราชทานภูเก็ตคิงส์คัพรีกัตต้า ครั้งที่ 29 ในงานเลี้ยงวันเปิดการแข่งขันซึ่งจัดขึ้น ณ โรงแรมกะตะบีช รีสอร์ท แอนด์ สปา

กสอ. ปลุกชีพ SMEs กลุ่มฟื้นฟูกิจการ เปิดพื้นที่จัด SMEs Fair หวังกระตุ้นเศรษฐกิจตลอดปี 59

         กรมส่งเสริมอุตสาหกรรม กระทรวงอุตสาหกรรม (กสอ.) เดินหน้าสนองนโยบายรัฐ เร่งสร้างกำลังซื้อและกระตุ้นเศรษฐกิจ ออกมาตรการเร่งด่วนช่วยเหลือ SMEs ผู้ประกอบการใหม่ (Start Up) และผู้ที่ต้องการฟื้นฟูกิจการ (Turnaround) ได้มีโอกาสแสดงสินค้าและทดลองเปิดตลาด และยังเป็นการกระจายสินค้าถึงมือผู้บริโภค โดยตรงในราคาประหยัด ซึ่งเป็นการกระตุ้นเศรษฐกิจได้อีกทางหนึ่งผ่านการจัดแสดง และจำหน่ายสินค้าจากผู้ประกอบการทั่วไทยทุกเดือนตลอดทั้งปี และในการจัดงานครั้งนี้ ตั้งเป้าช่วยให้ผู้ประกอบการมีรายได้เพิ่ม โดยคาดว่า จะมียอดขายรวมทั้งสิ้นไม่น้อยกว่า 5 ล้านบาท งานจัดขึ้นตั้งแต่วันนี้ ถึง 4 ธันวาคม 2558 เวลา 08.30–16.00 น. ณ ห้องแสดงนิทรรศการ ชั้น 1 อาคารกรมส่งเสริมอุตสาหกรรม กระทรวงอุตสาหกรรม

 

          นายประสงค์ นิลบรรจง รองอธิบดีกรมส่งเสริมอุตสาหกรรม กล่าวว่า รัฐบาลมีนโยบายเร่งด่วนในการส่งเสริม SMEs ของประเทศ เนื่องจากเป็นโครงสร้างพื้นฐานในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจ สัดส่วนคิดเป็นร้อยละ 37.4 ของ GDP รวมทั้งประเทศ (ที่มา: กระทรวงการคลัง) ซึ่งมีแนวโน้มเพิ่มจำนวนต่อเนื่อง กสอ. ในฐานะภาครัฐที่ดูแลและส่งเสริมผู้ประกอบการ SMEs โดยตรง จึงมีโครงการช่วยเหลือผู้ประกอบการในหลายด้าน ทั้งให้ความรู้การทำธุรกิจรอบด้าน พัฒนาผลิตภัณฑ์ เปิดตลาดต่างประเทศ มาตรการด้านการเงิน ให้ความรู้ในการนำเทคโนโลยีสารสนเทศมาใช้ในการทำการตลาด ฯลฯ  โดยดูแลเป็นพิเศษสำหรับผู้ประกอบการใหม่ (Start Up) และผู้ที่ต้องการฟื้นฟูกิจการ (Turnaround) ทั้งนี้ หนึ่งในมาตรการช่วยเหลือผู้ประกอบการคือการเปิดพื้นที่ให้ผู้ประกอบการที่เข้าร่วมโครงการต่าง ๆ ของ กสอ. ทั้งรายใหม่และรายเดิม ซึ่งในปี 2558 ที่ผ่านมา มีสถานประกอบการ SMEs เข้าร่วมโครงการต่าง ๆ จำนวนกว่า 6,000 กิจการ ได้มีโอกาสได้นำสินค้ามาทดลองตลาดและเปิดตลาด ซึ่งจะจัดขึ้นเป็นประจำทุกเดือนเพื่อเร่งสร้างกำลังซื้อให้เกิดเงินทุนหมุนเวียนในระบบ และกระจายสินค้าถึงมือผู้บริโภคโดยตรงในราคาประหยัดฝีมือผู้ประกอบการไทย ซึ่งเป็นการกระตุ้นเศรษฐกิจได้อีกทางหนึ่ง

          สำหรับการจัดกิจกรรมในแต่ละเดือน กสอ. จะคัดเลือกผู้ประกอบการในเครือข่ายจากหน่วยงานต่าง ๆ ภายใต้การกำกับดูแลของ กสอ. ทั้งนี้ การนำร่องจัดกิจกรรมครั้งนี้ เป็นการคัดเลือกผู้ประกอบการภายใต้เครือข่าย ของสำนักพัฒนาผู้ประกอบการ (สพก.) ซึ่งมีการดำเนินโครงการต่าง ๆ อาทิ โครงการพัฒนาผู้ประกอบการธุรกิจอุตสาหกรรม (คพอ.) โครงการเสริมสร้างผู้ประกอบการใหม่ (New Entrepreneurs Creation) โครงการเชื่อมโยงเครือข่ายธุรกิจ (DIP SMEs Network) เป็นต้น โดยนำสินค้ามาจัดแสดงและจำหน่ายในราคาพิเศษให้ประชาชนภายในงาน “ของขวัญปีใหม่ ร่วมใจซื้อของไทย ได้ของดี มีความสุข” ภายใต้แนวคิด “Stronger Together Be Happy” ซึ่งภายในงานพบกับสินค้าหลากหลายชนิด อาทิ ของที่ระลึก น้ำหอม เสื้อผ้า เครื่องสำอาง เครื่องหนัง กระเป๋า นาฬิกา เครื่องประดับ สินค้าหัตถกรรม เครื่องใช้ไฟฟ้า อาหารและเครื่องดื่มเพื่อสุขภาพ อาหารแปรรูป ผลิตภัณฑ์เพื่อสุขภาพและความงาม ฯลฯ และสินค้าอื่น ๆ อีกมากมายกว่า 100 ร้านค้า ที่พร้อมใจกันมาลดราคาให้ประชาชนเลือกซื้อเป็นของฝาก ของขวัญในเทศกาลส่งความสุขปีใหม่ 2559 ทั้งนี้ เชื่อมั่นว่ากิจกรรมดังกล่าวจะสามารถช่วยสร้างรายได้ให้ผู้ประกอบการเพิ่ม โดยคาดว่ายอดขายภายในงาน โดยทั้งสิ้น มีมูลค่าไม่น้อยกว่า 5 ล้านบาท นายประสงค์ กล่าวสรุป

 

เรดแฮทเปิดตัวโปรแกรมการฝึกอบรมเสมือนจริงสำหรับภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก

          เรดแฮท อิงค์ (NYSE: RHT) ผู้นำในโซลูชั่นโอเพ่นซอร์ส ประกาศเปิดตัวโปรแกรมการฝึกอบรมเสมือนจริงสำหรับภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก (Virtual Training Program for Asia Pacific) เพื่อช่วยนำการฝึกอบรมแบบออนไลน์และหลักสูตรการฝึกอบรมแบบเรียลไทม์ (Real-time) เกี่ยวกับเทคโนโลยีของเรดแฮท มาให้แก่ลูกค้า คู่ค้าและผู้มีวิชาชีพทางด้านไอที เป้าหมายสำหรับการริเริ่มนี้คือการทำให้การเข้าถึงการฝึกอบรมเกี่ยวกับเทคโนโลยีโอเพ่นซอร์สของเรดแฮททำได้โดยง่ายและรวดเร็ว ช่วยขจัดข้อจำกัดในเรื่องการเดินทางไปยังศูนย์ฝึกอบรมและเพิ่มจำนวนผู้เข้ารับการฝึกอบรมได้มากขึ้น เพื่อเตรียมตัวให้มีความรู้เพียงพอที่จะผ่านการทดสอบและได้รับใบประกาศรับรองจากเรดแฮท (Red Hat Certification)

          ผู้เข้าใช้สามารถเลือกเข้าฝึกอบรมหลักสูตรต่าง ๆ สำหรับผลิตภัณฑ์และโซลูชั่นของเรดแฮท อันได้แก่ การบริหารดูแลระบบปฏิบัติการณ์ (Operating System Management) การดูแลระบบ (Administration) การเชื่อมโยงแอพพลิเคชั่นและทำให้มีประสิทธิภาพสูงสุด (Application Integration and Maximization) ระบบ Virtualization การพัฒนาระบบคลาวด์แบบผสม (Hybrid Cloud Development) และหลักสูตรต่าง ๆ อีกมากมาย

          ในปีนี้หลักสูตรเหล่านี้จะเป็นในภาษาอังกฤษ โดยจะเปิดให้ผู้เข้าฝึกอบรมในประเทศออสเตรเลีย นิวซีแลนด์ อาเซียน ฮ่องกง และอินเดียเข้าใช้ ในปีหน้าหลักสูตรเหล่านี้จะมีเปิดเพิ่มขึ้นเป็นภาษาญี่ปุ่น เกาหลี และจีน สำหรับตลาดญี่ปุ่น เกาหลีและจีน

          การเข้าสู่โปรแกรมการฝึกอบรมเสมือนจริงนี้  ผู้เข้าฝึกอบรมต้องการเพียงติดตั้งโปรแกรมง่าย ๆ บนเครื่องคอมพิวเตอร์ของตัวเอง หลังจากรับการฝึกอบรมจบผู้เข้าฝึกอบรมสามารถไปที่ศูนย์ฝึกอบรมที่เรดแฮทแต่งตั้งอย่างเป็นทางการในประเทศของตนเองเพื่อทำการทดสอบและรับใบประกาศรับรองจากเรดแฮท นอกจากนั้นเรดแฮทยังทำเครื่องมือออนไลน์ให้ทดสอบความสอดคล้องของระบบคอมพิวเตอร์ (Online Compatibility Testing Tool) เพื่อให้นักเรียนสามารถทดสอบให้แน่ใจว่าระบบคอมพิวเตอร์ของตนและความเร็วในการเข้าถึงอินเตอร์เน็ตมีความสามารถเหมาะสมพร้อมสำหรับการเข้าฝึกอบรมตามหลักสูตรและการทำแล็บทดสอบ

          เรดแฮทยังมีส่วนลดพิเศษ 25 เปอร์เซ็นต์สำหรับผู้เข้ารับการฝึกอบรมในประเทศออสเตรเลีย นิวซีแลนด์ อาเซียน ฮ่องกงและอินเดียที่สมัครเข้ารับการฝึกอบรมตามโปรแกรมเสมือนจริงนี้ในระหว่างเดือนธันวาคม พ.ศ.2558 ถึง เดือนกุมภาพันธ์ พ.ศ.2559

 

  • คำกล่าวสนับสนุน

 

          Sachin Shridhar ผู้อำนวยการอาวุโสแผนก Pre-Sales and Services ของเรดแฮทในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก “โปรมแกรมการฝึกอบรมแบบเสมือนจริงนี้ออกแบบมาเพื่อตอบสนองความต้องการของลูกค้า ที่ต้องการเอาชนะข้อจำกัดในเรื่องเวลาและสถานที่ โปรแกรมนี้ช่วยเพิ่มช่องทางใหม่สำหรับการฝึกอบรม ทำให้ลูกค้าสามารถจัดตารางเวลาของตนเองได้ และไม่ต้องเดินทางเสียเวลามาเข้าห้องเรียน  โปรแกรมถูกออกแบบมาให้สามารถรองรับการฝึกอบรมทางเทคโนโลยีของเรดแฮท  แก่ลูกค้าคู่ค้าและผู้มีวิชาชีพด้านไอทีได้จำนวนมาก ๆ ได้ทั่วทั้งภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก ด้วยวิธีการที่คล่องตัวรวดเร็วและมีประสิทธิผล ช่วยเตรียมผู้เรียนให้พร้อมที่เข้ารับการทดสอบเพื่อรับใบประกาศรับรองจากเรดแฮท”

          Yugesh Jerath ผู้อำนวยการแผนก Global Learning Services ของเรดแฮทในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก “โปรแกรมการฝึกอบรมเสมือนจริงนี้ สามารถให้ความรู้ได้เหมือนกันทุกประการกับการเรียนในห้องเรียนปกติตรงตามแคตาลอกของหลักสูตรในระดับเดียวกันและคุณภาพของเนื้อหาเช่นเดียวกัน แต่ด้วยเครื่องมือที่ช่วยให้นักเรียนสามารถเรียนจากทางไกลและเป็นเรียลไทม์ ช่วยนำนักเรียนที่อยู่ห่างไกลกันให้มาเรียนด้วยกันได้”

ซัมมิท แคปปิตอล เสริมแกร่งทีมผู้บริหารขยายเครือข่ายสาขาทั่วประเทศ

          บริษัท ซัมมิท แคปปิตอล ลีสซิ่ง จำกัด ผู้นำธุรกิจสินเชื่อเช่าซื้อรถจักรยานยนต์ในเครือซูมิโตโม คอร์ปอเรชั่น ประเทศญี่ปุ่น ประกาศปรับทีมผู้บริหารเสริมความแข็งแกร่งมุ่งสู่ความเป็นผู้นำธุรกิจใน 5 ปี แต่งตั้ง นายฐณฎณ วงษ์เมทนี นั่งตำแหน่งผู้อำนวยการอาวุโส กลุ่มงานเครือข่ายสาขาคนใหม่ ดูแลรับผิดชอบการประสานงานและขยายเครือข่ายบริการให้ครอบคลุมทั่วประเทศ

          นายฐณฎณ วงษ์เมทนี เป็นนักบริหารที่มีประสบการณ์ในสายงานขาย การตลาด รวมถึงการพัฒนาธุรกิจในสินเชื่อเช่าซื้อรถยนต์มือใหม่ รถยนต์มือสอง บัตรเครดิต สินเชื่อบุคคล และธุรกิจประกันชีวิต มายาวนานรวมกว่า 30 ปี โดยเคยร่วมงานกับองค์กรชั้นนำมากมาย อาทิ บริษัท สยามพาณิชย์ ลีสซิ่ง จำกัด บริษัท จีอี แคปปิตอล (ประเทศไทย) จำกัด บริษัท ซิตี้คอร์ป ลีสซิ่ง (ประเทศไทย) จำกัด ธนาคารซิตี้แบงก์ (ประเทศไทย) บมจ. อลิอันซ์ อยุธยา ประกันชีวิต บมจ. เอซ ไลฟ์ แอสชัวรันซ์ และบริษัท เอกอน ไดเร็คท์แอนด์แอฟฟินิตี้ มาร์เก็ตติ้ง เซอร์วิสเซส (ประเทศไทย) จำกัด

ชไนเดอร์ อิเล็คทริค ย้ำปณิธานบทใหม่ ในการสร้างความยั่งยืน ต่อการประชุม COP21 ณ กรุงปารีส ย้ำต่อยอดวัตถุประสงค์ในการสร้างความยั่งยืน สานต่อการเดินทางสู่การเป็นบริษัทที่มีความเป็นกลางด้านคาร์บอนในทุกไซต

          จากการประชุมรัฐภาคีอนุสัญญาสหประชาชาติว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ หรือ COP21 ชไนเดอร์ อิเล็คทริค ผู้เชี่ยวชาญด้านการจัดการพลังงานและออโตเมชั่น ประกาศย้ำความสามารถในการสร้างความยั่งยืน 10 ประการ ที่ดำเนินไปในทิศทางเดียวกับ Planet & Society Barometer ซึ่งเป็นโปรแกรมวัดประสิทธิภาพด้านความยั่งยืนของชไนเดอร์ อิเล็คทริค ที่ได้ดำเนินการมาเป็นเวลา 10 ปีแล้ว เริ่มตั้งแต่ปี 2548 โดยปณิธานเรื่องดังกล่าวนั้นสอดคล้อง มีส่วนร่วมและไปในแนวทางเดียวกับเป้าหมายในการพัฒนาความยั่งยืนของสหประชาชาติ

          สำหรับชไนเดอร์ อิเล็คทริค ปณิธานทั้ง 10 ประการนี้ ยังเป็นการสนับสนุนวัตถุประสงค์ในการทำให้ไซต์งานและโรงงานของชไนเดอร์ อิเล็คทริคมีความเป็นกลางด้านคาร์บอนภายใน 15 ปีข้างหน้า และยังสร้างระบบนิเวศอุตสาหกรรมที่สอดประสานกันระหว่างซัพพลายเออร์และลูกค้าในการมีส่วนร่วมใน 2 ประเด็นใหญ่ต่อไปนี้

  • สนับสนุนและส่งเสริมพันธมิตรให้ลดการใช้พลังงานลง 30 เปอร์เซ็นต์ ด้วยการนำโซลูชันที่ให้ประสิทธิภาพด้านพลังงานมาใช้อย่างจริงจัง
  • ปรับเปลี่ยนวิถีชีวิตของผู้คนส่วนใหญ่ โดยช่วยให้ผู้คนเหล่านี้เข้าถึงพลังงานสะอาดหรือช่วยให้หลุดพ้นจากสภาวะที่ไม่มีพลังงานใช้อย่างเพียงพอ

          ฌอง ปาสคาล ตริคัวร์ ประธานและซีอีโอ ชไนเดอร์ อิเล็คทริค กล่าวว่า “บทบาทของเราคือการทำให้ทุกคนมั่นใจได้ว่า ทุกกิจกรรมชีวิตสามารถดำเนินไปได้อย่างปกติ ไม่ว่าจะอยู่แห่งหนไหน หรือในช่วงเวลาใดก็ตาม นั่นคือ Life Is On (For Everyone, Everywhere, At Every Moment) ความสามารถด้านการสร้างความยั่งยืนนับเป็นหัวใจสำคัญของทุกกลยุทธ์องค์กร ที่ชไนเดอร์ อิเล็คทริค เราตระหนักและเชื่อว่าสภาพภูมิอากาศที่ดีขึ้นนำไปสู่เศรษฐกิจที่ดีขึ้น เราเชื่อว่าเรากำลังอยู่ในช่วงเวลาที่น่าตื่นเต้นเป็นอย่างยิ่ง นั่นคือช่วงเวลาที่เทคโนโลยีใหม่ ๆ ช่วยให้เราคิดวิธีการรับมือกับเรื่องของพลังงานได้อย่างมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้นและยั่งยืนมากขึ้นกว่าเดิมมาก เราเชื่อว่าการต่อสู้กับสภาพภูมิอากาศที่เปลี่ยนแปลงไม่สามารถแยกขาดจากประเด็นเรื่องการพัฒนา เราคิดว่าเราจำต้องมีระบบที่แข็งแกร่งในการตีค่าคาร์บอนเพื่อที่ทุกคนจะได้ร่วมแรงร่วมใจพร้อมดำเนินการควบคู่กันไปในการดูแลสภาพภูมิอากาศ”

          ในการสร้างประสบการณ์อันยาวนานตามเป้าหมายของการสร้างความยั่งยืน ต้องยกเครดิตให้กับโปรแกรม Planet & Society Barometer ซึ่งชไนเดอร์ อิเล็คทริค ได้นำปณิธาน 10 ประการ เข้ามามีส่วนร่วมในการประชุมเรื่องการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศที่จัดขึ้น ณ กรุงปารีส ซึ่งนอกจากจะเป็นเรื่องของผลิตภัณฑ์และโซลูชันแล้วยังเป็นเรื่องของซัพพลายเชน และการพัฒนาความสามารถในการสร้างความยั่งยืนในประเด็นต่อไปนี้ ได้แก่

  1. ต้องให้มั่นใจว่า 100 เปอร์เซ็นต์ของโครงการลูกค้าในทุกโครงการ ที่เป็นโครงการใหม่และมีขนาดใหญ่ จะต้องมีการบอกจำนวนคาร์บอนที่เป็นผลกระทบจากการดำเนินโครงการนั้น ๆ
  2. ออกแบบการนำเสนอใหม่ทั้งหมด 100 เปอร์เซ็นต์ โดยใช้ Schneider Electric eCoDesign WayTM และนั่นทำให้ 75 เปอร์เซ็นต์ของรายได้มาจากการจำหน่ายผลิตภัณฑ์ที่มีฉลาก Green PremiumTM
  3. หลีกเลี่ยงการสร้างก๊าซเรือนกระจกในปริมาณ 120,000 ตันจากการให้บริการ “end-of-life” ในระบบเศรษฐกิจหมุนเวียน
  4. อำนวยความสะดวกในการเข้าถึงแสงสว่างและการสื่อสารด้วยโซลูชันที่ผลิตคาร์บอนต่ำ ให้แก่ผู้อยู่อาศัยจำนวน 50 ล้านคนซึ่งเป็นฐานของปิรามิด ภายในเวลา 10 ปี
  5. นำความริเริ่มด้านสตอเรจมาใช้ เพื่อพัฒนาพลังงานทดแทนและมินิกริด
  6. แก้ปัญหา SF6 (ซัลเฟอร์เฮกซาฟลูโอไรด์ หนึ่งในสาเหตุที่ทำให้เกิดก๊าซเรือนกระจก) ด้วยทางเลือกใหม่ภายใน 5 ปี และกำจัด SF6 จากผลิตภัณฑ์ชไนเดอร์ อิเล็คทริค ภายใน 10 ปี
  7. ลดการใช้พลังงานของชไนเดอร์ อิเล็คทริค ลง 5 เปอร์เซ็นต์ต่อปี
  8. ลดการนำพาก๊าซเรือนกระจกจากชไนเดอร์ อิเล็คทริค 5 เปอร์เซ็นต์ต่อปี
  9. ลงทุนในการวิจัยและพัฒนานวัตกรรมเพื่อสร้างความสามารถด้านความยั่งยืนเป็นมูลค่า 10,000 ล้านยูโร ภายใน 10 ปีข้างหน้า
  10. ออกโปรแกรม Climate Bond to Finance Low CO2 R&D เพื่อดึงเงินลงทุนมาใช้ในการวิจัยและพัฒนาเพื่อลดก๊าซเรือนกระจก ในตัวธุรกิจของชไนเดอร์ อิเล็คทริค ทั้งหมด

          สำหรับความคืบหน้าในการดำเนินงานตามปณิธานดังกล่าว จะมีการตีพิมพ์อยู่ใน Schneider Electric Planet & Society Barometer หรือในการสื่อสารเฉพาะเกี่ยวกับเรื่องนี้

ไอพีพีเอส มองตลาดเงินออนไลน์เป็นเทรนด์ครั้งสำคัญของโลก

          ดร.กนกวรรณ ว่องวัฒนะสิน ประธานกรรมการบริหาร บริษัท ไอพี เพย์เมนท์ โซลูชั่น จำกัด หรือ IPPS กล่าวว่า ในปีหน้า (2559) กระแสธุรกิจตลาดอีคอมเมิร์ซของไทย จะเข้าสู่ภาวะตลาดที่สมบูรณ์แบบ หลังจากเมื่อปี 2557 ตลาดอีคอมเมิร์ซ มีมูลค่าอยู่ที่ประมาณ 1.5 แสนล้านบาทโดยการทำธุรกิจผ่านช่องทางต่าง ๆ เช่น โซเชียล มีเดีย เว็บไซต์ออนไลน์ และมาร์เก็ตเพลส อยู่ประมาณ 500,000 ราย และมีคนไทยซื้อสินค้าผ่านช่องทางออนไลน์ถึง14.87 ล้านคน และมีอัตราการเติบโตเฉลี่ยถึง 20 เปอร์เซ็นต์ต่อปีเป็นอย่างต่ำ ดังนั้นเชื่อมั่นว่าในปี 2558 มูลค่าตลาดอีคอมเมิร์ซ ในส่วนของการซื้อขายตรงไปยังผู้บริโภคจะมีสูงถึง 2 ล้านล้านบาทหรือมากกว่านั้นและตลาดโมบาย คอมเมิร์ซ ก็น่าจะโตแบบก้าวกระโดด ซึ่งสอดคล้องกับนโยบายของแบงก์ชาติเอง ที่ต้องการให้มีรูปแบบการทำธุรกรรมแบบเงินอิเล็กทรอนิกส์หรืออี-มันนี่ (E-money) ให้มากขึ้น เพื่อช่วยลดการผลิตเงิน นอกจากนี้ก็ยังเป็นเทรนด์สำคัญของโลก ด้วยนวัตกรรมการทำธุรกิจและการใช้ชีวิตที่เปลี่ยนไป การทำธุรกรรมหลาย ๆ อย่าง จะอยู่บนออนไลน์ หรือโมบายมากขึ้น ดังนั้นการจ่ายเงินใช้เงิน ก็เปลี่ยนไป จะให้ซื้อของออนไลน์ แต่จ่ายเงินออฟไลน์ ก็ไม่ถือว่าเป็นอีคอมเมิร์ซหรือเอ็ม คอมเมิร์ซ เต็มรูปแบบและไม่สะดวกอีกด้วย

          ธุรกิจกระเป๋าเงินอิเล็กทรอนิกส์ และการทำธุรกรรมทางการเงินออนไลน์ ไม่ว่าจะผ่านคอมพิวเตอร์หรือผ่านอุปกรณ์มือถือ มีการเติบโตมากขึ้น ถึงแม้ว่าจะไม่มีตัวเลขยืนยันเป็นที่แน่นอน แต่ก็สามารถเห็นได้ว่ามีผู้ให้บริการการชำระเงินออนไลน์ หรือผ่านโทรศัพท์มือถือหลายราย ทั้งรายใหม่ที่เกิดในประเทศไทยเองหรือจากต่างประเทศได้เข้ามาเตรียมให้บริการรับชำระค่าสินค้าออนไลน์ในไทยแล้วโดยการเติบโตของธุรกิจออนไลน์ทั้งหลาย ทั้งผ่านทางมือถือหรือหน้าเว็บไซต์ (E-commerce คอมเมิร์ซ และ M-commerce) หรือการขยายตัวของตลาดเกมออนไลน์และโมบายเกม รวมทั้งรูปแบบการทำธุรกรรมทางการเงินที่เปลี่ยนไป ล้วนส่งผลและเป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้ภาพรวมของธุรกิจนี้มีแรงผลักให้เติบโตมากขึ้น

          ทั้งนื้ในประเทศแถบเอเชีย ก็มีแนวโน้มในลักษณะเดียวกันหรือหลาย ๆ ประเทศที่เป็นประเทศที่พัฒนาแล้ว ยิ่งมีจำนวนผู้ใช้บริการสูงมาก  เช่น สิงคโปร์ (ที่มีทั้งโครงสร้างพื้นฐานและนโยบายและกฎหมายรองรับที่สิงคโปร์ เนื่องจากจำนวนผู้ใช้อินเตอร์เน็ตและผู้ใช้บริการโทรศัพท์มือถือสูงถึง 100 เปอร์เซ็นต์ และเช่นเดียวกับจำนวนผู้ที่เป็นเจ้าของมือถือ (Mobile Penetration) บวกกับกฎหมายรองรับการค้าบนอี-คอมเมิร์ซ และเอ็ม-คอมเมิร์ซ มีครบ ทำให้จำนวนของผู้ที่ใช้จ่ายผ่านออนไลน์และออนโมบายจึงมีสูงมาก ส่วนประเทศเกาหลีใต้ ญี่ปุ่นและจีนนั้น  ก็มีตลาดอีคอมเมิร์ซที่แข็งแกร่ง โดยเฉพาะจีนที่มี AliPay ที่เป็นวงการยักษ์ใหญ่อีคอมเมิร์ซ ระดับประเทศหรือของโลกก็ว่าได้ 

          ดร.กนกวรรณ กล่าวต่อว่าสำหรับรูปแบบบริการของ IPPS จะเน้นการให้บริการแบบ  Anywhere, Any Device โดยในต้นปีหน้า จะเริ่มเปิดตัวการให้บริการ PayforU ภายใต้ชื่อ PayforU Mobile Wallet เพื่อเพิ่มความสะดวกให้แก่ผู้ใช้งานมากยิ่งขึ้น ซึ่งนอกจากจะมี PayforU ที่เป็นกระเป๋าเงินอีเล็กทรอนิกส์แล้ว จะยังมี PayforU Payment Gateway ที่ช่วยให้ชำระเงินผ่านบัตรเครดิตได้สะดวกและปลอดภัยขึ้น และยิ่งเพิ่มความสะดวกด้วยการใช้ระบบ Single ID และ PayforU Secure Payment ซึ่งเป็นเทคโนโลยีและมาตรฐานของระบบที่ให้ความปลอดภัยในการใช้งานมากยิ่งขึ้น ในส่วนของพันธมิตรทางธุรกิจในปัจจุบัน เราเป็นพันธมิตรกับทุก ๆ บริษัท ทั้งในส่วนของค่ายโทรศัพท์มือถือทั้งสามค่าย ก็ใช้กระเป๋าเงินผ่าน  Pay forU  ไปซื้อ topup มือถือ หรือชำระบิลค่าน้ำค่าไฟจากบริการต่าง ๆ หรือไปรษณีย์ไทย เติมเงินเข้า Pay forU และขายบัตรเงินสด Pay4Cash หรือจะเป็นกลุ่มดูหนังออนไลน์ เกมออนไลน์และโมบายชั้นนำ  รวมถึงกลุ่มธุรกิจขายตรงก็มีพันธมิตรที่เป็นลูกค้าที่ใช้บริการเราอยู่ในลักษณะ Co- Branding นอกจากนี้ก็ยังมีผู้ให้บริการ IP TV และพันธมิตรทางด้านธุรกิจค้าปลีก ค้าส่งหรือกลุ่มธุรกิจธนาคาร ก็เป็นลูกค้าของเราผ่านทางการเติมเงินเข้ากระเป๋าในช่องทาง ATM และเคาน์เตอร์เซอร์วิสทุกสาขาทั่วประเทศ ทั้งนี้ IPPS ได้ตั้งเป้าหมายแบบก้าวกระโดด โดยเริ่มจากในปีนี้ คือการปรับสร้าง เพิ่มฟังก์ชั่นและพัฒนาระบบและการบริหารลูกค้า และการแข่งขันกับตัวเอง ในเรื่องของการสร้างฐานลูกค้า ทำให้ในปีนี้จะมีลูกค้ามากถึง 1 ล้านราย และในปีหน้าคาดหมายว่าเติบโตมากกว่า 100 เปอร์เซ็นต์ โดยมียอดลูกค้า 2 ล้านราย และมียอดการใช้ผ่านบริการกระเป๋าเงินอิเล็กทรอนิกส์อย่างน้อย 100,000–200,000 ครั้งต่อวัน นอกจากนี้ในปีหน้า เราจะมีพันธมิตรทางธุรกิจเพิ่มในส่วนของกลุ่มเทเลคอมและรุกตลาดอีคอมเมิร์ซมากขึ้น โดยเป็นทั้งผู้ให้บริการ Payment Gateway และเป็นผู้จัดจำหน่าย คือ จะมีทั้งอีคอมเมิร์ซ และเอ็ม คอมเมิร์ซ พอร์ทัล ของตัวเราเองเพื่อให้บริการได้ครบวงจรยิ่งขึ้น

          ทั้งนี้หัวใจของการให้บริการกระเป๋าเงินอิเล็กทรอนิกส์ คือความสะดวก และช่องทางในการนำไปใช้โอนและถอนได้ โดยไม่ต้องผ่านธนาคารและการเติบโตของธุรกิจอีคอมเมิร์ซ เกมออนไลน์ ก็เป็นปัจจัยหลักในการเติบโตของตลาดกระเป๋าเงินออนไลน์ สำหรับ IP Payment ซึ่งเป็นผู้ให้บริการ PayforU จะมีฟังก์ชั่นการใช้งาน PayforU ที่ใช้งานได้ง่ายและคล่องตัวซึ่งในด้านผู้ให้บริการ เรามีศักยภาพในบริการทุกประเภทครอบคลุมในเรื่องของการให้บริการคลาวด์และระบบโซลูชั่นอินฟราสตรัคเจอร์ต่าง ๆ รวมทั้งมีทีมพัฒนาระบบที่ทำงานอย่างต่อเนื่องและให้บริการตลอด 24 ชั่วโมง

การ์ทเนอร์ จัดอันดับให้อัลไลด์ เทเลซิส ติดทำเนียบเมจิกควอแดรนท์ 2015 ด้านโครงสร้างพื้นฐานสำหรับการเชื่อมต่อระบบแลนแบบมีสายและไร้สาย

          บริษัท อัลไลด์ เทเลซิส ผู้สร้างสรรค์เทคโนโลยีอัจฉริยะสำหรับโลกสารสนเทศที่ได้รับการยอมรับทั่วโลก เปิดเผยว่าบริษัทฯ ได้รับการจัดอันดับจากบริษัท การ์ทเนอร์ ให้เป็นผู้ค้าในกลุ่มตลาดเฉพาะทางด้านโครงสร้างพื้นฐานสำหรับการเชื่อมต่อระบบแลนแบบมีสายและไร้สาย (Niche Player for Wired and Wireless LAN Access Infrastructure) ซึ่งเป็นผลมาจากความสามารถของบริษัทฯ ในการดำเนินงานและวิสัยทัศน์ที่สมบูรณ์

          นายเซอิจิโร ซาโต ผู้อำนวยการฝ่ายการตลาดผลิตภัณฑ์ส่วนกลาง บริษัท อัลไลด์ เทเลซิส กล่าวว่า “เรายังคงให้ความสำคัญกับการช่วยลูกค้าองค์กรให้สามารถจัดการปัญหาต่าง ๆ ทางธุรกิจ รวมทั้งแก้ไขปัญหาดังกล่าวโดยนำเอาโซลูชั่นที่ทันสมัยเข้ามาปรับใช้ภายในองค์กร บริษัท อัลไลด์ เทเลซิส มีความมุ่งมั่นในการให้บริการลูกค้าองค์กรอย่างต่อเนื่องและได้ดำเนินการดังกล่าวมาเป็นเวลาหลายปีแล้ว จะเห็นได้ว่าเทคโนโลยีชั้นนำของเรา เช่น อัลไลด์ เทเลซิส แมเนจเม้นท์ เฟรมเวิร์ค หรือ เอเอ็มเอฟ (Allied Telesis Management Framework™ (AMF)) ได้รับรางวัลอันทรงเกียรติมากมายจากแวดวงอุตสาหกรรมและได้พิสูจน์ให้เห็นด้วยว่าสามารถช่วยเพิ่มประสิทธิภาพให้กับต้นทุนรวมในการเป็นเจ้าของ (TCO) โครงสร้างพื้นฐานของลูกค้าของเรา พร้อมทั้งกล้ารับประกันได้ถึงความยืดหยุ่นและความปลอดภัยขั้นสูง”

          ทั้งนี้ ตลาดโครงสร้างพื้นฐานสำหรับองค์กรได้รับผลกระทบอย่างมากจากการเปลี่ยนแปลงของโลกดิจิทัลที่เกิดขึ้นครอบคลุมในทุกอุตสาหกรรม และในโลกที่กำลังขับเคลื่อนเข้าสู่สมาร์ทซิตี้ (เมืองอัจฉริยะ) และมุ่งเน้นแนวคิดของอินเทอร์เน็ตในทุกสรรพสิ่ง (Internet of Things) จำเป็นที่จะต้องพัฒนาเครือข่ายที่รวดเร็วเพื่อให้สามารถตอบสนองและรับมือกับความท้าทายใหม่ ๆ ได้ เทคโนโลยีอัจฉริยะของบริษัท อัลไลด์ เทเลซิส ช่วยให้มั่นใจได้ว่าพัฒนาการของเครือข่ายจะยังคงเดินหน้าอย่างต่อเนื่อง พร้อมทั้งสามารถนำเสนอโซลูชั่นที่ปลอดภัยและมีประสิทธิภาพให้กับผู้คน องค์กร และ “ทุกสรรพสิ่ง” ทั้งในปัจจุบันและในอนาคต

 

  • เกี่ยวกับบริษัท อัลไลด์ เทเลซิส อิงค์

                บริษัท อัลไลด์ เทเลซิส ก่อตั้งในปี 2530 เป็นผู้ให้บริการชั้นนำด้านโครงสร้างระบบเครือข่ายและโซลูชั่นเครือข่ายที่ยืดหยุ่นและสามารถทำงานข้ามระบบได้ โดยผลิตภัณฑ์ของอัลไลด์ เทเลซิส สามารถให้บริการโซลูชั่นระบบเครือข่ายทั้งข้อมูล เสียง และภาพ และตอบสนองความต้องการของลูกค้าในตลาดที่หลากหลาย ได้แก่ กลุ่มลูกค้าองค์กร หน่วยงานราชการ/รัฐบาล โรงพยาบาล หน่วยงานความมั่นคง สถาบันการศึกษา ค้าปลีก โรงแรมและรีสอร์ท รวมไปถึงผู้ให้บริการระบบเครือข่าย

                บริษัท อัลไลด์ เทเลซิส มุ่งมั่นสร้างสรรค์ในด้านการบริการและแอพพลิเคชั่นเพื่อเพิ่มมูลค่าและลดต้นทุนการดำเนินงานโดยสามารถดูข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ www.alliedtelesis.com และ www.alliedtelesis.co.th

บริษัท นิวแม็ก จำกัด ส่งสินค้าเข้าร่วมแสดงในงาน "Metalex Exhibition 2015"

          เมื่อวันที่ 18-21 พฤศจิกายน 2558 ที่ผ่านมา ทาง บริษัท นิวแม็ก จำกัด ได้เข้าร่วมแสดงสินค้า และสาธิตการทำงานของอุปกรณ์ต่าง ๆ จากแผนก Automation, Filtration และ Pneumatic ในงาน Metalex Exhibition 2015 ที่จัดขึ้น ณ ศูนย์แสดงสินค้าไบเทค บางนา ซึ่งมีผู้ให้ความสนใจเข้าเยี่ยมชมสินค้าภายในบูธ ที่จัดแสดงเป็นจำนวนมาก

          บูธ PNEUMAX CO.,LTD. จัดแสดง

          Automation: Schneider Electric (Inverter), Hanyoung Nux, Servobox, LS Mecaption, CPS (Cable Chain & Flexible Tube)

          Filtration: Bosch Rexroth, MP Filtri (Filters)

          Pneumatic: Camozzi (Pneumatic Component), Findeva (Pneumatic Vibrator), Firestone (Air Bellow), SHPI (Hose Reel, Quick Coupling), Venanzetti (Electric Vibrator), Insulflex (Heat Protection)

          บูธ Hiwin Technologies จัดแสดง Ballscrew, Linear Guideway, Industrial Robot และสินค้าอื่นๆ

          บูธ Samick Precision จัดแสดง Linear Bushing และ Guide Master

          ทางบริษัทฯ ขอขอบคุณลูกค้าทุกท่านที่ให้ความสนใจเข้าเยี่ยมชม และทางบริษัทฯ หวังเป็นอย่างยิ่งว่าจะได้รับผลตอบรับที่ดีจากท่านอีกในโอกาสต่อ ๆ ไป

 

ลินฟ้อกซ์ และยัม! ประเทศไทย เปิดตัวศูนย์กระจายสินค้าแห่งใหม่ที่ ทีพาร์ค วังน้อย 2

          ลินฟ้อกซ์ เอ็ม โลจิสติกส์ เปิดตัวศูนย์กระจายสินค้าแห่งใหม่ภายในทีพาร์ค-วังน้อย 2 บนพื้นที่จัดเก็บมากกว่า 10,000 ตารางเมตร ซึ่งศูนย์กระจายสินค้าแห่งใหม่นี้จะมีส่วนช่วยสนับสนุนการเจริญเติบโตในธุรกิจด้านอาหารอย่างต่อเนื่องของลูกค้า-ยัม! ประเทศไทย โดยศูนย์กระจายสินค้าแห่งนี้ยังรวมถึงการบริหารการจัดเก็บสินค้าภายในห้องเย็นที่อุณหภูมิถึง -22 องศาเซลเซียส เพื่อให้มั่นใจว่าอาหารแช่แข็งจะคงความสด, อยู่ในสภาพที่ดีที่สุด และปลอดภัยที่สุด และพร้อมจัดส่งถึงมือผู้บริโภคซึ่งมีอยู่กว่า 500 สาขาทั่วประเทศ

          นายเดวิด เอมส์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท ลินฟ้อกซ์ เอ็ม โลจิสติคส์ (ประเทศไทย) จำกัด บริษัทในเครือของยักษ์ใหญ่ในธุรกิจโลจิสติกส์ ประเทศออสเตรเลีย เปิดเผยว่า “ลินฟ้อกซ์ได้ฤกษ์เปิดศูนย์กระจายสินค้าแห่งใหม่อย่างเป็นทางการ ที่โครงการทีพาร์ค วังน้อย 2 บนพื้นที่คลังสินค้าขนาด 10,000 ตารางเมตร ซึ่งถูกพัฒนาขึ้นเป็นพิเศษสำหรับการจัดเก็บสินค้าอาหารคุณภาพ และกระจายสินค้าประเภทอาหารตามมาตรฐานระดับสากลของยัม! ประเทศไทย ซึ่งให้ความสำคัญอย่างมากกับการจัดเก็บอาหารให้มีความสด ใหม่ คงคุณภาพทางโภชนาการ และมีความปลอดภัยของอาหารสูงสุดก่อนส่งตรงถึงผู้บริโภค ดังนั้น ทำเลที่ตั้งและคุณภาพของคลังสินค้าจึงสิ่งสำคัญอันดับแรกที่ลินฟ้อกซ์คำนึงถึง”

          “TPARK ตอบโจทย์ทั้ง 2 อย่างได้อย่างลงตัว ทั้งด้านที่ตั้งโครงการฯ ที่เหมาะสมสำหรับการกระจายสินค้า ทำให้ลินฟ้อกซ์สามารถจัดส่งสินค้าไปยังกรุงเทพฯ ปริมณฑลและจังหวัดใกล้เคียง โดยเฉพาะอย่างยิ่งทางภาคเหนือ และภาคตะวันออกเฉียงเหนือได้อย่างสะดวกและรวดเร็ว จึงทำให้การจัดการด้านโลจิสติกส์มีความรวดเร็ว และตรงเวลา รวมไปถึงสามารถบริหารจัดการต้นทุนการขนส่งได้อย่างมีประสิทธิภาพ นอกจากนี้ ในด้านคุณภาพของคลังสินค้าที่พัฒนาได้เหมาะสมกับการใช้งานตามคุณภาพมาตรฐานของระดับสากลของยัม! ประเทศไทย โดยมีจุดเด่นสำคัญของคลังสินค้าแบบสร้างตามความต้องการ (Built to Suit) คือ การออกแบบให้มีพื้นที่สำหรับจัดเก็บสินค้าทั่วไป (Ambient) ขนาด 4,960 ตารางเมตร และห้องเย็น (Cold Storage) ขนาด 3.140 ตารางเมตร ภายใต้อาคารเดียวกันเพื่อความสะดวกในการบริหารจัดการ โดยห้องเย็นที่พัฒนาขึ้นจะสามารถเก็บรักษาความเย็น ซึ่งคงอุณหภูมิตั้งแต่ 4 ถึง -22 องศาเซลเซียส เพื่อจัดเก็บสินค้าประเภทอาหารสด และอาหารแช่แข็ง เช่น ไก่สด เฟรนฟายด์ เป็นต้น ด้วยปัจจัยทั้งหมดนี้ ลินฟ้อกซ์ จึงมั่นใจเป็นอย่างยิ่งว่า ด้วยคุณภาพมาตรฐานของคลังสินค้า และการบริหารจัดการด้านโลจิสติกส์ที่ดีของเรา จะทำให้อาหารสดและแช่แข็งที่จะส่งไปถึงมือเคเอฟซี และพิชซ่า ฮัท ในประเทศไทย จะยังคงคุณภาพที่ดี และมีความปลอดภัยด้านอาหารสูงสุด” นายเดวิด กล่าว

          นางแววคนีย์ อัสโสรัตน์กุล ผู้จัดการทั่วไปเคเอฟซี ประจำประเทศไทย บริษัท ยัม เรสเทอรองตส์ อินเตอร์เนชั่นแนล (ประเทศไทย) ผู้ดำเนินธุรกิจร้านอาหารเคเอฟซี ผู้นำธุรกิจเชนร้านอาหารบริการด่วนของไทย กล่าวเสริมว่า “เคเอฟซี ประเทศไทย ให้ความสำคัญกับคุณภาพและความสดใหม่ของอาหาร รวมถึงความปลอดภัยของผู้บริโภคเป็นอันดับ 1 โดยเคเอฟซีพิถีพิถันในมาตรฐานกระบวนการปรุงอาหารทุกขั้นตอน ตั้งแต่การคัดเลือกและการจัดเก็บวัตถุดิบก่อนนำมาปรุงอาหาร โดยอาหารที่นำมาปรุงจะต้องสด ใหม่ สะอาด และอุดมด้วยคุณค่าทางโภชนาการ นอกจากนี้สิ่งที่สำคัญคือการขนส่งสินค้าไปยังร้านเคเอฟซีทุกร้านจะต้องรวดเร็วและตรงเวลา ซึ่งเป็นปัจจัยที่สำคัญอย่างยิ่งในการรักษาคุณภาพอาหารให้สด ใหม่อยู่เสมอ เพื่อสามารถส่งต่ออาหารที่มีความปลอดภัย และมีคุณภาพสูงตามมาตรฐานสากลให้กับลูกค้าเคเอฟซีทุกท่าน ด้วยเหตุผลดังกล่าวทำให้เราไว้วางใจให้ลินฟ้อกซ์ เอ็ม โลจิสติคส์ เข้ามาดูแลและบริหารจัดการระบบการจัดเก็บสินค้าและขนส่งอาหารของเคเอฟซีประเทศไทย รวมทั้งเพื่อรองรับแผนพัฒนาธุรกิจในการขยายสาขาให้ครบ 800 สาขาภายในปี ค.ศ.2020”

          นางซาบีนา ริกซ์วี่ ผู้จัดการทั่วไป พิซซ่า ฮัท ประจำประเทศไทย บริษัท ยัม เรสเทอรองตส์ อินเตอร์เนชั่นแนล )ประเทศไทย) กล่าวเสริมว่า “เรามั่นใจในความเชี่ยวชาญด้านการปฏิบัติการโลจิสติกส์ของลินฟ้อกซ์ฯ โดยเฉพาะการจัดเก็บและขนส่งสินค้าอาหารที่ต้องคงอุณหภูมิความเย็นไว้ให้ได้ต่อเนื่อง ระบบการจัดเก็บสินค้าที่ลดความซับซ้อนลง รวมถึงประสบการณ์และทีมงาน TPARK ในการพัฒนาออกแบบคลังสินค้าแห่งนี้ให้ได้คุณภาพสูง ตรงกับความต้องการและมาตรฐานเฉพาะของยัม!”

          ทั้งนี้ นายปธาน สมบูรณสิน กรรมการผู้จัดการ บริษัท ไทคอน โลจิสติคส์ พาร์ค จำกัด หรือ ทีพาร์ค ผู้นำด้านการพัฒนาคลังสินค้าคุณภาพสูงแห่งนี้ ได้กล่าวตบท้ายว่า “ทีพาร์ค รู้สึกเป็นเกียรติอย่างยิ่งที่ ลินฟ้อกซ์ และ ยัม! มอบความไว้วางใจให้ทีพาร์คได้พัฒนาคลังสินค้าคุณภาพสูง แบบ BTS และสิ่งอำนวยความสะดวกต่าง ๆ ในโครงการเพื่อรองรับการเติบโตทางธุรกิจของทั้งสองบริษัท ซึ่งนั่นเป็นสิ่งที่ตอกย้ำถึงประสบการณ์และความเชี่ยวชาญในการพัฒนาคลังสินค้าได้ตามความต้องการเฉพาะของลูกค้า และวิสัยทัศน์ในการเลือกทำเลยุทธศาสตร์ของทีพาร์ค ซึ่งเรามั่นใจว่า ทำเลวังน้อย ยังคงเป็นทำเลยุทธศาสตร์ในการกระจายสินค้าอุปโภคบริโภค โมเดิร์น เทรด และธุรกิจร้านอาหารบริการด่วน หรือที่เรียกว่า Chain Restaurant ซึ่ง ยัม! ประเทศไทย นับเป็นลูกค้ารายแรกที่ดำเนินธุรกิจ Chain Restaurant ของทีพาร์ค จึงเป็นโอกาสสำคัญสำหรับทีพาร์คในการก้าวสู่ตลาดด้านธุรกิจอาหารซึ่งกำลังเติบโตอย่างรวดเร็ว และเราเชื่อมั่นว่า ในอนาคตจะมีลูกค้าในเซกเม้นท์นี้เข้ามาใช้บริการของทีพาร์คมากขึ้น” นายปธาน กล่าว

ไอเน็ต จับมือพันธมิตรยักษ์ใหญ่ ซิมบร้า รุกตลาดการให้บริการอีเมล์แอสอะเซอร์วิส

          บริษัท อินเทอร์เน็ตประเทศไทย จำกัด (มหาชน) หรือ INET ผู้ให้บริการโครงสร้างพื้นฐานด้านไอซีทีและคลาวด์เซอร์วิสชั้นนำของไทย เปิดเผยถึงความสำเร็จในให้บริการอีเมล์ออน คลาวด์เรียกว่า Email as a Service (EaaS) โดยเลือกใช้งานแพลตฟอร์ม Zimbra ซึ่งเป็นผลิตภัณฑ์ของทาง Synacor, Inc ในการให้บริการอีเมล์ภายในประเทศไทยที่มีประสิทธิภาพและความปลอดภัยสูงสำหรับลูกค้าระดับองค์กร

          ทุกวันนี้อีเมล์เป็นสิ่งที่จำเป็นสำหรับองค์กรเป็นอย่างยิ่ง ซึ่งนอกจากใช้ในการสื่อสารแล้ว บทบาทที่สำคัญอย่างหนึ่งของอีเมล์ต่อไปในอนาคตคือ สามารถใช้เป็นเครื่องมือในการระบุตัวตน (Identification หรือ ID) ของบุคคลเพื่อใช้ยืนยันสิทธิในการทำธุรกรรมต่าง ๆ โดยเฉพาะธุรกรรมทางด้านอิเล็กทรอนิกส์อีกด้วย ดังนั้นการมีระบบอีเมล์ที่มีประสิทธิภาพ ความปลอดภัยสูงและตั้งอยู่ในประเทศไทย จะทำให้องค์กรสามารถไว้วางใจกับการทำธุรกรรมต่าง ๆ ได้ดีขึ้น อีกทั้งในปัจจุบันทุกองค์กรมีการนำระบบไอทีเข้ามาใช้งาน ประกอบกับวิถีการทำงานในยุคดิจิตอลซึ่งต้องการความเป็นโมบิลิตี้ (Mobility) มากขึ้น รวมทั้งยังต้องสามารถทำงานได้จากหลายอุปกรณ์ (Multiple Devices) ซึ่งเป็นมีความจำเป็นอย่างสูงในยุคปัจจุบัน แต่การลงทุนสร้างระบบเมล์เองอาจเป็นการลงทุนที่ไม่คุ้มค่าในด้านฮาร์ดแวร์ ซอฟต์แวร์ ระบบเครือข่ายเพื่อเชื่อมต่อได้จากทุกที่ รวมถึงต้องมีบุคลากรในการดูแลระบบให้มีความเสถียรภาพและปลอดภัยสูงสุด ดังนั้นการใช้บริการ Email as a Service จากผู้ให้บริการที่เชื่อถือได้ จึงเป็นทางเลือกที่น่าสนใจในยุคนี้

          บริษัท อินเทอร์เน็ตประเทศไทย จำกัด (มหาชน) ในฐานะผู้ให้บริการโครงสร้างพื้นฐานด้านไอซีที และคลาวด์เซอร์วิสชั้นนำ ที่มีมาตรฐานการให้บริการเทียบเท่าระดับสากล ร่วมมือกับบริษัท Synacor, Inc ผู้ให้บริการอีเมล์แพลตฟอร์มชั้นนำของโลกในนาม Zimbra ผสานความร่วมมือการให้บริการอีเมล์ออนคลาวด์ในรูปแบบ Email as a Service (EaaS) ที่ตั้งอยู่ในประเทศไทย เหมาะสำหรับการใช้งานขององค์กรตั้งแต่ขนาดกลางและขนาดย่อม (SMEs) ไปถึงองค์กรขนาดใหญ่ พร้อมที่จะส่งมอบบริการอีเมล์ที่มีประสิทธิภาพในการใช้งาน ตอบโจทย์ด้านความปลอดภัยและมีเสถียรภาพ เพื่อให้องค์กรและธุรกิจต่าง ๆ มั่นใจในการติดต่อสื่อสาร

          คุณมรกต กุลธรรมโยธิน กรรมการผู้จัดการ บริษัท อินเทอร์เน็ตประเทศไทย จำกัด (มหาชน) กล่าวเสริมว่า “ไอเน็ต รู้สึกยินดีเป็นอย่างยิ่งกับโอกาสสำคัญที่จะทำงานร่วมเป็นพันธมิตรกับ Synacor, Inc ในครั้งนี้ นี่คือเครื่องพิสูจน์ถึงความเป็นผู้นำของบริษัทฯ ในการนำโซลูชั่นด้านการให้บริการ Managed Service Providers ระดับโลกอย่าง Zimbra ผสานเข้ากับคลาวด์อินฟราสตรัคเจอร์ของไอเน็ต ที่มีการควบคุมคุณภาพการให้บริการและความปลอดภัยได้ตามมาตรฐานสากลเข้าด้วยกัน ในการให้บริการ EaaS อย่างมีประสิทธิภาพเพื่อประโยชน์สูงสุดในการใช้งานของลูกค้า ในปัจจุบันไอเน็ตมีผู้ใช้บริการแล้วมากกว่า 50,000 ยูสเซอร์ ซึ่งนับเป็นผู้ให้บริการ Email as a Service บนแพลตฟอร์ม Zimbra ที่ใหญ่ที่สุดในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้”

          คุณ Marcus Teo  รองประธานภูมิภาคและผู้จัดการทั่วไป บริษัท Synacor กล่าวว่า “เรารู้สึกยินดีเช่นกันในการได้เป็นพาร์ทเนอร์กับบริษัท อินเทอร์เน็ตประเทศไทย จำกัด (มหาชน) ที่จะช่วยให้เราสามารถขยายตลาดของเราในประเทศไทย การเป็นพาร์ทเนอร์กันจะทำให้เราสามารถที่จะมอบระบบแพลตฟอร์ม Zimbra (ซึ่งเป็นผลิตภัณฑ์ของ Synacor) โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับองค์กรที่ต้องการดึงเอาประโยชน์สูงสุดจากโซลูชั่นด้านการสื่อสารที่ติดตั้งตั้งบนคลาวด์อินฟราสตรัคเจอร์ที่สามารถขยายได้ในอนาคตและที่สำคัญเป็นมาตรฐานเปิดมาใช้งานได้อย่างเต็มที่”

 

เกี่ยวกับ บริษัท อินเทอร์เน็ตประเทศไทย จำกัด (มหาชน)

          บริษัท อินเทอร์เน็ตประเทศไทย จำกัด (มหาชน) หรือ INET ผู้ให้บริการให้บริการโครงสร้างพื้นฐานด้านไอซีที และคลาวด์เซอร์วิสชั้นนำ (ICT Infrastructure as a Service Provider) ด้วยประสบการณ์การให้บริการด้านอินเทอร์เน็ตและไอซีทีโซลูชั่นมายาวนาน ประกอบกับเทคโนโลยีที่มีการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว ทำให้บริษัท อินเทอร์เน็ตประเทศไทย จำกัด (มหาชน) ได้พัฒนาแนวทางการให้บริการเป็น ผู้ให้บริการโครงสร้างพื้นฐานด้านไอซีที (ICT Infrastructure as a Service Provider) เพื่อมุ่งมั่น คิดค้น พัฒนานวัตกรรม สินค้า บริการและแอพลิเคชั่นส์ต่าง ๆ รวมถึงให้คำปรึกษา ออกแบบ ติดตั้งระบบโครงข่าย เพื่อตอบสนองความต้องการทางธุรกิจของลูกค้าและสร้างความพึงพอใจอย่างต่อเนื่องด้วยมาตรฐานระดับสากล สามารถดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ www.inet.co.th

วท. รับลูก ครม. ระดมสมองทุกส่วนราชการ จัดระบบวิจัย ให้คุ้มค่าและใช้ประโยชน์ได้จริง

          ดร.พิเชฐ ดุรงคเวโรจน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี เป็นประธานเปิดการประชุมเชิงปฏิบัติการ การสำรวจข้อเสนอ ความต้องการและแนวทางการวิจัยและพัฒนาในภาพรวมของประเทศอย่างเป็นระบบ เพื่อรวบรวมข้อมูลสำหรับการจัดทำข้อเสนอภาพรวมระบบการวิจัยและพัฒนาของประเทศให้เกิดประโยชน์อย่างแท้จริงและเกิดความคุ้มค่าในการดำเนินการ โดยมีหน่วยงานจากภาครัฐ ภาคเอกชน สถาบันวิจัยและสถาบันการศึกษาเข้าร่วมประมาณ 300 คน

          ดร.พิเชฐ กล่าวว่า คณะรัฐมนตรีได้มอบหมายให้กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี เป็นหน่วยงานหลักในการรวบรวมข้อเสนอและความต้องการของทุกส่วนราชการเกี่ยวกับการวิจัยและพัฒนา พร้อมทั้งกำหนดแนวทางการวิจัยและพัฒนาในภาพรวมของประเทศอย่างเป็นระบบ โดยแบ่งออกเป็น 3 ระยะ ได้แก่ ระยะสั้น ระยะกลาง และระยะยาว และให้มีผลงานวิจัยที่เป็นรูปธรรมในปี 2560 โดยคำนึงถึงแหล่งเงินทุน บุคลากรจากหน่วยงานของรัฐ ภาคเอกชน สถาบันวิจัย สถาบันการศึกษา เพื่อกำหนดแนวทางการวิจัย การใช้ประโยชน์ และให้เกิดความคุ้มค่าในการดำเนินการ

          รมว.วิทยาศาสตร์ฯ กล่าวว่า คณะรัฐมนตรีเห็นชอบการลดหย่อนภาษีให้กับภาคอุตสาหกรรมยานยนต์ ที่นำเข้ารถทดสอบไม่ต้องเสียภาษี ซึ่งจะทำให้ฐานการผลิตอุตสาหกรรมยานยนต์มีความเข้มแข็ง ซึ่งนอกจากมาตรการภาษี และการให้สิทธิประโยชน์ของสำนักงานส่งเสริมการลงทุน (บีโอไอ) แล้วยังมีการพูดถึงแพคเกจของมหาวิทยาลัยว่าจะเตรียมบุคลากรอย่างไรด้วย นอกจากนี้รัฐบาลยังให้ความสำคัญในการสร้างความเชื่อมั่นให้กับบริษัทข้ามชาติในการเข้ามาลงทุนด้านการวิจัย พัฒนา และสร้างนวัตกรรม เพื่อเพิ่มมูลค่าทางเศรษฐกิจของประเทศ โดยปลายเดือนนี้ กระทรวงสายเศรษฐกิจประกอบด้วย กระทรวงอุตสาหกรรม กระทรวงพาณิชย์ กระทรวงคมนาคม กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา และกระทรวงวิทยาศาสตร์ฯ จะไปโรดโชว์ เพื่อสร้างความเชื่อมั่นให้กับอุตสาหกรรมญี่ปุ่น

          “นายกรัฐมนตรีมีดำริให้เกิดการวางระบบของวงการวิจัย โดยเฉพาะการลงทุนวิจัยแบบมีส่วนร่วม ทั้งสถาบันวิจัยภายในและภายนอกประเทศ ให้มีผลในการสร้างมูลค่าเพิ่มทางเศรษฐกิจ ทั้งระดับมหภาคและระดับชุมชน เพื่อให้เกิดความเชื่อมั่นทั้งบริษัทต่างชาติและบริษัทขนาดใหญ่ ขณะเดียวกันรัฐบาลก็ได้อัดฉีดเม็ดเงิน ตำบลละ 5 ล้านบาท หมู่บ้านละ 1 ล้านบาท เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจระดับชุมชน โดยเอาความต้องการของท้องถิ่นเป็นตัวตั้ง” ดร.พิเชฐ กล่าว

          รมว.วิทยาศาสตร์ฯ กล่าวว่า วันนี้เราได้มีการกำหนดอุตสาหกรรมเป้าหมายเพื่ออนาคตแล้วใน 10 สาขา โดยแบ่งเป็น 5 สาขาเพื่อต่อยอดอุตสาหกรรมปัจจุบัน ได้แก่ ยานยนต์แห่งอนาคต อิเล็กทรอนิกส์อัจฉริยะ ท่องเที่ยวระดับคุณภาพ เกษตรเชิงประสิทธิภาพและเทคโนโลยีชีวภาพ อาหารแห่งอนาคต และ 5 สาขาเพื่อยกระดับเศรษฐกิจแบบก้าวกระโดด ได้แก่ หุ่นยนต์และระบบอัตโนมัติเพื่ออุตสาหกรรม ขนส่งและการบิน พลังงาน-เคมีชีวภาพ เศรษฐกิจดิจิตอล การแพทย์และสุขภาพ ดังนั้นทุกภาคส่วนควรเน้นการวิจัยและพัฒนา และนวัตกรรมที่ส่งเสริมการสร้างมูลค่าเพิ่มทางเศรษฐกิจ รวมถึงการวิจัยพื้นฐานที่เชื่อมโยงกับระบบเศรษฐกิจของประเทศ

ไทเชฟ แจกถั่วทองให้เด็กดอย

          บริษัท โฟร์ ฟูดส์ จำกัด ผู้ผลิตและจัดจำหน่ายผลิตภัณฑ์อาหารคุณภาพสูงให้กับอุตสาหกรรมอาหารทั้งในและต่างประเทศ ร่วมบริจาคปัจจัยต่าง ๆ รวมถึงถั่วทองปรุงรส ไทเชฟ ขนมธัญพืชที่อุดมไปด้วยแหล่งโปรตีนไขมันต่ำ คาร์โบไฮเดรต วิตามินบี สังกะสี ฯลฯ ที่มีประโยชน์ต่อร่างกาย โดยมอบให้กับเด็กนักเรียนชาวเขา ตามศูนย์พัฒนาเด็กเล็กต่าง ๆ จำนวน 100 โหล เพื่อร่วมมีส่วนในการพัฒนาและส่งเสริมคุณภาพชีวิตเด็กไทย ณ อำเภอเขาค้อ จังหวัดเพชรบูรณ์  

กสอ. จับมือ สวทช. ดัน SMEs ไทยสู่อุตสาหกรรมแห่งนวัตกรรม

          ดร.อรรชกา สีบุญเรือง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม กล่าวว่า การส่งเสริมและพัฒนา SMEs ของไทยในปัจจุบันจำเป็นที่จะต้องมุ่งเน้นการสร้างความเข้มแข็งให้กับ SMEs โดยเพิ่มผลิตภาพ (Productivity) และพัฒนานวัตกรรม (Innovation) เพื่อยกระดับและสร้างความแตกต่างของผลิตภัณฑ์ให้สามารถตอบสนองความต้องการของผู้บริโภคได้ ดังนั้น ภาครัฐจึงผลักดันการนำเทคโนโลยีและนวัตกรรมเข้ามาพัฒนาและยกระดับ SMEs ตลอดห่วงโซ่อุปทานตั้งแต่ต้นน้ำถึงปลายน้ำ ผ่านการทำงานเชิงบูรณาการร่วมกันของกระทรวงอุตสาหกรรม โดยกรมส่งเสริมอุตสาหกรรม และสำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติโดยมีเป้าหมายที่จะใช้นวัตกรรมเพื่อสร้างมูลค่าเพิ่มให้อุตสาหกรรมไทย โดยเน้น 10 อุตสาหกรรมเป้าหมาย ทั้งนี้เพื่อเพิ่มมูลค่าให้ผลิตภัณฑ์ในเชิงนวัตกรรม ซึ่งการจะพัฒนาอุตสาหกรรมเป้าหมายได้นั้นงานวิจัยเป็นสิ่งจำเป็นอย่างมาก กระทรวงอุตสาหกรรม โดยกรมส่งเสริมอุตสาหกรรม จึงหารือเพื่อสร้างข้อตกลงร่วมมือกับสำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) เพื่อผลักดันงานด้านวิจัยและพัฒนา และการเสริมสร้างศักยภาพให้ผู้ประกอบการให้มีผลิตภัณฑ์ที่ได้มาตรฐานผ่านการทดสอบรับรอง เพื่อรองรับ 10 อุตสาหกรรมเป้าหมายได้อย่างมีศักยภาพและยั่งยืน

          ดร.พิเชฐ ดุรงคเวโรจน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี กล่าวถึง การนำวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีช่วยเพิ่มศักยภาพในการแข่งขันของเอสเอ็มอีไทย และความร่วมมือในครั้งนี้ ว่า “กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี มีพันธกิจหลักในด้านการทำวิจัยและพัฒนาเพื่อสนับสนุนภาคอุตสาหกรรมและสังคม ซึ่ง สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) ถือเป็นหน่วยงานที่มีความเข้มแข็งทางด้านการวิจัยและพัฒนามีระบบการถ่ายทอดและบริหารจัดการเทคโนโลยีที่มีประสิทธิภาพ รวมทั้งมีความพร้อมด้านบุคลากรในการวิเคราะห์ปัญหาและความต้องการของภาคอุตสาหกรรม และช่วยเหลือให้ภาคอุตสาหกรรมมีการนำเทคโนโลยีที่เหมาะสมไปใช้เพิ่มผลิตภาพ คุณภาพ พัฒนาเทคโนโลยีและนวัตกรรม ซึ่งเป็นข้อต่อสำคัญที่ทำให้เกิดความเชื่อมโยงงานทางด้านวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยีและนวัตกรรมไปสู่ภาคอุตสาหกรรม อย่างไรก็ดี การส่งต่อโอกาสการเข้าถึงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี จะเป็นไปอย่างสมบูรณ์ได้ ก็ด้วยความร่วมมือและการบูรณาการการทำงานร่วมกันกับหน่วยงานที่ทำหน้าที่หลัก ในการส่งเสริม สนับสนุน และพัฒนาธุรกิจในภาคอุตสาหกรรมโดยตรง คือ กรมส่งเสริมอุตสาหกรรม ภายใต้กระทรวงอุตสาหกรรม  ดังนั้นเพื่อร่วมกันปักธงนวัตกรรมให้เป็นเครื่องมือในการสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับภาคธุรกิจ และนำความเข้มแข็งของทั้งสองหน่วยงานได้แก่ กรมส่งเสริมอุตสาหกรรม และฝ่ายพัฒนาเทคโนโลยีอุตสาหกรรม สวทช. ในการช่วยเหลือภาคอุตสาหกรรมได้อย่างรวดเร็วและสร้างความสมบูรณ์ให้กับข้อต่อของกลไกการถ่ายทอดเทคโนโลยี จึงเป็นที่มาของการลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือด้านการวิจัยพัฒนาและการเสริมสร้างศักยภาพอุตสาหกรรมในครั้งนี้ อันจะเป็นการนำเอาวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยีและนวัตกรรม ไปช่วยขับเคลื่อนการพัฒนาเศรษฐกิจ และนำประเทศก้าวพ้นกับดักประเทศรายได้ปานกลาง ซึ่งนับเป็นการสร้างอนาคตประเทศไทยร่วมกันให้มั่นคง มั่งคั่ง อย่างยั่งยืน”

          ดร.สมชาย หาญหิรัญ อธิบดีกรมส่งเสริมอุตสาหกรรม กล่าวเพิ่มเติมว่า กสอ. ได้ดำเนินการพัฒนานำร่องใน 5 กลุ่มอุตสาหกรรม ได้แก่ อุตสาหกรรมยานยนต์และชิ้นส่วนยานยนต์ อาหาร สิ่งทอและเครื่องนุ่งห่ม เครื่องมือและอุปกรณ์ทางการแพทย์ และไบโอพลาสติกและบรรจุภัณฑ์ มีขอบเขตความร่วมมือกันในการส่งเสริมและพัฒนาให้ได้มาตรฐานและมีกระบวนการในการทดสอบ ส่งเสริมการออกแบบ โดยนำเอางานวิจัยและเทคโนโลยีในด้านการผลิตต่างๆ เข้ามาใช้ ตลอดจนการสนับสนุนของ สวทช. เพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขัน และเพื่อยกระดับคุณภาพของผลิตภัณฑ์ นอกจากนั้น ยังมีการร่วมมือกันเพื่อพัฒนาบุคลากรสาขาต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องกับภาคอุตสาหกรรมอีกด้วย โดยหวังเป็นอย่างยิ่งว่าความร่วมมือดังกล่าวจะสามารถทำให้ภาคอุตสาหกรรมไทย โดยเฉพาะอย่างยิ่ง SMEs จะยกระดับและพัฒนาผลิตภัณฑ์ เพื่อสร้างมูลค่าเพิ่มในภาพรวมให้กับอุตสาหกรรมไทยได้กว่าร้อยละ 15

          ดร.ณรงค์ ศิริเลิศวรกุล รองผู้อำนวยการสำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) กล่าวว่า โครงการสนับสนุนการพัฒนาเทคโนโลยีของอุตสาหกรรมไทย (ITAP) ฝ่ายพัฒนาเทคโนโลยีอุตสาหกรรม/สวทช. มีความมุ่งมั่นที่จะนำความรู้ด้านวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยีและนวัตกรรม ผลักดันงานวิจัยและพัฒนาสร้างศักยภาพให้ผู้ประกอบการไทย ให้มีการผลิตที่ได้มาตรฐานผ่านการทดสอบ และยกระดับผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรมด้านยานยนต์และชิ้นส่วนยานยนต์ อุตสาหกรรมอาหาร อุตสาหกรรมสิ่งทอและเครื่องนุ่งห่ม อุตสาหกรรมเครื่องมือและอุปกรณ์ทางการแพทย์ และอุตสาหกรรมไบโอพลาสติกและบรรจุภัณฑ์ ให้ตอบสนองความต้องการของผู้บริโภคในประเทศ และเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของอุตสาหกรรมของประเทศไทย โดยผ่านกลไกทั้งการให้คำปรึกษาแนะนำด้านวัตถุดิบ ผลิตภัณฑ์ การบริหารการผลิต ปรับปรุงกระบวนการผลิต และการวิเคราะห์และทดสอบ รวมถึงการอบรมสัมมนาและการจัดหาทรัพยากรสนับสนุนที่จำเป็น ทั้งนี้ในปีงบประมาณ 2559 จะมีโครงการนำร่องส่งต่อผู้ประกอบการที่เข้าร่วมโครงการของทั้ง 2 ฝ่าย โดย กรมส่งเสริมอุตสาหกรรม จะสนับสนุนเรื่องบริหารจัดการธุรกิจ ฝึกอบรมด้านการเงิน และการตลาด ส่วน สวทช. จะบริหารโครงการเชิงลึกเพื่อพัฒนาและยกระดับเทคโนโลยีการผลิตและสร้างนวัตกรรม เพื่อสนับสนุนภาคเอกชนไทยให้มีขีดความสามารถทางเทคโนโลยีที่สูงขึ้นและยั่งยืน โดย สวทช. มีศักยภาพและความพร้อมในการดำเนินงานได้ทันทีและสามารถขยายบริการได้ครอบคลุมทุกจังหวัดสำคัญของไทย ซึ่งที่ผ่านมาสามารถสนับสนุน SMEs ให้เกิดการพัฒนาเทคโนโลยีการผลิตอย่างเป็นรูปธรรมอย่างต่อเนื่องกว่า 15,000 ราย เป็นต้น

วท.เดินหน้า ดันมาตรวิทยาปฏิรูป NQI เล็งสร้างเครือข่ายบูรณาการอาเซียน หวังเศรษฐกิจโตร่วมกัน

          กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี (วท.) ร่วมกับ สถาบันมาตรวิทยาแห่งสหพันธ์สาธารณรัฐเยอรมนี Physikalisch-Technische Bundesanstalt (PTB) องค์การความร่วมมือระหว่างประเทศญี่ปุ่น The Japan International Cooperation Agency (JICA) กระทรวงอุตสาหกรรม (อก.) กระทรวงพาณิชย์ (พณ.) กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ (กษ.) และ กระทรวงสาธารณสุข (สธ.) จัดการประชุมเชิงปฏิบัติการนานาชาติว่าด้วยโครงสร้างพื้นฐานทางคุณภาพเพื่อสร้างประชาคมเศรษฐกิจอาเซียนที่มีความสามารถด้านนวัตกรรมและการแข่งขัน (Quality Infrastructure for Innovative and Competitive AEC) ซึ่งมีขึ้นในวันที่ 14-15 ธันวาคม พ.ศ.2558 ณ โรงแรมเรเนสซองส์ ราชประสงค์ กรุงเทพมหานคร สถาบันมาตรวิทยาแห่งชาติ และสถาบันวิจัยวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งประเทศไทย เทคโนธานี ปทุมธานี

          ดร.พิเชฐ ดุรงคเวโรจน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี และ ดร.อรรชกา สีบุญเรือง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม เป็นประธานร่วมกล่าวเปิดการประชุมเชิงปฏิบัติการในครั้งนี้ โดยได้รับการประสานความร่วมมือจากหลายหน่วยงาน ได้แก่ สถาบันมาตรวิทยาแห่งชาติ (มว.) กรมวิทยาศาสตร์บริการ (วศ.) สถาบันวิจัยวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งประเทศไทย (วว.) กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี สำนักงานมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม (สมอ.) กระทรวงอุตสาหกรรม สำนักงานมาตรฐานสินค้าเกษตรและอาหารแห่งชาติ (มกอช.) กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ (วพ.) กระทรวงสาธารณสุข และสำนักงานชั่งตวงวัด กรมการค้าภายใน กระทรวงพาณิชย์ และได้รับเกียรติจากผู้แทนองค์กรต่างประเทศที่ให้การสนับสนุน และมีความสนใจในการเข้าร่วมประชุมฯ เพื่อแลกเปลี่ยนเรียนรู้ระหว่างกันในครั้งนี้ ได้แก่ สถาบันมาตรวิทยาแห่งสหพันธ์สาธารณรัฐเยอรมนี Physikalisch -Technische Bundesanstalt (PTB) ประเทศสหพันธ์สาธารณรัฐเยอรมนี องค์การความร่วมมือระหว่างประเทศญี่ปุ่น The Japan International Cooperation Agency (JICA) National Metrology Institute of Japan (NMIJ) ประเทศญี่ปุ่น และ National Metrology Laboratory (NML), Industrial Technology Development Institute (ITDI), the Philippines (TBC) ประเทศฟิลิปปินส์ ทั้งนี้ เพื่อเป็นการผลักดันให้มีการหารือระหว่างประเทศกลุ่มสมาชิกอาเซียน ในการร่างแผนบูรณาการร่วมกันระหว่างหน่วยงานด้านโครงสร้างพื้นฐานทางคุณภาพแห่งชาติ (NQI) เพื่อใช้เป็นแผนที่นำทาง ร่างแผนปฏิบัติงานด้านมาตรวิทยาของอาเซียน รองรับวิสัยทัศน์ เตรียมความพร้อมสู่ประชาคมเศรษฐกิจอาเซียนที่กำลังจะเกิดขึ้นในปี พ.ศ.2559  อีกทั้งเป็นศูนย์กลางการแลกเปลี่ยนความรู้ด้านมาตรวิทยา และสร้างเครือข่ายระหว่างผู้เชี่ยวชาญในกลุ่มประเทศสมาชิกอีกด้วย

          ในช่วงสองทศวรรษที่ผ่านมา การรวมตัวกันเป็นเขตเศรษฐกิจระดับภูมิภาค ส่งผลกระทบต่อสถานะทางเศรษฐกิจและภูมิรัฐศาสตร์ของโลกอย่างไม่เคยมีมาก่อน มาตรการพื้นฐานของการรวมตัวเป็นเศรษฐกิจในระดับภูมิภาค คือการกำจัดอุปสรรคทางการค้า ซึ่งมีทั้งอุปสรรคเชิงภาษีและไม่ใช่เชิงภาษี ผลจากการเจรจาข้อตกลงการค้า GATT และ WTO ช่วยลดอุปสรรคทางการค้าเชิงภาษีอย่างมีนัยยะ ในขณะที่อุปสรรคทางการค้าที่ไม่ใช่เชิงภาษีกลับทวีความสำคัญเพิ่มขึ้น โดยเฉพาะอุปสรรคทางการค้าเชิงเทคนิค (Technical Barrier to Trade หรือ TBT) ในรูปของมาตรฐานด้านต่าง ๆ ซึ่งโครงสร้างพื้นฐานทางคุณภาพของประเทศ (National Quality Infrastructure: NQI) จะเป็นโครงสร้างพื้นฐานแห่งรัฐที่สำคัญ และจำเป็นในการเอาชนะอุปสรรคทางการค้าเชิงเทคนิคดังกล่าว

          วท.เล็งเห็นถึงศักยภาพที่เกิดจากการผนึกกำลังร่วมกันของประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน เนื่องจากเป็นตลาดขนาดใหญ่ที่มีผู้บริโภคมากกว่า 600 ล้านคน อีกทั้งยังมีทรัพยากร และวัตถุดิบที่หลากหลายรวมถึงแรงงานเป็นจำนวนมาก สิ่งจูงใจสำคัญอันหนึ่งที่จะทำให้นักลงทุนและผู้ประกอบการจากภายนอกอาเซียนสนใจมาลงทุนในภูมิภาคนี้ก็คือ การที่อาเซียนจะเป็นตลาดการค้าและฐานการผลิตเดียวกันที่มีประสิทธิภาพ นั่นคือสินค้าที่ผลิตในประเทศสมาชิกหนึ่งสามารถเคลื่อนย้ายไปยังประเทศสมาชิกอื่นในประชาคมได้ โดยไม่มีอุปสรรคด้านภาษีและอุปสรรคที่ไม่ใช่ทางภาษี ดังนั้นสินค้าจะไม่ถูกตรวจสอบทางเทคนิคซ้ำซ้อนเมื่อเคลื่อนย้ายภายในประชาคม และเงื่อนไขดังกล่าวจะเป็นจริงได้ ต่อเมื่อประเทศสมาชิกอาเซียนทั้งหมดสามารถพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานทางคุณภาพที่ได้รับการยอมรับตามข้อตกลงร่วมกัน ทั้งในระดับอาเซียนและในระดับระหว่างประเทศซึ่งประเทศไทยมีองค์ประกอบของโครงสร้างพื้นฐานทางคุณภาพค่อนข้างครบถ้วนและเข้มแข็ง แต่องค์ประกอบของโครงสร้างพื้นฐานทางคุณภาพดังกล่าวยังขาดการประสานความร่วมมือและยังไม่มีกรอบการทำงานร่วมกัน หากประเทศไทยสามารถแก้ไขปัญหาการบูรณาการดังกล่าวนี้ได้ เราจะมีโครงสร้างพื้นฐานทางคุณภาพที่เข้มแข็งและมีประสิทธิภาพ สามารถรองรับ และผลักดันการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมได้อย่างมีประสิทธิภาพ ตลอดจนผันบทบาทสู่การเป็นผู้สนับสนุนการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานทางคุณภาพให้แก่ประเทศสมาชิกอาเซียนที่ยังไม่มีความพร้อมอีกด้วย

มติคณะรัฐมนตรี อนุมัติการใช้ ECO Sticker เป็นกลไกในการชำระภาษี

          มติคณะรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 18 ธันวาคม 2555 ได้อนุมัติการปรับโครงสร้างภาษีสรรพสามิตรถยนต์ใหม่ตามการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ (CO2) ควบคู่ไปกับการมอบหมายให้กระทรวงอุตสาหกรรมกำหนดแนวทางให้ผู้ผลิต/ผู้นำเข้าต้องติดป้ายแสดงการประหยัดพลังงานและปริมาณการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ (CO2) หรือ ECO Sticker เพื่อเป็นกลไกสำคัญที่จะนำมาใช้ดำเนินการควบคู่กันบัดนี้ กระทรวงอุตสาหกรรมได้เตรียมการในส่วนของ ECO Sticker และระบบเทคโนโลยีสารสนเทศเพื่อรองรับการอนุมัติ ECO Sticker เรียบร้อยแล้ว และได้มีการอนุมัติ ECO Sticker ไปแล้วกว่า 677 ป้าย สำหรับ ECO Sticker ที่ได้รับการอนุมัติกำลังทยอยออกมา และเห็นอย่างแพร่หลายในเดือนธันวาคมรวมทั้งในงาน Motor Expo ซึ่งจัดระหว่างวันที่ 2-13 ธันวาคม 2558 นี้ด้วย

          ECO Sticker เป็นแผ่นป้ายขนาดเท่ากระดาษ A4 แบบสีหรือขาว-ดำ ที่มีการระบุข้อมูลที่เป็นข้อเท็จจริงและผลการทดสอบตามมาตรฐานที่สำคัญของรถยนต์ ประกอบด้วย 1.ข้อมูลผู้ผลิตหรือผู้นำเข้า 2.ข้อมูลพื้นฐานของรถยนต์ 3.ข้อมูลอุปกรณ์ที่ติดตั้งจากโรงงาน และ 4.ข้อมูลแสดงสมรรถนะของรถยนต์ตามมาตรฐาน UN (United Nation) อันได้แก่ อัตราการประหยัดน้ำมันเชื้อเพลิง ปริมาณการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ (CO2) มาตรฐานสิ่งแวดล้อม และมาตรฐานความปลอดภัย โดยผู้ผลิต/ผู้นำเข้าจะติด ECO Sticker ไว้ที่กระจกบังลมด้านหน้าหรือด้านข้างบนรถยนต์ใหม่ทุกคัน ก่อนส่งมอบให้กับตัวแทนจำหน่ายหรือโชว์รูมรถยนต์ ทั้งนี้ ผู้ซื้อรถยนต์หรือผู้ที่ได้รับมอบอำนาจเท่านั้นที่มีสิทธิในการปลด ECO Sticker

          นอกจากนี้แล้ว ECO Sticker ยังประกอบด้วย QR Code และหมายเลขทะเบียน (ECO Sticker ID) โดยผู้บริโภคหรือผู้ซื้อรถยนต์สามารถดาวน์โหลด ECO Sticker ของรถคันนั้นเก็บไว้ในมือถือ (Smart Phone) ของตนเองได้ ด้วยการใช้โปรแกรม Line หรือ QR Code Reader Application ที่อยู่บนมือถือ สแกนไปตรง QR Code ที่อยู่บน ECO Sticker ซึ่งในส่วนของ ECO Sticker ID นั้น ผู้บริโภคสามารถนำไปใช้อ้างอิงในการหาข้อมูลของรถคันนั้นได้

          นายอาทิตย์ วุฒิคะโร ปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม กล่าวว่า “ECO Sticker จะทำให้ผู้บริโภคสามารถเปรียบเทียบคุณสมบัติที่แท้จริงของรถยนต์แต่ละรุ่น ทั้งในด้าน “สะอาด ประหยัด ปลอดภัย” เพื่อประกอบการตัดสินใจเลือกซื้อรถยนต์ และเมื่อประกอบกับการเก็บภาษีตามอัตราการปล่อย CO2 อัตราการใช้น้ำมัน และมาตรฐานความปลอดภัยย่อมเป็นการสนับสนุนให้บริษัทรถยนต์ต้องพัฒนาคุณสมบัติรถยนต์ให้ทัดเทียมรถยนต์ที่จำหน่ายในประเทศชั้นนำ เช่น ญี่ปุ่น ยุโรป ออสเตรเลีย หรือสหรัฐอเมริกา ซึ่งนอกจากจะเป็นประโยชน์กับผู้บริโภคในประเทศที่จะสามารถใช้รถยนต์ที่มีคุณสมบัติด้านความสะอาด ประหยัด ปลอดภัย สูงขึ้นแล้ว ยังเป็นการส่งเสริมขีดความสามารถในการพัฒนาเทคโนโลยียานยนต์ในประเทศให้ทัดเทียมประเทศชั้นนำและเป็นการส่งเสริมและสร้างความเป็นธรรม ทั้งในส่วนของผู้บริโภค ผู้ประกอบการ และการจัดเก็บภาษีของภาครัฐอีกด้วย”

          กระทรวงอุตสาหกรรม มีกำหนดเปิดตัวเว็บไซต์ www.car.go.th ในช่วงปลายเดือนธันวาคมนี้ เพื่อประโยชน์ของผู้บริโภคและผู้ซื้อรถยนต์ ซึ่งนอกจากจะเป็นแหล่งรวบรวมข้อมูลของ ECO Sticker แล้ว ผู้บริโภคจะทราบข้อมูลอื่น ๆ ของรถ เช่น ค่าใช้จ่ายด้านพลังงานต่อเดือน รวมทั้งสามารถดาวน์โหลดโบรชัวร์ของรถ และค้นหาเปรียบเทียบคุณสมบัติของรถยนต์ได้อีกด้วย

          ECO Sticker จะช่วยให้ผู้บริโภคและประชาชนทั่วไปได้รับข้อมูลสมรรถนะรถยนต์ที่เที่ยงตรง โปร่งใส และเป็นมาตรฐานเดียวกัน เพื่อประโยชน์ต่อการพิจารณาเลือกซื้อรถยนต์ อันจะเป็นการช่วยยกระดับคุณภาพและสมรรถนะของรถยนต์ที่จำหน่ายในประเทศให้มีการพัฒนาอย่างต่อเนื่อง ซึ่งจะเป็นการส่งเสริมการผลิตและการใช้รถยนต์ยั่งยืน

ซัมมิท แคปปิตอล พาผู้แทนจำหน่ายลัดฟ้าสู่ประเทศญี่ปุ่น

          วิชิต พยุหนาวีชัย (กลาง) ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ซัมมิท แคปปิตอล ลีสซิ่ง จำกัด ผู้ให้บริการสินเชื่อเช่าซื้อรถจักรยานยนต์ชั้นนำในไทย นำคณะผู้แทนจำหน่ายรถจักรยานยนต์ที่ทำยอดขายได้บรรลุเป้าหมายในปี พ.ศ.2558 เยือนประเทศญี่ปุ่น ศึกษาวิถีชีวิตชาวเมืองสมัยเอโดะและชมสาธิตการอำพรางตัวของนินจา ขึ้นหอคอยโกะเรียวคะตุในความสูง 90 เมตร เพื่อชมสวนรูปดาว 5 แฉก นั่งกระเช้าไฟฟ้าชมความงามของภูเขาโชวะ ซึ่งเป็นภูเขาไฟลูกเล็กที่เกิดขึ้นใหม่ล่าสุดเมื่อ 50 ปีที่ผ่านมา ชมน้ำพุและธารน้ำธรรมชาติที่สวนฟูกิตะชิ แวะซื้อของฝากที่มิตซุย เอ้าท์เล็ต พร้อมดื่มด่ำบรรยากาศผ่อนคลายกับการแช่ออนเซ็นและอาหารอร่อยสไตล์ญี่ปุ่นตลอดการเดินทาง เพื่อเป็นการขอบคุณและกระชับความสัมพันธ์ให้แน่นแฟ้นเพื่อมุ่งสู่เป้าหมายการเป็นผู้ให้บริการอันดับ 1 ใน 5 ปี