ดร.สมชาย หาญหิรัญ ปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม (คนที่ 3 จากซ้าย) เป็นประธานพิธีเปิดงาน CSR-DIW Awards 2016 พร้อมด้วย นายมงคล พฤกษ์วัฒนา อธิบดีกรมโรงงานอุตสาหกรรม (คนที่ 3 จากขวา) ร่วมเปิดงานและมอบรางวัล CSR-DIW Awards 2016 ที่ดำเนินธุรกิจมีความรับผิดชอบต่อสังคมและสิ่งแวดล้อมที่ดีอย่างต่อเนื่อง โดยงานดังกล่าวจัดขึ้นเมื่อเร็วๆนี้ ณ ห้องประชุมแกรนด์ไดมอนด์บอลรูม ชั้น 2 อิมแพคฟอรั่มฮอลล์ 9 อิมแพคคอนเวนชั่นเซ็นเตอร์ กรุงเทพฯ
นายชาติ หงส์เทียมจันทร์ อธิบดีกรมอุตสาหกรรมพื้นฐานและการเหมืองแร่ (คนกลาง) พร้อมด้วยผู้บริหารกรมอุตสาหกรรมพื้นฐานและการเหมืองแร่ ร่วมเปิดการสัมมนาหัวข้อ พลิกโฉมเหมืองแร่ไทย การบรรยายให้ความรู้ผู้ประกอบการเหมืองแร่เกี่ยวกับทิศทางการบริหารจัดการอุตสาหกรรมแร่และอุตสาหกรรมพื้นฐาน และการเตรียมความพร้อมสำหรับผู้ประกอบการในการปฏิบัติตามพระราชบัญญัติแร่ พ.ศ. ....(ฉบับใหม่) โดยกิจกรรมดังกล่าวจัดขึ้นเมื่อเร็วๆ นี้ ณ ห้องจูปิเตอร์ 7 อิมแพ็คชาเลนเจอร์ เมืองทองธานี โดยมีผู้ประกอบการในอุตสาหกรรมเหมืองแร่เข้าร่วมการสัมมนาจำนวนมาก
ชไนเดอร์ อิเล็คทริค ประเทศไทย นำโดย นายธนากร วงศ์วิเศษ (ขวาสุด) รองประธานกลุ่มธุรกิจ Partner Project & EcoBuilding สาธิตเครื่องชาร์จแบตเตอรี่รถยนต์ขับเคลื่อนด้วยไฟฟ้า แบบส่วนบุคคล และแบบสาธารณะ ที่มาพร้อมเทคโนโลยี Internet of Things (IoT) ง่ายในการใช้งาน ให้ พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ได้ชม ในงานการจัดแสดงยานยนต์ไฟฟ้า จากโครงการสนับสนุนการลงทุนสถานีอัดประจุไฟฟ้า (Charging Station) สำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน (สนพ.) และกองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน ณ ตึกสันติไมตรี ทำเนียบรัฐบาล เมื่อเร็ว ๆ นี้
คุณชาวิช จิราดลธนกฤต ผู้จัดการทั่วไปฝ่ายขาย (ที่ 3 จากขวา) และทีมงานฝ่ายการตลาด บริษัท สยามกลการอุตสาหกรรม จำกัด พร้อมด้วย คุณโอภาส ฉัตรสถานนท์ Supply Chain Manager (ที่ 4 จากซ้าย) และทีมงาน บริษัท โพลีเพล็กซ์ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) ผู้ผลิตแผ่นฟิล์มพลาสติกระดับโลกรับมอบรถฟอร์คลิฟท์ไฟฟ้า รถฟอร์คลิฟท์เชื้อเพลิง LPG และรถฟอร์คลิฟท์สำหรับคลังสินค้ารวม 27 คันจาก บริษัท สยามกลการอุตสาหกรรม จำกัด เพื่อรองรับการขยายตัวของงานผลิตและงานโลจิสติกส์ เมื่อเร็ว ๆ นี้
นางอัมพร นิติสิริ (กลางซ้าย) อธิบดีกรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน พร้อมคณะฯ ร่วมแสดงความยินดีกับ นายแสงชัย โชติช่วงชัชวาล (กลางขวา) กรรมการผู้จัดการ บริษัท พัฒน์กล จำกัด (มหาชน) หรือ PK ผู้ออกแบบ ผลิต และติดตั้ง โรงงานน้ำแข็ง เครื่องดื่ม และอาหารที่ช่วยประหยัดพลังงานอันดับหนึ่งของประเทศไทย ซึ่ง PK และบริษัทในเครือทั้งหมดได้ผ่านมาตรฐาน ISO140001 การจัดการด้านสิ่งแวดล้อม และ OHSAS180001 การจัดการด้านความปลอดภัย เพิ่มขีดความสามารถและศักยภาพในการแข่งขันได้ในระดับสากล ณ บริษัท พัฒน์กล จำกัด (มหาชน)
ดร.สุทธิพล ทวีชัยการ (ที่ 3 จากซ้าย) เลขาธิการคณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย ให้เกียรติเยี่ยมชมบูธ บริษัท กรุงเทพประกันชีวิต จำกัด (มหาชน) ภายในงานวันประกันชีวิตแห่งชาติ ครั้งที่ 17 โดยมี นางคมคาย ธูสรานนท์ (ที่ 2 จากซ้าย) รักษาการณ์กรรมการผู้จัดการใหญ่ คณะผู้บริหาร พร้อมด้วยทีมที่ปรึกษาการเงิน กรุงเทพประกันชีวิต ให้การต้อนรับ ทั้งนี้ ผู้มาร่วมงานยังรับบริการวางแผนการเงินรอบด้าน เพื่อความมั่นคงในชีวิตจากที่ปรึกษาการเงินโดยไม่มีค่าใช้จ่าย และเลือกหาผลิตภัณฑ์ทางการเงินที่ตอบโจทย์ทุกความต้องการ ณ ศูนย์การค้าเซ็นทรัลพลาซา เวสต์เกตอีกด้วย
รศ.ดร.คมสัน มาลีสี คณบดี คณะวิศวกรรมศาสตร์ สถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหารลาดกระบัง (สจล.) พร้อมด้วย ผศ.ดร.วิภู ศรีสืบสาย อาจารย์ประจำสาขาวิศวกรรมอุตสาหการ นำนักศึกษาภาควิชาวิศวกรรมอุตสาหการ,ภาควิชาวิศวกรรมไฟฟ้า, ภาควิชาวิศวกรรมอิเล็กทรอนิกส์และภาควิชาระบบควบคุม สาขาแมคคาทรอนิกส์ เดินทางไปฝึกงานที่เมืองคูชิโร (Kushiro) ประเทศญี่ปุ่น วัตถุประสงค์เพื่อเป็นการพัฒนาคุณภาพทางวิชาการ เสริมทักษะประสบการณ์การทำงานกับคนต่างภาษาและวัฒนธรรม ฝึกความเป็นผู้นำของนักศึกษาเยาวชนไทยในโครงการฝึกงาน เสริมสร้างวิสัยทัศน์ของเยาวชนไทยและการนำองค์ความรู้มาใช้ประโยชน์ต่อการพัฒนาคุณภาพชีวิต สังคม และเศรษฐกิจต่อไป
มร. เจฟฟรีย์ กอดิอาโน (กลาง) ประธานกรรมการบริหาร บีเอ็มดับเบิลยู กรุ๊ป แมนูแฟคเจอริ่ง ประเทศไทย ได้ให้การต้อนรับแก่ นางสาวอัจฉรินทร์ พัฒนพันธ์ชัย (ที่ 7 จากซ้าย) รองเลขาธิการ สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (BOI) พร้อมด้วยตัวแทนจากคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน และคณะสื่อมวลชนนานาประเทศ เนื่องในโอกาสการเข้าเยี่ยมชมศูนย์ฝึกอบรมและพัฒนา ณ โรงงานบีเอ็มดับเบิลยู แมนูแฟคเจอริ่ง ประเทศไทย จังหวัดระยอง
บริษัท เอบีบี จำกัด จัดงานสัมมนาทางวิชาการในหัวข้อ Energy Efficiency Solutions for Industries and Buildings ในวันที่ 27 กรกฎาคม 2559 ณ โรงแรมเซโดน่า และในวันที่ 29 กรกฎาคม 2559 ณ โรงแรมมันดาเลย์ ฮิวล์ สาธารณรัฐแห่งสหภาพเมียนมา ให้กับลูกค้าและผู้ที่สนใจในสาธารณรัฐแห่งสหภาพเมียนมา เพื่อสร้างการรับรู้เรื่องการใช้อุปกรณ์ไฟฟ้าให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุด พร้อมสร้างการตระหนักรู้ในเรื่อง Total Cost of Ownership และการเสริมสร้างเสถียรภาพของระบบไฟฟ้าเพื่อเพิ่มผลผลิตจากทีมวิทยากรผู้เชี่ยวชาญของเอบีบีประเทศมาเลเซีย ประเทศไทย และสาธารณรัฐแห่งสหภาพเมียนมา พร้อมกันนี้ทีมงานได้นำเสนออุปกรณ์ที่เกี่ยวข้องมาช่วยเสริมการทำงานให้กับลูกค้าและผู้ที่สนใจภายในงาน อาทิ VSD, motor and protection unit of Emax 2
นายชาติชาย พยุหนาวีชัย ผู้อำนวยการ ธนาคารออมสิน เป็นประธานเปิดการอบรม Coaching Day : 10 STYLES by 10 GURUs โครงการประกวด“ออมสิน สุดยอดแนวคิดพลิกธุรกิจไทย” Startup Thailand by GSB ชิงเงินรางวัลมูลค่ารวมกว่า 3,000,000 บาท ดึงนักธุรกิจคนรุ่นใหม่ ไฟแรงระดับแถวหน้ามาให้คำปรึกษาแนะนำกลยุทธ์ผู้เข้ารอบ 10 ทีมสุดท้ายอย่างเข้มข้น ด้วยการประกบผู้เข้ารอบ 1 ทีมต่อเทรนเนอร์ 1 ท่าน โดยการตัดสินรอบชิงชนะเลิศจะมีขึ้นในวันที่ 21 สิงหาคมศกนี้
ผู้สนใจสามารถดูรายละเอียดเพิ่มเติม หรือติดตามความเคลื่อนไหว ได้ที่ www.gsb100tomillion.com หรือ www.facebook.com/gsb100tomillion
นายทองมา วิจิตรพงศ์พันธุ์ ประธานกรรมการบริหารและกรรมการผู้จัดการ บริษัท พฤกษา เรียลเอสเตท จำกัด (มหาชน) (ขวา) จัดพิธีมอบทุนวิจิตรพงศ์พันธุ์ เพื่อส่งเสริมศาสนา การศึกษา และสังคม ครั้งที่ 7 ประจำปี 2559 ให้แก่ มูลนิธิบ้านอารีย์ เพื่อสนับสนุนโครงการจัดบรรยายธรรมและปฏิบัติธรรม โดยมี ดร.วีรณัฐ โรจนประภา ประธานมูลนิธิบ้านอารีย์ เป็นผู้รับมอบ ณ โรงแรม แกรนด์ ไฮแอท เอราวัณ กรุงเทพฯ
นายอุปกรม ทวีโภค ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายการเงิน (CFO) บริษัท ถิรไทย จำกัด (มหาชน) หรือ TRT ผู้ผลิตและจำหน่ายหม้อแปลงไฟฟ้าขนาดใหญ่ ร่วมออกนิทรรศการแสดงศักยภาพในงาน mai FORUM 2016 มหกรรมรวมพลคน mai ครั้งที่ 3 ภายใต้คอนเซ็ปต์ “SME role model” ซึ่งถิรไทยได้เข้าร่วมงานอย่างต่อเนื่องเป็นปีที่ 3 ณ โรงแรมเซ็นทาราแกรนด์ แอท เซ็นทรัลเวิลด์ เมื่อเร็ว ๆ นี้
มร. ยาสุโนริ ซาคุไร (ที่ 2 จากซ้าย) ประธาน บริษัท ทีเอส เทค (ประเทศไทย) รับมอบช่อดอกไม้ร่วมแสดงความยินดีจาก คุณธนินทร์ ทรัพย์บุญเรือง (กลาง) ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ และ คุณอภิศักดิ์ คามวัลย์ (ขวาสุด) ผู้ช่วยผู้อำนวยการฝ่ายลูกค้าสัมพันธ์ บริษัท เหมราชพัฒนาที่ดิน จำกัด (มหาชน) เนื่องในโอกาสครบรอบ 20 ปีของการก่อตั้งบริษัทในประเทศไทย ของบริษัท ทีเอส เทค (ประเทศไทย) จำกัด ซึ่งเป็นผู้นำด้านการผลิตเบาะและแผงประตูรถยนต์ โดยโรงงานมาตรฐานระดับโลกของบริษัทนี้ ตั้งอยู่ในเขตประกอบการอุตสาหกรรมเหมราชสระบุรี และยังทำหน้าที่ผลิตและส่งมอบเบาะและแผงประตูรถยนต์คุณภาพสูงให้แก่อุตสาหกรรมยานยนต์อย่างต่อเนื่อง
นายนัฎพันธ์ ดิศเจริญ ผู้อำนวยการโรงเรียนบ้านปากแพรก จ.ระยอง เป็นตัวแทนรับมอบต้นกล้าปาล์ม ซีพีไอ ไฮบริด ในโครงการปลูกปาล์มน้ำมันเพื่ออาหารกลางวันนักเรียน จาก คุณพิบูลนนท์ ปาณะพรหมพัฒน์ ผู้จัดการเขตตะวันออก แปลงเพาะซีพีไอ ไฮบริด สาขาระยอง โดยโครงการนี้จะมอบเงินทุนให้กับโรงเรียน ต่อเนื่องเป็นระยะเวลา 3 ปี และเมื่อผลผลิตปาล์มออกจำหน่าย จะสามารถนำเงินมาบริหารสำหรับกิจกรรมและอาหารของนักเรียนได้
นายอดิศร แก้วบูชา กรรมการผู้จัดการ บริษัท ดาต้าวัน เอเชีย (ประเทศไทย) จำกัด (คนกลาง) และ มร.แฟรงค์ ลิน ประธาน บริษัท เอรีส อินเตอร์เนชั่นแนล คอร์ปอเรชั่น จำกัด (คนที่ 2 จากซ้าย) ร่วมกันเปิดตัว ArgoERP ดิจิทัลซอฟต์แวร์ ERP อันดับ 1 จากไต้หวัน ที่เหมาะสำหรับลูกค้าองค์กรขนาดกลาง และขนาดใหญ่ในไทย ด้วยความสามารถในการปรับฟังก์ชั่นการใช้งานที่ค่อนข้างหลากหลาย มีโปรแกรมเป็นภาษาไทย สามารถสื่อสารเข้าใจง่ายและทำ Multi–currency อัตราแลกเปลี่ยนสกุลเงินต่างประเทศได้ เหมาะสำหรับธุรกิจที่มีการนำเข้า ส่งออก หรือธุรกิจที่มีสาขาอยู่ในต่างประเทศ โดยตั้งเป้าหมายที่จะเป็นแบรนด์ ERP อันดับ 1 ที่ได้รับความไว้วางจากกลุ่มธุรกิจในอาเซียน โดยความร่วมมือในครั้งนี้จัดขึ้น ณ ห้อง Pinnacle 4 โรงแรมอินเตอร์คอนติเนนตัล กรุงเทพ
บริษัท เอ็นฟอร์ซ ซีเคียว จำกัด ร่วมกับบริษัท บริษัท หัวเว่ย เทคโนโลยีส์ (ประเทศไทย) จำกัด จัดสัมมนาเปิดตัวผลิตภัณฑ์หัวเว่ยภายใต้ชื่อ Connecting Together ให้กับพาร์ทเนอร์อย่างเป็นทางการ เพื่อถ่ายทอดความรู้ และเตรียมความในการทำตลาดผลิตภัณฑ์ไอทีซีเคียวริตี้และไวร์เลสของหัวเว่ยอย่างเต็มตัว โดยภายในงานมีผู้บริหารจากทั้ง 2 บริษัทเข้าร่วมคือ นายดีเรค ชางลีกัง ผู้อำนวยการฝ่ายช่องทางจำหน่าย บริษัท หัวเว่ย เทคโนโลยีส์ (ประเทศไทย) จำกัด (ซ้ายสุด) นายนักรบ เนียมนามธรรม กรรมการผู้จัดการ (ที่ 2 จากซ้าย) และ นายภาสกร คชพันธ์สุนทร ผู้จัดการทั่วไป บริษัท เอ็นฟอร์ซ ซีเคียว จำกัด (ที่ 3 จากซ้าย)
บริษัท ชุมพรอุตสาหกรรมน้ำมันปาล์ม จำกัด (มหาชน), บริษัท ซีพีไอ อะโกรเทค จำกัด และ บริษัท ซีพีพี จำกัด ร่วมกับ หน่วยงานราชการในพื้นที่ ต.เขาไชยราช อ.ปะทิว จ.ชุมพร จัดกิจกรรม "ดินและน้ำ ลมและฟ้า ป่าและเขา รวมกันเข้าเป็นทรัพย์สิน แผ่นดินแม่" เนื่องในโอกาสวันเฉลิมพระชนมพรรษา 12 สิงหามหาราชินี 2559 และวันแม่แห่งชาติ อีกทั้งยังเพื่อฟื้นฟูและเพิ่มพื้นที่ป่าต้นน้ำให้มีความสมบูรณ์ และรณรงค์ ปลูกจิตสำนึกและสร้างความตระหนัก ให้ประชาชนได้มีส่วนร่วมในการฟื้นฟู อนุรักษ์ป่าต้นน้ำ เพื่อให้เกิดความอุดมสมบูรณ์ของระบบนิเวศน์ ณ ฝายน้ำล้นทุ่งโพธิ์ ต.เขาไชยราช อ.ปะทิว จ.ชุมพร เมื่อเร็ว ๆ นี้
นายกอปร ภีระวงศ์ รองกรรมการผู้จัดการ พร้อมด้วย นายพงศ์แก้ว รัชตะวรรณ ผู้อำนวยการโครงการ บริษัท อิตัลไทยวิศวกรรม จำกัด (ITALTHAI Engineering: ITE) ให้การต้อนรับ Mr.Donald Kawecki ผู้บริหารและทีมงานของบริษัท Hamon Deltak จากประเทศสหรัฐอเมริกา และ นายวุฒิพงษ์ ประวิตรวงศ์ ผู้จัดการทั่วไป บริษัท ฮาม่อน บี.กริม จำกัด ในการประชุมรับงานออกแบบ ก่อสร้างโครงการปรับปรุง Flue Gas Cooler Unit for DCC Plant ของ บจม. IRPC ซึ่งจะได้ไอน้ำเป็นผลพลอยได้ (By Product) นำไปขับกังหันไอน้ำเพื่อผลิตไฟฟ้ามูลค่ากว่า 560 ล้านบาท ณ บริษัท อิตัลไทยวิศวกรรมจำกัด
นายประสงค์ นิลบรรจง (คนกลาง) รองอธิบดีกรมส่งเสริมอุตสาหกรรม กระทรวงอุตสาหกรรม มอบประกาศนียบัตรแก่ผู้ประกอบการที่สำเร็จการฝึกอบรมภายใต้ โครงการพัฒนาผู้ประกอบการธุรกิจอุตสาหกรรม (คพอ.) พื้นที่ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ 4 รุ่น ได้แก่ ผู้ประกอบการในกลุ่มจังหวัดนครราชสีมา จังหวัดอำนาจเจริญ จังหวัดมุกดาหาร และจังหวัดนครพนม ซึ่งได้มุ่งเน้นพัฒนาศักยภาพการแข่งขัน และทักษะการประกอบการแก่ผู้เข้ารับการอบรม โดยกิจกรรมดังกล่าวจัดขึ้นเมื่อเร็ว ๆ นี้ ณ โรงแรมสตาร์เวลล์ บาหลี รีสอร์ท จังหวัดนครราชสีมา
คุณมรกต ยิบอินซอย กรรมการผู้จัดการใหญ่และประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ยิบอินซอย จำกัด และ คุณแววรัตน์ ชำนาญภักดี ผู้อำนวยการสายงานบุคคล และประชาสัมพันธ์ บริษัท ยิบอินซอย จำกัดและบริษัทในเครือ พร้อมทีมงาน ร่วมกันให้การต้อนรับ คุณเทียนชัย ลายเลิศ ประธานกรรมการ บริษัท ยิบอินซอย จำกัด ในโอกาสเป็นประธานในพิธีมอบประกาศนียบัตรคุณวุฒิวิชาชีพ สาขาวิชา ICT ให้กับพนักงานยิบอินซอยที่สอบผ่านจำนวน 40 คนในสาขา Hardware สาขา Network & Security และสาขา Project Management ทั้งนี้ยิบอินซอยคือองค์กรภาคเอกชนผู้นำในธุรกิจเทคโนโลยีสารสนเทศแห่งแรก ที่ร่วมผลักดันบุคลากรเข้าสู่การรับรองสมรรถนะตามมาตรฐานอาชีพและคุณวุฒิวิชาชีพ สาขาวิชาชีพเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร และดิจิตอลคอนเทนต์ (ICT) โครงการนี้ได้รับการสนับสนุนเป็นอย่างดีจากสถาบันคุณวุฒิวิชาชีพ (องค์การมหาชน) และ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าพระนครเหนือ โดยมี นายวีระชัย ศรีขจร ผู้อำนวยการสถาบันคุณวุฒิวิชาชีพ (องค์การมหาชน) พร้อมแขกผู้มีเกียรติจำนวนมากร่วมแสดงความยินดีแก่ผู้รับมอบประกาศนียบัตรคุณวุฒิวิชาชีพสาขาวิชา ICT ในครั้งนี้
สุรพันธ์ เมฆนาวิน (กลาง) กรรมการ รักษาการในตำแหน่ง กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท กสท โทรคมนาคม จำกัด (มหาชน) และกำพล บุริยเมธากุล (ที่ 4 จากซ้าย) หัวหน้าคณะผู้บริหารด้านปฏิบัติการลูกค้า บริษัท ไพรม์ไทม์ โซลูชั่น จำกัด พร้อมด้วยคณะผู้บริหาร แถลงข่าวเปิดตัว C nema by CAT บริการความบันเทิงผ่านออนไลน์ใหม่ล่าสุด ให้ลูกค้า C internet ภายใต้คอนเซ็ปต์ C nema by CAT ก้าวข้ามทุกขีดจำกัดสู่ความบันเทิงครบวงจร ณ ลานอเนกประสงค์ CAT First Class Cinema ชั้น 8 เซ็นทรัลเวิลด์ เมื่อเร็ว ๆ นี้
ชไนเดอร์ อิเล็คทริค ประเทศไทย นำโดย นายธนากร วงศ์วิเศษ (ซ้าย) รองประธานกลุ่มธุรกิจ Partner Project & EcoBuilding ได้รับมอบโล่ประกาศเกียรติคุณ ในฐานะบริษัทจัดการพลังงานดีเด่นประจำปี 2016 (Excellent ESCO Awards 2016) จาก ดร.อารีพงศ์ ภู่ชอุ่ม (ขวา) ปลัดกระทรวงพลังงาน ในงาน Thailand ESCO Fair 2016 จัดโดยสถาบันพลังงานเพื่ออุตสาหกรรม สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย ที่โรงแรมสวิสโซเทล เลอคองคอร์ด กรุงเทพฯ เมื่อเร็ว ๆ นี้
เมนทาแกรม จัดงานแถลงข่าว เปิดตัว ECOVACS ROBOTICS หุ่นยนต์ทำความสะอาด โฮมโซลูชั่น ได้แก่ WINBOT หุ่นยนต์เช็ดกระจก ด้วยการขับเคลื่อนของระบบสมาร์ทไดร์ฟ จึงทำความสะอาดได้อย่างรวดเร็ว และ DEEBOT หุ่นยนต์ทำความสะอาดพื้น ที่มีระบบถูเปียก – แห้งขั้นสูง ที่สามารถเช็ดคราบสกปรกที่ฝังแน่นได้อย่างหมดจด โดยได้รับเกียรติจาก นายณัฐพล ปัทมพงศ์ (ที่ 3 จากขวา) กรรมการผู้จัดการ บริษัท เมนทาแกรม จำกัด นายเดวิด เชง เฉียน (กลาง) ประธานหน่วยธุรกิจระหว่างประเทศ บริษัทอีโคแวคส์ โรบอทติคส์ จำกัด และ นางสาวพิลาสลักษณ์ เจดีย์ถา (ที่ 2 จากขวา) ผู้จัดการฝ่ายผลิตภัณฑ์ บริษัท เมนทาแกรม จำกัด ร่วมด้วย โบ ชญาดา ลิ่วเฉลิมวงศ์ (ที่ 3 จากซ้าย) และ พันตรี กฤชพล เศวตนันท์ (ที่ 2 จากซ้าย) ณ ห้องบอลรูม ชั้น 8 โรงแรมโซ โซฟิเทล กรุงเทพฯ
พล.ต.อ.สันต์ ศรุตานนท์ (กลาง) นายกสมาคมกรีฑาแห่งประเทศไทยฯ รับมอบกรมธรรม์ประกันชีวิตให้คณะโค้ชผู้ฝึกสอนและคณะนักกรีฑาไทย โดยมีนายนรินทร์ เอกวงศ์วิริยะ (ที่ 2 จากขวา) ผู้บริหารฝ่ายการตลาด บริษัท กรุงเทพประกันชีวิต จำกัด (มหาชน) พร้อมสนับสนุนกรมธรรม์ประกันชีวิตแก่นักกรีฑาทีมชาติไทยสู้ศึกโอลิมปิก เกมส์ 2016 ต่อเนื่องเป็นปีที่ 4 ทุนประกันรวม 149 ล้านบาท เพื่อเป็นขวัญและกำลังใจให้ทำผลงานได้อย่างเต็มที่ สร้างชื่อเสียงให้กับประเทศไทย ร่วมลุ้นร่วมให้กำลังใจทัพนักกีฬาไทยไปด้วยกัน ณ กรุงริโอ เดอ จาเนโร ประเทศบราซิล ระหว่างวันที่ 5-21 สิงหาคมนี้
นายณัฐวัชร์ วรนพกุล (ที่สามจากซ้าย) ประธานเจ้าหน้าที่บริหารสายงานการตลาด บริษัท คราวน์ เทค แอดวานซ์ จำกัด (มหาชน) พร้อมด้วย นายชัยณรงค์ นิศามณีวงศ์ (ที่ห้าจากทางซ้าย) ผู้อำนวยการฝ่ายอาวุโส ผู้บริหารฝ่ายการค้าต่างประเทศ ธนาคารกรุงไทย นายสุทธิชัย สุวรรณา (ที่สามจากซ้าย) ผู้จัดการธนาคารกรุงไทย สำนักงานเขตพิษณุโลก และ Mr. Wu Zhe, Jerry (ที่สองจากขวา) Country Manager of Alibaba Thailand ร่วมกับ นางสาวแพรวพรรณ ศิริยุทธ์ (คนที่สี่จากซ้าย) เจ้าของกิจการกุนเชียงเจ๊เค็ง จัดงานสัมมนา “อีคอมเมิร์ซทางเลือกที่ใช่ สำหรับผู้ประกอบการไทย สู่ตลาดใหม่ไร้พรหมแดน” ณ ห้องคอนเวนชั่น เซ็นเตอร์ โรงแรม ท็อปแลนด์ จังหวัดพิษณุโลก
นายสมพงษ์ เวียงแก้ว (ที่ 4 จากซ้าย) ผู้อำนวยการสำนักการระบายน้ำ กรุงเทพมหานคร และ นางสุพร วัธนเวคิน (ที่ 3 จากซ้าย) รองประธานกรรมการมูลนิธิอิออนประเทศไทย ร่วมเปิดตัวโครงการผู้นำเยาวชนเอเชีย ประจำปี 2559 มุ่งพัฒนาศักยภาพของเยาวชนของไทยและเอเชียในระดับมัธยมศึกษาตอนปลายและมหาวิทยาลัยจากประเทศในภูมิภาคเอเชีย ได้แก่ อินโดนีเซีย เวียดนาม มาเลเซีย จีน ญี่ปุ่น และไทย รวมทั้งหมด 111 คน เพื่อร่วมมือกันผลักดันให้เกิดโครงการอันเป็นประโยชน์ ต่อประเทศชาติ ภายใต้แนวคิด “การบริหารจัดการคุณภาพน้ำ (Water Quality Management)” ซึ่งประเทศไทยจะเป็นเจ้าภาพครั้งแรก ในระหว่างวันที่ 21–27 สิงหาคม พ.ศ.2559 นี้
ASUS (เอซุส) นำทีมผู้บริหารโดย นายอิริค เฉิน รองประธาน บริษัทเอซุส พร้อมด้วย นายเร็กซ์ ลี ผู้จัดการทั่วไปประจำภูมิภาคเอเชีย แปซิฟิก และ นายเจฟฟ์ โล ผู้จัดการประจำประเทศไทย จัดงาน Zenvolution เปิดตัวสมาร์ทโฟนตัวล่าสุด ASUS ZenFone 3 Series รวมถึงโน้ตบุ๊กรุ่น ASUS ZenBook 3 และพีซีแบบ 2-in-1 รุ่น ASUS Transformer 3 และ ASUS Transformer 3 Pro พร้อมด้วยการเปิดตัว ปู-ไปรยา ลุนด์เบิร์ก เป็นแบรนด์แอมบาสเดอร์เอซุสคนแรกของประเทศไทย ณ โรงแรมเซ็นทารา แกรนด์ แอท เซ็นทรัลเวิลด์
บริษัท เอ็นฟอร์ซ ซีเคียว ร่วมกับบริษัท คาร์บอน แบล็ค และ บริษัท ไอ-ซีเคียว เปิดตัวผลิตภัณฑ์ซีเคียวริตี้ใหม่และจัดสัมมนาให้ความรู้ในหัวข้อเรื่อง “Why RansomeWare!!! Is hard to handle than you think?” ให้กับลูกค้าเพื่อให้ทราบถึงพฤติกรรม แนวทาง และวิธีการทำงานของภัยคุกคามทางด้านไซเบอร์ในรูปแบบที่ซับซ้อน รวมถึงการแนะแนววิธีรับมือภัยคุกคามอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน ปัจจุบันภัยคุกคามทางด้านไซเบอร์นั้น ได้เปลี่ยนแปลงรูปแบบและวิธีให้หลากหลายมากขึ้น เพื่อหลบเลี่ยงแนวป้องกันที่เป็น Network Security จากเดิมที่เน้นการโจมตีแบบแพร่กระจายให้รวดเร็วที่สุด เปลี่ยนมาเป็นการโจมตีแบบเฉพาะเจาะจงตัวเป้าหมายมากยิ่งขึ้น นั่นคือการมุ่งเน้นไปที่การปฏิสัมพันธ์กับมนุษย์ให้ได้มากที่สุด โดยกลุ่มเป้าหมายไปคือผู้ที่ใช้งานที่ขาดความตระหนักรู้ด้านภัยคุกคามไซเบอร์ จากนั้นจะทำงานเจาะระบบดึงข้อมูลโดยใช้คอมพิวเตอร์ End-Point นั้น ๆ เป็นจุดเริ่มต้นของปฏิบัติการ
จีโนลกรุ๊ป (GINOLR GROUP) ผู้ผลิตและจัดจำหน่ายอุปกรณ์ไฟฟ้าและแสงสว่างชั้นนำของประเทศไทยภายใต้แบรนด์ CT.ELECTRIC และ GINOLR โดย คุณนเรศ ฮิเท้ง (คนที่2จากซ้าย) ผู้จัดการฝ่ายขายโมเดิร์นเทรดและร้านค้า บริษัท จีโนล กรุ๊ป ซีที อิเล็คทริคฟิเคชั่น จำกัด พร้อมทีมงานเดินทางไปร่วมแสดงความยินดี บริษัท สยามโกลบอลเฮ้าส์ จำกัด (มหาชน) เนื่องในโอกาสฉลองเปิดสาขาใหม่โกลบอลเฮ้าส์ สาขา 41 สิงห์บุรี โดยมี คุณกุณฑี สุริยวนากุล (คนที่ 2 จากขวา) ผู้ช่วยประธานบริหาร เป็นผู้รับมอบช่อดอกไม้
นายสัญชัย ทองจันทรา ผู้อำนวยการฝ่ายวิศวกรรม บริษัท ซีเกท เทคโนโลยี (ประเทศไทย) จำกัด (ที่ 3 จากขวา) มอบเงินจำนวน 100,000 บาทเพื่อสนับสนุนการจัดงานนิทรรศการและการประชุมวิชาการโครงการพัฒนานักวิจัยและงานวิจัยเพื่ออุตสาหกรรม ครั้งที่ 2 ภายใต้หัวข้อ วิทยาศาสตร์ประยุกต์กับกลไกขับเคลื่อนเศรษฐกิจเพื่ออนาคต แก่ ศ.นพ. สุทธิพันธ์ จิตพิมลมาศ ผู้อำนวยการสำนักงานกองทุนสนับสนุนการวิจัย (สกว.) (ที่ 3 จากซ้าย) โดยมี รศ.ดร.ประเสริฐ ภวสันต์ ผู้อำนวยการโครงการพัฒนานักวิจัยและงานวิจัยเพื่ออุตสาหกรรม (พวอ.) (ที่ 2 จากซ้าย) และ ดร.นาวิน วิริยะเอี่ยมพิกุล ผู้ช่วยผู้อำนวยการโครงการ พวอ. (ซ้ายสุด) ร่วมในการรับมอบเงินสนับสนุน
อีกหนึ่งความภูมิใจของ บริษัท อิตัลไทยวิศวกรรม จำกัด (ITALTHAI Engineering : ITE) ที่มีส่วนร่วมทำให้กรุงเทพมหานครมีกระแสไฟฟ้าใช้อย่างมั่นคง โดย นายธงชัย วิจารณ์เจริญ ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ และผู้จัดการโครงการก่อสร้างสถานีไฟฟ้าย่อยลาดปลาเค้า พร้อมด้วย นายประทวน มั่นคง ผู้จัดการสนาม และทีมวิศวกร ผู้เชี่ยวชาญงานก่อสร้างสถานีไฟฟ้าย่อยแรงสูงแบบ GIS Indoor ในประเทศไทย ลงพื้นที่ตรวจสอบความเรียบร้อยสถานีไฟฟ้าย่อยลาดปลาเค้า ระบบ 115/24 เควี ของการไฟฟ้านครหลวง หลังก่อสร้างเสร็จและจ่ายกระแสไฟเข้าระบบ พร้อมผ่านการทดสอบความเสถียรของระบบควบคุมสถานีไฟฟ้าอัตโนมัติ (Substation Automation System) ณ สถานีไฟฟ้าย่อยลาดปลาเค้า กรุงเทพฯ หนึ่งใน 8 สถานีไฟฟ้าฯ ที่บริษัทฯ ได้รับสัญญาจากการไฟฟ้านครหลวง
นายอภิสฤษฎิ์ นิรุชทรัพย์รดา กรรมการผู้จัดการ บริษัท ดาต้า เพาเวอร์ จำกัด ผู้ผลิต และจัดจำหน่ายปลั๊กไฟมากว่า 25 ปี ภายใต้ชื่อแบรนด์ ดาต้า (DATA) คุณภาพดี ปลอดภัยสูง จัดกิจกรรมเลี้ยงอาหารกลางวันให้น้อง ๆ และเป็นกำลังใจให้แก่เด็ก ๆ บ้านราชาวดี (ชาย) สำหรับกิจกรรมทางบริษัท ดาต้า เพาเวอร์ จะมีอย่างต่อเนื่องในทุกๆเดือน ณ สถานสงเคราะห์บ้านราชาวดี(ชาย) จ.นนทบุรี เมื่อเร็ว ๆ นี้
บริษัท นิวแม็ก จำกัด แผนก Valve & Pump ได้จัดสัมมนาลูกค้าเชิงวิชาการเกี่ยวกับ Chemical Pump High Performance ขึ้นในวันที่ 27 กรกฎาคม 2559 ที่ผ่านมา ซึ่งมีลูกค้าหลากหลายให้ความสนใจเข้าร่วมการสัมมนา ในการสัมมนาครั้งนี้ได้เน้นเรื่องความรู้เกี่ยวกับ การเลือกใช้ปั๊มให้เหมาะกับความต้องการ การนำไปใช้งานจริง การแก้ปัญหาเบื้องต้น การดูแลบำรุงรักษาปั๊มให้ใช้งานได้นานที่สุด มีการแลกเปลี่ยนความรู้ และประสบการณ์การใช้งาน รวมทั้งข้อมูลทางเทคนิคต่าง ๆ กับทางวิทยากรด้วยบรรยากาศที่เป็นกันเอง
ซึ่งทางบริษัทฯ ได้สร้างความมั่นใจในคุณภาพของสินค้า โดยให้ผู้เข้าร่วมสัมมนาได้ชมสินค้าและถาม/ตอบถึงปัญหาเกี่ยวกับสินค้าเพื่อแก้ไขปัญหาเฉพาะหน้า พร้อมทั้งมีการยกตัวอย่างภาพหน้างาน ที่เราได้มีการติดตั้งให้กับผู้ใช้งานไปแล้ว เพื่อให้ลูกค้าได้เห็นถึงประสิทธิภาพ และประโยชน์สูงสุด
ทางบริษัทฯ ขอขอบคุณลูกค้าทุกท่านที่ให้ความสนใจเข้าเยี่ยมชม และทางบริษัทฯ หวังเป็นอย่างยิ่งว่าจะได้รับผลตอบรับที่ดีจากท่านอีกในโอกาสต่อ ๆ ไป สำหรับท่านใดที่พลาดโอกาสสัมมนาในเดือนนี้ สามารถติดตามข่าวสารการสัมมนาได้ในทุก ๆ เดือน ได้ที่ตาราง Customer Seminar
เอปสัน ประกาศเปิดสายธุรกิจใหม่ในไทย บุกตลาดหุ่นยนต์เชิงอุตสาหกรรม เปิดตัวนวัตกรรมหุ่นยนต์แขนกล สำหรับไลน์การผลิตและประกอบชิ้นส่วนขนาดเล็ก ที่อาศัยความแม่นยำสูงเป็นครั้งแรก ในงาน Assembly and Automation Technology 2016 ซึ่งภายในงานเอปสันร่วมออกบูธ เพื่อจัดแสดงโซลูชั่นสำหรับภาคอุตสาหกรรมการผลิตและโรงงานอุตสาหกรรมไว้หลากหลาย อาทิ โซนหุ่นยนต์ ได้จัดแสดงการทำงานของหุ่นยนต์แขนกลที่ต่อพ่วงกับผลิตภัณฑ์อื่น ๆ จากเอปสัน เช่น ผลิตภัณฑ์หุ่นยนต์แขนกลเพื่อการเขียนโปรแกรมลงบนเอปสันอินเตอร์แอคทีฟโปรเจ็กเตอร์ ผลิตภัณฑ์แขนกลหุ่นยนต์เพื่อใช้ในกระบวนการผลิตบรรจุภัณฑ์ และโซนแว่นตาอัจฉริยะเสมือนจริง (Moverio) ต่อพ่วงกับเอปสันโปรเจ็กเตอร์เพื่อฉายภาพอุปกรณ์หรือชิ้นส่วนขนาดเล็กในการซ่อมบำรุงเครื่องยนต์ โซนสุดท้ายคือโซนเครื่องพิมพ์ฉลากอุตสาหกรรม ที่จะช่วยอำนวยความสะดวกในการพิมพ์ฉลากประเภทต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นบาร์โค้ดติดผลิตภัณฑ์ หรือฉลากติดบนบรรจุภัณฑ์ เป็นต้น
บริษัท สยามอุตสาหกรรมเครื่องเหล็ก (1981) จำกัด หรือ สยามฮาร์ดแวร์ ประกาศความร่วมมืออย่างเป็นทางการกับ บริษัท มารุ-ที โอสึกะ คอร์เปอร์เรชั่น ในการนำเข้าอุปกรณ์ทาสีระดับพรีเมี่ยม ภายใต้ชื่อแบรนด์ Maru-T (มารุ-ที) เจาะตลาดกลุ่มช่างทาสีชำนาญการ ดีไซเนอร์ และเจ้าของบ้านที่มีความใส่ใจในรายละเอียด
สำหรับแบรนด์มารุ-ที นั้นมีประวัติยาวนานกว่า 100 ปีในประเทศญี่ปุ่น เป็นแบรนด์ที่ได้รับการยอมรับจากกลุ่มช่างทาสีมืออาชีพ ในด้านคุณภาพ มาตรฐานการผลิต และความหลากหลายของสินค้าที่มีให้เลือกใช้เหมาะกับงานที่แตกต่างกัน รวมถึงนวัตกรรมที่มีการพัฒนาขึ้นอย่างต่อเนื่อง เพื่อผลลัพธ์ในการทาสีที่ไร้ที่ติ และนี่ถือเป็นครั้งแรกที่แบรนด์มารุ-ทีจะออกสู่ตลาดต่างประเทศ โดยสยามฮาร์ดแวร์ได้รับความไว้วางใจในการขายและการตลาดในประเทศไทย เพื่อให้มารุ-ที เป็นที่รู้จักมากขึ้นในตลาดนี้
นางสาวพิมพิดา อัฉริยะศิลป์ ผู้บริหารฝ่ายพัฒนาธุรกิจ บริษัท สยามฮาร์ดแวร์ กล่าวว่า “ในตลาดของสีทาอาคารนั้น เราจะเห็นได้ว่าในช่วงหลายสิบปีที่ผ่านมา มีการเปลี่ยนแปลงและพัฒนาคุณภาพของสีอย่างเห็นได้ชัดมีตัวเลือกให้เลือกหลากหลายและผู้ผลิตเองก็มุ่งมั่นในการสรรหานวัตกรรมใหม่ ๆ มาให้เห็นเรื่อย ๆ แต่ไม่ใช่กับอุปกรณ์การทาสี ซึ่งในเวลาหลายปีที่ผ่านมา เราไม่ได้เห็นการพัฒนาของอุปกรณ์ทาสีเลย ลูกกลิ้งหรือแปรงก็ยังคงใช้กันแบบเดิม ๆ ซึ่งไม่สอดคล้องกับสีรุ่นใหม่ ๆ ที่ถูกพัฒนาออกมา เรามองว่าควรมีอุปกรณ์ทาสีที่มีนวัตกรรมที่เทียบเท่า รองรับสีทาอาคารรูปแบบใหม่ ๆ และสร้างผลลัพธ์ที่ละเอียดกว่าการใช้อุปกรณ์แบบเดิม ๆ เพื่อตอบโจทย์ ผู้ใช้งาน เจ้าของบ้าน และสถาปนิกที่ให้ความสำคัญกับรายละเอียด”
“ทั้งสยามฮาร์ดแวร์และมารุ-ที โอสึกะเอง ต่างก็เป็นธุรกิจครอบครัวที่ถ่ายทอดจากรุ่นสู่รุ่น มารุ-ที โอสึกะเองมีประวัติกว่า 100 ปีที่ประเทศญี่ปุ่น ส่วนเราเองก็เป็นผู้ผลิตที่ได้รับความไว้วางใจจากผู้บริโภคมาตลอดระยะเวลาหลายสิบปี ในฐานะผู้ผลิต เรามีจุดยืนร่วมกันในด้านความใส่ใจในการผลิตสินค้าที่มีคุณภาพ เชื่อว่าทางมารุ-ที โอสึกะเองก็มั่นใจในมาตรฐานของเราและศักยภาพของตลาดประเทศไทย จึงได้เลือกสยามฮาร์ดแวร์มาเป็นคู่ค้า ดูแลการจัดจำหน่ายแบรนด์มารุ-ที นอกประเทศญี่ปุ่นเป็นครั้งแรก”
ส่วนทางด้าน นายชินนิชิโร่ วากิ ประธานมารุ-ที โอสึกะ คอร์เปอร์เรชั่น กล่าวว่า “ประเทศไทยเป็นตลาดที่มีศักยภาพอย่างมาก จากตัวเลขการเติบโตของตลาดก่อสร้าง อาคารบ้านเรือนต่าง ๆ ในปีที่ผ่านมาเป็นไปอย่างก้าวกระโดด และยังมีแนวโน้มเติบโตมากขึ้นเรื่อย ๆ เหล่านี้จึงเป็นปัจจัยที่สนับสนุน ให้เกิดความต้องการอุปกรณ์ทาสีระดับพรีเมี่ยม อีกทั้งยังไม่มีใครนำเสนอผลิตภัณฑ์ประเภทนี้สู่ตลาดมาก่อน จากประสบการณ์การเป็นผู้ผลิตมากว่าหนึ่งร้อยปี เรามั่นใจว่าผู้ใช้งานในกลุ่มมืออาชีพจะพอใจในคุณภาพของสินค้าเราอย่างแน่นอน เราจึงมีความยินดีเป็นอย่างมากในความร่วมมือกับ สยามฮาร์ดแวร์ คู่ค้าที่มีประสบการณ์และเป็นผู้นำในตลาดประเทศไทย ในการแนะนำแบรนด์มารุ-ทีให้กับคนไทย”
เบื้องต้นได้มีการลงทุนไปเป็นจำนวน 10 ล้านบาท โดยในช่วงแรกจะให้ความสำคัญในเรื่องของการสร้างแบรนด์ให้เป็นที่รู้จักและเป็นที่จดจำแก่ผู้ใช้ รวมไปถึงการให้ข้อมูลแก่ผู้ใช้ในด้านของการใช้อุปกรณ์ทาสีที่มีคุณภาพแตกต่างจากของทั่วไปในท้องตลาด
สินค้าที่จะนำเข้ามาจำหน่ายในช่วงแรกได้แก่ ลูกกลิ้งทาสี รุ่นไมโครไฟเบอร์ ขนาด 7 นิ้ว และ 9 นิ้ว แบบพร้อมด้ามและแบบอะไหล่เสริม, ลูกกลิ้งทาสี รุ่นลินท์ ฟรี ขนาด 7 นิ้ว และ 9 นิ้ว แบบพร้อมด้ามและแบบอะไหล่เสริม, ลูกกลิ้งทาสี รุ่นลอง แฮร์ ขนาด 7 นิ้ว แบบพร้อมด้ามและแบบอะไหล่เสริม, แปรงโทจิ ซึ่งเป็นแปรงทาสีแบบญี่ปุ่นขนาด 30 มม. 40 มม. 50 มม. และ 60 มม., เกรียงขูดสี และด้ามต่อลูกกลิ้งทาสี
โดยผลิตภัณฑ์ทั้งหมดจะเริ่มวางจำหน่ายช่วงกลางเดือนสิงหาคมที่ร้านค้าสีทาอาคารชั้นนำและ SCG โฮมมาร์ททั่วกรุงเทพฯและจะขยายไปทั่วประเทศในอนาคต ราคาสินค้าเริ่มต้นที่ 90 บาท
บริษัท ดับบลิวเอชเอ คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) ผู้นำด้านการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ประเภทโลจิสติกส์ให้เช่า ที่ดินอุตสาหกรรม และนิคมอุตสาหกรรมแบบครบวงจรชั้นนำในประเทศไทย ประกาศจัดตั้งบริษัทร่วมทุนกับ บริษัท ไดวะ เฮาส์ อินดัสทรี จากประเทศญี่ปุ่น สร้างศูนย์โลจิสติกส์ขนาดใหญ่สองแห่งในแหลมฉบังและบางนา-ตราด โดยดับบลิวเอชเอและไดวะ เฮาส์ อินดัสทรีจะถือหุ้นใน บริษัท ดับบลิวเอชเอ ไดวะ โลจิสติกส์ พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด บริษัทร่วมทุนแห่งใหม่นี้ในสัดส่วนร้อยละ 51 และ 49 ตามลำดับ และวางแผนจัดตั้งด้วยทุนจดทะเบียน 850 ล้านบาท เพื่อลงทุนในโครงการทั้งสองมูลค่ารวม 2,351.5 ล้านบาท
โครงการดับบลิวเอชเอ เมกะ โลจิสติกส์ เซ็นเตอร์ แหลมฉบัง (LCB) สร้างขึ้นในคอนเซ็ปต์แบบ Built-to-Suit ตั้งอยู่ที่แหลมฉบัง บนที่ดินขนาด 49 ไร่ (78,400 ตารางเมตร) โดยมีพื้นที่ให้เช่ารวม 45,500 ตารางเมตร ประกอบด้วยพื้นที่เฟสแรกขนาด 22,500 ตารางเมตร เน้นด้านการส่งออก และได้มีการส่งมอบพื้นที่ให้แก่บริษัทฮอนด้า โลจิสติกส์ บริษัทลูกของฮอนด้าไปเมื่อไตรมาสสามของปีที่ผ่านมา ส่วนเฟสที่สองจะมีพื้นที่ราว 23,000 ตารางเมตร คาดว่าจะเริ่มดำเนินการก่อสร้างในช่วงสิ้นปีนี้ และแล้วเสร็จสมบูรณ์ในราวกลางปี 2560 ตามแผนขยายธุรกิจด้านโลจิสติกส์ของฮอนด้า
ส่วน โครงการดับบลิวเอชเอ เมกะ โลจิสติกส์ เซ็นเตอร์ ชลหารพิจิตร (Chonlaharn) ตั้งอยู่บนพื้นที่บางนา-ตราด มีพื้นที่รวม 77 ไร่ (123,200 ตารางเมตร) และจะมีพื้นที่ให้เช่าราว 74,000 ตารางเมตร โดยจะสร้างในลักษณะ Warehouse Farm เพื่อรองรับความต้องการคลังสินค้าภายในประเทศที่ตั้งอยู่ใกล้กรุงเทพฯ ประกอบด้วย 4 อาคาร เพื่อรองรับผู้เช่ารายต่าง ๆ อาทิ กลุ่มเซ็นทรัล และฮิตาชิ ทรานสปอร์ต
“เรารู้สึกยินดีเป็นอย่างยิ่งที่ได้ลงทุนกับบริษัท ไดวะ เฮาส์ อินดัสทรี ซึ่งเป็นบริษัทยักษ์ใหญ่จากญี่ปุ่นอย่าง จัดตั้งบริษัทร่วมทุนแห่งใหม่นี้ขึ้นมา” นางสาวจรีพร จารุกรสกุล ประธานเจ้าหน้าที่บริหารกลุ่ม บริษัท ดับบลิวเอชเอ คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) กล่าว “เราจะได้รับประโยชน์จากความเชี่ยวชาญด้านโลจิสติกส์ของทั้งสองบริษัทโดยอาศัยความสัมพันธ์กับลูกค้าโดยเฉพาะกลุ่มญี่ปุ่น และเครือข่ายทางธุรกิจของเราทั้งหมด นอกจากนี้ เรายังวางแผนที่จะขยายธุรกิจของเราไปยังประเทศเพื่อนบ้านในประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน เช่น อินโดนีเซียและเวียดนาม อีกด้วย”
“การร่วมทุนกับดับบลิวเอชเอถือเป็นการประสานพลังอันแข็งแกร่งของทั้งสองบริษัทเข้าด้วยกัน” มร.ทัตสุยะ อูระคาวะ กรรมการผู้อำนวยการบริษัท ไดวะ เฮาส์ อินดัสทรี จำกัด กล่าว “เช่นเดียวกับดับบลิวเอชเอในประเทศไทย นอกจากจะเติบโตขึ้นมาจากธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ด้านพาณิชย์กรรมและที่พักอาศัยแล้ว บริษัทของเรายังเป็นผู้พัฒนาคลังสินค้าและศูนย์กระจายสินค้าแบบ Built-to-Suit ในประเทศญี่ปุ่น จนกลายมาเป็นธุรกิจอสังหาริมทรัพย์เพื่อโลจิสติกส์หลักของเรา ซึ่งเราจะแบ่งปันความรู้ความเชี่ยวชาญด้านการก่อสร้างและการสร้างเครือข่ายลูกค้าของไดวะ เฮาส์ อินดัสทรีกับดับบลิวเอชเอเพื่อพัฒนาต่อไป โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อใช้จุดแข็งของเราในการดึงดูดลูกค้าจากญี่ปุ่นเพิ่มมากขึ้น”
ในฐานะผู้ถือหุ้นใหญ่และผู้บริหารโครงการ ดับบลิวเอชเอจะรับผิดชอบการก่อสร้างเฟสที่เหลืออยู่ของโครงการดับบลิวเอชเอ เมกะ โลจิสติกส์ เซ็นเตอร์ แหลมฉบัง และโครงการดับบลิวเอชเอ เมกะ โลจิสติกส์ เซ็นเตอร์ ชลหารพิจิตร ซึ่งถือเป็นสองโครงการแรกของบริษัทร่วมทุนใหม่ รวมถึงเป็นผู้บริหารทรัพย์สินของบริษัท รับผิดชอบด้านการตลาดและการจัดหาผู้เช่าพื้นที่รายใหม่ ทั้งบริษัทยักษ์ใหญ่ของไทยและบริษัทข้ามชาติ รวมทั้งบริษัทที่ให้บริการด้านโลจิสติกส์ (3 PLs) อีกด้วย
ในช่วงปี 2561–2562 บริษัทคาดว่าจะนำโครงการดับบลิวเอชเอ เมกะ โลจิสติกส์ เซ็นเตอร์ แหลมฉบัง และโครงการดับบลิวเอชเอ เมกะ โลจิสติกส์ เซ็นเตอร์ ชลหารพิจิตร ขายเข้ากองทรัสต์เพื่อการลงทุน ในอสังหาริมทรัพย์และสิทธิการเช่าดับบลิวเอชเอ พรีเมี่ยม โกรท (WHART) ซึ่งเริ่มเทรดในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยตั้งแต่เดือนธันวาคม ปี 2557
ผู้ร่วมทุนทั้งสองบริษัทจะได้ประโยชน์จากกันและกัน ทั้งประสบการณ์และความรู้ด้านธุรกิจโลจิสติกส์มากมาย โดยดับบลิวเอชเอมีพื้นที่คลังสินค้า ศูนย์กระจายสินค้าและโรงงานให้เช่าราว 2 ล้านตารางเมตรในประเทศไทย ทั้งที่เป็นแบบ Built-to-Suit (BTS) คลังสินค้าแบบ Warehouse Farm ที่มีผู้เช่าหลายราย รวมไปถึงโรงงานสำเร็จรูป (Ready-Built Factories–RBF) และคลังสินค้าสำเร็จรูป (RBW) นอกจากนี้ บริษัทยังวางแผนที่จะพัฒนาพื้นที่เช่ารวมกว่า 3 ล้านตารางเมตรภายใน 3–4 ปีข้างหน้าด้วย
ในประเทศญี่ปุ่น ไดวะ มีพื้นที่อสังหาริมทรัพย์ประเภทโลจิสติกส์ทั้งสิ้น 222 แห่ง รวมพื้นที่ให้เช่าราว 6.4 ล้านตารางเมตร ประกอบไปด้วยแบบ Built-to-Suit สำหรับผู้เช่ารายเดียว และคลังสินค้าแบบมีผู้เช่าหลายราย ที่สามารถตอบโจทย์ความต้องการคลังสินค้าแบบระยะสั้นได้ในทันที
บริษัท เชอวาล อิเล็คโทรนิค เอ็นโคลสเชอร์ จำกัด ร่วมกับ บริษัท เอสไอเอส ดิสทริบิวชั่น (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) ผู้แทนจำหน่ายอย่างเป็นทางการในประเทศไทย และบริษัทชั้นนำต่าง ๆ ด้านไอที ร่วมกันนำเสนอผลิตภัณฑ์ในงาน SiS Technology Showcase ณ โรงแรมอินเตอร์คอนติเนนตัล กรุงเทพ เมื่อวันที่ 4 เดือนสิงหาคม พ.ศ.2559 ที่ผ่านมา
ภายในงาน บริษัท เชอวาลฯ ได้นำ นวัตกรรมแร็ค 19” Arion พร้อมด้วย Power Distribution Unit (PDU), PDU Server และ Accessories ร่วมจัดแสดงในงาน เพื่อให้ลูกค้ากลุ่มคอมเมอเชี่ยล (Commercial) รวมไปถึงตัวแทนจำหน่ายรายย่อย (Reseller) ทั้งในกรุงเทพ และต่างจังหวัด ได้สัมผัสสินค้าอย่างใกล้ชิด รวมถึงได้รับทราบข้อมูลเกี่ยวกับสินค้า และคำแนะนำสินค้าในเชิงลึก ซึ่งผลิตภัณฑ์ต่าง ๆ ที่จัดแสดงในครั้งนี้ได้รับความสนใจจากผู้เข้าชมภายในงานเป็นจำนวนมาก เพิ่มความมั่นใจในการเลือกใช้ผลิตภัณฑ์จากบริษัท เชอวาลฯ ในแต่ละโครงการ นับเป็นการตอกย้ำภาพลักษณ์การเป็นผู้นำด้านผลิตภัณฑ์แร็ค 19" สินค้าคุณภาพ สำหรับตลาดในประเทศไทย
โดยทางบริษัท เชอวาลฯ คาดว่า การจัดแสดงสินค้าในงานนี้ไม่เพียงแต่จะช่วยให้ลูกค้าได้รู้จักกับผลิตภัณฑ์ของกลุ่มบริษัทเชอวาลมากขึ้น แต่ยังช่วยกระชับความสัมพันธ์อันดีระหว่าง บริษัท เชอวาลฯ SiS และตัวแทนจำหน่ายรายย่อยอีกด้วย
นางไอรดา เหลืองวิไล (ที่ 6 จากซ้าย) รองผู้อำนวยการสำนักงานรัฐบาลอิเล็กทรอนิกส์ ยกคาราวาน EGA และหน่วยงานพันธมิตรเดินหน้าจัดงาน GovChannel Roadshow 2016: Smart Citizen Smart City ร่วมขับเคลื่อนราชการทันสมัย เพื่อประชาชนทันสมัย ต่อเนื่องเป็นปีที่ 3 สานต่อการให้บริการภาครัฐสู่ระดับภูมิภาค กับการพัฒนาศูนย์กลางการบริการภาครัฐสู่ประชาชน GovChannel ยกระดับการบริการประชาชนให้ได้ประโยชน์สูงสุด ขานรับนโยบายเศรษฐกิจยุคดิจิทัล พร้อมเป็นส่วนหนึ่งในการขับเคลื่อน จ.มหาสารคาม สู่จังหวัดต้นแบบ “เมืองดิจิทัล” แห่งแรกของไทยในระดับภูมิภาค และเพื่อต่อยอดสู่ "Happiness City" อย่างเป็นรูปธรรมผ่านการใช้ประโยชน์จาก GovChannel ภายในงานมีการสัมมนาให้ความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับ GovChannel พร้อมทั้งนำบริการต่าง ๆ จากหน่วยงานภาครัฐที่เป็นประโยชน์ต่อประชาชน อาทิ สำนักงานผู้ตรวจการแผ่นดิน บริษัท ข้อมูลเครดิตแห่งชาติ จำกัด และสถาบันการแพทย์ฉุกเฉินแห่งชาติ โดยมี ดร.โชคชัย เดชอมรธัญ ผู้ว่าราชการจังหวัดมหาสารคาม ให้เกียรติเป็นประธานเปิดงาน โดยมีหน่วยงานภาครัฐ นิสิต นักศึกษา ร่วมงานเป็นจำนวนมาก ณ รร.ตักสิลา จ.มหาสารคาม
ผศ.ดร.นิยม กำลังดี ผู้อำนวยการโครงการอุทยานวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัย วลัยลักษณ์ ลงนามข้อตกลงวิจัยร่วมกับ นายโกศล นันทิลีพงศ์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท ซีพีไอ อะโกรเทค จำกัด ในเรื่องเกี่ยวกับ ปาล์มน้ำมัน เพื่อพัฒนางานวิชาการ และแวดวงปาล์มน้ำมัน ให้เป็นแถวหน้าของ AEC ที่ จ.นครศรีธรรมราช เมื่อเร็ว ๆ นี้
บริษัท เวอร์ริทัส เทคโนโลยี ประจำประเทศไทย ผู้นำระดับโลกในการบริหารจัดการดูแลข้อมูลแบบครบวงจรได้จัดสัมมนาพิเศษในหัวข้อ “VERITAS CIO Roundtable–Know Your Data and Maximize the ROI” เจาะลึกกลยุทธ์ช่วยให้องค์กรมีแนวทางในการบริหารจัดการข้อมูลอย่างเป็นระบบรวมทั้งวิเคราะห์การเติบโตของข้อมูลภายในองค์กรและมีบริการตรวจสุขภาพข้อมูลภายในองค์กรอีกด้วย จากการสำรวจ DataBerg Report ของคนในแวดวง IT ระดับองค์กรกว่า 1,475 คน จาก14 ประเทศทั่วโลก พบว่าข้อมูลที่มีความสำคัญต่อการดำเนินธุรกิจขององค์กรนั้นมีเพียง 14% ของข้อมูลในองค์กรทั้งหมดเท่านั้น แต่ข้อมูลที่ยังไม่สามารถนำมาใช้ประโยชน์ได้นั้น มีปริมาณรวมกันมากถึง 86% โดยมี นายคริส ลิน (ที่3 จากซ้าย) รองประธานอาวุโสส่วนการบริหารการขายภาคพื้นเอเชียแปซิฟิกและญี่ปุ่น, นายประมุท ศรีวิเชียร (ที่ 4 จากซ้าย) ผู้จัดการอาวุโสประจำประเทศไทย บริษัท เวอร์ริทัส เทคโนโลยี พร้อมด้วยผู้บริหารร่วมบรรยายถึงผลสำรวจของรายงาน Databerg Report เพื่อชี้ให้เห็นถึงการเพิ่มขึ้นอย่างมหาศาลของข้อมูลภายในองค์กรและวิธีการรับมือต่าง ๆ เพื่อให้สามารถนำข้อมูลที่มีอยู่นั้นมาใช้ให้ประโยชน์สูงสุด อีกทั้งยังสามารถบริการงบประมาณทางด้านไอทีได้มีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น ซึ่งการสัมมนาในครั้งนี้ได้รับการตอบรับที่ดีจากผู้บริหารด้านเทคโนโลยีสารสนเทศจากบริษัทชั้นนำ ในการเข้าร่วมตรวจสุขภาพข้อมูลในองค์กรกับทางเวอร์ริทัส เมื่อเร็ว ๆ นี้ ณ โรงแรม เซนต์รีจิส กรุงเทพฯ
คณะครุศาสตร์อุตสาหกรรมและเทคโนโลยี มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรี ลงนามความร่วมมือเครือข่ายสถานศึกษาสำหรับการฝึกประสบการณ์วิชาชีพครู กับอาชีวศึกษาจังหวัดราชบุรี เมื่อวันที่ 14 กรกฎาคม 2559 ณ ห้องประชุม 1 อาคารปฏิบัติการ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรี (ราชบุรี) โดย ดร.กฤษณพงศ์ กีรติกร ที่ปรึกษามหาวิทยาลัย อดีตรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงศึกษาธิการ กล่าวต้อนรับ ผศ.ดร.กิติเดช สันติชัยอนันต์ คณบดีคณะครุศาสตร์อุตสาหกรรมและเทคโนโลยี กล่าวรายงานความเป็นมาของโครงการ ก่อนการลงนามความร่วมมือ โดย ผศ.ดร.กิติเดช สันติชัยอนันต์ คณบดีคณะครุศาสตร์อุตสาหกรรมและเทคโนโลยี และ ดร.สุรพล ดนตรีสวัสดิ์ ประธานกรรมการอาชีวศึกษา จ.ราชบุรี วัตถุประสงค์โครงการความร่วมมือครั้งนี้เพื่อสร้างเครือข่ายความร่วมมือสถานศึกษาสำหรับการฝึกประสบการณ์วิชาชีพครูของนักศึกษาหลักสูตรครุศาสตร์อุตสาหกรรมบัณฑิต (ค.อ.บ. 5 ปี) สอดคล้องกับรูปแบบการฝึกประสบการณ์วิชาชีพ ตาม พ.ร.บ. การศึกษาแห่งชาติ พ.ศ.2542 เพื่อให้นักศึกษาได้รับการฝึกประสบการณ์วิชาชีพครูในสถานศึกษา
บริษัท HIOKI SINGAPORE (ประเทศไทย) จำกัด ได้มีการเปิดตัวรถ HiOptimus ไปเมื่อวันที่ 22 กรกฎาคม 2559 ที่ผ่านมา ซึ่งภายในรถประกอบไปด้วยชุดศึกษาและทดลองเกี่ยวกับเครื่องมือและอุปกรณ์วัดทางไฟฟ้า เพื่อให้ความรู้และสาธิตเกี่ยวกับการทำงานของชุดทดลองและเครื่องมือวัด สามารถพบกับ HiOptimus ได้ ติดต่อเบอร์โทรศัพท์ 02-541-5257 หรือ E-mail: hioptimus@hioki.com.sg
การประชุมคณะรัฐมนตรี ซึ่งมี พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีเป็นประธานได้มีการพิจารณาเรื่อง มาตรการสนับสนุนการผลิตรถยนต์ที่ขับเคลื่อนด้วยพลังงานไฟฟ้าในประเทศไทย โดยมติที่ประชุมได้เห็นชอบมาตรการสนับสนุนตามที่กระทรวงอุตสาหกรรมเสนอ และได้มอบหมายให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งรัดดำเนินการออกมาตรการเพื่อสนับสนุนการผลิตรถยนต์ที่ขับเคลื่อนด้วยพลังงานไฟฟ้าในประเทศไทยให้เกิดผลเป็นรูปธรรม รวมทั้ง เพื่อเร่งรัดการดำเนินงานให้สามารถนำรถโดยสารไฟฟ้ามาใช้ได้จริงภายในเดือนพฤศจิกายน 2559 ตามข้อสั่งการของนายกรัฐมนตรี
กระทรวงอุตสาหกรรม ในฐานะหน่วยงานหลักซึ่งได้รับมอบหมายจากคณะรัฐมนตรี ได้มีการจัดประชุมหารือร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ได้แก่ กระทรวงการคลัง กระทรวงคมนาคม กระทรวง วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี และภาคอุตสาหกรรม จำนวน 3 ครั้ง เพื่อพิจารณาประเด็นปัญหาและข้อเสนอมาตรการสนับสนุนการผลิตรถยนต์ไฟฟ้าในประเทศไทยใน 3 กลุ่มผลิตภัณฑ์ ได้แก่ รถยนต์นั่งไฟฟ้า รถยนต์นั่งไฟฟ้าขนาดเล็ก และรถโดยสารไฟฟ้า นอกจากนี้ ได้มีการเชิญผู้ประกอบการเป็นรายบริษัท จำนวน 11 ราย มาประชุมหารือเรื่องแผนการลงทุนในการผลิตรถยนต์นั่งที่ขับเคลื่อนด้วยมอเตอร์ไฟฟ้า (Motor Driven) เพื่อประมวลผลและกำหนดมาตรการสนับสนุนที่เหมาะสม ก่อนที่จะมีการนำเสนอมาตรการสนับสนุนการผลิตรถยนต์ที่ขับเคลื่อนด้วยพลังงานไฟฟ้าในประเทศไทยเข้าพิจารณาในที่ประชุมคณะรัฐมนตรีในวันนี้
นายศิริรุจ จุลกะรัตน์ ผู้อำนวยการสำนักงานเศรษฐกิจอุตสาหกรรม กระทรวงอุตสาหกรรม
นายศิริรุจ จุลกะรัตน์ ผู้อำนวยการสำนักงานเศรษฐกิจอุตสาหกรรม กระทรวงอุตสาหกรรม เปิดเผยว่า “ในส่วนของการส่งเสริมการผลิตรถยนต์นั่งไฟฟ้านั้น ที่ประชุม ครม. ได้อนุมัติในหลักการว่า บริษัทฯ ที่สนใจจะลงทุนผลิตรถยนต์ไฟฟ้าในประเทศไทย จะต้องยื่นแผนการดำเนินงานในลักษณะแผนงานรวม (Package) ซึ่งประกอบด้วยแผนการลงทุนประกอบรถยนต์ไฟฟ้าและผลิตชิ้นส่วนสำคัญของรถยนต์ไฟฟ้า เช่น แบตเตอรี่ มอเตอร์ ระบบควบคุมการจ่ายไฟฟ้า เป็นต้น จึงจะได้รับสิทธิประโยชน์ภาษีเงินได้และสิทธิประโยชน์ด้านภาษีอื่น ๆ โดยบริษัทฯ ที่ได้รับบัตรส่งเสริมการลงทุนแล้ว จะสามารถนำเข้ารถยนต์สำเร็จรูป (CBU) โดยได้รับการลดหย่อนหรือยกเว้นอากรขาเข้า ในรุ่นรถยนต์ที่จะผลิต เพื่อนำมาทดลองตลาดในปริมาณที่กำหนด รวมทั้ง จะได้รับสิทธิประโยชน์ในการลดหย่อนหรือยกเว้นอากรขาเข้าชิ้นส่วนสำคัญซึ่งยังไม่มีการผลิตในประเทศในช่วงเริ่มต้นของการประกอบรถยนต์ไฟฟ้าอีกด้วย ทั้งนี้ สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน กระทรวงการคลัง และกระทรวงอุตสาหกรรม จะร่วมกันกำหนดหลักเกณฑ์และเงื่อนไขของปริมาณการนำเข้ารถยนต์สำเร็จรูปและชิ้นส่วน ที่จะได้รับสิทธิลดหย่อนหรือยกเว้นอากรขาเข้าของบริษัทฯ ที่สนใจลงทุนต่อไป”
นอกจากประเด็นเรื่องนโยบายส่งเสริมการลงทุนแล้ว ที่ประชุม ครม. ยังได้มอบหมายหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งดำเนินการจัดทำมาตรฐานของรถยนต์นั่งไฟฟ้า การกำหนดมาตรฐานของขนาดสายไฟ เบรกเกอร์ หม้อแปลงที่เหมาะสม เพื่อให้เกิดความปลอดภัยในการชาร์จแบตเตอรี่ของรถยนต์ไฟฟ้าในบ้าน การพิจารณามาตรการสนับสนุนให้หน่วยงานภาครัฐ สามารถจัดซื้อรถยนต์ไฟฟ้ามาใช้งานในหน่วยราชการ รวมทั้ง การพิจารณามาตรการรองรับด้านสิ่งแวดล้อม โดยเฉพาะการกำจัดซากของแบตเตอรี่อีกด้วย
ในส่วนของรถโดยสารไฟฟ้า ซึ่งจะต้องนำมาใช้ได้จริงภายในเดือนพฤศจิกายน 2559 นั้น ที่ประชุม ครม. ได้มอบหมายให้องค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพ ซึ่งอยู่ระหว่างการจัดทำ TOR จัดซื้อรถโดยสารไฟฟ้า จำนวน 200 คัน เร่งรัดกระบวนการจัดซื้อรถโดยสารไฟฟ้าให้แล้วเสร็จโดยเร็ว ส่วนการส่งเสริมการผลิตรถยนต์นั่งไฟฟ้าขนาดเล็กนั้น ได้เร่งรัดให้มีการดำเนินการเสนอร่างประกาศ เพื่อให้รถยนต์ประเภทนี้สามารถจดทะเบียนได้ รวมทั้ง กำหนดแนวทางการใช้รถยนต์ไฟฟ้าขนาดเล็กอย่างปลอดภัย
นายศิริรุจ กล่าวทิ้งท้ายว่า “การที่รัฐบาลให้การส่งเสริมรถยนต์ไฟฟ้า (Battery Electric Vehicles: BEV) นั้น เพื่อเป็นการเตรียมความพร้อมของอุตสาหกรรมยานยนต์ไทยให้ทันต่อการเปลี่ยนแปลงเทคโนโลยีอนาคตของยานยนต์ ซึ่งมีทิศทางที่ชัดเจนว่า มุ่งไปสู่การขับเคลื่อนด้วยมอเตอร์ไฟฟ้า (Motor Driven) เนื่องจาก การทำงานของมอเตอร์ไฟฟ้ามีประสิทธิภาพสูงกว่าเครื่องยนต์สันดาปภายใน อีกทั้ง การใช้พลังงานไฟฟ้าในรถยนต์ไม่ก่อให้เกิดปัญหามลพิษต่อสิ่งแวดล้อม อย่างไรก็ตาม รัฐบาลขอเน้นย้ำว่า ยังคงให้การส่งเสริมรถยนต์ที่ใช้เครื่องยนต์สันดาปภายใน (Internal Combustion Engine) โดยเฉพาะ ECO Car และรถกระบะ 1 ตัน ซึ่งเป็น Product Champion ของอุตสาหกรรมยานยนต์ไทย รวมทั้ง รถยนต์ไฮบริดแบบเสียบปลั๊ก (Plug-in Hybrid Electric Vehicles : PHEV) ซึ่งเริ่มมีการผลิตในประเทศไทยแล้ว ควบคู่กันไปด้วย”
นายกิจชัย ยงไพโรจน์วงศ์ (ยืนที่ 2 จากซ้าย) ผู้จัดการทั่วไป บริษัท เอชไอเอส เอ็มเอสซี จำกัด ซึ่งเป็นบริษัทร่วมทุนระหว่าง Infor และ บริษัท เมโทรซิสเต็มส์คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ MSC จัดงาน “Road Show 2016” เพื่ออัพเดตโซลูชั่นในรูปแบบนวัตกรรมใหม่สำหรับธุรกิจโรงแรมอย่างครบวงจร ประกอบด้วย “Infor HMS” ซึ่งเป็นโปรแกรมบริหารงานส่วนหน้าของโรงแรมซึ่งสามารถทำงานบน web browser, “Metro.Brita. Point of Sale System” โปรแกรมบริหารงานสำหรับห้องอาหารในโรงแรม และ “Metro.Brita. Accounting System” ซึ่งเป็นโปรแกรมสำหรับบริหารงานด้านบัญชี ประกอบไปด้วย Module หลัก ๆ ได้แก่ 1.Bookkeeper Module (General Ledger, Account Payable, Financial Statement, Cash Book) 2.Purchasing Module 3.Inventory Module 4.Fixed Assets Module 5.Food & Beverage Costing Module
นายกิจชัย เปิดเผยว่า โซลูชั่นเพื่อธุรกิจโรงแรมทั้ง 3 ระบบ ได้แก่ “Infor HMS”, “Metro.Brita. Point of Sale System” และ “Metro.Brita. Accounting System” สามารถเชื่อมต่อได้โดยตรง เพื่อรองรับความต้องการใช้งาน ช่วยให้สามารถแข่งขันได้ในปัจจุบัน ซึ่งเป็นโลกยุคดิจิตอล นอกจากนี้ ยังมี Application เพื่อรองรับการใช้งานบน Smart Phone ทั้งระบบ iOS และ Android เพื่ออำนวยความสะดวกสบายให้กับผู้บริโภคมากยิ่งขึ้น โดยในเดือนพฤษาคม-มิถุนายน 2016 ได้จัดกิจกรรม INFOR & HIS MSC Hospitality Solution Update ในรูปแบบโรดโชว์ให้กับกลุ่มลูกค้าธุรกิจโรงแรมมาแล้ว 3 ครั้ง ให้กับ โรงแรม Siam@Siam Design Hotel, PATTAYA, โรงแรม Mövenpick Resort & Spa Karon Beach, PHUKET และ Novotel Samui Resort Chaweng Beach, SAMUI
บริษัท ฟูจิตสึ ซีสเต็ม บีสซีเนส (ประเทศไทย) จำกัด ในการแจ้งเปลี่ยนชื่อบริษัท เป็น บริษัท ฟูจิตสึ (ประเทศไทย) จำกัด โดยเริ่มมีผลตั้งแต่ 1 สิงหาคม 2559 เป็นต้นไป ทั้งนี้จะเป็นการเปลี่ยนเพียงชื่อบริษัท เท่านั้น เลขที่ตั้งและทีมงานผู้บริหาร งานการให้บริการโซลูชั่นต่าง ๆ ยังคงมีโครงสร้างเหมือนเดิม
มร.อิจิ ฟูรูคาวา กรรมการผู้จัดการ บริษัท ฟูจิตสึ (ประเทศไทย) จำกัด หรือ FTH กล่าวถึงการเปลี่ยนชื่อบริษัทอย่างเป็นทางการในวันที่ 1 สิงหาคม 2559 นี้ เพื่อก้าวเข้าสู่ฐานะผู้นำด้านการให้บริการไอทีในประเทศไทยและภูมิภาคอาเซียนภายในปี 2020 ตามนโยบายการประกาศทิศทางธุรกิจของบริษัทแม่ประเทศญี่ปุ่น ถึงวิสัยทัศน์ในการดำเนินกิจการที่ชัดเจนเพื่อสนับสนุนการให้ความสำคัญใน 3 ยุทธ์ศาสตร์หลักของธุรกิจเพื่อสนับสนุนการเติบโตแบบยั่งยืน ประกอบด้วย 1.เน้นการสร้างนวัตกรรม 2.มุ่งมั่นให้บริการด้านไอทีในมาตรฐานระดับโลก 3.ด้วยโซลูชั่นที่หลากหลาย
“ฟูจิตสึ คือองค์กรด้านเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารระดับโลก ที่มีเป้าหมายหลักในการสนับสนุนลูกค้า ด้วยการใช้กลยุทธ์หลัก มุ่งเน้น การสร้างนวัตกรรมเพื่อมนุษยชาติ ประกอบด้วย ผู้คน ข้อมูลสารสนเทศและโครงสร้างเครือข่ายในการนำเสนอโซลูชันที่ดีที่สุดของฟูจิตสึ ให้กับกลุ่มลูกค้า พร้อมทั้งความร่วมมืออันดีกับพันธมิตรองค์กรชั้นนำในการนำเทคโนโลยีที่อยู่บนพื้นฐานไอทีของฟูจิตสึ ผสานกับความสามารถร่วมของคู่ค้า ในการสร้างมูลค่าเพิ่มใหม่ ๆ ให้สอดคล้องกับวิสัยทัศน์ ด้วยการวางฐานะองค์กรเป็น “พันธมิตรทางนวัตกรรม” ซึ่งฟูจิตสึ มีความพร้อมในการสนับสนุนให้องค์กรของลูกค้าได้มีการปรับกระบวนการธุรกิจให้มีความโดดเด่น พร้อมทั้งยังร่วมกันสร้างสังคมที่ชาญฉลาดเพื่อมนุษยชาติ เป็นสังคมที่ปลอดภัย เจริญรุ่งเรืองแบบยั่งยืน” มร.อิจิ กล่าว
ทีมผู้บริหารของ บริษัท ฟูจิตสึ (ประเทศไทย) จำกัด หรือ FTH ที่พร้อมมุ่งมั่นผลักดันให้ฟูจิตสึก้าวสู่ผู้นำทางด้านไอทีในปี 2020 (จากซ้ายไปขวา)
1. มร.จุนจิ โทมิอิ รองประธานฝ่ายบริการแอพพลิเคชัน บริษัท ฟูจิตสึ (ประเทศไทย) จำกัด
2. มร.ฟูมิฮิโกะ มัทซึบาระ ผู้อำนวยการฝ่ายการเงินประจำประเทศไทย บริษัท ฟูจิตสึ (ประเทศไทย) จำกัด
3. มร.อิจิ ฟูรูคาวา กรรมการผู้จัดการ บริษัท ฟูจิตสึ (ประเทศไทย) จำกัด
4. คุณกฤตินี ศิวะกุล หัวหน้ากลุ่มทรัพยากรบุคคลและการจัดการ บริษัท ฟูจิตสึ (ประเทศไทย) จำกัด
5. คุณกนกกมล เลาหบูรณะกิจ รองประธานฝ่ายขายกลุ่มลูกค้าเอนเตอร์ไพรส์ บริษัท ฟูจิตสึ (ประเทศไทย) จำกัด
6. มร.ชูอิจิ ฟูกูดะ หัวหน้ากลุ่มการขาย บริษัท ฟูจิตสึ (ประเทศไทย) จำกัด
EDUCA 2016 งานมหกรรมทางการศึกษาเพื่อพัฒนาวิชาชีพครู ครั้งที่ 9 จัดขึ้นระหว่างวันที่ 12-14 ตุลาคม 2559 ณ อาคารอิมแพคฟอรั่ม (ฮอลล์ 9) เมืองทองธานี ภายใต้แนวคิด “School as Learning Community (SLC): โรงเรียนเป็นชุมชนแห่งการเรียนรู้” ที่นอกจากจะได้พบกับผู้เชี่ยวชาญและนักการศึกษาชั้นนำระดับโลกทั้งจากเอเชียและยุโรปบนเวทีการประชุมนานาชาติ พร้อมกิจกรรมต่าง ๆ มากมาย อาทิ การประชุมเชิงปฏิบัติการนานาชาติ สัมมนาพิเศษ ฟอรั่มครูใหญ่ การประชุมเชิงปฏิบัติการ (Workshop) สำหรับครูไทยที่ครอบคลุมทุกมิติและตอบสนองต่อความต้องการในการพัฒนาวิชาชีพครูไทยรวมมากกว่า 150 หัวข้อ และพบกับ “โครงการหนังสือเพื่อครู เรียนรู้เพื่อเด็ก” โดยผู้ลงทะเบียนเข้าร่วมงานทุกท่านจะได้รับหนังสือดีที่ครูควรอ่าน ฟรี ท่านละ 1 เล่ม สามารถเลือกรับหนังสือจากภายในงานได้ตามความสนใจของตนเองอีกด้วย
สำหรับกิจกรรมที่สำคัญในงาน EDUCA 2016 ประกอบด้วย
และครั้งแรกกับ “EDUCA Talk เวทีแห่งความคิดและแรงบันดาลใจ โดยครู เพื่อครู” เวทีที่จะเปิดโอกาสให้ครูได้เป็นทั้งผู้พูด ผู้ฟัง และเรียนรู้ร่วมกันผ่านการถ่ายทอดทางความคิด ประสบการณ์ และจิตวิญญาณความเป็นครู
ผู้สนใจสามารถสมัครเข้าร่วมกิจกรรมได้ดังต่อไปนี้
สนใจศึกษารายละเอียดเพิ่มเติม สามารถติดตามข้อมูลข่าวสารได้ที่ www.educathai.com, www.facebook.com/educathai หรือ Instagram:educathai, Twitter:@educathai, Line:@educathai หรือ โทรศัพท์ 0-2748-7007 ต่อ 147, 631-635 (ตั้งแต่เวลา 8.30 – 17.00 น.)
บริษัท ไทยผลิตภัณฑ์ยิบซั่ม จำกัด (มหาชน) ผู้ผลิตนวัตกรรมยิปซัมคุณภาพสูงแบรนด์ “ยิปรอค” และผู้ให้บริการโซลูชั่นส์ระบบผนังและฝ้าครบวงจรมากกว่า 45 ปี ร่วมจัดบูทนำเสนอนวัตกรรมแผ่นยิปซัมจากยิปรอค ของเมืองไทย ภายในงาน CONEX 2016 ซึ่งเป็นงานแสดงนวัตกรรมการก่อสร้างอาคารชั้นนำของประเทศฟิลิปปินส์ การร่วมจัดแสดงผลงานของยิปรอคในครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อสะท้อนถึงความเป็นผู้นำและตอกย้ำภาพลักษณ์ของยิปรอคในการเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านนวัตกรรมยิปซัมในระดับภูมิภาค ตลอดจนนำเสนอโซลูชั่นส์การก่อสร้างที่ทันสมัยเพื่อขยายโอกาสทางธุรกิจในต่างประเทศ
ปัจจุบัน งาน CONEX (UAP Convention Exhibits) ถือเป็นงานแสดงนวัตกรรมการก่อสร้างอาคารชั้นนำของประเทศฟิลิปปินส์ ซึ่งรวบรวมผู้ประกอบการในอุตสาหกรรมก่อสร้างเพื่อมาร่วมกันนำเสนอนวัตกรรมผลิตภัณฑ์คุณภาพสูงรูปแบบใหม่ รวมถึงเทคโนโลยี วัสดุและอุปกรณ์ สู่ตลาดก่อสร้างของฟิลิปปินส์ งานครั้งนี้จึงเป็นโอกาสดีของยิปรอคในการสร้างเครือข่ายทางธุรกิจในต่างประเทศกับกลุ่มสถาปนิก นักออกแบบ ผู้ก่อสร้างอาคาร และช่างรับเหมาชั้นนำจากทั่วภูมิภาค นอกจากนี้ ยิปรอคยังได้นำเสนอปรัชญาการสร้างสรรค์ผลิตภัณฑ์ภายใต้แนวคิด “Gyproc Go Green” หรือ “Gyproc 3G” ที่มีจุดประสงค์เพื่อการอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติและลดมลภาวะ ซึ่งเป็นสองหัวข้อหลักที่ผู้บริโภคในประเทศฟิลิปปินส์ให้ความสนใจอย่างมาก
มร.ริชาร์ด จูเชรี กรรมการผู้จัดการ บริษัท ไทยผลิตภัณฑ์ยิบซั่ม จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า “ยิปรอคคือแบรนด์ผู้ผลิตนวัตกรรมยิปซัมที่ประสบความสำเร็จอย่างสูงของเมืองไทย นำเสนอผลิตภัณฑ์และโซลูชั่นส์คุณภาพสูงรูปแบบใหม่ที่ผลิตจากโรงงานทั้งสองแห่งในประเทศไทย เพื่อตอบสนองความต้องการของสถาปนิกและผู้ก่อสร้างอาคารที่มีแนวคิดก้าวหน้าในประเทศต่าง ๆ ทั่วเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ นี่จึงถือเป็นโอกาสดีที่ยิปรอคสามารถเข้าถึงกลุ่มผู้ประกอบการในฟิลิปปินส์ซึ่งถือเป็นตลาดที่กำลังเติบโตสำหรับเราได้โดยตรง โดยฟิลิปปินส์เป็นตลาดเพื่อการพัฒนาธุรกิจที่มีความสำคัญอย่างยิ่ง เพราะมีศักยภาพการเติบโตสูงทั้งในเรื่องนวัตกรรม สถาปัตยกรรม และคุณภาพในการตกแต่งอาคาร โดยเฉพาะเมื่อได้ร่วมมือเป็นพันธมิตรกับแบรนด์ชั้นนำระดับสากลอย่างยิปรอค”
มร.กรัญจิตต์ โรชา (แถวหลัง 3-จากซ้าย) ผู้บริหารฝ่ายขายและการตลาด พร้อมด้วยคุณสมิทธ์ แสงไฟ (แถวหลัง 3-จากขวา) ผู้บริหารฝ่ายการตลาดและสื่อสารองค์กร บริษัท ทาทา มอเตอร์ส (ประเทศไทย) จำกัด มอบอุปกรณ์กีฬาให้กับตัวแทนคณะครูและนักเรียนระดับประถมศึกษา โรงเรียนสามัคคีราษฎร์บำรุง คลอง3 สานต่อโครงการ “มอบรอยยิ้มให้น้อง” ซึ่งเป็นโครงการที่ ทาทา มอเตอร์ส ประเทศไทย ริเริ่มขึ้นเพื่อช่วยเหลือและพัฒนาสังคมไทย โดยมีเป้าหมายในการพัฒนาศักยภาพและส่งเสริมเยาวชนไทย ทั้งในด้านโภชนาการ สุขภาพพลานามัย และการศึกษา
ส่วนทางด้าน มร.ซานเจย์ มิชรา กรรมการผู้จัดการ บริษัท ทาทา มอเตอร์ส (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวถึงกิจกรรมมอบรอยยิ้มให้น้องในครั้งนี้ว่า “เป็นอีกครั้งที่เรามีโอกาสได้สร้างรอยยิ้มให้กับเด็ก ๆ ด้วยการมอบอุปกรณ์กีฬา ที่นอกจากจะเป็นการส่งเสริมพัฒนาด้านสุขภาพให้กับเด็กๆ แล้ว ในปัจจุบันกีฬาต่าง ๆ ยังได้รับความนิยม มีระบบการจัดการต่าง ๆ ที่สามารถพัฒนาไปสู่กีฬาอาชีพ การมอบอุปกรณ์และส่งเสริมด้านการกีฬาให้กับเยาวชนจึงเป็นอีกหนึ่งช่องทางที่จะสร้างโอกาสในการพัฒนาเยาวชนที่มีพรสวรรค์ด้านกีฬาเพื่อก้าวไปสู่การเป็นนักกีฬาอาชีพในอนาคตอีกด้วย เราจึงมีความยินดีเป็นอย่างยิ่งที่ได้มีส่วนร่วมในการส่งเสริมและพัฒนาสังคมไทย และเราก็หวังว่าจะมีโอกาสได้ทำกิจกรรมอื่น ๆ เพิ่มขึ้นอีก เพื่อสานโครงการ มอบรอยยิ้มให้น้อง ให้เกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง”
บริษัท ควายทอง นิว เอเนอร์จี บุกตลาดรถจักรยานยนต์พลังงานไฟฟ้า ที่ใช้เทคโนโลยีการผลิตแบตเตอรี่ลิเธียม ไอออน สมรรถนะสูง ช่วยอาชีพผู้มีรายได้น้อย ตั้งเป้าจำหน่าย 10,000 คัน รายได้ 600 ล้านบาท ในปี 2560
นายจาง ควายทอง ผู้ร่วมก่อตั้งและประธาน บริษัท ควายทอง นิว เอเนอร์จี จำกัด เปิดเผยว่า บริษัท ควายทอง นิว เอเนอร์จี จำกัด ก่อตั้งขึ้นจากการร่วมทุนระหว่าง บริษัท ฉงชิ้ง รุ่ยหยาง นิว เอเนอร์จี ออโตโมบิล จำกัด (Chongqing Ruiyang New Energy Automobile) ประเทศจีน และ บริษัท ควายทอง มอเตอร์ จำกัด เพื่อดำเนินธุรกิจผลิตและจำหน่ายรถจักรยานยนต์พลังงานไฟฟ้า ประเภทจักรยานยนต์สองล้อและจักรยานยนต์สามล้อ ซึ่งขับเคลื่อนด้วยเทคโนโลยีแบตเตอรี่ลิเธียม ไอออน สมรรถนะสูง ประหยัดพลังงานและเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม ภายใต้แบรนด์ “ควายทอง” สำหรับส่งเสริมอาชีพให้กับกลุ่มผู้มีรายได้น้อย ได้แก่ กลุ่มเกษตรกร ชาวนา ชาวสวน หรือผู้สนใจในธุรกิจค้าขายทั่วไป
จุดเด่นของรถจักรยานยนต์สามล้อไฟฟ้าควายทอง คือ ใช้เทคโนโลยีแบตเตอรี่ลิเธียม ไอออน สมรรถนะสูง ประหยัดพลังงานและเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม สามารถบรรทุกน้ำหนักได้ถึง 1,000 กิโลกรัม วิ่งความเร็วสูงสุดที่ 65 กิโลเมตรต่อชั่วโมง โดยใช้พลังงานไฟฟ้าเพียง 1 ยูนิตต่อระยะทางวิ่ง 20 กิโลเมตร รับประกันแบตเตอรี่ 3 ปี
“บริษัทต้องการให้กลุ่มผู้มีรายได้น้อยซึ่งเป็นคนกลุ่มใหญ่ของประเทศได้มีบทบาทสำคัญในการช่วยอนุรักษ์พลังงานและสิ่งแวดล้อม ขณะเดียวกันการใช้รถจักรยานยนต์สามล้อไฟฟ้ายังช่วยตอบสนองนโยบายแห่งชาติ ด้านการประหยัดพลังงาน ด้วยการใช้พลังงานสะอาดจากไฟฟ้า และไม่ก่อให้เกิดมลภาวะเป็นพิษต่อสภาพ แวดล้อม อีกทั้งประหยัดค่าใช้จ่ายทั้งค่าพลังงานและค่าดูแลรักษาเนื่องจากใช้การขับเคลื่อนด้วยมอเตอร์และพลังงานจากแบตเตอรี่”
นอกจากนี้ บริษัทได้เล็งเห็นความสำคัญของกลุ่มที่มีรายได้น้อยที่มีอยู่ทั่วประเทศ จึงมีโครงการนำรถสามล้อไฟฟ้ามาดัดแปลงเป็นรถขายอาหารเคลื่อนที่ เพื่อช่วยส่งเสริมอาชีพและรายได้ในการดำรงชีพให้กับกลุ่มผู้มีรายได้น้อย อาทิ รถขายก๋วยเตี๋ยว รถขายข้าวแกง รถขายไก่ทอด หรือบาร์บีคิว เป็นต้น โดยได้ออกแบบให้สามารถใช้งานได้ทันที
คาดว่ารถจักรยานยนต์สามล้อไฟฟ้าควายทองจะได้รับความนิยมจากประชาชนทั่วประเทศ โดยตั้งเป้ายอดจัดจำหน่ายอยู่ที่ประมาณ 10,000 คันต่อปีในระยะแรก และคาดการณ์เป้ารายได้อยู่ที่ 600 ล้านบาทภายในสิ้นปี 2560
ด้าน นายเจี่ยง กัวชิง ประธาน บริษัท ฉงชิ้ง รุ่ยหยาง นิว เอเนอร์จี ออโตโมบิล จำกัด กล่าวเพิ่มเติมว่า “ความร่วมมือในครั้งนี้จะช่วยสร้างโอกาสทางธุรกิจให้กับทั้งสองบริษัทในภูมิภาคนี้ โดยการผสมผสานระหว่าง บริษัท ควายทอง มอเตอร์ จำกัด ที่มีความเชี่ยวชาญด้านรถเมล์ไฟฟ้า และเริ่มเป็นที่รู้จักในตลาดพลังงานสะอาดและพลังงานทดแทน ขณะที่ บริษัท ฉงชิ้ง รุ่ยหยาง นิว เอเนอร์จี ออโตโมบิล จำกัด มีความเชี่ยวชาญด้านการผลิตชิ้นส่วนและประกอบรถไฟฟ้ามายาวนาน ซึ่งความร่วมมือครั้งนี้ไม่เพียงแต่จะสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับทั้งสองบริษัท แต่ยังช่วยสนับสนุนส่งเสริมอาชีพและการสร้างรายได้ให้กับกลุ่มผู้มีรายได้น้อยซึ่งเป็นคนกลุ่มใหญ่ของประเทศอีกด้วย”
บริษัท รี้ด เทรดเด็กซ์ จำกัด นำโดย คุณปรีชา สนั่นวัฒนานนท์ กรรมการบริษัทฯ พร้อมด้วย คุณศิริรัตน์ สังข์วิชัย ผู้จัดการกลุ่มโครงการ ร่วมแสดงความยินดีกับ มร.โคจิ ยามาโมโตะ ประธาน บริษัท Amada ASIA Pacific Co.,Ltd. และ มร.ยูจิ ฟูจิโมโตะ กรรมการผู้จัดการ บริษัท Amada (Thailand) Co., LTD. ในพิธีเปิด Amada ASEAN Technical Center พร้อมเป็นฮับศูนย์เทคโนโลยีโลหะการครบวงจรอาเซียน
เมื่อวัตถุดิบที่นำกลับมาใช้ใหม่ได้อย่างเช่นน้ำมันปาล์มและน้ำมันเมล็ดในปาล์มถูกนำไปใช้ ความสนใจจะอยู่ที่ด้านเศรษฐกิจ สิ่งแวดล้อม และผลกระทบทางสังคมตลอดห่วงโซ่อุปทาน จากสวนถึงชั้นวางขาย สวนปาล์มขนาดเล็กผลิตน้ำมันปาล์มและน้ำมันเมล็ดในปาล์มในโลก ราว 40 เปอร์เซ็นต์ คำถามที่สำคัญสำหรับประเทศที่ผลิตน้ำมันปาล์มก็คือ ทำอย่างไรที่จะเพิ่มผลผลิตในพื้นที่ที่มีการเพาะปลูกอยู่แล้ว นี่คือเหตุผลที่เฮงเค็ล และ บีเอเอสเอฟ (BASF) ร่วมมือกับองค์กรเพื่อการพัฒนา โซลิดาริดาด (Solidaridad) เพื่อสนับสนุนโครงการในประเทศอินโดนีเซีย และเป็นกระบอกเสียงให้แก่เกษตรกรรายย่อยและความริเริ่มในท้องถิ่น
วิธีทำการเกษตรแบบยั่งยืน การผลิตที่มีประสิทธิภาพ และมาตรฐานความปลอดภัย และอาชีวอนามัยขั้นสูง คือเงื่อนไขที่สำคัญที่สุดสำหรับการผลิตน้ำมันปาล์มที่ได้รับการอนุญาต เกษตรกรรายย่อยสามารถเรียนรู้ที่จะปฏิบัติตามข้อกำหนดเหล่านี้ในท้องถิ่น ผ่านทางโครงการฝึกอบรมเฉพาะ ตั้งแต่ปีพ.ศ. 2558 เฮงเค็ลสนับสนุนโครงการระยะ 5 ปีในจังหวัดกาลิมันตันตะวันตก ในประเทศอินโดนีเซีย เมื่อต้นปีที่ผ่านมา บีเอเอสเอฟได้เข้าร่วมผนึกกำลังในฐานะพาร์ทเนอร์ทางอุตสาหกรรมเพิ่มเติม โครงการสำหรับเกษตรกรรายย่อยนี้ถูกนำไปปฏิบัติโดยโซลิดาริดาด ด้วยความร่วมมือกับพาร์ทเนอร์ขององค์กร คือ กู๊ด รีเทิร์น (Good Return) และ เครดิต ยูเนี่ยน คีลิ่ง คูมัง (Credit Union Keling Kumang หรือ CUKK) กู๊ด รีเทิร์น ซึ่งเป็นองค์กรพัฒนาเอกชนจากออสเตรเลียช่วยฝึกสอนและสนับสนุนคณะครูผู้ดำเนินการฝึกอบรมหน้างาน และจะเป็นผู้สานต่อโครงการสนับสนุนเกษตรกรหลังจากโครงการฝึกอบรมของบริษัทสิ้นสุด คณะครูเหล่านี้เป็นพนักงานของ เครดิต ยูเนี่ยน คีลิ่ง คูมัง ซึ่งเป็นบริษัทเครดิตท้องถิ่นที่ใหญ่เป็นอันดับสองในอินโดนีเซีย
ผ่านทางโครงการนี้ โซลิดาริดาดและพาร์ทเนอร์ต้องการที่จะสร้างห่วงโซ่อุปทานอันยั่งยืนให้แก่อุตสาหกรรมน้ำมันปาล์มและน้ำมันเมล็ดในปาล์ม ซึ่งจะช่วยพัฒนาสภาพความเป็นอยู่ของเกษตรกรรายย่อยพร้อม ๆ กับช่วยให้พวกเขามีคุณสมบัติเพียงพอที่จะได้รับอนุญาตให้ประกอบธุรกิจสวนปาล์ม ตามหลักเกณฑ์ของมาตรฐานการผลิตน้ำมันปาล์มอย่างยั่งยืน (the Roundtable on Sustainable Palm Oil หรือ RSPO) เกษตรกรรายย่อยราว 1,600 รายจากจำนวนทั้งหมด 5,500 รายจะได้รับการติดต่อจากทางโครงการ พวกเขาจะได้เรียนรู้เกี่ยวกับแง่มุมต่าง ๆ ของการทำการเกษตรที่ดี (Good Agricultural Practice หรือ GAP) ในการฝึกอบรมโดยตรง ซึ่งรวมไปถึงมาตรการเพื่อการทำเกษตรอย่างยั่งยืน และการเพิ่มผลผลิต นอกจากนั้น เกษตรกรรายย่อยราว 3,900 ราย จะได้รับการสนับสนุนไม่เพียงแต่ผ่านทางตัวทวีคูณทางรายได้ แต่ยังได้รับการติดต่อจากโครงการผ่านทางกิจกรรมวันลงพื้นที่เยี่ยมเยียนเกษตรกรและข้อความทางโทรศัพท์มือถือ โครงการนี้ครอบคลุมสวนปาล์มกว่า 16,000 เฮกเตอร์
“เราต้องการเปลี่ยนแปลงตลาดเพื่อพัฒนาอุตสาหกรรมน้ำมันปาล์มอันยั่งยืน ในการที่จะทำเช่นนั้น เราต้องการการแก้ปัญหาและโครงการที่จะช่วยให้ชาวสวนปาล์มรายเล็กเพิ่มผลผลิตในสวนของพวกเขา และเรากำลังมีส่วนร่วมอย่างสำคัญโดยการสนับสนุนพาร์ทเนอร์และความริเริ่มในท้องถิ่น” ทอมัส มูเลอร์-เคียร์ชบาวม์ รองประธานอาวุโส ธุรกิจผลิตภัณฑ์ซักล้างและผลิตภัณฑ์ในครัวเรือน และรองประธานคณะกรรมการด้านความยั่งยืนของเฮงเค็ล กล่าว “ด้วยการสนับสนุนจากบีเอเอสเอฟในฐานะพาร์ทเนอร์ทางอุตสาหกรรมเพิ่มเติมในโครงการเพื่อเกษตรกรรายย่อยนี้ เราได้ส่งสัญญาณว่าเราจะผนึกกำลังร่วมกันเพื่อทำตลาดน้ำมันปาล์มให้ยั่งยืนยิ่งขี้น”
“บีเอเอสเอฟ คือหนึ่งในผู้ผลิตส่วนประกอบสำหรับอุตสาหกรรมเครื่องสำอางและผลิตภัณฑ์ในครัวเรือนที่ใหญ่ที่สุดในโลก และเป็นหนึ่งในจุดเชื่อมโยงระหว่างห่วงโซ่อุปทานน้ำมันปาล์ม จากเกษตรกรรายย่อยสู่ผู้บริโภค เราเชื่อว่าเราสามารถค้นพบหนทางสู่ผลิตภัณฑ์น้ำมันปาล์มที่ยั่งยืนและได้รับการรับรอง ด้วยการทำงานร่วมกันเพื่ออนุรักษ์ป่าและพัฒนาสภาพความเป็นอยู่ของผู้คนที่อาศัยในพื้นที่เกษตรกรรม” ยาน ปีเตอร์ ซานเดอร์ รองประธานอาวุโส กลุ่มธุรกิจผลิตภัณฑ์ของใช้ส่วนตัว ยุโรป ของบีเอเอสเอฟ กล่าว “นั่นคือเหตุผลที่ว่าทำไมเราจึงร่วมมือกันอย่างเข้มแข็งกับลูกค้าและซัพพลายเออร์ของเรา และทำไมเราจึงอยากมีส่วนรวมกับเกษตรกรรายย่อย โครงการในจังหวัดกาลิมันตันตะวันตกนี้เป็นก้าวที่สำคัญที่จะพาเราไปในทิศทางนั้น”
ผลผลิตของสวนปาล์มขนาดเล็กในอุตสาหกรรมน้ำมันปาล์มต่ำกว่าเมื่อเทียบกับผลผลิตจากบริษัทขนาดใหญ่อยู่ที่ประมาณ 40 เปอร์เซ็นต์โดยเฉลี่ย มาตรการต่าง ๆ อาทิ การฝึกอบรมวิธีทำการเกษตรแบบยั่งยืนให้แก่เกษตรกร ถูกคาดหวังว่าจะช่วยเพิ่มผลผลิตและเพิ่มรายได้ให้แก่เกษตรกรรายย่อย “เรามีความยินดีที่เฮงเค็ลและบีเอเอสเอฟสนับสนุนโครงการนี้ในจังหวัดกาลิมันตันตะวันตก” มาเรียเคอ ลีควาเตอร์ ผู้จัดการโครงการน้ำมันปาล์ม โซลิดาริดาด กล่าว “เราคิดว่านี่คือการทำเพื่อผลประโยชน์อันยิ่งใหญ่ ในการที่บริษัทต่าง ๆ ที่ใช้ผลิตภัณฑ์น้ำมันปาล์มมีส่วนรับผิดชอบนอกเหนือจากแค่การซื้อผลิตภัณฑ์น้ำมันปาล์มอันยั่งยืน และอุทิศตนในการลงทุนในห่วงโซ่อุปทานที่ยั่งยืนและครอบคลุม โครงการนี้ทำให้เกิดการสร้างห่วงโซ่อุปทานอันยั่งยืนที่ครอบคลุม และเราคาดหวังที่จะสร้างการพัฒนาที่สำคัญให้แก่ชีวิตความเป็นอยู่ของเกษตรกรปาล์มน้ำมันรายย่อยในจังหวัดกาลิมันตันตะวันตก ซึ่งเป็นหนึ่งในพื้นที่ยากจนที่สุดในอินโดนีเซีย”
“ClouDee” (คลาวด์ดี) เป็นผู้ให้บริการระบบโทรศัพท์บนคลาวด์ซึ่งถูกนำเข้ามาให้บริการเป็นครั้งแรกของประเทศไทย โดยผู้ให้บริการด้านระบบโทรศัพท์ระหว่างประเทศชั้นนำ “สวัสดีช้อป” ร่วมกับ “โนว์ลาร์ริตี้ คอมมิวนิเคชั่นส์” หนึ่งในผู้ให้บริการสื่อสารระบบคลาวด์ใหญ่สุดของเอเชีย
“สวัสดีช้อป” ก่อตั้งในปี พ.ศ.2542 ได้รับใบอนุญาตจากคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ หรือ กสทช. มีทุนจดทะเบียน 150 ล้านบาท เป็นผู้ประกอบการเกี่ยวกับระบบโทรคมนาคมในประเทศไทย สิงคโปร์ มาเลเซีย ฮ่องกง และนิวยอร์ก และเชื่อมโยงระหว่างผู้ให้บริการโทรคมด้วยกันมากกว่า 100 รายทั่วโลก
ระบบโทรศัพท์บนคลาวด์เป็นการให้บริการโทรศัพท์ผ่านคลาวด์แพลตฟอร์ม นิยามใหม่ของวงการสื่อสารและการโทรศัพท์แบบปัจจุบัน ใช้เวลาเพียงไม่กี่นาทีกับการสมัครใช้บริการ “คลาวด์ดี” ผู้ใช้บริการจะได้รับเลขหมายโทรศัพท์พร้อมกับระบบสื่อสารที่ทันสมัยสุดเฉกเช่นเดียวกับผู้ใช้กลุ่มฟอร์บส์ 500 บริษัทตามการจัดอันดับของนิตยสารฟอร์บส์หรือธุรกิจขนาดใหญ่ การติดตั้งหรือใช้งาน “คลาวด์ดี” ไม่จำเป็นต้องมีอุปกรณ์พวกตู้ชุมสายโทรศัพท์ PABX แบบดั้งเดิมซึ่งราคาแสนแพง ผู้ใช้ยังได้รับเลขหมายที่ขึ้นต้นด้วย 02 ที่ธุรกิจในไทยนิยมใช้กัน หรือเลขหมายโทรศัพท์อื่น ๆ ที่ใช้กันใน 60 กว่าประเทศทั่วโลก แถมติดตั้งง่ายพอ ๆ กับการติดตั้งอีเมลสำหรับธุรกิจเลยทีเดียว
ในงานแถลงข่าววันนี้ คุณอัศวิน พละพงศ์พานิช ผู้อำนวยการและประธานกรรมการฝ่ายบริหาร “สวัสดีช้อป” และ คุณอัมบาริช กุ๊บตา ผู้อำนวยการและประธานกรรมการฝ่ายบริหาร “โนว์ลาร์ริตี้ คอมมิวนิเคชั่นส์” ผู้ให้บริการ SuperReceptionist และ Smart IVR จับมือร่วมกันเพื่อให้บริการ “คลาวด์ดี” สำหรับธุรกิจในประเทศไทย
SuperReceptionist คือบริการตอบรับโทรศัพท์แบบเสมือนจริง (เปรียบเสมือน สมาร์ทโอเปอเรเตอร์) ด้วยการนำระบบสื่อสารแบบคลาวด์มาใช้ร่วมกับระบบซีอาร์เอ็ม (CRM) สำหรับธุรกิจขนาดกลางและกลุ่มสตาร์ทอัพ (Start-ups) เป็นโครงสร้างของเอพีไอ (Application Program Interface) ที่ยืดหยุ่น ส่วน Smart IVR เป็นโซลูชั่นที่ทำให้สามารถปรับเปลี่ยนให้ตรงกับทุกรูปแบบการสื่อสารที่ธุรกิจต้องการที่มักมีเงื่อนไขที่แตกต่าง บริการทั้งสองจะช่วยสร้างรายได้ให้กับธุรกิจสตาร์ทอัพ ธุรกิจขนาดย่อม กลาง และใหญ่ ลดค่าใช้จ่าย สร้างความเป็นผู้นำ เพิ่มอัตราชี้วัด และปรับเปลี่ยนได้ตลอดเวลา
ข้อมูลจากสำนักงานส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (สสว.) ระบุว่าประเทศไทยมีธุรกิจขนาดกลางและขนาดย่อมจำนวน 2.7 ล้านธุรกิจ ถือเป็น 37% ของผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ ซึ่ง “คลาวด์ดี” ประเมินว่าจะบรรลุถึงกลุ่มธุรกิจเป้าหมาย 1,000 ธุรกิจในระยะแรก และยังมีแผนร่วมลงทุนกับพันธมิตรทางธุรกิจ “โนว์ลาร์ริตี้ คอมมิวนิเคชั่นส์” อีก 10 ล้านบาท คุณอัศวิน เชื่อว่าบริการระบบโทรศัพท์บนคลาวด์ คืออนาคตของอุตสาหกรรมโทรคมนาคมเพื่อธุรกิจสำหรับประเทศไทย
“คลาวด์ กำลังเปลี่ยนวิธีการดำเนินธุรกิจและการสื่อสาร ด้วยระบบนี้ เรากำลังเปลี่ยนระบบตู้ชุมสายโทรศัพท์ PABX แบบเดิม ๆ ทำให้เจ้าของธุรกิจสามารถทำงานได้สมาร์ทขึ้นและได้รับประโยชน์จากเทคโนโลยีใหม่ขึ้น สิ่งที่ “คลาวด์ดี” ทำอยู่นี้ ก็เหมือนกับสิ่งที่ yahoo และ Hotmail เคยทำกับระบบอีเมลมาก่อนแล้ว “คลาวด์ดี” ใช้ระบบที่ใช้งาน ยืดหยุ่นให้ตรงกับความต้องการจะลดหรือเพิ่มในราคาที่จับต้องได้ เหมาะกับธุรกิจที่ต้องการบริการที่ปรับเปลี่ยนได้ตลอดเวลา ร่วมกับการทำงานของ SuperReceptionist และ Smart IVR ที่ลงตัว
“เราต้องการสร้างความแข็งแรงให้กับธุรกิจขนาดกลางและขนาดย่อมในประเทศไทย เพิ่มยอดขายและส่งเสริมช่องทางการตลาด ผ่านหัวใจของการสื่อสารที่มีประสิทธิภาพ “คลาวด์ดี” สามารถประยุกต์ใช้ได้กับหลากหลายอุตสาหกรรม อาทิ อุตสาหกรรมขนส่งสินค้า อุตสาหกรรมเกี่ยวกับการดูแลสุขภาพของมนุษย์ และอี-คอมเมิร์ช รวมถึงอุตสาหกรรมท่องเที่ยว เป็นต้น และเมื่อกล่าวถึงประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน หรือ AEC นั้น เรามีแผนที่จะผลักดัน “คลาวด์ดี” ให้กับกลุ่มประเทศที่มีศักยภาพดี (CLMV) เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงานด้วย” คุณอัศวินย้ำ
สำนักงานใหญ่ “โนว์ลาร์ริตี้ คอมมิวนิเคชั่นส์” ตั้งอยู่ที่ประเทศสิงคโปร์ มีชื่อเสียงเป็นที่รู้จักดีว่าสามารถบรรลุเป้าหมายการตลาดได้ทุกเป้า และ คุณอัมบาริช ก็มั่นใจว่า “คลาวด์ดี” จะประสบความสำเร็จในประเทศไทย
“เรามีความภูมิใจที่มีส่วนร่วมในการแนะนำบริการโทรศัพท์แบบคลาวด์ในไทยผ่าน “คลาวด์ดี” ไทยเป็นตลาดที่ท้าทายและมีธุรกิจจำนวนมากที่พร้อมแล้วสำหรับระบบการสื่อสารผสมผสานที่ล้ำสมัย” คุณอัมบาริชเสริม
ธุรกิจที่ใช้ “คลาวด์ดี” ในประเทศไทยเพื่อการสื่อสารขององค์กร ได้แก่ StockRadars แอพพลิเคชั่นจัดการหุ้น และ coins.co.th ซึ่งเป็นแพลตฟอร์มการโอนเงินของไทย
อย. เดินหน้าบูรณาการจับมือ สวทช. รุดสนองนโยบายรัฐ ลงนาม MOU ทำข้อตกลงร่วมมือกันด้านการวิจัยพัฒนา การประเมินสมรรถนะการทำงาน ความปลอดภัย และการตรวจสอบหรือตรวจวิเคราะห์ผลิตภัณฑ์เครื่องมือแพทย์ เพิ่มศักยภาพในการแข่งขันทางเศรษฐกิจในยุคประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน
ศ.คลินิก เกียรติคุณ นพ.ปิยะสกล สกลสัตยาทร รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข กล่าวต่อสื่อมวลชนในพิธีลงนามบันทึกข้อตกลงระหว่างสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) และสำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) ในความร่วมมือด้านการวิจัยพัฒนา การประเมินสมรรถนะการทำงาน ความปลอดภัย และการตรวจสอบหรือตรวจวิเคราะห์ผลิตภัณฑ์เครื่องมือแพทย์ที่ผลิตหรือนำเข้ามาในประเทศไทยว่า ตามที่รัฐบาลมีนโยบายให้ส่วนราชการมีการทำงานแบบบูรณาการทั้งภายในและภายนอกหน่วยงาน ตามแนวทางสานพลังประชารัฐของรัฐบาล ให้ประชาชนได้รับประโยชน์สูงสุด สอดคล้องกับที่กระทรวงสาธารณสุขให้ อย. ทบทวนยุทธศาสตร์ในอนาคตให้ขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศพัฒนาไปสู่ประเทศไทย 4.0 โดย อย. เป็นหน่วยงานหนึ่งที่มีบทบาทสำคัญต่อการคุ้มครองผู้บริโภคด้านผลิตภัณฑ์สุขภาพ จึงได้ร่วมมือกับ สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ในการวิจัยพัฒนา เพื่อรองรับการดำเนินงานให้สอดคล้องกับข้อตกลงอาเซียนว่าด้วยบทบัญญัติเครื่องมือแพทย์ (ASEAN Agreement on Medical Device Directive: AMDD) ซึ่งประเทศไทยจะต้องมีการควบคุมกำกับดูแลเครื่องมือแพทย์อย่างเข้มงวดตามระดับความเสี่ยงของเครื่องมือแพทย์ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการคุ้มครองผู้บริโภคในประเทศ และเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของอุตสาหกรรมเครื่องมือแพทย์ของประเทศไทย
ดร.พิเชฐ ดุรงคเวโรจน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี กล่าวว่า ด้วยนโยบายรัฐบาลได้ให้ความสำคัญกับการพัฒนาและส่งเสริมการใช้ประโยชน์จากวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี การวิจัยและพัฒนา และนวัตกรรม โดยกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีมีวิสัยทัศน์ในการดำเนินภารกิจที่มุ่งไปสู่ประโยชน์ของสังคมและประชาชน สนับสนุนการแก้ไขปัญหาสำคัญของประเทศ รวมทั้งใช้นวัตกรรมในการขับเคลื่อนการพัฒนาที่ยั่งยืน ดังนั้นจึงให้ความสำคัญงานนโยบายโครงสร้างพื้นฐานด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีและนวัตกรรมของประเทศ เพื่อต่อยอดสู่การใช้เชิงพาณิชย์ของภาคเอกชนและภาคอุตสาหกรรม โดยที่ผ่านมากระทรวงวิทยาศาสตร์ฯ สวทช. ได้มีบทบาทสนับสนุนการวิจัยพัฒนาและสร้างนวัตกรรมด้านการผลิตผลิตภัณฑ์ไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์ เครื่องมือแพทย์ของไทยมาอย่างต่อเนื่องมากกว่า 10 ปี พร้อมได้ถ่ายทอดองค์ความรู้และเทคโนโลยีไปสู่การใช้ประโยชน์ทั้งในส่วนของภาคอุตสาหกรรมและภาคสถาบันการศึกษา โดยในส่วนของการทดสอบนั้นได้จัดตั้งศูนย์ทดสอบผลิตภัณฑ์ไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์ (PTEC) ขึ้น เพื่อให้บริการทดสอบผลิตภัณฑ์เครื่องมือแพทย์ประเภทไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์ตามมาตรฐานสากล
ดร.ณรงค์ ศิริเลิศวรกุล รองผู้อำนวยการ สวทช. กล่าวว่า การลงนามระหว่าง สวทช. และ อย. ครั้งนี้ สวทช. พร้อมเป็นหน่วยงานสนับสนุนการดำเนินงานของ อย. ที่จะผลักดันหน่วยงานเครือข่าย ทั้งภาครัฐ ภาคเอกชน ภาคอุตสาหกรรม ภาคการค้า และภาคการศึกษา เพื่อให้นำองค์ความรู้ด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีของไทยเข้าไปช่วยสนับสนุนส่วนต่าง ๆ ให้มีความก้าวหน้าทันสมัยและเป็นสากลมากขึ้น ทั้งนี้ ขอบเขตความร่วมมือที่สำคัญ สวทช. จะทำหน้าที่ประเมินสมรรถนะการทำงานและความปลอดภัย และ/หรือตรวจสอบ ตรวจวิเคราะห์ผลิตภัณฑ์เครื่องมือแพทย์ และจะพัฒนาและรักษามาตรฐานห้องปฏิบัติการเครื่องมือแพทย์ของ สวทช. รวมทั้งเสริมสร้างความร่วมมือด้านวิชาการและพัฒนากำลังคนในการดำเนินโครงการต่างๆ ที่เกี่ยวข้อง ตลอดจนการการจัดตั้งห้องปฏิบัติการตรวจสอบหรือตรวจวิเคราะห์ผลิตภัณฑ์เครื่องมือแพทย์ในประเทศเพื่อให้บริการตรวจสอบหรือตรวจวิเคราะห์ ตรวจสอบรับรองผลิตภัณฑ์เครื่องมือแพทย์ให้เป็นไปตามมาตรฐานสากลและรับการเปิด AEC และส่งเสริมและสนับสนุนให้คำปรึกษาแก่ผู้วิจัยพัฒนาและผู้ประกอบการด้านเครื่องมือแพทย์ เพื่อช่วยกระตุ้นให้เกิดนวัตกรรมเครื่องมือแพทย์ที่ถูกต้องตามกฎหมาย ผ่านการตรวจสอบรับรองผลิตภัณฑ์ว่าได้คุณภาพ มาตรฐาน และมีความปลอดภัยด้วย
นพ.บุญชัย เลขาธิการ อย. กล่าวเพิ่มเติมว่า ขณะนี้กำลังเข้าสู่ยุคประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน อย. จึงดำเนินการทุกวิถีทางเพื่อเพิ่มศักยภาพในการคุ้มครองความปลอดภัยด้านผลิตภัณฑ์สุขภาพแก่ผู้บริโภค รวมทั้งอำนวยความสะดวกให้แก่ผู้ประกอบการที่จะได้รับการพิจารณาคำขอขึ้นทะเบียนอย่างรอบคอบและรวดเร็ว ในส่วนของเครื่องมือแพทย์นั้น หลังจากได้ทำ MOU กับ สวทช. แล้ว ขั้นแรก อย. จะให้ทางศูนย์ทดสอบผลิตภัณฑ์ไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์ (Electrical and electronic product testing center: PTEC) สวทช. ช่วยทำหน้าที่ตรวจสอบหรือตรวจวิเคราะห์ และประเมินสมรรถนะการทำงานและความปลอดภัยผลิตภัณฑ์เครื่องมือแพทย์ประเภทไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์ที่ผู้ประกอบการมายื่นคำขอ และในอนาคตจะมีการเพิ่มความร่วมมือบูรณาการทำงานกับ สวทช. มากขึ้นในด้านต่าง ๆ ที่สำคัญ อย. พร้อมที่จะส่งเสริมนวัตกรรมการผลิตเครื่องมือแพทย์ของไทยให้ได้คุณภาพมาตรฐาน และความปลอดภัยอย่างเข้มข้นต่อไป ขอให้ผู้บริโภคมั่นใจในผลิตภัณฑ์เครื่องมือแพทย์ที่ อย. กำกับดูแล หากผู้ประกอบการรายใดต้องการทราบรายละเอียดเพิ่มเติมหรือมีข้อแนะนำเกี่ยวกับผลิตภัณฑ์เครื่องมือแพทย์ใด ๆ สามารถสอบถามได้ที่ กองควบคุมเครื่องมือแพทย์ อย. โทรศัพท์ 0-2590-7149 ในวันและเวลาราชการ
อาดิดาส เปิดตัวแคมเปญ ‘Creator Studio’ ชวนแฟนบอลทั่วโลกออกแบบเสื้อทีมแบบที่ 3 (เฉพาะเสื้อทีม ไม่รวมกางเกงและถุงเท้า) สำหรับนักเตะระดับโลกจากทีมเรอัล มาดริด, บาเยิร์น มิวนิค, แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด, ยูเวนตุส, เอซี มิลาน และฟลาเมงโก โดยสามารถดีไซน์ชุดทีมและทำการอัพโหลดลงใน Creator Studio และเข้าสู่โหมดการแข่งขัน เพื่อรับการโหวตเสื้อทีมที่ผู้คนโดนใจและชื่นชอบมากที่สุด สำหรับชุดทีมที่ได้รับไลค์มากที่สุดจะได้เข้าท็อป 100 แกลลอรี่ของแต่ละคลับ การตัดสินผู้ชนะจะตัดสินโดยผู้เล่นที่เป็นไอคอนของทีม และที่สุดของความภูมิใจคือเสื้อทีมที่ชนะจะถูกผลิตขึ้นมาเพื่อให้นักบอลที่ถูกเลือกของแต่ละทีมสวมใส่เพื่อลงสนามในฤดูกาล 2017/2018 อย่ารอช้า มาระเบิดไอเดียของคุณได้ที่ www.adidas.com/creatorstudio/
นับว่าเป็นครั้งแรกที่อาดิดาสเปิดโอกาสให้บรรดาแฟนบอลออกแบบเสื้อทีมที่ชื่นชอบ สนับสนุนนักออกแบบสุดเจ๋งที่ต้องการเป็นส่วนหนึ่งของประวัติศาสตร์วงการฟุตบอล แกเร็ธ เบล นักบอลระดับตำนานจากทีมเรอัล มาดริด ได้กล่าวถึงแคมเปญนี้ว่า “เป็นโอกาสที่ดีมากสำหรับแฟนบอลทั่วโลกที่จะได้ทำเครื่องหมายของพวกเขาบนชุดทีมในดวงใจ และเป็นส่วนหนึ่งของประวัติศาสตร์ แฟน ๆ ของเรอัล มาดริดนับเป็นแฟนบอลที่ให้ความสนใจมากที่สุดในโลก และผมแทบจะอดใจรอที่จะเห็นชุดทีมที่จะชนะแทบจะไม่ไหว”
ส่วนมาร์คัส เบามันน์ ผู้จัดการอาดิดาสฟุตบอล กล่าวว่า “เราให้ทุกคนมีโอกาสในการสร้างสรรค์บางสิ่งที่มีเอกลักษณ์และน่าตื่นตาตื่นใจ Creator Studio เป็นโอกาสสำหรับแฟนบอลที่จะได้เป็นส่วนหนึ่งของประวัติศาสตร์ของสโมสรที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในโลก เราหวังว่าจะเห็นได้เห็นไอเดียสุดล้ำบนผู้เล่นจะสวมใส่ลงสนามในปีหน้าทั่วโลก”
ค้นหาข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ adidas.com/football หรือเยี่ยมชมเฟซบุ๊คที่ facebook.com/adidasfootball หรือติดตาม ผ่านทางทวิตเตอร์ได้ที่ @adidasfootball เพื่อร่วมพูดคุยกับเรา
นางอรพินท์ จันทร์พริ้ม ผู้อำนวยการอาวุโสฝ่ายผลิต บริษัทซีเกท เทคโนโลยี (ประเทศไทย) จำกัด (ที่ 3 จากซ้าย) ถ่ายภาพร่วมกับ นายอภิจิณ โชติกเสถียร รองอธิบดีกรมโรงงานอุตสาหกรรม (ที่ 4 จากซ้าย) และ ดร.เดชา พิมพิสุทธิ์ ผู้อำนวยการสำนักส่งเสริมการมีส่วนร่วมของประชาชน (ที่ 5 จากซ้าย) ในโอกาสที่โรงงานซีเกทโคราชได้รับรางวัลจากโครงการส่งเสริมอุตสาหกรรมให้มีความรับผิดชอบต่อสังคมและอยู่ร่วมกันกับชุมชนได้อย่างยั่งยืน ประเภท CSR-DIW Continuous ต่อเนื่องเป็นปีที่ 5 จากกรมโรงงานอุตสาหกรรม กระทรวงอุตสาหกรรม เมื่อเร็ว ๆ นี้
ปัจจัยสำคัญที่ทำให้โรงงานซีเกทโคราชได้รับรางวัลนี้อย่างต่อเนื่องคือการดำเนินงานครบทั้ง 7 ด้าน ได้แก่ การกำกับดูแลองค์กร แรงงาน สิทธิมนุษยชน สิ่งแวดล้อม การปฏิบัติที่เป็นธรรม ผู้บริโภค และการมีส่วนร่วมกับสังคมและชุมชน นอกจากนี้ ทางบริษัทฯ ยังคำนึงถึงการผลิตตลอดห่วงโซ่ ตั้งแต่วัตถุดิบ กระบวนการผลิตเพื่อให้การผลิตมีประสิทธิภาพมากที่สุด เกิดของเสียและมลพิษน้อยที่สุด ซึ่งจะส่งผลดีต่อชุมชนรอบข้าง ทำให้โรงงานสามารถอยู่ร่วมกับชุมชนและสังคมได้อย่างมีความสุขและยั่งยืน
มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมแกล้าธนบุรี (มจธ.) ได้จัด โครงการ International Research Advisory Panel (IRAP) ครั้งที่ 2 เพื่อส่งเสริมงานวิจัย กลุ่มวิจัย และคลัสเตอร์วิจัยของมหาวิทยาลัย โดยได้เชิญผู้เชี่ยวชาญในสาขาต่าง ๆ ซึ่งได้รับการยอมรับในระดับนานาชาติ จำนวน 8 ท่าน ได้แก่ Univ.Prof. Dr.Ing. Wolfgang Bleck, Chair of Institute of Ferrous Metallurgy RWTH Aachen University ประเทศเยอรมนี ผู้เชี่ยวชาญทางด้านโลหะศาสตร์ Professor Emeritus. Dr.Ing Hans Burkhardt ผู้เชี่ยวชาญสาขาICT, Electronics and Control, Prof. Arun Mujumdar ผู้เชี่ยวชาญสาขา Thermal&Chemical Process Engineering, Prof. Ralph Sims ผู้เชี่ยวชาญสาขา Energy, Environment & Climate Change, Prof.Deraldine Richmond, Prof. Supapan Serapin ผู้เชี่ยวชาญสาขา Materials Science and Technology และ Dr.Masa Iwanaga, Prof. Zhongli Pan ผู้เชี่ยวชาญสาขา Food and Agro-technology มาให้คำปรึกษาแนะนำการจัดทำนโยบายและยุทธศาสตร์วิจัย ตลอดจนช่วยวิเคราะห์ปัญหาและอุปสรรคพร้อมทั้งเสนอแนะแนวทางการเสริมสร้างความเข้มแข็งและการพัฒนางานวิจัยของมหาวิทยาลัย โดยมี รศ.ดร.ศักรินทร์ ภูมิรัตน อธิการบดี และ รศ.ดร.บัณฑิต ฟุ้งธรรมสาร รองอธิการบดีอาวุโสฝ่ายวิจัยและนวัตกรรม ตลอดจนผู้บริหาร คณาจารย์และนักวิจัยของมหาวิทยาลัยเข้าร่วมงานเป็นจำนวนมาก ทั้งนี้เพื่อส่งเสริมความเข้มแข็งและการพัฒนาศักยภาพงานวิจัย กลุ่มงานวิจัยและคลัสเตอร์วิจัยใน 7 สาขาของมหาวิทยาลัย และตอกย้ำการเป็นมหาวิทยาลัยวิจัยที่จะตอบสนองความต้องการของประเทศได้อย่างแท้จริง
ภายหลังจาก FOMM Corporation ซึ่งเป็นบริษัทผู้ผลิตและออกแบบยานยนต์ไฟฟ้าขนาดเล็กจากประเทศญี่ปุ่น ได้ลงนามความร่วมมือกับมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรี (มจธ.) เพื่อร่วมกันพัฒนาเทคโนโลยีและนวัตกรรมของยานยนต์ไฟฟ้าขนาดเล็กในประเทศไทยเมื่อต้นเดือนสิงหาคม 2559 ที่ผ่านมา ล่าสุด FOMM ร่วมกับ Center of Low Carbon Vehicle (Lo-Ve) มจธ. และ KX (Knowledge Exchange) จัด FOMM Supplier Day เพื่อให้ผู้ประกอบการและเครือข่ายอุตสาหกรรมยานยนต์เข้าร่วมรับฟังให้ความรู้เทคโนโลยียานยนต์ไฟฟ้าของบริษัทและแผนบริษัท โดยมี บริษัท Supplier สนใจเข้าร่วมรับฟังจำนวน 72 บริษัท
ผศ.ดร.ยศพงษ์ ลออนวล (คนขวา) ประธานคณะทำงานคลัสเตอร์วิจัยยานยนต์ มจธ. เปิดเผยว่า Center of low Carbon Vehicle (Lo-Ve) ภายใต้คลัสเตอร์วิจัยยานยนต์ มีความพร้อมที่จะทำงานวิจัยและพัฒนาทำงานร่วมกับภาคอุตสาหกรรมเพื่อตอบโจทย์ทางด้าน Smart Mobility โดยพัฒนาองค์ความรู้ด้านยานยนต์ที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม โดย Lo-Ve ได้วางแผนการทำวิจัยในปี 2559 ใน 3 โปรแกรมหลัก คือ หนึ่งระบบส่งกำลังเครื่องยนต์ หรือ Power train ที่ไม่จำเพาะอยู่ที่เครื่องยนต์เท่านั้นแต่จะวิจัยเพื่อการพัฒนากำลังมอเตอร์และแบตเตอรี่ สองคือการพัฒนาความปลอดภัยของรถโดยสาร (Bus development for safety) เพื่อพัฒนาอุตสาหกรรมผู้ประกอบตัวถังรถขนาดใหญ่ให้ใช้องค์ความรู้ด้านเอ็นจิเนียริ่งมากขึ้น และสามคือ ยานยนต์ไฟฟ้า (Electric vehicles) ซึ่งความร่วมมือกับบริษัท FOMM เป็นตัวอย่างที่ดีของเอกชนที่มีความตั้งใจที่จะผลิตยานยนต์ไฟฟ้าในประเทศไทย
“ผมได้คุยกับ Mr.Hideo Tsurumaki (คนซ้าย) ประธานบริษัท FOMM Corporation แล้วและเขาอยากจะเห็นการผลิตชิ้นส่วนภายในประเทศไทย 70 เปอร์เซ็นต์ในช่วงต้น เนื่องจากบางชิ้นส่วน เช่น มอเตอร์ และแบตเตอรี่ ปัจจุบันยังไม่สามารถผลิตได้ในประเทศ ซึ่ง Lo-Ve เรามีเครือข่ายพันธมิตรและนักวิจัยเพื่อพัฒนาให้สามารถผลิตได้เองในประเทศ”
ทางประธานบริษัท FOMM เปิดเผยว่า ภายหลังจากพูดคุยเจรจาจับคู่ทำธุรกิจ ( Business matching) ระหว่าง FOMM กับ บริษัท Supplier เมื่อวันที่ 11 สิงหาคมที่ผ่านมา มีบริษัท 7 แห่งตกลงจับคู่ธุรกิจ เพื่อผลิตชิ้นส่วนยานยนต์ไฟฟ้าให้กับ FOMM ที่มีแผนผลิตยานยนต์ไฟฟ้ารุ่นแรกในประเทศไทยในเร็ว ๆ นี้
กรมโรงงานอุตสาหกรรม กระทรวงอุตสาหกรรม จับมือ 6 กระทรวง ลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือด้านความปลอดภัยและอาชีวอนามัยของประเทศไทย (Safety Thailand) ได้แก่ กระทรวงแรงงาน กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงมหาดไทย กระทรวงสาธารณสุข กระทรวงอุตสาหกรรม และ กระทรวงคมนาคม บูรณาการทำงาน 3 ด้าน ได้แก่ 1.ด้านความปลอดภัยในการทำงานก่อสร้าง 2.ด้านความปลอดภัยในการทำงานเกี่ยวกับอัคคีภัย และ3.ด้านความปลอดภัยในการทำงานกับสารเคมี ภายใต้กรอบการดำเนินงาน 3 มิติ คือ มิติการส่งเสริมสนับสนุนในการดำเนินงาน มิติการกำกับดูแล และมิติการมีส่วนร่วมของประชาชน ในระยะเวลา 6 เดือน ตามยุทธศาสตร์ด้านความปลอดภัยและอาชีวอนามัยของประเทศไทย (Safety Thailand) เพื่อลดการเกิดอุบัติเหตุ อุบัติภัยและโรคจากการทำงาน
นายมงคล พฤกษ์วัฒนา ผู้ตรวจราชการกระทรวงอุตสาหกรรม รักษาราชการแทนอธิบดีกรมโรงงานอุตสาหกรรม กล่าวว่า สถิติการเกิดอุบัติเหตุในโรงงานในช่วงครึ่งปีแรก 2559 (ม.ค.59 – มิ.ย.59) พบว่า เกิดอุบัติเหตุและอุบัติภัย จำนวน 89 ครั้ง โดยเกิดอัคคีภัยมากที่สุด จำนวน 66 ครั้ง การระเบิด จำนวน 3 ครั้ง สารเคมีรั่วไหล จำนวน 6 ครั้ง และอุบัติเหตุอื่น ๆ เกี่ยวกับเครื่องจักร ไฟฟ้าดูด ภัยธรรมชาติ จำนวน 14 ครั้ง ซึ่งลดลงเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนที่เกิดอุบัติเหตุในโรงงาน จำนวน 109 ครั้ง แบ่งเป็น อัคคีภัย จำนวน 84 ครั้ง การระเบิด จำนวน 7 ครั้ง สารเคมีรั่วไหล จำนวน 6 ครั้ง และอุบัติเหตุอื่นๆ เกี่ยวกับเครื่องจักร ไฟฟ้าดูด ภัยธรรมชาติ จำนวน 12 ครั้ง เห็นได้ชัดว่าสถิติการเกิดอุบัติเหตุและอุบัติภัยในโรงงานปี 2559 มีจำนวนลดลง ซึ่งส่วนหนึ่งมาจากการรณรงค์ การอบรม ให้ความรู้ความเข้าใจด้านวิชาการ การเผยแพร่คู่มือเอกสารต่างๆ ด้านความปลอดภัยตลอดจนการเข้มงวดในการกำกับดูแลและทำงานร่วมกับเครือข่ายและผู้มีส่วนเกี่ยวข้องกับความปลอดภัยในโรงงาน
นายมงคล กล่าวต่อว่า จากปัญหาดังกล่าวที่เป็นสาเหตุการเกิดอุบัติเหตุอุบัติภัยในโรงงาน กรมโรงงานฯ จึงร่วมกับหน่วยงานภาครัฐ 6 กระทรวง ได้แก่ กระทรวงแรงงาน โดยกรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน สำนักงานประกันสังคม กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ โดยกรมวิชาการเกษตร กระทรวงมหาดไทย โดยกรมการปกครอง กรมโยธาธิการและผังเมือง กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย และกรมส่งเสริมการปกครองส่วนท้องถิ่น กระทรวงสาธารณสุข โดยกรมอนามัย และกรมควบคุมโรค กระทรวงอุตสาหกรรม โดยกรมโรงงานอุตสาหกรรม และ กระทรวงคมนาคม ในการขับเคลื่อนด้านความปลอดภัยและลดการเกิดอุบัติเหตุอุบัติภัยจากการทำงานในโรงงานให้เป็นศูนย์ โดยได้บูรณาการทำงานร่วมกันภายใต้กรอบการดำเนินงาน 3 มิติ คือ มิติการส่งเสริมสนับสนุนในการดำเนินงาน มิติการกำกับดูแล และมิติการมีส่วนร่วมของประชาชน
ทั้งนี้ กรมโรงงานฯ จะเข้าไปดูแลด้านความปลอดภัยในการทำงานเกี่ยวกับอัคคีภัย และด้านความปลอดภัยในการทำงานกับสารเคมี เพื่อส่งเสริมด้านความรู้ความเข้าใจให้ผู้ประกอบการและพนักงานได้รู้ถึงมาตรฐานความปลอดภัยเพื่อที่สามารถนำไปใช้เป็นแนวทางปฏิบัติให้เกิดความปลอดภัยในโรงงาน ผ่านโครงการกิจกรรมต่าง ๆ อาทิ การส่งเสริมและการพัฒนาความปลอดภัยในโรงงานอุตสาหกรรมกับโรงงานขนาดกลางและขนาดเล็กที่มีความเสี่ยงการเกิดอัคคีภัยได้ง่าย การทำระบบบริหารจัดการความปลอดภัยสู่โรงงาน ร่วมมือกับ 6 โรงงานที่ใช้สารเคมีอันตรายสูง การอบรมให้ความรู้เกี่ยวกับมาตรฐานของถังเก็บสารเคมีและมาตรการความปลอดภัย พร้อมแจกคู่มือการออกแบบติดตั้งและตรวจสอบความปลอดภัยของถังเก็บสารเคมี การจัดสัมมนาให้ความรู้แก่ผู้ประกอบการเกี่ยวกับกฎหมายความปลอดภัย รวมถึงการทำแบบประเมินตนเอง (Self Checklist) เพื่อให้โรงงานได้ทำการประเมินตรวจสอบ เพื่อดำเนินการปรับปรุงแก้ไขในเบื้องต้น โดยในระยะแรกมุ่งเป้าหมายไปที่กลุ่มโรงงานที่เสี่ยงติดไฟได้ง่าย เช่น สิ่งทอ เฟอร์นิเจอร์ พลาสติก สารไวไฟ กระดาษ เป็นต้น นายมงคล กล่าวสรุป
กรมโรงงานอุตสาหกรรม กระทรวงอุตสาหกรรม เร่งนำส่งกากอันตราย หลังการเข้าตรวจสอบเรือขนส่งสินค้าจากประเทศญี่ปุ่น ตรวจพบซากเครื่องใช้ไฟฟ้าและอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ที่ใช้แล้ว จำนวน 7 ตู้คอนเทรนเนอร์ ปริมาณรวม 196.11 ตัน ซึ่งกากอันตรายดังกล่าวจัดเป็นของเสียอันตรายตามอนุสัญญาบาเซลและเป็นวัตถุอันตรายชนิดที่ 3 แห่ง พ.ร.บ.วัตถุอันตราย พ.ศ. 2535 ผู้ใดนำเข้าจะต้องได้รับการ อนุญาตนำเข้าวัตถุอันตราย อย่างไรก็ตาม เหตุการณ์ดังกล่าวนับว่าเป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นครั้งแรกในประเทศไทย ทั้งนี้ กรมโรงงานอุตสาหกรรม จะดำเนินการส่งของเสียอันตรายทั้งหมดดังกล่าวกลับไปยังประเทศญี่ปุ่นในวันที่ 29 กรกฎาคม 2559 ที่ผ่านมา และคาดว่าจะถึงประเทศต้นทางในวันที่ 7 สิงหาคม 2559 หลังจากนั้นกระทรวงสิ่งแวดล้อม ประเทศญี่ปุ่น จะดำเนินคดีตามกฎหมายกับผู้ส่งออกต่อไป
นายศักดา พันธ์กล้า รองปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม กล่าวว่า กระทรวงอุตสาหกรรม โดยกรมโรงงานอุตสาหกรรม ได้รับแจ้งจากกระทรวงสิ่งแวดล้อม ประเทศญี่ปุ่น ให้เฝ้าระวังและตรวจสอบสินค้าที่จะมีการนำเข้าประเภทเครื่องใช้ไฟฟ้าและอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ ซึ่งเป็นสินค้าที่เข้าข่ายการควบคุมการเคลื่อนย้ายข้ามแดน กรมโรงงานอุตสาหกรรม จึงได้ประสานความร่วมมือไปยังกรมศุลกากรเพื่อเฝ้าระวังการนำเข้าสินค้าประเภทดังกล่าวเข้ามายังประเทศไทย โดยเมื่อวันที่ 28 สิงหาคม 2557 ที่ผ่านมา เจ้าหน้าที่กรมโรงงานอุตสาหกรรม ร่วมกับ เจ้าหน้าที่ศุลกากรท่าเรือแหลมฉบัง จังหวัดชลบุรี เข้าตรวจสอบตู้คอนเทนเนอร์ จำนวน 8 ตู้ ที่ท่าเรือแหลมฉบัง โดยมีต้นทางจากประเทศญี่ปุ่น ซึ่งสินค้าสำแดงเป็นเศษโลหะ (Metal Scrap) เศษทองแดง (Copper Scrap) และเศษอลูมิเนียม (Aluminum Scrap) จากการตรวจสอบสินค้าจำนวน 1 ตู้คอนเทนเนอร์ถูกต้องตรงตามสำแดง แต่ตู้คอนเทนเนอร์ อีกจำนวน 7 ตู้ที่เหลือ ตรวจพบเป็นซากเครื่องใช้ไฟฟ้าและอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ที่ใช้แล้ว ซึ่งมีปริมาณรวม 196.11 ตัน
นายศักดา กล่าวต่อว่า ซากเครื่องใช้ไฟฟ้าและอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ที่ใช้แล้ว ดังกล่าวจัดเป็นของเสียอันตรายตามอนุสัญญาบาเซลและเป็นวัตถุอันตรายชนิดที่ 3 ตาม พ.ร.บ.วัตถุอันตราย พ.ศ. 2535 โดยการนำเข้าต้องได้รับอนุญาตจากกรมโรงงานอุตสาหกรรม โดยกรณีดังกล่าวทำให้ผู้นำเข้ามีความผิดตามมาตรา 23 แห่ง พ.ร.บ. วัตถุอันตราย พ.ศ.2535 รวมถึงมีความผิดฐานสำแดงชนิดสินค้าเป็นเท็จเพื่อหลีกเลี่ยงข้อห้าม ตาม พ.ร.บ.ศุลกากร พ.ศ.2469 อย่างไรก็ตาม กระทรวงอุตสาหกรรม โดย กรมโรงงานอุตสาหกรรม ดำเนินการประสานไปยังกรมศุลกากร กรมควบคุมมลพิษ และเอกชนที่เกี่ยวข้องกับกรณีนี้เพื่อยุติปัญหาและได้ดำเนินคดีตามกฎหมายกับผู้นำเข้า ขณะเดียวกันได้ประสานไปยังกระทรวงสิ่งแวดล้อม ประเทศญี่ปุ่น เพื่อขอคำยินยอมเป็นลายลักษณ์อักษรในการส่งสินค้าดังกล่าวกลับต้นทาง โดยประเทศญี่ปุ่น ได้ตอบรับและยินยอมให้ส่งของเสียทั้งหมดกลับคืนต้นทาง
ด้าน นายสมคิด วงศ์ไชยสุวรรณ รองอธิบดีกรมโรงงานอุตสาหกรรม กล่าวต่อว่า กรมโรงงานอุตสาหกรรม กรมศุลกากร กรมควบคุมมลพิษ และสถานเอกอัครราชทูตญี่ปุ่นประจำประเทศไทย ได้จัดพิธีเตรียมการจัดส่งของเสียอันตรายทั้งหมด โดยของเสียดังกล่าวจะถูกส่งกลับไปยังประเทศญี่ปุ่นมีกำหนดเดินทางในวันที่ 29 กรกฎาคม 2559 คาดว่าจะถึงประเทศต้นทางในวันที่ 7 สิงหาคม 2559 หลังจากนั้นกระทรวงสิ่งแวดล้อม ประเทศญี่ปุ่น จะดำเนินคดีตามกฎหมายกับผู้ส่งออกต่อไป อย่างไรก็ตาม ความพยายามในการส่งกลับสินค้าที่เข้าข่ายเป็นของเสียอันตรายตามอนุสัญญาบาเซล นอกจากจะเป็นการปฏิบัติเพื่อให้เป็นไปตามข้อกำหนดของอนุสัญญาบาเซลแล้ว ยังเป็นการแสดงถึงความร่วมมือระหว่างรัฐบาลไทยและรัฐบาลญี่ปุ่นที่มีเจตนารมณ์ในการยุติปัญหาการลักลอบเคลื่อนย้ายของเสียอันตรายระหว่างประเทศ และแสดงถึงความเอาจริงเอาจังของรัฐบาลไทยในการป้องกันการลักลอบนำเข้าของเสียที่เป็นอันตรายเข้ามาทิ้งภายในประเทศโดยไม่ปฏิบัติตามกฎหมาย อีกทั้งยังเป็นการร่วมมือระหว่างรัฐบาลไทยและรัฐบาลญี่ปุ่นที่ให้ความสำคัญในการดำเนินตามพันธกรณีที่ประเทศไทยได้ให้สัตยาบันไว้ในการร่วมมือกับนานาประเทศเพื่อยุติปัญหาการลักลอบเคลื่อนย้ายของเสียอันตรายระหว่างประเทศและเป็นการอนุวัติให้เป็นไปตามข้อตกลงของอนุสัญญาบาเซล ตลอดจนเพื่อสร้างมาตรฐานของการบริหารกากของเสียของไทยให้เป็นไปตามมาตรฐานการจัดการกากของเสียสากล
นายเกรียงศักดิ์ ชินวงษ์ (ที่ 3 จากขวา) หัวหน้าแผนกอุปกรณ์ควบคุม สังกัดกองเดินเครื่อง โรงไฟฟ้าพลังน้ำ ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย ให้การต้อนรับ นางสาวอลิสา ไม้ลำดวน (ที่ 2 จากซ้าย) ฝ่ายการตลาด ตัวแทนจาก บริษัท แอ็กซิส คอมมูนิเคชันส์ จำกัด, นายบารมี อัมพุมน (ที่ 3 จากซ้าย) ผู้จัดการฝ่ายขาย ส่วนภูมิภาค (Channel Sale Province Manager) บริษัท ดิจิตอลคอม จำกัด, นายธีรศักดิ์ เจนเวชประเสริฐ (ที่ 2 จากขวา) บริษัท เอท บิต โซลูชัน จำกัด ในโอกาสเข้าเยี่ยมชมเขื่อนอุบลรัตน์ จ.ขอนแก่น ซึ่งเป็นศูนย์ควบคุมโรงไฟฟ้าพลังงานน้ำภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ประกอบด้วยเขื่อนน้ำพุง เขื่อนสิรินธร เขื่อนจุฬาภรณ์ และเขื่อนห้วยกลุ่ม โดยทุกเขื่อนใช้ระบบวีดีโอจากกล้องวงจรปิดของแอ็กซิส เพื่อตรวจความขึ้นลงของน้ำในเขื่อนโรงไฟฟ้าและความปลอดภัยของสถานที่โดยรวม โดยสังเกตการณ์จากศูนย์ควบคุมในที่เดียว ณ เขื่อนอุบลรัตน์ จ.ขอนแก่น
ดร.มารุต มณีสถิตย์ กรรมการผู้จัดการประจำประเทศไทย และพม่า บริษัท ฮิตาชิ ดาต้า ซิสเต็มส์ พีทีอี ลิมิเต็ด (ที่ 2 จากซ้าย) ร่วมกับ มร.ไมเคิล นามาติเนีย กรรมการผู้อำนวยการใหญ่ ประจำภาคพื้นเอเชีย แปซิฟิค บริษัท บริษัท วิซอาร์ที (ประเทศไทย) จำกัด (ขวาสุด), นางสาวยุพาพักตร์ ตะวันนา กรรมการบริหาร/ผู้อำนวยการภูมิภาค บริษัท วิซอาร์ที (ประเทศไทย) จำกัด(ที่ 2 จากขวา) และ มร.เวการ์ด เอลเกเซ็ม ผู้จัดการผลิตภัณฑ์สตูดิโอ ออโตเมชั่น ประจำภาคพื้นเอเชียแปซิฟิก บริษัท วิซอาร์ที (ประเทศไทย) จำกัด (ซ้ายสุด) แถลงความร่วมมือกันในโซลูชั่น Media Asset Management (MAM) เทคโนโลยีที่ทำหน้าที่จัดเก็บและบริหารจัดการข้อมูล คอนเทนต์ ไฟล์ มีเดีย ให้ผู้ผลิตสื่อและบันเทิง สามารถเก็บรักษาคอนเทนต์ให้ปลอดภัยและทนทาน เข้าถึงได้อย่างรวดเร็ว เพื่อให้ทันเวลาในการแข่งขันทางการตลาด สามารถนำมาใช้งานได้เป็นระยะเวลานาน และมีความปลอดภัย นับเป็นสุดยอดโซลูชั่นสำหรับธุรกิจสื่อและบันเทิงที่ทันสมัยที่สุดแห่งยุค
นายสุวิทย์ จินดาสงวน ประธานกรรมการ บริษัท อินเตอร์เน็ต โซลูชั่น แอนด์ เซอร์วิส โพรวายเดอร์ จำกัด หรือ ไอเอสเอสพี รับมอบของที่ระลึกจาก นายถิรพันธุ์ สรรพกิจ ผู้ช่วยผู้จัดการ หัวหน้าสายงานเทคโนโลยีสารสนเทศ ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ในโอกาสที่เป็นวิทยากรบรรยายในงานสัมมนา IT Future for Listed Company หัวข้อ “Cloud Adoption” ให้กับกลุ่มผู้บริหารด้านไอทีบริษัทในตลาดหลักทรัพย์ เพื่อให้เกิดการตื่นตัวในการเลือกใช้เครื่องมือสารสนเทศและเทคโนโลยีที่ทันสมัย และนำมาปรับใช้ในการดำเนินธุรกิจ ช่วยเพิ่มศักยภาพในการแข่งขันและลดต้นทุนไปพร้อม ๆ กัน โดยการเข้าร่วมงานในครั้งนี้ ไอเอสเอสพี ยังได้จัดบูธแนะนำผลิตภัณฑ์คลาวด์ให้กับผู้เข้าร่วมงานสัมมนาให้ได้รับความรู้และได้รับความสนใจเป็นอย่างมาก ณ อาคารสำนักงานใหญ่ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ถนนพระราม 9
เอบีบี และ Solar Impulse ได้ปิดฉากการเดินทางรอบโลกโดยเครื่องบินที่ไม่ใช้น้ำมันเชื้อเพลิงอย่างสมบูรณ์ แสดงให้เห็นว่า เราสามารถสร้างโลกที่ก้าวหน้าได้ โดยไม่ทำลายธรรมชาติ และในฐานะที่ เอบีบี เป็นผู้นำในการบุกเบิกด้านเทคโนโลยี เราสามารถทำให้ประโยคนี้ เกิดเป็นรูปธรรมได้จริง
Solar Impulse สร้างประวัติศาสตร์ในการเป็นเครื่องบินพลังแสงอาทิตย์ที่บินรอบโลกสำเร็จเป็นลำแรก เครื่องบินได้ลงจอด ณ จุดที่ออกเดินทางในกรุง อาบูดาบี เมื่อเวลา 04.05 ตามเวลาท้องถิ่น หลังจากออกเดินทางเที่ยวสุดท้ายจากกรุงไคโร รวมเวลา 48 ชั่วโมง 37 นาที
เอบีบี สรรสร้างนวัตกรรมและเทคโนโลยีอย่างไม่หยุดยั้งไปพร้อมกับ Solar Impulse เนื่องจากโครงการนี้ประสบความสำเร็จได้ โดย Solar Impulse ที่เป็นผู้ดำเนินการภาคอากาศ ในขณะที่เอบีบี ผู้นำด้านเทคโนโลยีไฟฟ้ากำลังและเทคโนโลยีอัตโนมัติมากว่า 125 ปีในประเทศสวิสเซอร์แลนด์เป็นฝ่ายปฏิบัติการภาคพื้นดิน
Andre Borschberg ผู้ร่วมก่อตั้ง ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและนักบิน โครงการ Solar Impulse กล่าวถึงคุณค่าของการร่วมมือในครั้งนี้ว่า "ภารกิจจะไม่ประสบความสำเร็จหากขาดผู้เชี่ยวชาญและการสนับสนุนจากเอบีบีและองค์กรอื่น ๆ ที่มีส่วนร่วมกับโครงการนี้ โดยผู้เชี่ยวชาญและวิศวกรของเอบีบี ได้เกาะติดในการปฏิบัติภารกิจภาคพื้นดินตลอดเที่ยวบินรอบโลก"
ด้วยความพยายามในการบินรอบโลกครั้งนี้ Solar Impulse ได้พบกับความท้าทายอย่างมาก โดยเอบีบีได้เข้าไปช่วยแก้ปัญหาภาคพื้นดิน เช่น การนำพลังงานไฟฟ้าที่ได้จาก Solar Cells ซึ่งเป็นพลังงานทดแทนมาใช้ให้เกิดประโยชน์สูงสุดร่วมกันกับระบบการจ่ายพลังงานไฟฟ้า และปรับปรุงประสิทธิภาพการใช้พลังงานให้มีประสิทธิภาพ
ในช่วงเวลาทำการบินรอบโลก Solar Impulse ได้หยุดจอดพักเครื่องในสี่ทวีป (เอเชีย, อเมริกาเหนือ, ยุโรปและแอฟริกา) และบินข้ามสองมหาสมุทร (มหาสมุทรแปซิฟิกและมหาสมุทรแอตแลนติก) ทั้งยังข้ามทะเลเมดิเตอร์เรเนียนและคาบสมุทรอาหรับ โดยนักบินได้ทำการบันทึกการบินเป็นช่วง ๆ รวมถึงช่วงระยะเวลาการบินที่นานที่สุดจากญี่ปุ่นไปฮาวาย (117 ชั่วโมง 52 นาที) โดย André Borschberg และการบินข้ามมหาสมุทรแอตแลนติกเป็นครั้งแรกด้วยเครื่องบินพลังงานแสงอาทิตย์โดย Bertrand Piccard
ABB (www.abb.com) คือผู้นำด้านเทคโนโลยีระดับโลกในด้านไฟฟ้ากำลังและระบบอัตโนมัติซึ่งช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการดำเนินงานให้แก่การผลิตในกิจการสาธารณูปโภค อุตสาหกรรม การขนส่งและโครงสร้างพื้นฐาน และลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมในขณะเดียวกัน กลุ่มบริษัท ABB ดำเนินธุรกิจในกว่า 100 ประเทศทั่วโลกและมีพนักงานประมาณ 135,000 คน
Under Armour (อันเดอร์ อาร์เมอร์) ผู้นำด้านการผลิตเสื้อผ้ากีฬาที่มีเทคโนโลยีที่มีประสิทธิภาพ ฉลองครบรอบ 1 ปี ในการดำเนินธุรกิจในประเทศไทยในเดือนสิงหาคม 2559
ตั้งแต่เปิดแบรนด์ เฮาส์ แห่งแรก ณ ศูนย์การค้าสยาม เซ็นเตอร์ ในวันที่ 1 สิงหาคม 2558 ที่ผ่านมา Under Armour (อันเดอร์ อาร์เมอร์) ได้เปิดร้านในพื้นที่ยุทธศาสตร์ในกรุงเทพมหานคร รวม 6 สาขา โดยภายในปีนี้ มีแผนจะเปิดให้บริการอีก 2 สาขา ที่เซ็นทรัล เฟสติวัล พัทยา จังหวัดชลบุรี ในเดือนตุลาคม และที่จังซีลอน จังหวัดภูเก็ต ในเดือนธันวาคม ซึ่งการขยายสาขาของ Under Armour (อันเดอร์ อาร์เมอร์) สะท้อนให้เห็นถึงความนิยมของกีฬาและการออกกำลังกายที่เติบโตขึ้นเป็นอย่างมากในประเทศไทย โดยที่ Under Armour (อันเดอร์ อาร์เมอร์) มีความเชี่ยวชาญในการช่วยพัฒนาศักยภาพให้แก่นักกีฬาด้วยการผลิตเสื้อผ้ากีฬาและเอสเซสเซอร์รี่ที่มีการพัฒนาทางเทคโนโลยีที่ครอบคลุมตั้งแต่หัวจรดเท้า (Head-to-toe)
ไมเคิล บิงเกอร์ ประธานบริหาร และ ผู้ร่วมก่อตั้ง บริษัท ทริปเปิ้ล (Triple Pte. Ltd) ผู้จัดจำหน่าย Under Armour (อันเดอร์ อาร์เมอร์) แต่เพียงผู้เดียวในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ กล่าวว่า “ผลิตภัณฑ์ของ Under Armour (อันเดอร์ อาร์เมอร์) ถูกสร้างขึ้นเพื่อช่วยให้นักกีฬาแสดงศักยภาพได้ดียิ่งขึ้น โดยยังคงพัฒนาฐานสำคัญในกลุ่มเสื้อผ้าเทรนนิ่งซึ่งเป็นผลิตภัณฑ์หลัก ทั้งยังให้ความสำคัญกับการออกกำลังกายแบบเทรนนิ่งซึ่งเป็นหัวใจสำคัญในการพัฒนาศักยภาพของการเล่นกีฬาทุกชนิด
ความสำเร็จของแบรนด์เสื้อผ้าและเอสเซสเซอร์รี่ที่โด่งดังจากประเทศสหรัฐอเมริกานี้ ไม่ได้มาจากความนิยมการออกกำลังกายของกลุ่มลูกค้าที่เพิ่มขึ้นเท่านั้น แต่เป็นผลจากการผลิตสินค้าที่มีความหลากหลายด้วยนวัตกรรมล่าสุดในการช่วยผลักดันศักยภาพของผู้สวมใส่ด้วยเช่นกัน โดยล่าสุด Under Armour (อันเดอร์ อาร์เมอร์) เปิดตัวเทคโนโลยี คูลสวิตช์ (CoolSwitch) ในผลิตภัณฑ์คอลเลคชั่น สปริง ซัมเมอร์ 2016 ที่รวม 3 ส่วนประกอบสำคัญหลักเพื่อทำให้ร่างกายมีความเย็นเพื่อให้สามารถแสดงศักยภาพได้สูงสุด นอกจากนี้ยังมีการจัดจำหน่ายผลิตภัณฑ์สำหรับกีฬาต่าง ๆ รวมทั้ง UA Drive One รองเท้ากอล์ฟคอลเลคชั่นของจอร์แดน สปีธ ซึ่งมีคุณสมบัติกันน้ำและระบายอากาศได้ดีเยี่ยม เป็นการผสมผสานความมั่นคงและการยึดเกาะไว้ได้อย่างลงตัว นอกจากนี้ยังได้เปิดตัวรองเท้ารุ่น Bandit 2 (แบนดิท ทู) โดดเด่นด้วยเทคโนโลยีการขึ้นทรงช่วงส้นเท้าแบบไร้รอยต่อ ช่วยให้การวิ่งเป็นไปได้อย่างต่อเนื่องเหมาะสำหรับผู้ที่ชื่นชอบการวิ่ง โดย Under Armour (อันเดอร์ อาร์เมอร์) จะจัดแคมเปญ #RunwithFight (#รันวิทไฟท์) เพื่อกระตุ้นให้คนหันมาวิ่งและออกกำลังกายมากขึ้น
สำหรับการดำเนินธุรกิจในประเทศไทย และโฉมใหม่ของแบรนด์ เฮาส์ Under Armour (อันเดอร์ อาร์เมอร์) มีขนาดใหญ่ที่สุดในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ด้วยพื้นที่ 380 ตารางเมตร ส่วนการขยายสาขาจะรุกไปต่างจังหวัดและหัวเมืองใหญ่มากขึ้น เพื่อขยายกลุ่มเป้าหมายในแต่ละพื้นที่ที่แตกต่างกัน รวมทั้งขยายช่องทางขายไปยังร้านมัลติแบรนด์ และสเปเชียลสโตร์ ซึ่งการขยายสาขาในไทยเพิ่มขึ้นเพราะมองเห็นโอกาสในการเติบโตของตลาดสปอร์ตแวร์ โดยในไทยยังมีสาขาน้อยเมื่อเทียบกับประเทศอื่นในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ โดยมาเลเซียมี 7 สาขา สิงคโปร์ 5 สาขา ฟิลิปปินส์ 5 สาขา อินโดนีเซีย 2 สาขา และเวียดนาม 1 สาขา
สำหรับตลาดรวมเสื้อผ้ากีฬาในไทยมีมูลค่าประมาณ 250 ล้านเหรียญสหรัฐ หรือประมาณ 9 พันล้านบาท เติบโต 7-10% ต่อปี ขณะที่ตลาดรวมในเซาต์อีสต์เอเซียมีมูลค่าประมาณ 1 พันล้านเหรียญสหรัฐ หรือประมาณ 3.5 หมื่นล้านบาท ส่วนราคาสินค้าของอันเดอร์อาร์เมอร์ในไทยจะมีความแตกต่างกับประเทศอื่นประมาณ 10-15%
“การเข้ามาทำตลาดในไทยเพิ่มขึ้นจะช่วยผลักดันให้ยอดขายในเซาต์อีสต์เอเซียเพิ่มอีกเท่าตัว ส่วนในไทยที่ผ่านมาเติบโต 15-20% ขณะที่ 6 เดือนแรกปี มียอดขายเติบโต 15-20% เช่นกัน สำหรับตัวเลขคาดการณ์ในขวบปีที่ 2 ของ Under Armour เติบโตเท่าตัวจากปีที่แล้วส่วนยอดขายผ่านออนไลน์มีสัดส่วน 5 % ของรายได้ ล่าสุดได้ขยายพื้นที่สาขาแรกที่สยามเซ็นเตอร์ที่เมื่อปีที่แล้ว รวมเป็น 380 ตร.ม. โดยมีคนเข้าร้านประมาณ 2-3 พันคนต่อวัน” นายไมเคิลกล่าวทิ้งท้าย
(จากซ้ายไปขวา) จริญญา เขียวหวาน ผู้จัดการฝ่ายการตลาด บริษัท ยู เอ สปอร์ต (ประเทศไทย) จำกัด, ไมเคิล บิงเกอร์ ประธานบริหาร และผู้ร่วมก่อตั้งบริษัท ทริปเปิ้ล จำกัด และ ปริศนา ศิริสมถะ ผู้จัดการทั่วไป บริษัท ยู เอ สปอร์ต (ประเทศไทย) จำกัด
ดาว วอเทอร์ แอนด์ พรอเซส โซลูชั่น หน่วยธุรกิจของบริษัท ดาว เคมิคอล (NYSE: Dow) จัดงานสัมมนาเทคโนโลยีอัลตราฟิลเทรชันเพื่อนำเสนอโซลูชั่นและเทคโนโลยีที่สามารถรองรับความต้องการทรัพยากรน้ำที่มากขึ้นของภาครัฐและเอกชน รวมถึงผู้ประกอบการในประเทศไทยที่กำลังหาวิธีการนำน้ำกลับมาใช้ใหม่ให้เกิดประสิทธิภาพ ลดค่าใช้จ่ายในการดำเนินธุรกิจ และส่งผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมให้น้อยที่สุด งานสัมมนานี้จัดขึ้นเพื่อตอกย้ำถึงความมุ่งมั่นของบริษัทในการแก้ปัญหาการจัดการทรัพยากรน้ำที่ท้าทายในประเทศไทย ตามข้อตกลงของดาวในความร่วมมือในกลุ่มจัดการทรัพยากรน้ำระดับโลก 2030 Water Resource Group (2030 WRG) เพื่อสนับสนุนและร่วมมือกับภาครัฐ ภาคเอกชน และประชาชนทั่วไป ในด้านการบริหารจัดการน้ำอย่างยั่งยืน
ประเทศไทยประสบปัญหาภัยแล้งขั้นรุนแรงในรอบ 2 ปี ปัญหาด้านน้ำอื่น ๆ ในประเทศที่ท้าทาย ได้แก่ ความเสี่ยงต่ออุทกภัย ซึ่งส่งผลต่อการ ปนเปื้อนในน้ำดื่ม และโรคที่มากับน้ำ จากข้อมูลในระหว่างปี พ.ศ.2557- 2558 พบว่ามีเด็กอายุต่ำกว่า 5 ขวบมากกว่า 340,600 คนที่เสียชีวิตจากโรคท้องร่วง เนื่องจากสุขอนามัยที่ไม่ได้มาตรฐานรวมถึงคุณภาพของน้ำดื่มที่ไม่ปลอดภัย1 การขยายตัวของเมืองที่รวดเร็วในประเทศไทย การเพิ่มขึ้นของจำนวนประชากร รวมถึงการขยายตัวของภาคการเกษตรและอุตสาหกรรม เป็นปัจจัยที่ก่อให้เกิดการใช้น้ำบาดาลในปริมาณมาก และส่งผลให้เกิดมลภาวะทางน้ำที่เพิ่มขึ้น ซึ่งส่งผลต่อคุณภาพของแหล่งน้ำและปริมาณทรัพยากรน้ำของประเทศ สิ่งต่าง ๆ เหล่านี้ล้วนเป็นแรงผลักดันสำคัญให้ภาครัฐและภาคเอกชนผสานความร่วมมือในการหาวิธีแก้ไขปัญหาด้านกระบวนการบำบัดน้ำทิ้งและการนำน้ำกลับมาใช้ใหม่ให้เกิดประโยชน์สูงสุด
ในงานสัมมนาเทคโนโลยีอัลตราฟิลเทรชันของดาวที่จัดขึ้นเร็ว ๆ นี้ มีผู้ประกอบการ วิศวกร และนักวิชาการกว่า 100 คนทั่วประเทศไทย ได้เข้าร่วมงานสัมมนาดังกล่าว ในหัวข้อเกี่ยวกับการบำบัดน้ำเบื้องต้นด้วยเทคโนโลยีอัลตราฟิลเทรชัน จากการสำรวจพบว่าร้อยละ 80 ของโรงงานในประเทศยังคงใช้เทคโนโลยีบำบัดน้ำแบบเดิมอยู่ เช่นระบบการกรองด้วยแรงดันปกติ/แรงดันสูง และระบบการกรองด้วยแรงดันแบบสองระดับ เพื่อบำบัดน้ำเบื้องต้นก่อนเข้าสู่กระบวนการ รีเวิร์ซออสโมซิสต่อไป ซึ่งเทคโนโลยีอัลตราฟิลเทรชันระดับโลกของดาวนี้จะเป็นอีกทางเลือกหนึ่งนอกเหนือจากการใช้ระบบบำบัดน้ำแบบเดิม โดยจะช่วยลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม ให้คุณภาพการกรองที่สม่ำเสมอและเชื่อถือได้ ลดการใช้สารเคมีในระบบการกรองลง โดยเฉพาะอย่างยิ่งลดการใช้สารเคมีที่อาจทำให้เกิดตะกอนลงได้
“ตลาดการบำบัดน้ำในประเทศไทยเติบโตขึ้นร้อยละ 10 ต่อปี โดยสาเหตุหลักเกิดจากการเติบโตของเมืองและการขยายตัวของอุตสาหกรรม ผู้รับจ้างผลิตสินค้าประเภทระบบบำบัดน้ำและผู้บริโภคสนใจที่จะเรียนรู้เกี่ยวกับข้อมูลเทคโนโลยีทันสมัยล่าสุดของระบบบำบัดน้ำเพื่อตอบสนองความต้องการของตลาด การจัดงานสัมมนาในวันนี้ก็เพื่อ เปิดโอกาสให้ลูกค้าได้รับข้อมูลข่าวสารเกี่ยวกับนวัตกรรมล่าสุดและถือเป็นการแบ่งปันประสบการการใช้เทคโนโลยี อัลตราฟิลเทรชันในหลากหลายรูปแบบเพื่อตอบสนองความต้องการด้านการบำบัดน้ำของลูกค้า” จอห์น พาทริน ผู้อำนวยการฝ่ายการตลาดทั่วโลก หน่วยธุรกิจอัลตราฟิลเทรชัน บริษัท ดาว เคมิคอล กล่าว
ในปีที่ผ่านมา ดาวได้ออกผลิตภัณฑ์อัลตราฟิลเทรชันรุ่นใหม่ ชื่อว่า อินเทกร้าฟลักซ์™ ซึ่งเป็นผลิตภัณฑ์ที่ได้รับรางวัลโดยมีส่วนประกอบที่สำคัญคือ ไฟเบอร์เอ็กซ์พี (XP Fiber) ผลิตภัณฑ์ใหม่นี้มีคุณสมบัติการซึมผ่านที่ดีกว่าอัลตราฟิลเทรชัน รุ่นก่อนหน้านี้ถึงร้อยละ 35 โดยไฟเบอร์เอ็กซ์พีมีอัตราการกรองของน้ำต่อพื้นผิวการกรองสูง โดยใช้แรงดันต่ำทำให้ประหยัดพลังงาน และมีประสิทธิภาพการทำงานที่เชื่อถือได้ ลดความถี่ในการทำความสะอาดระบบกรองลง รวมถึงลดการใช้สารเคมีลง ซึ่งทั้งหมดนี้ล้วนส่งผลต่อประสิทธิภาพการทำงานที่ดีขึ้น เพิ่มกำลังการผลิตและความน่าเชื่อถือ และลดต้นทุนในเรื่องน้ำในเวลาเดียวกัน
"ดาว ได้เติบโตคู่ประเทศไทยมาเกือบ 50 ปี ซึ่งประเทศไทยถือเป็นฐานการผลิตที่ใหญ่ที่สุดในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก เรามีความห่วงใยกับสถานการณ์น้ำที่ประเทศไทยกำลังเผชิญอยู่และเล็งเห็นถึงความจำเป็นในเรื่องการจัดการทรัพยากรเพื่อสิ่งแวดล้อมที่ยั่งยืนในอนาคต การนำเทคโนโลยีขั้นสูงของธุรกิจ ดาว วอเทอร์ แอนด์ พรอเซส โซลูชั่น ผสานรวมกับความก้าวหน้าทางวิทยาศาสตร์ นวัตกรรม และความคิดสร้างสรรค์ จะเป็นการสร้างมาตรฐานของอุตสาหกรรมในด้านการใช้ทรัพยากรแลละการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำอย่างมีประสิทธิภาพและยั่งยืน” นายจิรศักดิ์ สิงห์มณีชัย กรรมการผู้จัดการ กลุ่มบริษัท ดาว ประเทศไทย กล่าว