พลเอกเทอดศักดิ์ มารมย์ ประธานกรรมการ (ที่ 6 จากซ้าย) รศ.ดร.มนตรี โสคติยานุรักษ์ ประธานกรรมการตรวจสอบ (ที่ 5 จากซ้าย) นายอารักษ์ สุขสวัสดิ์ กรรมการผู้จัดการ (ที่ 1 จากซ้าย) พร้อมด้วยคณะกรรมการบริษัท และคณะผู้บริหาร บริษัท อีสต์โคสท์เฟอร์นิเทค จำกัด (มหาชน) (ECF) เข้าร่วมเป็นเกียรติเนื่องให้พิธีเปิด โรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ ECF Tornado Energy อย่างเป็นทางการ ซึ่ง บริษัท อีซีเอฟโฮลดิ้งส์ จำกัด (ECFH) ในฐานะบริษัทย่อยของบริษัท (ECF) เข้าถือหุ้น 51% ใน ECF Tornado Energy GK นอกจากนี้ยังมีผู้ถือหุ้นชาวญี่ปุ่นและชาวไทยรวมกัน 49% โดยโรงไฟฟ้ามีขนาดกำลังการผลิตติดตั้ง 1.5 เมกะวัตต์ เริ่มจำหน่ายไฟฟ้าเชิงพาณิชย์ (COD) ได้ตั้งแต่วันที่ 21 ธันวาคม 2558 ที่ผ่านมา ณ เมืองฮิเมะจิ จังหวัดเฮียวโงะ ประเทศญี่ปุ่น เมื่อเร็ว ๆ นี้
บริษัท ฟูจิตสึ ซีสเต็ม บีสซีเนส (ประเทศไทย) จำกัด นำทีมโดย มร. อิจิ ฟูรูคาวา กรรมการผู้จัดการ และพนักงาน ได้ร่วมกันจัดกิจกรรมในโครงการ Fujitsu We Care 2015 เป็นปีที่ 2 เพื่อเพิ่มพื้นที่สีเขียว ในลักษณะของการโครงการ CSR อย่างต่อเนื่อง และในปีนี้ซึ่งเป็นปีครบรอบ 80 ปี ของฟูจิตสึยังคงมุ่งมั่นที่จะสานต่อ สนับสนุนซึ่งเป็นนโยบายหลักของฟูจิตสึ ในด้านสิ่งแวดล้อม จึงได้ร่วมกันปลูกป่าเพิ่มเติม จำนวน 300 ต้น และพร้อมกับย้ายชำเพาะกล้าไม้จำนวน 1,000 ต้น บนเนื้อที่ 2 ไร่ 44 ตารางเมตร เพื่อนำไปปลูกในพื้นที่โครงการและแจกจ่ายให้กับชุมชนนำไปปลูกในพื้นที่ส่วนตัว และพื้นที่สาธารณะเพื่อประโยชน์ต่อสังคม ชุมชน และสิ่งแวดล้อมต่อๆไปในอนาคต ณ คุ้งบางกระเจ้า ตำบลบางกอบัว อำเภอพระประแดง จังหวัดสมุทรปราการ เมื่อเร็ว ๆ นี้
พาลาเดียม ไอที ประตูน้ำ ศูนย์รวมสินค้าและบริการแบบครบวงจรด้านไอทีใจกลางกรุงเทพฯ ยังคงเดินหน้าสนับสนุนให้คนรักไอทีได้มีเวทีแสดงออก ล่าสุดเปิดพื้นที่จัดงานประกาศผลผู้ชนะจากรายการ THE MODDER Season I รายการที่นำเสนอเรื่องราวของ Modder ระดับแนวหน้าของเมืองไทย พร้อมเปิดเวทีให้ประลองฝีมือสร้างสรรค์ผลงานการโมดิฟายคอมพิวเตอร์กันอย่างเต็มที่ โดยได้รับเกียรติจาก มร.ฉี ชาง (ยืนที่ 5 จากซ้าย) ผู้จัดการประจำประเทศ Thermaltake Technology Co., Ltd ให้เกียรติมอบรางวัลแก่ผู้ชนะการแข่งขัน ที่ลานโปรโมชั่น ชั้น 5 พาลาเดียม ไอที ประตูน้ำ
อะกิระ คิตะฮะระ กรรมการบริหารและกรรมการปฏิบัติงาน บริษัท ฟูจิตะ คังโค จำกัด (ขวาสุด) พร้อมด้วย เทรุมิ ซึสึกิ กรรมการบริหารและกรรมการปฏิบัติงาน บริษัท ฟูจิตะ คังโค จำกัด (ที่ 2 จากขวา) ร่วมจัดงานแถลงข่าวเปิดตัว สำนักงาน บริษัท ฟูจิตะ คังโค ประจำกรุงเทพมหานคร ซึงได้เริ่มดำเนินการตั้งแต่เดือนมิถุนายนปีที่ผ่านมา โดยก่อนหน้านี้ได้มีการเปิดตัวสำนักงานในกลุ่มประเทศอาเซียนอีก 4 แห่งได้แก่ โซล เซียงไฮ้ ไทเป และ กรุงจาการ์ตา เพื่อมุ่งหวังกระตุ้นนักท่องเที่ยวต่างชาติในประเทศญีปุ่นและพัฒนาธุรกิจสู่ต่างประเทศ รองรับตลาดนักท่องเที่ยวต่างชาติที่มีการขยายตัวเติบโตอย่างรวดเร็วในประเทศญี่ปุ่นอีกด้วย งานจัดขึ้น ณ โรงแรมพลาซ่าแอทธินี กรุงเทพฯ เมื่อเร็ว ๆ นี้
อนันต์ แก้วร่วมวงศ์ (ที่ 3 จากซ้าย) ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการ บริษัท ซีเอส ล็อกซอินโฟ จำกัด (มหาชน) สร้างปรากฏการณ์ใหม่แก่วงการไอซีทีไทย ด้วยการจัดงาน Sharing Digital Experiences by CS LOXINFO ครั้งแรกในประเทศไทยกับสุดยอดทอล์คโชว์โซลูชั่นด้านไอซีทีเต็มรูปแบบที่อัดแน่นไปด้วยสาระและความสนุก โชว์โซลูชั่นไอซีทีสุดล้ำเต็มรูปแบบ พร้อมด้วย ธนวรรธน์ โชติพิชญะวิทย์ (ที่ 2 จากซ้าย) สรรเสริญ ชุมภูนุช (ที่ 5 จากซ้าย) ทีมวิศวกรผู้เชี่ยวชาญด้านการออกแบบไอซีทีครบวงจร อ.ภควัต รักศรี (ที่ 4 จากซ้าย) ที่ปรึกษาทางธุรกิจ บริษัท ซีเอส ล็อกซอินโฟ จำกัด (มหาชน) หนุ่ย พงศ์สุข หิรัญพฤกษ์ (ซ้าย) และ อ.ศุภเดช สุทธิพงศ์คณาสัย (ขวา) ร่วมแลกเปลี่ยนประสบการณ์ทางด้านไอซีที ณ โรงละครอักษรา คิงพาวเวอร์ เมื่อเร็ว ๆ นี้
มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรี (มจธ.) ร่วมมือกับ บริษัท อายิโนะโมะโต๊ะ (ประเทศไทย) จำกัด โดยมี รศ.ดร.ศักรินทร์ ภูมิรัตน์ อธิการบดี มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรี และ Mr.Toru Nakamura Vice President บริษัท อายิโนะโมะโต๊ะ (ประเทศไทย) จำกัด ได้ร่วมกันลงนามความร่วมมือ เพื่อสนับสนุนงานวิชาการด้านการศึกษาของมหาวิทยาลัย และโครงการส่งเสริมบุคลากรด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีภาครัฐ ไปปฏิบัติงานภาคอุตสาหกรรม (Talent Mobility) โดยบริษัทฯ ได้มอบหมายให้ คุณสุริยัน ไทยถาวร พนักงานอาวุโสระดับบริหาร (เจ้าหน้าที่บริหารชำนาญพิเศษ) สังกัดศูนย์เทคโนโลยีและวิศวกรรม บริษัท อายิโนะโมะโต๊ะ (ประเทศไทย) จำกัด เป็นผู้ถ่ายทอด และแลกเปลี่ยนความรู้ความสามารถ ด้านเทคโนโลยีชีวภาพ กระบวนการหมักด้วยเชื้อจุลินทรีย์ รวมไปถึงการบริหารการจัดการด้านการควบคุมการผลิต ร่วมกับสถาบันพัฒนาและฝึกอบรมโรงงานต้นแบบ (สรบ.) ตั้งแต่เดือนตุลาคม 2558 เป็นระยะเวลาทั้งสิ้น 34 เดือน
นายกรีฑา สพโชค (ที่ 3 จากขวา) อธิบดีกรมพัฒนาฝีมือแรงงาน มอบป้ายศูนย์ทดสอบมาตรฐานฝีมือแรงงานแห่งชาติให้กับ นายบัณฑิต ศรีวัลลภานนท์ (ที่ 3 จากซ้าย) กรรมการผู้จัดการ บริษัท สยามไดกิ้นเซลส์ จำกัด ณ อาคารกรมพัฒนาฝีมือแรงงาน กระทรวงแรงงาน ในโอกาสที่บริษัท สยามไดกิ้นเซลส์ จำกัด ได้รับการอนุญาตให้จัดตั้งศูนย์ทดสอบมาตรฐานฝีมือแรงงานแห่งชาติด้านระบบปรับอากาศ โดยนับเป็นหน่วยงานเอกชนแห่งแรกในประเทศไทยที่ได้รับการอนุญาตให้จัดตั้งศูนย์ดังกล่าวขึ้นเพื่อใช้ในการฝึกอบรมพัฒนาองค์ความรู้แก่ช่างเครื่องปรับอากาศไทยและปรับการเรียนรู้ด้านเทคโนโลยีระบบปรับอากาศให้ทันสมัยและมีศักยภาพพร้อมรับการเปิดประชาคมอาเซียน (AEC)
ดร.พสุ โลหารชุน อธิบดีกรมโรงงานอุตสาหกรรม (คนที่ 3 จากขวา) ลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือ เรื่อง ก้าวกระโดดประเทศไทย (Thailand Spring Up) ยกระดับเทคโนโลยีด้านสิ่งแวดล้อม ความปลอดภัย ลดการใช้พลังงาน และเพิ่มมูลค่าของกากอุตสาหกรรมให้แก่โรงงานอุตสาหกรรม กับ นายทวีศักดิ์ กออนันตกูล ผู้อำนวยการสำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (คนที่ 3 จากซ้าย) ตั้งเป้า 2 ปีแรก เร่งพัฒนาผู้ประกอบการโรงงานอย่างน้อย 100 ราย พร้อมสนับสนุนค่าใช้จ่ายรายละไม่เกิน 400,000 บาท คาดว่าจะสร้างผลตอบแทนให้ภาคอุตสาหกรรมไทย 7.5 เท่าของการลงทุน โดยมี นายพรชัย ตระกูลวรานนท์ ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำกระทรวงอุตสาหกรรม (คนที่ 2 จากขวา) และ ดร.พานิช เหล่าศิริรัตน์ ที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี (คนที่ 2 จากซ้าย)ร่วมเป็นสักขีพยาน โดยพิธีดังกล่าวจัดขึ้นเมื่อเร็ว ๆ นี้ ณ กระทรวงอุตสาหกรรม
วิศวกรรมสถานแห่งประเทศไทย ในพระบรมราชูปถัมภ์ (วสท.) นำโดย ศ.ดร.สุชัชวีร์ สุวรรณสวัสดิ์ นายก วสท. พร้อมด้วย รศ.สิริวัฒน์ ไชยชนะ เลขาธิการ วสท. นางสาวบุษกร แสนสุข ประธานคณะกรรมการสาขาวิศวกรรมความปลอดภัย วสท. และ รศ.ดร.นันทวัฒน์ จรัสโรจน์ธนเดช หัวหน้าภาควิชาวิศวกรรมโยธา คณะวิศวกรรมศาสตร์ สจล แถลงผลสรุปวิเคราะห์การเข้าสำรวจตึกที่ถูกไฟไหม้ ย่านถนนนราธิวาสราชนครินทร์ ในภาพรวมพบว่าโครงสร้างอาคารยังมีความแข็งแรง ไม่มีความเสี่ยงว่าจะถล่มลงมา สามารถซ่อมแซมและปรับปรุงได้ ทั้งนี้ วสท.เตรียมจัดตั้งคณะทำงานจากหลายภาคส่วน เพื่อจัดทำ "มาตรฐานความปลอดภัยด้านอัคคีภัยสำหรับอาคาร 9 ประเภท ในประเทศไทย" ตามลักษณะและการใช้งานที่แตกต่างกันของอาคารแต่ละประเภท เพื่อเสริมสร้างความปลอดภัยของประชาชนผู้พักอาศัย ผู้มาใช้บริการและประโยชน์ต่อการบริหารจัดการอาคารอย่างถูกต้องตามหลักสากล งานจัดขึ้น ณ อาคาร วสท
นายพีระโรจน์ ชัยรัตน์ ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายบริหาร บริษัท เคพีแอล กรุ๊ป และกลุ่มโรงแรมข้าวสารพาเลซ กรุงเทพ ได้รับรางวัลประเภทกลุ่มโรงแรมหรูระดับโลก ปี 2558 และโรงแรมในเครืออีก 2 แห่ง ได้แก่ ชิวแล็กซ์ รีสอร์ท และ นาวาลัย ริเวอร์ รีสอร์ท ได้รับรางวัลโรงแรมหรูระดับโลก ปี 2558 (World Luxury Hotels) การจัดงานประกาศผลรางวัล World Luxury Hotel Award จัดขึ้นประจำทุกปี เพื่อยกย่องอุตสาหกรรมโรงแรมหรูทั่วโลกและโรงแรมระดับตำนานที่มีความเป็นเลิศโดยรวมด้านบริการ โดยมีโรงแรมกว่า 1,000 แห่งจาก 145 ประเทศทั่วโลกที่เข้ารับการเสนอชื่อเข้าร่วมในการตัดสินครั้งนี้ โดยจะมอบรางวัลให้กับโรงแรมที่มีความมุ่งมั่นและพร้อมนำเสนอบริการ สถานที่พัก และมาตรฐานที่ดีที่สุดให้กับลูกค้า
โรงเรียนกวดวิชา อ.อรรณพ ร่วมกับ ภาควิชาวิทยาการคอมพิวเตอร์มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ศูนย์รังสิต จัดการแข่งขัน Hackathon ภายใต้งาน Network Games 20th : Hello Dome Games โดยกิจกรรมครั้งนี้จัดขึ้นเพื่อเฟ้นหา แอปพลิเคชั่นต้นแบบ ที่สามารถนำไปพัฒนาการศึกษา และพัฒนาศักยภาพในการเรียนรู้ได้ทุกที่ทุกเวลา ภายใต้โจทย์การแข่งขัน Campus Life: ทำให้น้องปี 1 รู้จักการใช้ชีวิตในรั้วมหาวิทยาลัยได้ดีขึ้น ซึ่งทีมผู้ชนะที่ได้รับเงินรางวัลมูลค่า 10,000 บาท ได้แก่ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ โดยสร้างแอปพลิเคชั่นที่มีชื่อว่า QuestPops ทั้งนี้มีทีมเข้าร่วมการแข่งขันทั้งสิ้น 12 มหาวิทยาลัย ณ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ศูนย์รังสิต
กลุ่มบริษัท ดาว ประเทศไทย นำโดย นายณัฐพงศ์ จิรวัฒนาวรกุล ผู้จัดการแผนกสื่อสารองค์กรและชุมชนสัมพันธ์ประจำโรงงาน ต้อนรับนักศึกษาระดับปริญญาตรี ปริญญาโท และคณาจารย์จากภาควิชาวิศวกรรมและเทคโนโลยีเคมีชีวภาพ สถาบันเทคโนโลยีนานาชาติสิรินธร มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ จำนวน 70 คน ในการเยี่ยมชมโรงงานของบริษัทฯ ในนิคมอุตสาหกรรมเอเซีย
จากการที่ ดาว มุ่งมั่นสนับสนุนด้านสะเต็มศึกษา (STEM) โดยส่งเสริมให้นักเรียนมีความสนใจและรักในวิชาวิทยาศาสตร์ บริษัทฯ จึงได้เปิดบ้านเพื่อให้สถาบันการศึกษาโดยเฉพาะสาขาวิชาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ได้เข้าชมกระบวนการผลิตซึ่งใช้เทคโนโลยีขั้นสูง และแบ่งปันความรู้เรื่องการจัดการด้านความปลอดภัย อาชีวอนามัย และสิ่งแวดล้อม ที่เป็นเลิศของบริษัทฯ อีกด้วย
นางสาวมาริสา กัณฑาทรัพย์ คณบดีคณะวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี นำคณะนักศึกษาและอาจารย์สาขาเทคโนโลยีสารสนเทศ คณะวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี มหาวิทยาลัยพิษณุโลก เข้ารับฟังการบรรยายความรู้ด้านไอทีที่น่าสนใจจาก นายยงยุทธ ศรีวันทนียกุล ผู้ช่วยผู้อำนวยการกลุ่มผลิตภัณฑ์ซอฟต์แวร์โซลูชั่น บริษัท เมโทรซิสเต็มส์คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) โดยมี นายมีลาภ โสขุมา Product Manager ร่วมบรรยายและนำเยี่ยมชมศูนย์สาธิตเทคโนโลยีสารสนเทศต่าง ๆ ภายในบริษัท เมโทรซิสเต็มส์คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) สำนักงานใหญ่ เมื่อวันที่ 4 กุมภาพันธ์ 2559
มูลนิธิเอสซีลอร์ วิชั่น ฟาวด์เดชั่น ร่วมกับ คณะกรรมการสเปเชียลโอลิมปิคแห่งประเทศไทย สโมสรไลออนส์ ทวีวัฒนา 2015 กรุงเทพฯ คณะทัศนมาตรศาสตร์ ม.รามคำแหง และกลุ่มบริษัท ซาฟิโล ร่วมกันจัดกิจกรรม CSR ภายใต้งาน Special Olympics Asia Pacific Opening Eyes Train-the-Trainer เพื่อขับเคลื่อนโครงการนักกีฬาสุขภาพดีในแต่ละประเทศ ซึ่งมีความสำคัญอย่างยิ่งต่อการดูแลรักษา บำบัดฟื้นฟู สุขภาพของผู้พิการทางสติปัญญา โดยมี ดร.วิมลวรรณ จรัสจรุงเกียรติ Opening Eyes Regional Clinical Advisor & Thailand Clinical Director เป็นตัวแทนวิทยากรจาก 5 ประเทศสมาชิก ได้แก่ ประเทศ มาเลเซีย ฟิลิปปินส์ บรูไน ศรีลังกา และ ไทย พร้อมกันนี้ มูลนิธิฯ ยังได้ทำการตรวจวัดสายตา พร้อมประกอบเลนส์แว่นตากับกรอบแว่นให้กับนักกีฬาและผู้พิการทางสติปัญญาในงานนี้ ณ โรงแรมเดอะ แกรนด์ โฟร์วิงส์ คอนเวนชั่น
นายโกศล นันทิลีพงศ์ (ที่ 1 จากขวา) กรรมการผู้จัดการ บริษัท ซีพีไอ อะโกรเทค จำกัด ร่วมกับ ดร.กวิน ปุญโญกุล (ยืนกลาง) ตัวแทนของกลุ่มเกษตรกร ที่เข้าร่วมโครงการเพิ่มผลผลิตปาล์มน้ำมัน มอบเงินที่เกษตรกรได้ร่วมบริจาค เพื่อสมทบทุนสนับสนุนงานวิจัยด้านปาล์มน้ำมัน ประจำปี 2559 จำนวน 300,000 บาท ร่วมกับ ซีพีไอ กรุ๊ป จำนวน 600,000 บาท รวมเป็น 900,000 บาท ให้กับ ศูนย์เทคโนโลยีชีวภาพเกษตร ม.เกษตรศาสตร์ วิทยาเขต กำแพงแสน หลังจากที่กลุ่มเกษตรได้เข้าร่วมโครงการแล้ว มีปริมาณผลผลิตสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยปรับเปลี่ยนวิธีการจัดการ ตามหลักการที่ศูนย์ฯได้ทำการศึกษาวิจัย เรื่องการให้ปุ๋ยตามความต้องการของปาล์มน้ำมัน เมื่อเร็ว ๆ นี้
บริษัท ไดเมนชั่น ดาต้า (ประเทศไทย) จำกัด ฉลองครบรอบ 25 ปี จัดกิจกรรมทางสังคมในโครงการ Ride to School เพื่อบริจาคจักรยานใหม่ให้กับเด็ก ๆ ในถิ่นทุรกันดารให้มีจักรยานใช้ปั่นไปโรงเรียนและใช้ในชีวิตประจำวัน โดยบริษัทฯ ตั้งเป้าบริจาค จำนวน 1,000 คัน ภายในปี 2561 และล่าสุดได้มีการมอบจักรยานให้ที่แรกที่จังหวัดอุทัยธานี จำนวน 2 โรงเรียนคือ โรงเรียนบ้านภูมิธรรม และโรงเรียนบ้านลานคา จังหวัดอุทัยธานี รวม 50 คัน รายละเอียดโครการเพิ่มเติมได้ที่ Facebook Ride to School
นายยรรยง มุนีมงคลทร (กลาง) ผู้จัดการทั่วไป ด้านการขายผลิตภัณฑ์และการตลาด บริษัท เอปสัน (ประเทศไทย) จำกัด ให้เกียรติมอบรางวัลแก่ลูกค้าผู้โชคดีจากกิจกรรม เอปสันฉลอง 25 ปี แจก 25 รางวัล ซึ่งเป็นแคมเปญใหญ่ฉลองครบรอบ 25 ปีของเอปสัน ประเทศไทย เพื่อขอบคุณลูกค้าที่วางใจในแบรนด์เอปสัน โดย นายอนันต์พล นนทพันธุ์ ผู้จัดการทั่วไป ด้านการบริการและบริหารองค์กร บริษัท เอปสัน (ประเทศไทย) จำกัด ให้เกียรติ จับรางวัลหาผู้โชคดีในครั้งที่ 1 สำหรับใครที่พลาดโอกาสยังมีสิทธิ์ลุ้นเป็นเจ้าของไอโฟน 6s พร้อม Apple Watch อีก 15 รางวัล โดยเมื่อซื้อสินค้าเอปสัน (ยกเว้นตลับและขวดหมึก ผงหมึก ผ้าหมึก เทป และกระดาษทุกประเภท) นำหมายเลขเครื่อง (Serial Number) ลงทะเบียนที่ www.epson.co.th/warranty ตั้งแต่วันนี้ จนถึง 29 กุมภาพันธ์ 2559 เท่านั้น จับรางวัลอีกครั้งวันที่ 12 มีนาคม2559 ติดตามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ www.epson.co.th และ www.facebook.com/EpsonThailand
บริษัท แอลจี อีเลคทรอนิคส์ (ประเทศไทย) จำกัด นำโดย นายนิพนธ์ วงศ์แสงอรุณศรี (แถว 3 ที่ 5 จากซ้าย) ผู้อำนวยการฝ่ายการตลาด จัดกิจกรรมสุดพิเศษ The Exclusive Party for LG OLED TV Owner ภายใต้ธีมงาน Infinity shades of color สำหรับลูกค้าที่ใช้ผลิตภัณฑ์ LG OLED TV โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อตอบแทนการสนับสนุนอย่างดีจากลูกค้าเสมอมา พร้อมทั้งเพื่อกระชับและสานความสัมพันธ์กับลูกค้าอีกด้วย ภายในงานลูกค้าได้เพลิดเพลินกับกิจกรรมแทนคำขอบคุณจากแอลจี เช่น การสาธิตการดูแลรักษา LG OLED TV การมอบโชคให้แก่ลูกค้าผู้โชคดีกับของรางวัลมากมาย และปิดท้ายด้วยมินิคอนเสิร์ตจาก พีท พีระ ในบรรยากาศอันเป็นกันเองและสนุสนาน ณ ร้าน The Zense Lounge เซ็นทรัลเวิล์ด
บริษัท ดี เวล แกรนด์ แอสเสท จำกัด นำโดยบอสใหญ่ไฟแรง นายถวนันท์ ธเนศเดชสุนทร กรรมการผู้จัดการ (กลาง), นางสาวพลอยจันทร์ วิฑูรชาติ รองกรรมการผู้จัดการ และ นายถิรชนม์ ธเนศเดชสุนทร รองกรรมการผู้จัดการ แถลงข่าวการรุกตลาดปี 2559 โดยเน้นช่องทาง Online Marketing แจง “Digital Strategy” กลยุทธ์สำคัญเพื่อสื่อสารกับกลุ่มลูกค้า โดยในปีนี้จะมีรายได้จากการโอนกรรมสิทธิ์โครงการ ดี เมโมเรีย พหลโยธิน และโครงการ ดีมูระ รัชโยธิน พร้อมเตรียมเปิด 2 โครงการใหม่ มูลค่ารวม 1,200 ล้านบาท เชื่อมั่นจุดแข็งด้านการออกแบบที่ใส่ใจในรายละเอียด และความเข้าใจไลฟ์สไตล์คนรุ่นใหม่ จะทำให้ได้รับการตอบรับที่ดีเช่นเดียวกับทุกโครงการที่ผ่านมา
ดร.พสุ โลหารชุน อธิบดีกรมโรงงานอุตสาหกรรม รับโล่รางวัลและใบประกาศเกียรติคุณวิศวจุฬาดีเด่น ประจำปี 2558 จาก ดร.ทองฉัตร หงศ์ลดารมภ์ ประธานกรรมาธิการปฏิรูปพลังงาน สปช.และ นิสิตวิศวจุฬากิตติคุณอาวุโสดีเด่น เพื่อยกย่องเชิดชูเกียรตินิสิตเก่าคณะวิศวกรรมศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยที่มีคุณงามความดี มีจริยธรรมอันดีงาม มีความรับผิดชอบต่อครอบครัว สังคม สร้างคุณประโยชน์แก่สังคมและประเทศชาติ โดยพิธีดังกล่าวจัดขึ้น ในงานประกาศเกียรติคุณวิศวจุฬากิตติคุณอาวุโสดีเด่น ครั้งที่ 5 และวิศวจุฬาดีเด่น ครั้งที่ 14 ประจำปี 2558 ณ ห้องแกรนด์ฮอลล์ โรงแรมพลาซ่า แอทธินี รอยัล เมอริเดียน เมื่อเร็ว ๆ นี้
อาจารย์วันดี ณ สงขลา ประธานบริหาร (ที่ 3 จากซ้าย) และ ดร.วิชุดา ณ สงขลา ศรียาภัย ผู้จัดการวิทยาลัยเทคโนโลยีครัววันดี (ขวาสุด) ร่วมลงนามในบันทึกข้อตกลงแสดงความร่วมมือทางวิชาการ (MOU) กับ นายจรัสภล รุจิราโสภณ (ที่ 2 จากซ้าย) รองกรรมการผู้จัดการใหญ่บริหาร (สายงาน QSR) และ นางนิรมล รุจิราโสภณ (ซ้ายสุด) รองกรรมการผู้จัดการใหญ่บริหารอาวุโส บริษัท ส.ขอนแก่นฟู้ดส์ จำกัด (มหาชน) เพื่อรับนักเรียน นักศึกษาระดับ ปวช. ปวส. และปริญญาตรีสายเทคโนโลยี หรือสายปฏิบัติการจากวิทยาลัยเทคโนโลยีครัววันดี เข้าฝึกงานกับ บมจ. ส.ขอนแก่นฟู้ดส์ โดยมีเป้าหมายต้องการพัฒนานักเรียน นักศึกษาให้มีทักษะสอดคล้องกับความต้องการของผู้ประกอบการในอุตสาหกรรมอาหาร
มร.โคจิ เทสึกะ ประธาน บริษัท ฟูจิ ซีร็อกซ์ (ประเทศไทย) จำกัด (คนกลาง) นำทีมผู้บริหารและพนักงานบริษัท ฟูจิ ซีร็อกซ์ฯ จัดกิจกรรมส่งมอบสื่อเสริมทักษะการเรียนรู้ ตามโครงการ Workbook สนุกคิด สนุกเขียน เป็นครั้งที่ 2 โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อพัฒนาคุณภาพการศึกษาของเด็กและเยาวชน ด้วยการนำเทคโนโลยีการพิมพ์ที่ดีที่สุดของฟูจิ ซีร็อกซ์ ฯ มาสร้างสรรค์สื่อเสริมทักษะที่เหมาะสมสำหรับเด็กระดับประถมศึกษาตอนต้น ทั้งด้านภาษา การคิดคำนวณ ความรู้รอบตัว ตลอดจนการปลูกฝังคุณธรรม จริยธรรมสำหรับเด็ก นอกจากนี้ยังร่วมกันจัดกิจกรรมสันทนาการให้น้อง ๆ ได้ร่วมสนุก อาทิ การแสดงดนตรีของชมรมดนตรี, การทำโรงละครหุ่นมือ, ร่วมกันตกแต่งชั้นวางหนังสือในห้องสมุด ตลอดจนนำเนื้อหาในสื่อการเรียนรู้มาสร้างสรรค์กิจกรรมให้น้อง ๆ ณ โรงเรียนคลองแสนสุข (สิทธิไชยบำรุง) จังหวัดสมุทรปราการ
นายเทียนชัย ลายเลิศ ประธานกรรมการ บริษัท ยิบอินซอย จำกัด พร้อมด้วยนางมรกต ยิบอินซอย กรรมการผู้จัดการใหญ่และประธานเจ้าหน้าที่บริหาร รับมอบเกียรติบัตรรับรองผ่านการประเมิน CMMI V1.3 Maturity Level 5 จาก นางสาวทัชนันท์ กังวานตระกูล CEO ของ ISEM Co., Ltd. CMMI Institute Partner เพื่อยืนยันถึงการเป็นผู้นำในการดำเนินธุรกิจ IT Solutions Provider ที่เล็งเห็นถึงความสำคัญของการปรับปรุงกระบวนการพัฒนาซอฟต์แวร์ (Software Process Improvement) ให้มีคุณภาพ และเป็นไปตามมาตรฐานสากล ณ ห้องประชุมใหญ่ อาคารอนุรักษ์ บริษัท ยิบอินซอย จำกัด โดยมี Dr. Pieter Van Zyl, High Maturity SCAMPI Lead Appraiser ร่วมเป็นสักขีพยาน ท่ามกลางความยินดีของคณะทำงานทั้้ง 2 หน่วยงาน
มร. สก๊อต เดคอน ผู้เชี่ยวชาญทางด้านการออกแบบโซลูชั่นความปลอดภัยบนโลกไซเบอร์ จาก ไมโครซอฟท์ (ซ้าย) ดร.คริส เเพริส ผู้เชี่ยวชาญทางด้านการจัดการความปลอดภัยบนโลกไซเบอร์ จาก ไมโครซอฟท์ ประจำภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกและญี่ปุ่น (คนที่ 2 จากซ้าย) นายยศ กิมสวัสดิ์ ประธานสำนักระบบการชำระเงิน สมาคมธนาคารไทย (คนที่ 2 จากขวา) มร.ไมเคิล มัดด์ เลขาธิการ The Open Computing Alliance ประจำภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก (ขวา) ถ่ายภาพร่วมกันในงาน สัมภาษณ์กลุ่มย่อยในหัวข้อเรื่อง การบริหารความเสี่ยงและความปลอดภัยทางไซเบอร์สำหรับการดำเนินการของธนาคารในประเทศไทย
บริษัท ฟูจิตสึ ซีสเต็ม บีสซีเนส (ประเทศไทย) จำกัด นำทีมโดย มร. อิจิ ฟูรูคาวา กรรมการผู้จัดการ และพนักงาน ได้ร่วมกันจัดกิจกรรมในโครงการ Fujitsu We Care 2015 เป็นปีที่ 2 เพื่อเพิ่มพื้นที่สีเขียว ในลักษณะของการโครงการ CSR อย่างต่อเนื่อง และในปีนี้ซึ่งเป็นปีครบรอบ 80 ปี ของฟูจิตสึยังคงมุ่งมั่นที่จะสานต่อ สนับสนุนซึ่งเป็นนโยบายหลักของฟูจิตสึ ในด้านสิ่งแวดล้อม จึงได้ร่วมกันปลูกป่าเพิ่มเติม จำนวน 300 ต้น และพร้อมกับย้ายชำเพาะกล้าไม้จำนวน 1,000 ต้น บนเนื้อที่ 2 ไร่ 44 ตารางเมตร เพื่อนำไปปลูกในพื้นที่โครงการและแจกจ่ายให้กับชุมชนนำไปปลูกในพื้นที่ส่วนตัว และพื้นที่สาธารณะเพื่อประโยชน์ต่อสังคม ชุมชน และสิ่งแวดล้อมต่อๆไปในอนาคต ณ คุ้งบางกระเจ้า ตำบลบางกอบัว อำเภอพระประแดง จังหวัดสมุทรปราการ
นายกิตติ เตชะทวีกิจกุล (ที่ 3 จากขวา) รองกรรมการผู้จัดการ และ นางนิตยา ธนวิริยะกุล (ที่ 2 จากขวา) ผู้อำนวยการกลุ่มบัญชี การเงินและธุรการ บริษัท เมโทรซิสเต็มส์คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) พร้อมด้วย นายจิระศักดิ์ ตรังคิณีนาถ (ที่ 3 จากซ้าย) กรรมการ บริษัท เมโทรคอนเนค จำกัด (MCC) และ บริษัท เมโทรอินโฟไดนามิกส์ จำกัด (MID) และคณะผู้บริหาร ร่วมรับมอบ ใบรับรองระบบบริหารงานคุณภาพมาตรฐาน ISO 9001:2008 จาก นายสุเมธ หุตินทรวงศ์ (กลาง) ผู้จัดการฝ่ายการพาณิชย์ บริษัท บูโร เวอริทัส เซอทิฟิเคชั่น (ประเทศไทย) จำกัด เมื่อวันที่ 20 มกราคม 2559 ณ สำนักงานใหญ่ โดย บริษัท เมโทรซิสเต็มส์คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) เป็นบริษัทที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ประกอบธุรกิจไอทีแบบครบวงจร และได้รับการรับรองระบบคุณภาพ ISO 9001:2008 มาตั้งแต่ปี 2545
ดร.สมชัย สัจจพงษ์ (กลาง) ปลัดกระทรวงการคลัง ให้เกียรติเป็นประธานในพิธีเปิดตัวหลักสูตรวิชาชีพที่ปรึกษาธุรกิจ หลักสูตรผลิตที่ปรึกษาธุรกิจเพื่อพัฒนาผู้ประกอบการไทย โดยร่วมปฐมนิเทศนักศึกษา และส่งเสริมในการขึ้นทะเบียนเป็นที่ปรึกษาสังกัดกระทรวงการคลัง รองรับนโยบายภาครัฐ ในปีงบประมาณเพื่อหนุนเอสเอ็มอีในประเทศ ซึ่งมี ศ.ดร.วัลลภ รัฐฉัตรานนท์ (ที่ 3 จากขวา) ผู้อำนวยการศูนย์สานสัมพันธ์จับคู่ธุรกิจระหว่างประเทศ (มก.) ดร.วิริยะ ลิขิตวงศ์ (ที่ 3 จากซ้าย) ผู้อำนวยการหลักสูตรฯ และทีมวิทยากรให้การต้อนรับ ณ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ บางเขน กรุงเทพฯ
ผู้บริหารบริษัท ไมโครซอฟท์ (ประเทศไทย) จำกัด นำโดย นางสาวศิริพร พัชรวัฒน์ (ขวา) ผู้อำนวยการฝ่ายส่งเสริมอุตสาหกรรมซอฟต์แวร์ไทย นางสาวสุมล อนันตธนะสาร (ซ้าย) หัวหน้าสายธุรกิจขนาดกลางขนาดย่อม และ นายเอกราช คงสว่างวงศา ผู้จัดการฝ่ายส่งเสริมอุตสาหกรรมซอฟต์แวร์ รวมพลังเสริมแกร่งให้บริษัทพัฒนาซอฟต์แวร์อิสระ (ISV) ในประเทศไทยก้าวสู่ความเป็น คลาวด์ ซูเปอร์ฮีโร่ ด้วยแพลตฟอร์มคลาวด์ ไมโครซอฟท์ อาชัวร์
เอ็นฟอร์ซ ซีเคียว เผยนโยบายการดำเนินธุรกิจในปี 2559 เน้นความสัมพันธ์กับพาร์ทเนอร์ พร้อมเล็งหาผลิตภัณฑ์ใหม่ที่มีศักยภาพเข้ามาเสริมทัพ หวังขยายฐานลูกค้าเอสเอ็มอี พร้อมตั้งเป้ารายได้เติบโต 10-15 เปอร์เซ็นต์
นายนักรบ เนียมนามธรรม กรรมการผู้จัดการ บริษัท เอ็นฟอร์ซ ซีเคียว จำกัด กล่าวว่า จากผลการดำเนินงานของบริษัทในปี 2558 ที่ผ่านมาเติบโตเพิ่มขึ้น 20% เมื่อเทียบกับปี 2557 หรือประมาณ 420 ล้านบาท โดยความสำเร็จเกิดจาก 2 ปัจจัยคือการใช้จ่ายงบประมาณของภาครัฐที่เพิ่มมากขึ้นในปีที่ผ่านมา จึงส่งผลให้เกิดการขับเคลื่อนทางเศรษฐกิจ และเกิดการลงทุนของภาคเอกชน เช่น โครงการดิจิทัลอีโคโนมี อีกปัจจัยหนึ่งคือการพัฒนาบุคลากรของบริษัทให้มีความเชี่ยวชาญและมีศักยภาพตรงกับงานที่ได้รับมอบหมายอย่างต่อเนื่อง ด้วย โดยรายได้ของบริษัทฯ ที่ผ่านมามีสัดส่วนจากผลิตภัณฑ์เน็ตเวิร์ก ซิเคียวริตีเป็นรายได้มากที่สุดประมาณ 65% แอพพลิเคชันซิเคียวริตี 25% และ 10% มาจากการบริการ
ส่วนในปีนี้ บริษัทฯ ตั้งเป้าหมายรายได้เติบโตประมาณ 10-15% ด้วยกลยุทธ์การตลาดที่ยังคงมุ่งเน้นให้ความสำคัญกับพาร์ทเนอร์เดิมอย่างต่อเนื่อง ควบคู่กับการนำเสนอผลิตภัณฑ์ใหม่เข้ามาเสริมทัพกับผลิตภัณฑ์ที่มีอยู่เดิม เพื่อให้สามารถครอบคลุมความต้องการของกลุ่มลูกค้าใหม่ ๆ ที่เรายังไม่เคยเข้าไปทำตลาด โดยกลุ่มเป้าหมายจะมีทั้งภาครัฐ และเอกชน ไม่ว่าจะเป็นกลุ่มธนาคาร กลุ่มลูกค้าที่ให้การบริการ รวมถึงกลุ่มลูกค้าในตลาดด้านสุขภาพ และนอกจากนี้บริษัทฯ ยังมีแผนที่จะนำผลิตภัณฑ์ใหม่ซึ่งมีคุณภาพและราคาเหมาะสมเข้ามาทำตลาดกลุ่มลูกค้าเอสเอ็มอีเพิ่มขึ้น
นายนักรบ กล่าวต่อว่า ตลาดไอที เอ็นเทอร์ไพรส์ ซิเคียวริตีของไทยมีมูลค่าตลาดโดยรวมประมาณ 3,000 ล้านบาท โดยมีอัตราการเติบโตอยู่ที่ 10-11% ต่อปี สำหรับแนวโน้มในปี 2559 นั้น คาดว่าโซลูชันด้านความปลอดภัยบนคลาวด์ และการใช้งานโมบายล์จะมีความสำคัญเพิ่มมากขึ้น เพราะว่าข้อมูลส่วนใหญ่จะถูกสืบค้นและใช้งานบนระบบคลาวด์เป็นหลัก ดังนั้นแนวโน้มภัยคุกคามจึงมุ่งสู่ระบบคลาวด์และก่อให้เกิดเครือข่ายแฮกกิง อินดัสตรี (Hacking Industry) เพื่อสร้างปัญหาให้แก่ระบบคลาวด์ในทุกองค์กร ดังนั้นกลยุทธ์การตลาดในปีนี้ เราจึงมุ่งให้ความสำคัญกับการนำเสนอแอพพลิเคชั่นด้านความปลอดภัยบนคลาวด์ ทั้งการใช้งานผ่านอุปกรณ์สมาร์ทแมชีนและโมบายล์ดีไวซ์ ตลอดจนการป้องกันข้อมูลสูญหายซึ่งต่อไปจะมีความสำคัญมากขึ้น
“สำหรับผลิตภัณฑ์ใหม่ที่จะนำเข้ามาเสริมทัพนั้น ประกอบด้วย หัวเว่ย ซึ่งเป็นผลิตภัณฑ์ในกลุ่มเอ็นเทอร์ไพรส์ โซลูชัน โดยเน้นกลุ่มผลิตภัณฑ์ด้านความปลอดภัย เช่น Next Generation Firewall (NGFW) ,Next Generation Intrusion Prevention System (NGIPS) เป็นต้น เอฟฟิเชียน ไอพี (Efficient IP) ซึ่งเป็นผู้นำทางด้านโซลูชันการบริหารจัดการ ควบคุม และจัดการโครงสร้างพื้นฐานเครือข่าย และการบริหารจัดการเน็ตเวิร์กเซอร์วิสจากส่วนกลาง เอ็กซ์ตร้าฮอพ (ExtraHop) ซึ่งเป็นระบบที่ช่วยในการวิเคราะห์ข้อมูลทราฟฟิกที่วิ่งอยู่บนเครือข่ายแบบมีสาย โดยสามารถมองเห็นทราฟฟิกได้แบบเรียลไทม์ โดยไม่จำเป็นต้องใช้เครื่องมือหรือเปลี่ยนแปลงแอพพลิเคชันที่ใช้งานอยู่ สามารถช่วยให้ทีมไอทีวางแผนแนวทางเชิงรุกในการแก้ปัญหาด้านแอพพลิเคชันได้อย่างรวดเร็ว นอกจากนี้ยังมีผลิตภัณฑ์ของ CARBON BLACK ซึ่งเป็นแพลตฟอร์มทางด้านความปลอดภัย และผลิตภัณฑ์ของ CHECK MARK ซึ่งเป็นผู้นำทางด้านการตรวจสอบโค้ดบนโมบายล์แอพ ที่จะเข้ามาทำตลาดในปีนี้ด้วย” นายนักรบ กล่าวทิ้งท้าย
CCP สอยงานมอเตอร์เวย์ พัทยา-มาบตาพุด คว้าออเดอร์คอนกรีตกว่า 500 ล้านบาท หนุน Backlog เพิ่ม มั่นใจทั้งปีงานรัฐทยอยลงทุน ชี้โอกาสรับงานปี 59 ยังมีอีกมาก พร้อมรับงานใหม่ทุกรูปแบบ เดินหน้าขยายตลาดและช่องทางจำหน่าย ย้ำเป้าปี 2559 รายได้แตะ 2.6 พันล้านบาท
นายอาทิตย์ ทีปกรสุขเกษม กรรมการผู้จัดการ บริษัทผลิตภัณฑ์คอนกรีตชลบุรี จำกัด (มหาชน) (CCP) เปิดเผยว่า หลังจากมีการเปิดประมูลงานโครงการทางหลวงพิเศษระหว่างเมือง (มอเตอร์เวย์) สายพัทยา-มาบตาพุด ระยะทาง 32 กิโลเมตร วงเงินกว่า 20,000 ล้านบาทเป็นที่เรียบร้อยแล้ว และ CCP ได้รับออเดอร์ผลิตภัณฑ์คอนกรีตมูลค่ากว่า 500 ล้านบาท ส่งผลทำให้มูลค่างานในมือ (Backlog) เพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ ซึ่งโครงการดังกล่าวจะเริ่มก่อสร้างในเดือน ก.พ.59 นี้ และคาดว่าจะแล้วเสร็จในปี 2561
ทั้งนี้บริษัทคาดว่าภาคการก่อสร้างในปี 2559 จะสามารถขยายตัวได้ หลังจากภาครัฐมีแผนกระตุ้นและขับเคลื่อนโครงการเมกะโปรเจ็กต์ต่าง ๆ แม้ในช่วงนี้ยอดส่งสินค้าไม่มากนักแต่เชื่อว่าจะมีทยอยออกมาอย่างต่อเนื่อง ซึ่งการดำเนินนโยบายดังกล่าวจะส่งผลให้ผู้รับเหมาก่อสร้างภาคเอกชนมีโอกาสในการรับงานมากขึ้น อีกทั้งยังช่วยส่งเสริมให้ผู้ประกอบการด้านพัฒนาอสังหาริมทรัพย์กลับมาลงทุนในโครงการใหม่อีกครั้ง โดยทั้งสองปัจจัยจะทำให้ภาคธุรกิจคอนกรีต วัสดุก่อสร้าง ได้รับผลดีตามไปด้วย
“บริษัทมีความพร้อมในการผลิตสินค้าคอนกรีตทุกรูปแบบ และมีกำลังการผลิตที่เพียงพอเพื่อรองรับความต้องการคอนกรีตรูปแบบต่าง ๆ ในช่วงที่ความต้องการของตลาดมีมากขึ้น ซึ่งในปี 2559 บริษัทตั้งเป้าหมายรายได้ไว้ที่ประมาณ 2.6 พันล้านบาท โดยการเติบโตจะเป็นไปตามการลงทุนโครงการขนาดใหญ่ของภาครัฐ และการลงทุนของภาคเอกชน” นายอาทิตย์ กล่าว
ปัจจุบันบริษัทมี Backlog ประมาณ 2,400 ล้านบาท โดยใช้ระยะเวลาประมาณ 1 ปีครึ่ง ในการทยอยรับรู้รายได้ ซึ่งเฉพาะในปีนี้จะรับรู้รายได้ 60% ของ Backlog ทั้งหมด โดยบริษัทจะทยอยหางานเข้ามาเพิ่มอีกในอนาคต เพื่อรักษาระดับมูลค่างานในมือ (Backlog) ไว้ไม่ต่ำกว่า 2 พันล้านบาท
กลุ่มโอซีเอส จากสหราชอาณาจักร ประกาศแต่งตั้ง นายบุญเกียรติ วิสิทธิกาศ ดำรงตำแหน่งผู้อำนวยการฝ่ายการบริหารจัดการแบบครบวงจร รับผิดชอบส่วนงานบริหารจัดการอาคารแบบครบวงจรและกลุ่มลูกค้าเชิงกลยุทธ์ของโอซีเอสในทุกกลุ่มธุรกิจที่ดำเนินงานอยู่ในประเทศไทย มีผลตั้งแต่ 1 ธันวาคม 2558 เป็นต้นไป
นายบุญเกียรติ มีประสบการณ์ด้านการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์และการลงทุน การบริหารจัดการสินทรัพย์และการบริหารจัดการอาคารแบบครบวงจรอย่างมืออาชีพมากว่า 22 ปี รวมถึงมีความเชี่ยวชาญด้านการวิเคราะห์ การเจรจาต่อรอง การให้เช่า ซื้อ ข้อตกลง ขั้นตอนการออกแบบ การเสนอราคา การจัดซื้อจัดจ้าง การบริหารจัดการเกี่ยวกับการก่อสร้าง การบริหารจัดการโครงการ และอื่น ๆ
ก่อนหน้าที่จะมาร่วมงานกับโอซีเอส นายบุญเกียรติเคยดำรงตำแหน่งรองประธานอาวุโส ฝ่ายหัวหน้าบริหารอาคาร ธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด (มหาชน) และเป็นกรรมการผู้จัดการบริษัทมหิศร จำกัด ซึ่งเป็นบริษัทย่อยของธนาคารไทยพาณิชย์ มาแล้ว
นายบุญเกียรติ สำเร็จการศึกษาระดับปริญญาโทและปริญญาเอก ด้านบริหารธุรกิจจากสถาบันเทคโนโลยีแห่งเอเชีย นอกจากนี้ยังสำเร็จการศึกษาระดับปริญญาตรี สาขาวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยีชีวภาพ และปริญญาโทสาขาเศรษฐศาสตร์ธุรกิจ จากมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ รวมถึงปริญญาโท สาขาการบริหารจัดการอาคารแบบครบวงจร จากจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ประกาศนียบัตรด้านการประเมินทรัพย์สินจากมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์และประเทศออสเตรเลีย และการบริหารจัดการจากประเทศอังกฤษ
บริษัท อมตะ คอร์ปอเรชัน จำกัด(มหาชน) ผู้นำด้านการพัฒนาและบริหารเมืองอุตสาหกรรมครบวงจรทั้งในไทยและต่างประเทศ จัดงานฉลองครบรอบ 40 ปี ภายใต้แนวคิด The Future is Here เผยถึงเส้นทางความสำเร็จปัจจุบันสู่อนาคต และแผนต่อยอดแนวคิดสร้างอมตะให้เป็นมากกว่านิคมอุตสาหกรรม ตั้งเป้าขยายโรงงานให้ครบ 2,000 แห่ง ทั้งในและต่างประเทศ ภายใน 5 ปีข้างหน้า โชว์ความแข็งแกร่งด้านการเงินกำไรสะสมกว่า 9,000 ล้านบาท พร้อมทั้งเตรียมนำรูปแบบนิคม ฯ อมตะ ไปสู่เวียดนาม และพม่าในอนาคต ภายใต้รูปแบบการเป็นเมืองแห่งความสมบูรณ์แบบหรือ Perfect City โดยเน้นการลงทุนที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม สร้างบรรยากาศภายในนิคมอมตะให้มีความเป็นธรรมชาติ และพัฒนาแนวทางสร้างธุรกิจให้มีต้นทุนต่ำลง
นายวิกรม กรมดิษฐ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารกลุ่มบริษัทอมตะ กล่าวว่า อมตะได้ดำเนินธุรกิจด้านการพัฒนานิคมอุตสาหกรรมทั้งในประเทศ และต่างประเทศครบรอบ 40 ปี ในปี 2559 นี้ โดยความสำเร็จนั้นเนื่องจากได้รับความร่วมมือจากหน่วยงานภาครัฐ ภาคเอกชน และลูกค้า ดังนั้น จึงได้จัดงานฉลองครั้งนี้ขึ้นอย่างยิ่งใหญ่เพื่อขอบคุณผู้ที่มีส่วนเกี่ยวข้อง และให้การสนับสนุนดังกล่าว โดยงานฉลองในครั้งนี้จัดขึ้นภายใต้แนวคิด “The Future is Here” เพื่อแสดงให้เห็นถึงศักยภาพการเป็นนิคมอุตสาหกรรมที่มีความแข็งแกร่ง และมั่นคง ด้วยการสร้างเศรษฐกิจที่เข้มแข็ง และเป็นรากฐานความสำเร็จให้แก่นักลงทุนทุกคนที่ก้าวสู่นิคมอุตสาหกรรมของอมตะ
สำหรับทิศทางในอนาคต ของอมตะ ได้มีการวางแผนการลงทุนเพื่อการเติบโตแบบยั่งยืนโดยดำเนินการลงทุนจากกำไร และมีแผนการสร้างสร้างอมตะให้เป็นมากกว่าคำว่า นิคมอุตสาหกรรม เพื่อก้าวสู่การเป็น เมืองแห่งความสมบูรณ์ ซึ่งประกอบไปด้วย 1.ความสะดวกสบาย 2.คุณภาพชีวิตที่ดี และ 3.มีความรวดเร็วด้านการให้บริการแบบครบวงจร โดยจะมีสิ่งอำนวยความสะดวกต่าง ๆ ครบภายในนิคม ฯ แห่งนี้ ซึ่งจะมีความแตกต่างจากนิคมอุตสาหกรรมอื่น ๆ ในภูมิภาคเดียวกัน
นายวิกรม กล่าวต่อไปว่า อมตะมีความพร้อมสำหรับรองรับการลงทุนจากนักลงทุน โดยตั้งเป้าเพิ่มจำนวนสถานประกอบการภายในนิคมฯ อมตะ นคร จ.ชลบุรี และนิคมอุตสาหกรรมอมตะ ซิตี้ จ.ระยอง รวมทั้งในเวียดนามให้ได้ครบ 2,000 โรงงาน ภายในระยะเวลา 5 ปี ซึ่งปัจจุบัน มีแล้วกว่า 1,000 โรงงาน และยังมีพื้นที่เหลือจะนำมาพัฒนาอีกกว่า 10,000 ไร่ในประเทศไทย และที่เวียดนามอีก 40,000 ไร่
ซึ่งนอกจากการมุ่งเน้นเรื่องการสร้างรายได้จากการขาย และให้เช่าพื้นที่เพื่อตั้งโรงงานแล้ว รายได้ที่มีความสำคัญทำให้อมตะมีความแข็งแกร่งอีกทางหนึ่ง คือ การสร้างรายได้ในระยะยาว คือ การพัฒนาธุรกิจด้านบริการและสาธารณูปโภคทุกประเภทที่จำเป็น เช่น น้ำประปา ไฟฟ้า ระบบโทรคมนาคม การขนส่ง การศึกษา สาธารณสุข ฯลฯ เพื่อเป็นการช่วยให้ผู้ประกอบการโรงงานได้รับความสะดวกสบาย และประหยัดเวลาในการจัดหาทรัพยากร ซึ่งเป็นรายได้ที่มีการหมุนเวียนเข้ามาอย่างสม่ำเสมอ
“สำหรับเคล็ดลับความสำเร็จที่ยั่งยืนของอมตะ คือ การมิวินัยทางการเงิน รู้จักบริหารจัดการกำไร และหนี้สิน ลงทุนจากกำไร และการนำเอาที่ดินที่มีอยู่มาคิดเป็นเงินลงทุนหากมีการร่วมทุนแทนที่จะลงทุนด้วยเงินสด ซึ่งจะทำให้การบริหารจัดการเงินมีความยั่งยืนกว่า รวมทั้งการมองการณ์ไกล มีการวางแผนอนาคตในระยะยาว และดำเนินธุรกิจอย่างเป็นขั้นตอน จึงจะประสบความสำเร็จ” นายวิกรม กล่าว
นายวิบูลย์ กรมดิษฐ์ กรรมการและประธานเจ้าหน้าที่การตลาด บริษัท อมตะ คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า อมตะมุ่งเป้าสู่การเป็นอุตสาหกรรมที่ดำเนินแนวคิดเมืองที่สมบูรณ์แบบ โดยให้ความสำคัญในการส่งเสริมการใช้เทคโนโลยีสะอาด เพื่อประหยัดทรัพยากรและพลังงาน การลดต้นทุนการผลิต เราจึงได้มีการเตรียมความพร้อมในเรื่องของบุคลากร เพื่อป้อนเข้าสู่ภาคอุตสาหกรรม โดยมีความร่วมมือกับกรมอาชีวศึกษาจัดหลักสูตรพัฒนาฝีมือแรงงาน และหลักสูตรการฝึกงานระยะยาว รวมถึงการผลักดันให้เกิดศูนย์วิจัย แม้กระทั่งการสร้างเมืองวิทยาศาสตร์ขึ้นภายในนิคมฯ เพื่อให้เกิดประโยชน์ต่ออุตสาหกรรมและรองรับการเติบโตของธุรกิจอย่างยั่งยืนต่อไป
สำหรับแผนการลงทุนปี 2559 ในประเทศไทย เราตั้งงบไว้ที่ 2 พันล้านบาท เป็นงบเพื่อการขยายระบบสาธารณูปโภค เพื่อรองรับนักลงทุนทั้งจากญี่ปุ่น ซึ่งปัจจุบันมีสัดส่วนอยู่ที่ 60% และนักลงทุนจากจีน ซึ่งขณะนี้เริ่มเห็นสัญญาณความเชื่อมั่นของนักลงทุน ให้ความสนใจเข้ามาลงทุน หลังจากทีมเศรษฐกิจของรัฐบาลได้ประกาศนโยบายให้ปี 2559 เป็นปีแห่งการลงทุน รวมทั้งการให้สิทธิประโยชน์พิเศษจากคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน หรือ บีโอไอ ทำให้เชื่อว่า ตัวเลขโรงงานเปิดใหม่ในนิคมอุตสาหกรรมอมตะนครทั้ง 2 แห่งในไทยและในเวียดนาม จะเป็นไปตามเป้าหมาย 2,000 พันโรงงานภายใน 5 ปีข้างหน้า
ด้าน นางสมหะทัย พานิชชีวะ กรรมการและประธานเจ้าหน้าที่ บริหาร บริษัท อมตะ วีเอ็น จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า การขยายธุรกิจอมตะนั้น มีการขยายธุรกิจไปต่างประเทศ ซึ่งปัจจุบันอมตะมีนิคมอุตสาหกรรมอยู่ในประเทศเวียดนาม 2 แห่ง ได้แก่ อมตะ ซิตี้ เบียนหัว และอมตะ ซิตี้ ลองถั่น และในระหว่างนี้ก็ได้มีการศึกษาเพื่อเตรียมจัดหาพื้นที่สำหรับการพัฒนาเพิ่มเติม ทั้งในประเทศเวียดนาม และประเทศเพื่อนบ้านในกลุ่ม CLMV เช่น ประเทศพม่า ซึ่งเป็นอีกหนึ่งประเทศที่น่าสนใจ เนื่องจากนักลงทุนญี่ปุ่นให้ความสนใจเข้าไปลงทุน เช่น นิคมติวาลา ในย่างกุ้ง และมีปัจจัยด้านโครงสร้างพื้นฐานที่มีประโยชน์ เช่น การสร้างท่าเรือน้ำลึก ซึ่งอมตะมีความสนใจนิคมการค้าชายแดนจังหวัดกาญจนบุรี ซึ่งสามารถเชื่อมโยงสู่ทวายของพม่าได้ ส่วนกัมพูชา มีความได้เปรียบด้านแรงงานและสามารถใช้ประโยชน์ทางด้าน GSP ส่วนประเทศลาวยังมีความสมบูรณ์ทางด้านทรัพยากรทั้งแร่ธาตุและพลังงาน ซึ่งปัจจัยเหล่านี้เป็นข้อได้เปรียบที่นักลงทุนประเทศต่าง ๆ ให้ความความสนใจ จึงเป็นโอกาสของอมตะด้วยเช่นกัน
“สำหรับศักยภาพของเวียดนามมีปัจจัยการเติบโตอยู่ที่ 23,000 ล้านเหรียญฯ จีดีพีโตที่ 7% เวียดนามมีการทำเอฟทีเอกับประเทศต่าง ๆ รวมกว่า 75 ประเทศ ทำให้มีความได้เปรียบในการจำหน่ายสินค้าได้ทั่วโลก ส่วนการเติบโตในประเทศเวียดนามของอมตะที่ผ่านมาอยู่ที่ 40-50% และเรามีแผนการเติบโตอยู่ที่ 10 เท่าภายในระยะเวลา 10 ปีข้างหน้า เราเป็นนิคมแห่งแรกที่บุกเบิกเข้าสู่เวียดนาม และอยู่ในทำเลที่ดีที่สุดทางภาคใต้ นอกจากนี้เรายังมีแผนที่จะขยายตัวสู่ภาคเหนือของเวียดนามอีกด้วย โดยใช้รูปแบบการบริหารจัดการแบบเดียวกับนิคมอุตสาหกรรมอมตะในประเทศไทยที่มีประสบการณ์การทำงานมาแล้วถึง 40 ปี ภายใต้แนวคิดการพัฒนาอมตะให้เป็นเมืองสมบูรณ์แบบ” นางสมหะทัย กล่าวสรุป
บริษัท เชลล์แห่งประเทศไทย จำกัด แต่งตั้ง นายอรรถ เหมวิจิตรพันธ์ เป็นรองประธานกรรมการ ดูแลงานรัฐกิจสัมพันธ์และการพัฒนาธุรกิจใหม่ ตั้งแต่วันที่ 1 กุมภาพันธ์ พ.ศ.2559 สืบต่อจาก นายชูชัย เอี่ยมรุ่งโรจน์ ซึ่งเกษียณอายุการทำงานเมื่อเดือนมกราคมที่ผ่านมา
ก่อนเข้ารับตำแหน่งรองประธานกรรมการ นายอรรถมีประสบการณ์การทำงานกับบริษัทเชลล์ฯยาวนานกว่า 35 ปี และยังได้รับมอบหมายให้รับผิดชอบในส่วนงานที่หลากหลายไม่ว่าจะเป็นด้านฝ่ายขาย การตลาด ฝ่ายจัดหาและจัดส่งน้ำมัน และฝ่ายทรัพยากรบุคคล ในธุรกิจน้ำมันเชื้อเพลิง น้ำมันหล่อลื่น และ ยางมะตอย ทั้งยังมีความโดดเด่นด้านทักษะในการบริหารทีมงาน การให้คำแนะนำ เพื่อให้สามารถผสานศักยภาพของบุคลากรเข้ากับธุรกิจได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยตำแหน่งสุดท้ายก่อนได้รับการแต่งตั้งคือ กรรมการบริหาร ธุรกิจน้ำมันเชื้อเพลิงอุตสาหกรรมและพาณิชยกรรม
ในตำแหน่งใหม่นี้ นายอรรถจะรายงานตรงกับ นายอัษฎา หะรินสุต ประธานกรรมการบริษัทเชลล์แห่งประเทศไทย และกรรมการบริหารธุรกิจค้าปลีก ภาคพื้นตะวันออก กลุ่มบริษัท รอยัล ดัทช์ เชลล์ และตามสายงานที่ มิสเตอร์ ดัค แมคเคย์ รองประธาน ฝ่ายรัฐกิจสัมพันธ์ เอเชียแปซิฟิก นายอรรถ สำเร็จการศึกษาปริญญาโทจากสถาบันบัณฑิตบริหารธุรกิจศศินทร์แห่งจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และปริญญาตรีจากมหาวิทยาลัยอัสสัมชัญ เคยเข้ารับการอบรมหลักสูตรสำหรับกรรมการบริษัทจากสมาคมส่งเสริมสถาบันกรรมการบริษัทไทย
มร.ซานเจย์ มิชรา กรรมการผู้จัดการ และคณะผู้บริหาร บริษัท ทาทา มอเตอร์ส (ประเทศไทย) จำกัด พร้อมด้วยสื่อมวลชนสายรถยนต์ ร่วมมอบทุนการศึกษา อุปกรณ์สนามเด็กเล่น เครื่องกีฬา เลี้ยงอาหารกลางวัน พร้อมสร้างโครงการพัฒนาด้านโภชนาการแบบยั่งยืนให้กับเด็กนักเรียนโรงเรียนบ้านคลองกลุ่ม อำเภอพัฒนานิคม จังหวัดลพบุรี
ทาทา มอเตอร์ส ประเทศไทย สร้างกิจกรรมมากมายในการสนับสนุนแนวคิดการให้ความช่วยเหลือเด็กนักเรียนโดยร่วมกับคณะครูในโรงเรียนบ้านคลองกลุ่ม ไม่ว่าจะเป็นการสร้างแปลงปลูกผักให้เด็ก ๆ ได้มีโภชนาการที่ดี เป็นแหล่งอาหารแบบปลอดสารพิษ เพื่อใช้เป็นอาหารกลางวันและยังเป็นการให้ความช่วยเหลือแบบยั่งยืน การมอบอุปกรณ์สนามเด็กเล่น เช่น เครื่องเล่นไม้กระดก กระดานสไลเดอร์และอุปกรณ์กีฬาเพื่อส่งเสริมการออกกำลังกายและรักษาสุขภาพ
นอกจากนี้ ทาทา มอเตอร์ส ประเทศไทย พร้อมคณะสื่อมวลชน ยังร่วมมอบทุนการศึกษาจำนวน 25 ทุนให้แก่เด็กนักเรียนที่มีผลการเรียนดี มีความประพฤติดี รวมทั้งมอบอุปกรณ์การเรียนให้แก่นักเรียนทุกคนอีกด้วย
ทางด้าน มร.ซานเจย์ มิชรา กรรมการผู้จัดการ ของ ทาทา มอเตอร์ส ประเทศไทย กล่าวว่า “เรารู้สึกมีความยินดีเป็นอย่างยิ่งที่ ทาทา มอเตอร์ส ได้เป็นส่วนหนึ่งในการให้ความช่วยเหลือเด็ก ๆ ที่จะเป็นกำลังสำคัญของชาติต่อไปในอนาคต และยังทำให้เด็กนักเรียนสามารถพึ่งพาตนเองได้อย่างยั่งยืน”
มร.ซานเจย์ กล่าวต่อไปอีกว่า “เราขอแสดงความขอบคุณสื่อมวลชนทุกท่านที่มาร่วมงานและช่วยกันนำเสนอข่าวสารกิจกรรมนี้ เราหวังเป็นอย่างยิ่งว่าจะทำให้มีผู้สนใจทำกิจกรรมดี ๆ ลักษณะนี้มากขึ้น เพื่อส่งต่อโอกาสไปยังน้อง ๆ หรือชุมชนที่ยังต้องการความช่วยเหลือต่อไปในอนาคต”
สศอ.เตรียมจัดทำ Technology Roadmapping กำหนดทิศทางพัฒนาผลิตภัณฑ์ผู้สูงอายุของไทยในเชิงพาณิชย์ หลังพบ อุปกรณ์อำนวยความสะดวกภายในบ้านสำหรับผู้สูงอายุ, อุปกรณ์ที่ช่วยฟื้นฟูร่างกาย, หุ่นยนต์บริการ, ระบบ Tele-health และ ระบบ Tele-medicine มีความต้องการมากในอนาคต
นายศิริรุจ จุลกะรัตน์ ผู้อำนวยการสำนักงานเศรษฐกิจอุตสาหกรรม (สศอ.) เปิดเผยว่า ในวันที่ 19 ก.พ.2559 สศอ.จะประชุมผู้เชี่ยวชาญจากหน่วยงานต่าง ๆ ประกอบด้วย สถาบันไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์, กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี, กระทรวงสาธารณสุข และผู้ประกอบภาคเอกชน เพื่อจัดทำ Technology Roadmapping กำหนดทิศทางการพัฒนาผลิตภัณฑ์ผู้สูงอายุของไทยและนำเสนอมาตรการที่เหมาะสมสำหรับกระทรวงอุตสาหกรรมและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อพัฒนาอุตสาหกรรมอุปกรณ์การแพทย์ในประเทศไทยให้เกิดขึ้นรองรับการก้าวสู่สังคมผู้สูงอายุต่อไปในอนาคต
โดยเมื่อเร็ว ๆ นี้ สศอ.ได้ดำเนินการศึกษาโอกาสการพัฒนาอุปกรณ์การแพทย์เพื่อตอบสนองสังคมผู้สูงอายุร่วมกับสถาบันไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์ พบว่า กลุ่มผลิตภัณฑ์ผู้สูงอายุที่มีศักยภาพในอนาคต ประกอบด้วย อุปกรณ์อำนวยความสะดวกภายในบ้านสำหรับผู้สูงอายุ อาทิ ไม้เท้า เครื่องช่วยเดิน ลิฟต์ขึ้นบันได เป็นต้น, อุปกรณ์ที่ช่วยฟื้นฟูร่างกาย อาทิ เครื่องออกกำลังกายเพื่อฟื้นฟูกล้ามเนื้อ หรือของเล่นต่าง ๆ เพื่อช่วยการเคลื่อนไหวร่างกาย
รวมทั้งหุ่นยนต์บริการ เพื่อให้ความเพลิดเพลินกับผู้สูงอายุ สามารถเล่านิทาน คอยเตือนเมื่อถึงเวลาทานอาหาร ทานยา หรือมีหน้าจอเพื่อติดต่อพูดคุยกับลูกหลานได้โดยอาจมีการสั่งงานด้วยเสียง เป็นต้น,ระบบ Tele-health สำหรับลูกหลานติดตามการใช้ชีวิตประจำวันของผู้สูงอายุ มีระบบแจ้งเตือนผ่านมือถือ กรณีผู้สูงอายุประสบอุบัติเหตุ หรือขอความช่วยเหลือ และ ระบบ Tele-medicine เป็นการติดต่อระหว่างผู้สูงอายุกับแพทย์ เพื่อลดค่าใช้จ่ายและเวลาในการเดินทางไปรอแพทย์ที่โรงพยาบาล ซึ่งอุปกรณ์ทั้งหลายเหล่านี้มีความต้องการเป็นจำนวนมาก ขณะที่ปัจจุบันประเทศไทยยังมีการวิจัยพัฒนาและการผลิตในเชิงพาณิชย์ไม่มากนัก
ส่วนอุปสรรคปัญหาที่พบและต้องเร่งแก้ไข ได้แก่ 1.เรื่องกฎระเบียบของภาครัฐ เช่น การอำนวยความสะดวกในการขึ้นทะเบียน การแก้ไขอัตราภาษีนำเข้าที่เหลื่อมล้ำระหว่างวัตถุดิบกับผลิตภัณฑ์สำเร็จรูป เป็นต้น 2.เรื่องมาตรฐาน โดยจำเป็นต้องเร่งออกมาตรฐานในประเทศ เพื่อป้องกันสินค้าคุณภาพต่ำจากต่างประเทศ 3.ส่งเสริมการวิจัยและพัฒนาเพื่อต่อยอดงานวิจัยจากสถาบันการศึกษาหรือหน่วยงานวิจัยมาสู่การผลิตเชิงพาณิชย์ เป็นต้น
อย่างไรก็ตามญี่ปุ่นเป็นประเทศที่เผชิญกับสถานการณ์ผู้สูงอายุรุนแรงที่สุดในปัจจุบัน โดยมีอัตราส่วนผู้สูงอายุร้อยละ 21.1 ประเทศฟินแลนด์ ร้อยละ 19.8 ประเทศออสเตรีย 19.2 ประเทศเบลเยี่ยมร้อยละ 19.0 ประเทศฝรั่งเศสร้อยละ 18.3 ขณะที่ประเทศไทยมีประชากรประมาณ 70 ล้านคน มีอัตราส่วนผู้สูงอายุร้อยละ 9.5 สูงที่สุดในกลุ่มประเทศอาเซียน ที่แม้สถานการณ์จะยังไม่รุนแรงเท่าประเทศญี่ปุ่นและประเทศในยุโรปเนื่องจากมีระบบประกันสุขภาพที่ดี แต่คาดว่าประเทศไทยจะเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุในอีก 10-15 ปีข้างหน้านี้
นายอภิสฤษฎิ์ นิรุชทรัพย์รดา กรรมการผู้จัดการ บริษัท ดาต้า เพาเวอร์ จำกัด (ยืนกลาง) ผู้ผลิต และจัดจำหน่ายปลั๊กไฟมากว่า 25 ปี ภายใต้ชื่อแบรนด์ ดาต้า (DATA) คุณภาพดี ปลอดภัยสูง บริจาคเงินสมทบทุนให้กับมูลนิธิกลุ่มปรารถนาดี (Goodwill Group Foundation) เพื่อสนับสนุนกิจกรรมพัฒนาศักยภาพสตรีไทย และสอนวิชาชีพให้กับผู้หญิงด้อยโอกาส โดยมี นางสาวสโรชินี อัญญเวชสัมฤทธิ์ (ยืนขวา) ผอ.มูลนิธิฯ เป็นตัวแทนรับมอบ ณ มูลนิธิกลุ่มปรารถดี เมื่อเร็ว ๆ นี้
แลงเซส (LANXESS) บริษัทเคมีภัณฑ์เฉพาะทางและซาอุดิอารัมโก (Saudi Aramco) ประกาศใช้ชื่ออาร์ลังเซย์โอ (ARLANXEO) สำหรับบริษัทผลิตยางสังเคราะห์ที่เกิดจากการร่วมทุน โดยชื่อและโลโก้ใหม่ของบริษัทร่วมทุนดังกล่าวมาจากการผสมผสานชื่อและโลโก้ของทั้งสองบริษัทพันธมิตร พร้อมกับมีตัวหนังสือ “Performance Elastomers” หรืออิลาสโตเมอร์สมรรถนะสูงเพื่อเน้นย้ำถึงกลุ่มผลิตภัณฑ์ของบริษัทใหม่
หน่วยงานซึ่งมีหน้าที่ป้องกันการผูกขาดได้อนุมัติข้อตกลงการร่วมทุนครั้งนี้ ดังนั้น บริษัทร่วมทุน อาร์ลังเซย์โอ จะถูกเปิดตัวในวันที่ 1 เมษายน พ.ศ. 2559
“อาร์ลังเซย์โอจะเป็นบริษัทที่แข็งแกร่งของสองพันธมิตรที่เข้มแข็ง และความแข็งแกร่งนี้ยังสะท้อนอยู่ในชื่อบริษัทใหม่นี้ด้วยเช่นกัน” แมทเธียส ซาเชิร์ท ประธานคณะกรรมการบริหารของแลงเซส เอจี และว่าที่ประธานคณะกรรมการผู้ถือหุ้นของอาร์ลังเซย์โอกล่าว “เราจะขับเคลื่อนอาร์ลังเซย์โอในฐานะบริษัทใหม่และมีการดำเนินธุรกิจที่เป็นอิสระในตลาดยางสังเคราะห์ระดับโลก เรามีความเชื่อมั่นอย่างเต็มเปี่ยมว่าอาร์ลังเซย์โอจะเป็นแบรนด์ที่แข็งแกร่งในโลกของตลาดยาง”
“ภายใต้ชื่อใหม่ อาร์ลังเซย์โอจะพัฒนาบนพื้นฐานของการให้ความสำคัญกับลูกค้า การยกย่อง และชื่อเสียงของทั้งซาอุดิอารัมโกและแลงเซส ซึ่งทั้งสองบริษัทพันธมิตรมีความภาคภูมิใจเป็นอย่างยิ่ง” อับดุลราห์มัน อัล-วูฮาอิบ รองประธานอาวุโส ซาอุดิอารัมโกกล่าว
เมื่อวันที่ 22 สิงหาคม พ.ศ. 2558 แลงเซสและซาอุดิอารัมโกลงนามข้อตกลงการร่วมทุนโดยถือหุ้นในสัดส่วนร้อยละ 50 เพื่อการพัฒนา ผลิต ทำการตลาด จำหน่ายและแจกจ่ายยางสังเคราะห์ในอุตสาหกรรมยางรถยนต์ทั่วโลก การผลิตชิ้นส่วนรถยนต์ และการใช้งานอื่นๆ อย่างกว้างขวาง
อาร์ลังเซย์โอจะมีสำนักงานใหญ่อยู่ในประเทศเนเธอร์แลนด์ โดยจะมีการแต่งตั้งทีมผู้บริหารที่จะกำกับดูแลบริษัทร่วมทุนในเร็วๆ นี้ ทั้งสองบริษัทพันธมิตรจะมีบทบาทในคณะกรรมการบริหารเพื่อดูแลบริษัทในสัดส่วนเท่ากัน โดยแลงเซสจะแต่งตั้งประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ส่วนซาอุดิอารัมโกจะแต่งตั้งประธานเจ้าหน้าที่บริหารฝ่ายการเงิน
“การก่อตั้งบริษัทร่วมทุนที่เกิดจากความร่วมมือระหว่างบริษัทผู้ผลิตยางสังเคราะห์รายใหญ่ที่สุดในโลกและบริษัทพลังงานแบบบูรณาการที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในโลก เราได้วางรากฐานที่มั่นคงเพื่อขับเคลื่อนอาร์ลังเซย์โอให้มีพัฒนาการเชิงบวกอย่างยั่งยืน” ซาเชิร์ท กล่าว “ถือเป็นผลลัพธ์ที่มอบประโยชน์ให้แก่ทุกฝ่ายทั้งลูกค้าของเราและพนักงานของอาร์ลังเซย์โอ เรามีความพร้อมและเฝ้ารอที่จะเปิดตัวบริษัทร่วมทุนที่มีอนาคตอันสดใสนี้”
อินเตอร์ลิ้งค์ จัดงานสัมมนา "Star Wars Fiber Optic Media Converter 2016" อัพเดตสาระความรู้เทคโนโลยีสาย Fiber Optic ทั้งความแตกต่างของเส้นใยแก้วนำแสงแต่ละชนิด การออกแบบและการเลือกใช้งานอุปกรณ์ Fiber Optic การเพิ่มประสิทธิภาพของสายใยแก้วนำแสงด้วยตัวแปลงสัญญาณระบบ IP รวมทั้งแนะนำผลิตภัณฑ์ใหม่และผลิตภัณฑ์ที่เป็นไฮไลต์ของงาน โดยวิศวกรผู้เชี่ยวชาญจากกลุ่มบริษัทอินเตอร์ลิ้งค์ โดยมี คุณสมบัติ อนันตรัมพร ประธานกรรมการและกรรมการผู้จัดการใหญ่กลุ่มบริษัทอินเตอร์ลิ้งค์ เป็นประธานกล่าวเปิดงาน นอกจากนี้ยังมีการจัดแสดงบูธ Solution ของ LINK Fiber Optic System เต็มพื้นที่งาน พร้อมแจกของที่ระลึก เสื้อ T-Shirt Star Wars ให้แก่ผู้เข้าร่วมงานที่ให้ความสนใจกันอย่างคับคั่ง ณ โรงเเรมเจ้าพระยาปาร์ค รัชดา
ฟอร์เรสเตอร์ รีเสิร์ช อิงค์ ซึ่งเป็นบริษัทชั้นนำด้านการวิจัยของโลก ได้จัดอันดับให้แซส เป็นผู้นำด้านโซลูชั่นคุณภาพข้อมูลอย่างแท้จริง โดยในรายงานได้ประเมินผลและสรุปหลักเกณฑ์หรือ Criteria ในด้านคุณภาพข้อมูลของบริษัทผู้จำหน่ายซอฟท์แวร์ต่าง ๆ ออกมา 30 ข้อ เพื่อช่วยให้ผู้เชี่ยวชาญด้านสถาปัตยกรรมองค์กร (Enterprise Architecture) สามารถเลือกพาร์ทเนอร์ที่เหมาะสมกับความต้องการของพวกเขาได้ ซึ่งจากรายงานได้ระบุไว้ว่า “ซอฟท์แวร์ของแซสนั้น มีคุณสมบัติในการใช้งานที่ง่าย ทั้งในด้านการพัฒนาคุณภาพของข้อมูลจากทั้งเจ้าหน้าที่ผู้รับผิดชอบและเจ้าหน้าที่ผู้พัฒนาข้อมูล”
ตามรายงานวิจัยของฟอร์เรสเตอร์ยังกล่าวไว้ด้วยว่า “ตลาดโซลูชั่นการพัฒนาคุณภาพของข้อมูลนั้นกำลังเติบโต เนื่องจากผู้ดูแลระบบไอทีหรือผู้เชี่ยวชาญด้านสถาปัตยกรรมขององค์กรมองเรื่องคุณภาพของข้อมูลเป็นวิธีที่จะรับมือกับความ ท้าทายที่มีความสำคัญเป็นอันดับต้น ๆ ของพวกเขา และโดยส่วนใหญ่แล้วการที่ตลาดสำหรับโซลูชั่นในด้านการพัฒนาคุณภาพของข้อมูลเติบโตขึ้น ก็สืบเนื่องมาจากมูลเหตุที่ผู้เชี่ยวชาญด้านสถาปัตยกรรมขององค์กรนั้นมีความเชื่อมั่นในตัวผู้ให้บริการด้านโซลูชั่นการพัฒนาคุณภาพของข้อมูลเพิ่มมากขึ้น โดยเฉพาะในการเป็นพาร์ทเนอร์ด้านการวางกลยุทธ์ และให้คำแนะนำแก่พวกเขาในเวลาที่ต้องตัดสินใจเกี่ยวกับธุรกิจ และการจัดการข้อมูลในเชิงลึก”
นายแมทธิว แมกนา ผู้จัดการฝ่ายการตลาดผลิตภัณฑ์ของการจัดการข้อมูลทั่วโลก กล่าวว่า เทคโนโลยีแซส นับว่ามีความสามารถที่เป็นเอกลักษณ์ในด้านการการตรวจสอบข้อมูล การวางมาตรฐาน และปรับปรุงข้อมูลในจุด ๆ นั้น โดยที่ไม่ต้องย้ายข้อมูลไปที่อื่น ทำให้สามารถทำงานได้รวดเร็ว มีความปลอดภัย และมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น และไม่ว่าข้อมูลจะอยู่ในลักษณะสตรีมมิ่ง หรือในฐานข้อมูล หรือในหน่วยความจำ SAS® Data Quality ก็สนับสนุนแหล่งข้อมูลทั้งแบบดั้งเดิมและแบบใหม่ ไม่ว่าจะเป็น Hadoop, Impala และ Big Data อื่น ๆ
“หากปราศจากข้อมูลของลูกค้าที่แม่นยำ ธุรกิจก็ไม่สามารถที่จะเสนอข้อเสนอพิเศษที่ตรงตามความต้องการของลูกค้าไม่สามารถแก้ปัญหาด้านการบริการลูกค้าได้อย่างรวดเร็วและมีประสิทธิภาพ และไม่สามารถมอบประสบการณ์สุดพิเศษให้แก่ลูกค้าตลอดการใช้งาน โดยเฉพาะในขณะที่ลูกค้าในปัจจุบันมีความเป็นตัวของตัวเองสูงขึ้น และมีข้อมูลเกี่ยวกับสินค้าและบริการที่พวกเขามีตัวเลือกมากขึ้น ทั้งนี้องค์กรที่ไม่สามารถรู้จักลูกค้าของพวกเขา ไม่สามารถเข้าใจความต้องการ และเจตนาของพวกเขา และให้ในสิ่งที่พวกเขาไม่ต้องการจะซื้อจะกลายเป็นการทำธุรกิจแบบที่ไม่ถูกจุด กับทั้งลูกค้า และตลาด” นายแมทธิว กล่าวสรุป
นายทวีศักดิ์ แสงทอง กรรมการผู้จัดการ บริษัท แซส ซอฟต์แวร์ (ไทยแลนด์) จำกัด กล่าวว่า เทคโนโลยี SAS Data Quality ทำให้ข้อมูลมีความเชื่อถือได้ทั้งในแบบทันที และในขั้นตอนของการประมวลผลแบบเชิงกลุ่มซึ่งจะช่วยให้องค์กรสามารถตัดสินใจในเรื่องต่าง ๆ ที่เข้ามาในส่วนนั้น ๆ ได้ดียิ่งขึ้น และให้การช่วยเหลือแก่เจ้าหน้าที่ผู้รับผิดชอบข้อมูลในการแก้ไขปัญหาเกี่ยวกับข้อมูลต่าง ๆ ที่เกิดขึ้น ส่วนเทคโนโลยี SAS Data Loader for Hadoop ก็ทำให้ผู้ใช้ในทางธุรกิจและนักวิทยาศาสตร์ข้อมูลสามารถจัดเตรียมข้อมูล Big Data ได้ด้วยตนเอง โดยแซสได้สร้างกระบวนการดำเนินงานที่สามารถนำมาใช้ซ้ำได้ตลอดวงจรชีวิตของคุณภาพข้อมูล และรักษาคุณภาพที่ดีของข้อมูลไว้ด้วยในขณะที่ข้อมูลมีการไหลเข้าและออกอย่างต่อเนื่อง
เกี่ยวกับบริษัท แซส
บริษัท แซส ซอฟท์แวร์ (ไทยแลนด์) จำกัด เป็นผู้นำในตลาดซอฟต์แวร์และบริการด้านการวิเคราะห์ข้อมูลเชิงธุรกิจ (Business Analytics) ด้วยโซลูชั่นเชิงนวัตกรรมที่ให้ลูกค้าในรูปของ Integrated Framework และเทคโนโลยีสำหรับการรวบรวมข้อมูล การวิเคราะห์ และการเข้าถึงข้อมูลช่วยให้ลูกค้าของแซสที่มีมากกว่า 75,000 แห่งทั่วโลก สามารถตัดสินใจทางธุรกิจได้ดี และรวดเร็วยิ่งขึ้น และนับตั้งแต่ปี 2519 เป็นต้นมา แซส เดินหน้าอย่างมุ่งมั่นในการเป็น "พลังแห่งการรอบรู้" หรือ The Power to Know® สำหรับลูกค้าทั่วโลก
“พีทีจี” ตั้งเป้าปี 2559 ยอดขายขยายตัวต่อเนื่อง 30-40% เมื่อเทียบกับปี 2558 พร้อมรุกธุรกิจโลจิสติกส์ หวังเพิ่มศักยภาพบริหารจัดการด้านขนส่งของกลุ่มบริษัท เตรียมเปิดตัวผลิตภัณฑ์น้ำมันเครื่อง เผยในปี 2559 ทุ่มงบ 2,000-3,000 ล้านบาท ขยายสถานีบริการเพิ่มเป็น 1,500 แห่งทั่วประเทศ
นายพิทักษ์ รัชกิจประการ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท พีทีจี เอ็นเนอยี จำกัด (มหาชน) หรือ PTG เปิดเผยว่า ทิศทางในการดำเนินงานของพีทีจีในปี 2559 นั้น บริษัทฯ ตั้งเป้ายอดขายเพิ่มขึ้น 30-40% เมื่อเทียบกับปี 2558 โดยมาจากปัจจัยด้านปริมาณการขายน้ำมันที่เพิ่มขึ้นต่อเนื่อง วางแผนจะขยายสาขาให้ครบ 1,500 แห่งทั่วประเทศ รวมถึงเตรียมเปิดสาขาในกรุงเทพฯ ให้ได้ 25-30 แห่งต่อปี ตลอดช่วง 3 ปีข้างหน้านี้ ปีนี้จะมุ่งสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับพื้นที่ในสถานี ทั้งจาก International brand และ Business to Business พร้อมสนับสนุน Startups และ SMEs ตลอดจนมุ่งเพิ่มจำนวนสมาชิกบัตรแม็กซ์ การ์ดเป็น 5.6 ล้านสมาชิกในปีนี้
“อย่างไรก็ดี ในส่วนของผลการดำเนินงานของไตรมาส 4 ปีที่ผ่านมา และทั้งปี 2558 นั้น ตัวเลขอยู่ในระดับที่น่าพอใจ แม้ราคาน้ำมันขายปลีกในประเทศปรับตัวลงต่อเนื่องตามราคาน้ำมันตลาดโลก แต่บริษัทสามารถบริหารความเสี่ยงดังกล่าวได้เป็นอย่างดี โดยยอดขายเติบโตเพิ่มขึ้นประมาณ 21% จากปีก่อน ปัจจัยหนึ่งมาจากการที่เรามีสถานีบริการน้ำมันเพิ่มขึ้น และยอดขายต่อสถานีบริการก็เติบโตขึ้น บริษัทยังมีสถานีบริการก๊าซ แอลพีจี เข้ามาเติมเต็มสำหรับการให้บริการ และได้รับผลการตอบรับจากผู้ใช้บริการเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ ซึ่งในปี 2559 นี้ คาดว่าจะเพิ่มจำนวนสถานีบริการก๊าซแอลพีจีอีก 50 แห่ง” นายพิทักษ์ กล่าว
นายพิทักษ์ กล่าวต่อว่า รายได้โดยรวมของบริษัทที่เพิ่มขึ้นส่วนใหญ่ยังคงเป็นในส่วนของการจำหน่ายน้ำมันผ่านสถานีให้บริการเป็นหลัก รวมถึงขยายตลาดไปสู่กลุ่มผลิตภัณฑ์ใหม่ โดยเร็ว ๆ นี้ จะเตรียมเปิดตัวผลิตภัณฑ์น้ำมันเครื่อง อย่างเร็วภายในไตรมาส 2
นอกจากนี้ ในปีนี้บริษัทพร้อมเดินหน้าธุรกิจด้านโลจิสติกส์ โดยได้ซื้อหุ้นของบริษัท ขนส่งน้ำมันทางท่อ จำกัด หรือ FPT ผู้ให้บริการขนส่งน้ำมันอากาศยาน และน้ำมันภาคพื้นดินผ่านระบบท่อ ซึ่งจะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการบริหารงานด้านการขนส่งไปยังคลังน้ำมันและสถานีบริการน้ำมันทางภาคเหนือที่เพิ่มขึ้นในทุกปี นอกจากนี้ ยังได้เข้าลงทุนในบริษัทอาม่า มารีน หรือ AMA ซึ่งเป็นผู้เชี่ยวชาญในการให้บริการขนส่งสินค้าเหลวทางทะเล และทางบก ที่มีการเติบโตสูง และสามารถสร้างผลตอบแทนที่ดีให้แก่บริษัท ซึ่งจะสามารถช่วยบริหารจัดการต้นทุน เพิ่มประสิทธิภาพด้านขนส่งให้ดียิ่งขึ้น ยิ่งกว่านั้นบริษัทฯ ยังอยู่ระหว่างการเจรจากับพันธมิตรเกี่ยวกับแผนการลงทุนโครงการโรงงานเอทานอล และอยู่ระหว่างติดตามการเปิดประมูลโรงไฟฟ้าขยะ ซึ่งเชื่อว่าแผนของบริษัทครั้งนี้ส่งผลให้เรามีกลุ่มธุรกิจที่แข็งแกร่งและครอบคลุมด้านการให้บริการพลังงานแบบครบวงจร
นายพิทักษ์กล่าวถึงโครงการอุตสาหกรรมปาล์ม คอมเพล็กซ์ (Palm Complex) ว่าล่าสุดทางพีทีจี ได้มีความคืบหน้าของโครงการไปถึง 22% คาดว่าโครงการจะแล้วเสร็จภายในปี 2017
“บริษัทยังคงมุ่งมั่นและมองหาโอกาสในการลงทุนธุรกิจอื่นที่เกี่ยวเนื่องกับพลังงานอย่างรอบด้าน เพื่อให้สอดคล้องกับวิสัยทัศน์ของบริษัทฯ ที่เราไม่เพียงต้องการเป็นผู้นำในด้านธุรกิจสถานีบริการน้ำมัน แต่เราต้องการเป็นผู้นำในด้านพลังงานในทุกรูปแบบ” นายพิทักษ์กล่าวทิ้งท้าย
อุตสาหกรรมอ้อยและน้ำตาลทราย ตั้งคณะทำงานกำหนดเกณฑ์คุณภาพอ้อยและประสิทธิภาพการผลิตของโรงงานน้ำตาลทราย หวังสร้างความเป็นธรรมในการแบ่งปันรายได้ของเขตคำนวณราคาอ้อย คาดเริ่มใช้ในฤดูการผลิตปี 59/60 เพื่อสร้างมาตรฐานให้แก่อุตสาหกรรมอ้อยและน้ำตาลทรายไทย หลังจากฤดูการหีบอ้อยปีนี้ ครบ 70 วัน พบคุณภาพผลผลิตอ้อยเข้าหีบลดลงทั้งในแง่ของปริมาณอ้อยและยิลด์การผลิตน้ำตาลร่วงจากปัญหาภัยแล้ง อ้อยสกปรกมีสิ่งปนเปื้อน และอ้อยไฟไหม้
นายสิริวุทธิ์ เสียมภักดี ประธานคณะทำงานด้านประชาสัมพันธ์และสันทนาการบริษัท ไทยชูการ์ มิลเลอร์ จำกัด หรือ TSMC เปิดเผยว่า คณะกรรมการอ้อยและน้ำตาลทราย (กอน.) ได้แต่งตั้งคณะทำงานกำหนดเกณฑ์มาตรฐานคุณภาพมาตรฐานอ้อยและประสิทธิภาพการผลิตของโรงงานน้ำตาลทราย โดยคณะทำงานชุดดังกล่าวจะเป็นผู้ทำหน้าที่รวบรวมและตรวจสอบข้อมูลเกณฑ์มาตรฐานอ้อย และประสิทธิภาพการผลิตของโรงงานน้ำตาลในช่วงฤดูการหีบอ้อยปี 2558/59 ก่อนนำเสนอให้แก่ กอน. ภายในเดือนกันยายน 2559 นี้ เพื่อใช้เป็นแนวทางในการพิจารณาแบ่งเขตคำนวณราคาอ้อยและสร้างความเป็นธรรมในการแบ่งปันรายได้ของแต่ละเขตคำนวณราคาอ้อย เพื่อให้ทันประกาศใช้ในฤดูการหีบอ้อยปี 2559/60 เป็นต้นไป
สำหรับแนวทางการตรวจสอบคุณภาพอ้อยนั้น ทางสำนักงานอ้อยและน้ำตาลทราย (สอน.) ได้รวบรวมวิธีการตรวจสอบมาตรฐานอ้อยที่ใช้ปฏิบัติทั้งในต่างประเทศและในประเทศ โดยกำหนดแนวทางให้โรงงานน้ำตาลทรายเก็บอ้อยตัวอย่างด้วยการแยกอ้อยสด อ้อยไฟไหม้และอ้อยรถตัด โดยการสุ่มตรวจวันละ 3 ครั้ง เพื่อเป็นตัวอย่างนำไปใช้คำนวณค่าอ้อยปนเปื้อน หากมีสิ่งปนเปื้อนไม่เกิน 3% ในวันที่มีการสุ่มตรวจถือว่าคุณภาพอ้อยอยู่ในเกณฑ์ปกติ แต่หากมากกว่า 3% ให้คณะทำงานเร่งหาแนวทางป้องกันและแก้ไขต่อไป
อย่างไรก็ตาม ทางฝ่ายโรงงานน้ำตาลทรายมองว่า การหาสิ่งปนเปื้อนในอ้อยด้วยเครื่อง NIRS (Near Infrared Spectroscopy) ซึ่งเป็นวิธีที่นิยมใช้ในต่างประเทศ เช่น ออสเตรเลีย บราซิล และแอฟริกาใต้ควรนำมาปรับใช้ในประเทศไทย โดยขณะนี้มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์อยู่ระหว่างการทดลองและศึกษา โดยเก็บตัวอย่างชิ้นอ้อยที่ผ่านการเตรียมอ้อยแล้ว เพื่อนำมาหาเปอร์เซ็นต์สิ่งปนเปื้อนในอ้อย แล้วนำไปวัดด้วยเครื่อง NIRS เพื่อหาเปอร์เซ็นต์สิ่งปนเปื้อนต่อไป
“สิ่งปนเปื้อนในอ้อยถือเป็นอีกต้นตอปัญหาของคุณภาพผลผลิตอ้อยที่ส่งผลต่อปริมาณผลผลิตน้ำตาลทรายต่อตันอ้อยลดลง ดังนั้น ทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้องในภาคอุตสาหกรรมจึงเร่งแก้ไข โดยการกำหนดค่ามาตรฐานอ้อยและประสิทธิภาพการผลิตของโรงงานน้ำตาลที่ต้องได้รับการยอมรับจากทุกฝ่าย เพื่อสร้างความแข็งแกร่งของอุตสาหกรรมอ้อยและน้ำตาลทราย” นายสิริวุทธิ์ กล่าว
ส่วนความคืบหน้าการหีบอ้อยประจำฤดูการผลิตปี 2558/59 หลังโรงงานน้ำตาลเปิดหีบอ้อยเป็นระยะเวลารวม 70 วัน นับตั้งแต่เปิดหีบอ้อยวันแรกเมื่อวันที่ 25 พฤศจิกายน 2558 ที่ผ่านมา พบว่า ผลผลิตอ้อยเข้าหีบของปีนี้เมื่อเทียบกับปีที่ผ่านมามีคุณภาพลดลงทั้งในแง่ของปริมาณอ้อยเข้าหีบ ปริมาณน้ำตาลต่อตันอ้อย (ยิลด์) และค่าความหวานที่ลดลงอย่างรุนแรง โดยขณะนี้มีปริมาณอ้อยเข้าหีบแล้ว 51.74 ล้านตันอ้อย ผลิตน้ำตาลได้ 48.49 ล้านกระสอบ (100 กก./กระสอบ) หรือลดลง 10.22 ล้านกระสอบ เมื่อเทียบกับปีก่อนที่ผลิตได้ 58.71 ล้านกระสอบ โดยมีผลผลิตน้ำตาลต่อตันอ้อย (ยิลด์) เฉลี่ยลดลงเหลือ 93.70 กิโลกรัมต่อตันอ้อย จากปีก่อนที่มียิลด์อยู่ที่ 99.04 กิโลกรัม หรือลดลงกว่า 5.34 กิโลกรัมต่อตันอ้อย จึงคาดว่าผลผลิตทั้งอ้อยและน้ำตาลทรายของไทยโดยรวมจะลดต่ำกว่าปีที่แล้วแน่นอน โดยหลายฝ่ายเห็นว่าปริมาณผลผลิตอ้อยปีนี้อาจต่ำกว่า 100 ล้านตัน
ขณะที่ค่าความหวานในอ้อยของฤดูการหีบปีนี้ก็ลดลงเช่นเดียวกัน โดยอยู่ที่ 11.07 ซี.ซี.เอส. เมื่อเทียบกับปีก่อนที่มีค่าความหวานในช่วง 70 วันแรกของฤดูการหีบที่ 11.52 ซี.ซี.เอส. ซึ่งคุณภาพผลผลิตน้ำตาลโดยรวมที่ตกต่ำลงนั้น นอกจากปัจจัยจากสภาพอากาศแล้ว ยังได้รับผลกระทบจากปัญหาด้านอ้อยไฟไหม้และอ้อยปนเปื้อน โดยพบว่าปริมาณอ้อยสดเข้าหีบในช่วง 70 วันแรกของฤดูการหีบปีนี้อยู่ที่ 20.56 ล้านตันอ้อย หรือคิดเป็น 40% ขณะที่อ้อยไฟไหม้อยู่ที่ 31.19 ล้านตันอ้อย คิดเป็น 60% ส่วนในแง่ประสิทธิภาพการหีบอ้อยของโรงงานน้ำตาลทรายพบว่า โรงงานน้ำตาลใช้กำลังการผลิตหีบต่อวันเพิ่มขึ้นเป็น 1.02 ล้านตันอ้อย เมื่อเทียบกับฤดูการผลิตปีก่อนที่หีบอ้อย 1.01 ล้านตันอ้อย เนื่องจากโรงงานเปิดรับผลผลิตอ้อยครบทั้ง 52 โรง จึงสามารถรองรับผลผลิตอ้อยจากชาวไร่ได้เพิ่มขึ้น
TOG ประกาศแผนการลงทุน 3 ปี รีแบรนด์ดิ้งองค์กรครั้งใหญ่ ทั้งการพัฒนาโลโก้บริษัท และปรับองค์กรให้มีความทันสมัยยิ่งขึ้น ตลอดจนพัฒนานวัตกรรมในการผลิตเลนส์ให้ตอบสนองไลฟ์สไตล์ผู้มีปัญหาทางสายตามากยิ่งขึ้น โดยมีแผนการออกผลิตภัณฑ์ใหม่ต่อเนื่องทุกไตรมาส พร้อมตั้งเป้าเพิ่มส่วนแบ่งการตลาดเลนส์สายตาในประเทศสหรัฐอเมริกา และประเทศในแถบอาเซียน มั่นใจบริษัทฯ สามารถก้าวสู่ความเป็นผู้นำในฐานะผู้ผลิตเลนส์อิสระในระดับโลก
นายธรณ์ ประจักษ์ธรรม กรรมการผู้จัดการ บริษัท ไทยออพติคอล กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) หรือ TOG ผู้นำด้านการผลิตและจำหน่ายเลนส์สายตารายใหญ่ที่สุดของประเทศไทย และผู้ผลิตเลนส์อิสระในระดับสากล เปิดเผยว่า ในปี 2558 บริษัทฯ มีรายได้รวม 1,824 ล้านบาทซึ่งใกล้เคียงกับปีที่ผ่านมา และมีกำไรสุทธิ 230 ล้านบาท คิดเป็นอัตรากำไรเท่ากับ 12.6% ทั้งนี้ส่วนหนึ่งเป็นผลมาจากตลาดเลนส์สายทั่วโลกมีการเติบโตขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยมีผู้ใช้เลนส์สายตาทั่วโลกกว่า 1.8 พันล้านคน และมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องกว่าปีละ 3% โดยมีปัจจัยขับเคลื่อนที่สำคัญจากการใช้แว่นสายตาในกลุ่มประเทศกำลังพัฒนา ทั้งนี้ TOG วางแผนการลงทุนในอีก 3 ปีข้างหน้า (พ.ศ.2559–2561) ภายใต้งบประมาณกว่า 800 ล้านบาท เพื่อรุกตลาดเลนส์สายตาทั้งในประเทศไทย และต่างประเทศ โดยเฉพาะประเทศสหรัฐอเมริกา และประเทศในแถบอาเซียน อาทิ อินโดนีเซีย เมียนมาร์ และเวียดนาม เป็นต้น
สำหรับทิศทางการดำเนินงานในปี 2559 นี้ TOG ตั้งงบลงทุนระหว่าง 450-500 ล้านบาท โดยแบ่งเป็น การลงทุนเพื่อเพิ่มกำลังการผลิตเลนส์เฉพาะบุคคลหรือเลนส์สั่งฝนพิเศษ (Prescription Lens หรือ Rx Lens) ซึ่งเป็นผลิตภัณฑ์ที่มีอัตรากำไรที่ดี จำนวน 300-350 ล้านบาท และงบลงทุนปกติ 150 ล้านบาท ซึ่งรวมถึงงบประมาณในการรีแบรนด์ดิ้งองค์กรแบบ 360 องศา เพื่อรองรับการเติบโตของบริษัทฯ ที่มีอัตราเติบโตต่อเนื่องกว่า 10% ทุกปี
ในส่วนของการรีแบรนด์ดิ้งองค์กรนั้น TOG พลิกโฉมภาพลักษณ์ของ TOG เพื่อสร้างความทันสมัยให้กับแบรนด์ใหม่ทั้งหมด โดยใช้ธีม “TOG 360 WORLDSIGHT” ซึ่งหมายถึง มุมมองแบบ 360 องศา สะท้อนถึงผลิตภัณฑ์ และบริการที่กว้าง สอดคล้องกับความต้องการของลูกค้า และวิสัยทัศน์ที่กว้างไกลของบริษัทที่ก้าวหน้าและมองไปยังอนาคต โดยมีการเปลี่ยนแปลงใน 4 ส่วนหลัก ได้แก่ ส่วนที่หนึ่ง การสร้างเอกลักษณ์ของแบรนด์หรือโลโก้ให้โดดเด่นชัดเจนยิ่งขึ้น รวมไปถึงการเปลี่ยนแปลงรูปแบบบรรจุภัณฑ์ และดีสเพลย์สินค้าให้มีความสดใสยิ่งขึ้น ส่วนที่สอง คือ การพัฒนาคุณภาพเลนส์สายตาอย่างต่อเนื่อง โดยให้ความสำคัญกับคุณภาพของวัตถุดิบในการผลิต ตลอดจนนวัตกรรมในการพัฒนาเลนส์สายตาให้สามารถตอบสนองไลฟ์สไตล์ของผู้ใช้งานมากยิ่งขึ้น และที่สำคัญคือการพัฒนาเลนส์ชีวภาพที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม ซึ่งจะช่วยลดภาวะโลกร้อนได้อีกทางหนึ่ง ส่วนที่สาม คือ การปรับปรุงโรงงานผลิต และเครื่องจักรให้มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น โดยในอนาคตจะเป็นโรงงานแบบ Fully Automatic ซึ่งสามารถรองรับกำลังการผลิตอีกมากกว่า 1 ล้านชิ้นต่อปี คาดว่าจะสามารถเปิดดำเนินการได้ในไตรมาส 3 ของปีนี้ และสุดท้ายคือ การปรับโครงสร้างองค์กรเพื่อลดอายุองค์กรให้ทันสมัย มีความคล่องตัว และเข้ากับยุค New Generation มากยิ่งขึ้น
นอกจากนี้ TOG ยังตั้งเป้ารุกขยายตลาดประเทศสหรัฐอเมริกา และประเทศในแถบอาเซียนเพิ่มขึ้น จากปัจจุบันที่มีสัดส่วนตลาดต่างประเทศอยู่แล้ว 95% โดยส่วนใหญ่เป็นประเทศในแถบยุโรป ออสเตรเลีย นิวซีแลนด์ อเมริกา และเอเชียแปซิฟิค เป็นต้น
โดยการมุ่งขยายตลาด AEC นั้น บริษัทฯ วางแผนขายสินค้าผ่านบริษัทร่วมทุน 3 ประเทศ คือ มาเลเซีย สิงคโปร์ และเวียดนาม รวมถึงอยู่ระหว่างการศึกษาและเจราจากับพันธมิตรเพิ่มเติมในประเทศอินโดนีเซีย ฟิลิปปินส์ และพม่า เพื่อขยายสาขารับกำลังซื้อในตลาด AEC
“บริษัทฯ มั่นใจว่า การปรับองค์กรครั้งใหญ่ของ TOG ครั้งนี้ ไปจนถึงอีก 3 ปีข้างหน้า จะผลักดันให้บริษัทฯ สามารถก้าวขึ้นเป็นผู้นำอันดับหนึ่งในฐานะผู้ผลิตเลนส์อิสระในระดับโลก และเป็นที่ยอมรับของผู้บริโภคที่ใช้เลนส์สายตาคุณภาพอย่างแพร่หลายทั่วโลก” นายธรณ์ กล่าวในที่สุด
แสนสิริ ผู้นำอสังหาฯ ชั้นนำของไทย จับมือ พร็อพเพอร์ตี้กูรู กรุ๊ป กลุ่มสื่ออสังหาริมทรัพย์ชั้นแนวหน้าของเอเชีย และผู้บริหารจัดการเว็บไซต์สื่อกลางอสังหาริมทรัพย์อันดับ 1 ของไทย DDproperty.com เปิดตัว ePropertyTrack for Sansiri แอพลิเคชั่นออนไลน์เจ้าแรก สำหรับเสนอขายอสังหาริมทรัพย์แก่ลูกค้าต่างประเทศ ซึ่งใช้งานง่าย สะดวก เพียงผ่านสมาร์ทโฟน ที่รองรับการใช้งานได้ถึง 4 ระบบ ทั้ง Android, iOS, Mac และ OS โดยเบื้องต้นเปิดให้ใช้งานได้ 2 ภาษาคือภาษาอังกฤษและภาษาจีน โดยนำร่อง 7 โครงการพร้อมอยู่เหมาะแก่การลงทุน ทั้งกรุงเทพฯ-พัทยา-ภูเก็ต ให้ลูกค้าสามารถเลือกสรรผ่านแอพพลิเคชั่นดังกล่าว จากที่ใดก็ได้ทั่วโลก พร้อมเปิดใช้งานอย่างสมบูรณ์แบบแล้ววันนี้
นายอภิชาติ จูตระกูล ประธานอำนวยการ บริษัท แสนสิริ จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า จากความสำเร็จของแผนดำเนินธุรกิจโดยการรุกตลาดต่างชาติในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมา เราได้รับการตอบรับเป็นอย่างดี จึงส่งผลให้ล่าสุด บริษัทสามารถสร้างยอดขายจากตลาดต่างชาติได้ถึง 3,500 ล้านบาท โดยสูงกว่าปี 2557 ถึง 135% โดยมีสัดส่วนลูกค้าต่างชาติที่หลากหลาย อาทิ เอเชีย 83% (ญี่ปุ่น, ฮ่องกง, สิงคโปร์, มาเลเซีย, จีนและไต้หวัน) ยุโรป (รัสเซีย, อังกฤษ, ฝรั่งเศส, เยอรมัน, ออสเตรเลีย, เนเธอร์แลนด์และอิตาลี เป็นต้น) 11% อเมริกา 4 % และอื่น ๆ นับเป็นความสำเร็จที่เห็นผลอย่างชัดเจน ในปีนี้ บริษัทจึงได้วางแผนรุกทำการตลาดเจาะกลุ่มลูกค้าต่างชาติมากขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะการทำการตลาดในระดับ International เพื่อสร้างแบรนด์อย่างยั่งยืน รวมทั้งโปรโมทโครงการระดับบนแก่ลูกค้าต่างชาติและลูกค้าไทยอย่างต่อเนื่องจากที่เริ่มทำมาแล้วในปีที่ผ่านมา โดยตั้งเป้ายอดขายตลาดต่างชาติในปีนี้เพิ่มขึ้นเป็น 5,000 ล้านบาท
“เพื่อให้เป็นไปตามเป้าหมายในการเพิ่มสัดส่วนกลุ่มลูกค้าต่างชาติ บริษัทได้แสวงหาตลาดใหม่ ๆ โดยคำนึงถึงการเข้าถึงของตัวแทนขายต่างชาติและลูกค้าได้ตรงช่องทางและตรงตามความต้องการ ซึ่งจากการรวบรวมข้อมูลของทั้งกลุ่มตัวแทนขายและลูกค้าชาวต่างชาติ พบว่าปัจจุบัน มีการนำเสนอขายและค้นหาข้อมูลโครงการอสังหาริมทรัพย์ไทยที่น่าสนใจผ่านสมาร์ทโฟนหรือแท็บเล็ตมากขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งแอพพลิเคชั่น ePropertyTrack นั้น นับเป็นแอพพลิเคชั่นที่ได้รับความนิยมเป็นอย่างมากในกลุ่มตัวแทนขายหรือเอเจนท์ในเอเชีย ในลักษณะของธุรกิจแบบ B2B บริษัทจึงได้ร่วมมือกับ พร็อพเพอร์ตี้กูรู กรุ๊ป กลุ่มสื่ออสังหาริมทรัพย์ชั้นแนวหน้าของเอเชีย และผู้บริหารจัดการเว็บไซต์สื่อกลางอสังหาริมทรัพย์อันดับ 1 ของไทย DDproperty.com ร่วมกันปรับปรุงและพัฒนาแอพพลิเคชั่นนี้ขึ้นมาโดยใช้ชื่อว่า ePropertyTrack for Sansiri เพื่อรองรับการนำเสนอขายอสังหาริมทรัพย์ของแสนสิริแก่ลูกค้าในต่างชาติ โดยนับเป็นครั้งแรกของวงการอสังหาริมทรัพย์ในประเทศไทยที่นำแอพพลิเคชั่นมาปรับใช้เพื่อการขายกลุ่มลูกค้าชาวต่างชาติลักษณะนี้ เพื่อเป็นการเปิดประสบการณ์การในการขายอสังหาริมทรัพย์รูปแบบใหม่ที่เป็นประโยชน์สำหรับทั้งทีมขายภายในของแสนสิริเองและเอเจนท์ภายในและต่างประเทศทำให้เป็นการขายโครงการแบบไร้พรมแดน ที่จะช่วยให้กระบวนการขายในต่างประเทศเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น ตอกย้ำแนวทางในการรุกตลาดต่างประเทศอย่างเต็มรูปแบบของแสนสิริ” นายอภิชาติ กล่าว
สำหรับ ePropertyTrack for Sansiri จะนำมาใช้ในการเสนอขายโครงการคอนโดมิเนียมให้แก่นักลงทุนชาวต่างชาติ และขยายพันธมิตรเอเจนท์ของแสนสิริไปยังประเทศอื่น ๆ ในยุโรป อาทิ ญี่ปุ่น อังกฤษ อเมริกา และรัสเซีย หลังจากที่แสนสิริมีเอเจนท์พันธมิตรในต่างประเทศแล้วกว่า 20 รายในภูมิภาคเอเชีย ได้แก่ ฮ่องกง สิงคโปร์ ไต้หวัน มาเลเซีย ตลอดจนจีนแผ่นดินใหญ่ คือ ปักกิ่ง เซี่ยงไฮ้ กวางโจว และเซินเจิ้น และรัสเซีย ทั้งนี้แอพพลิเคชั่นดังกล่าวจะนำเสนอข้อมูลโครงการ รายละเอียด ราคา โปรโมชั่น ยอดจองและยอดขายที่อัพเดท ให้ตัวแทนขาย ผ่านทางแอพพลิเคชั่น นำเสนอให้ลูกค้าชมแบบเรียลไทม์ได้ตลอด 24 ชั่วโมงจากทั่วโลกแบบไร้พรมแดน ซึ่งจะนำร่องก่อน 7 โครงการ คัดสรรเฉพาะโครงการพร้อมอยู่ที่เหมาะสำหรับการอยู่อาศัยและการลงทุน ทั้งในกรุงเทพฯ และต่างจังหวัด คือ ภูเก็ตและพัทยา ได้แก่ เดอะ เบส พาร์คอีสต์ สุขุมวิท 77, นายน์ บาย แสนสิริ, บ้านปลายหาด พัทยา, บ้านไม้ขาว ภูเก็ต, เดอะ เดค ป่าตอง, เดอะ เบส อัพทาวน์-ภูเก็ต และเดอะ เบส ไฮท์-ภูเก็ต รวมทั้งโครงการอื่น ๆ ของแสนสิริในอนาคต
มร.สตีฟ เมลฮูอิช ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและผู้ร่วมก่อตั้ง พร๊อพเพอร์ตี้กูรู กรุ๊ป กลุ่มสื่ออสังหาริมทรัพย์ชั้นแนวหน้าของเอเชีย และผู้บริหารจัดการเว็บไซต์สื่อกลางอสังหาริมทรัพย์อันดับ 1 ของไทย DDproperty.com กล่าวว่า “เทรนด์ในปัจจุบันผู้พัฒนาโครงการในประเทศภูมิภาค โดยเฉพาะสิงคโปร์นิยมใช้ ePropertyTrack แอพพลิเคชั่นเพื่อการขายและการตลาด เพื่อเป็นเครื่องมือในการขายโครงการเปิดใหม่สูงถึง 90% เนื่องจากง่าย สะดวก และรวดเร็ว ปัจจุบันมีโครงการอสังหาริมทรัพย์ใหม่ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ที่ได้ลงทะเบียนในระบบนี้แล้วกว่า 500 โครงการ จากผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์ชั้นนำ อาทิ CapitalLand ผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์รายใหญ่ในเอเชียที่มีสำนักงานใหญ่อยู่ในประเทศสิงคโปร์ และมีตัวแทนขายชั้นนำกว่า 24,000 ราย ซึ่งคาดการณ์ว่าจำนวนตัวแทนขายจะเพิ่มขึ้นกว่า 2 เท่า ในอีก 2 ปีข้างหน้า สำหรับความร่วมมือระหว่างแสนสิริและพร๊อพเพอร์ตี้กูรู กรุ๊ป ในการเปิดตัว ePropertyTrack for Sansiri ในครั้งนี้ บริษัทมีความยินดีเป็นอย่างมากกับอีกก้าวสำคัญของแสนสิริในการเป็นผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์ชั้นนำของไทยที่ได้นำนวัตกรรม ePropertyTrack มาใช้เป็นรายแรกของประเทศ และเพื่อตอกย้ำนโยบายการทำการตลาดเชิงรุกในระดับภูมิภาค พร้อมเข้าสู่การเป็นหนึ่งในพันธมิตรทางธุรกิจเครือข่ายผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์ และที่ปรึกษาด้านการขายอสังหาริมทรัพย์ชั้นแนวหน้าของเอเชีย”
ePropertyTrack for Sansiri เป็นแอพพลิเคชั่นบนระบบมือถือที่เชื่อมโยงบริษัทอสังหาริมทรัพย์กับตัวแทนขาย และนักลงทุนในภูมิภาคเอเชียเข้าด้วยกัน เพื่อช่วยให้การขายและการตลาดอสังหาริมทรัพย์มีประสิทธิภาพแบบไร้ขีดจำกัดมากขึ้น สามารถใช้ได้ผ่านคอมพิวเตอร์และมือถือ ปัจจุบันรองรับได้ถึง 4 ระบบ ได้แก่ Android, iOS, Mac และ OS โดยเบื้องต้นเปิดให้ใช้งานได้ 2 ภาษา คือภาษาอังกฤษและภาษาจีน นอกจากนี้ บริษัทฯ ยังมีแผนพัฒนาภาษาไทยภายในไตรมาสที่ 2 มีฟังก์ชั่นการใช้งานหลัก ๆ คือ
ซึ่งระบบนี้จะช่วยเพิ่มขีดความสามารถ ศักยภาพ และเครือข่ายของทีมการขายของแสนสิริให้กว้างขวาง และแข็งแกร่งมากยิ่งขึ้น และทีมผู้บริหารสามารถติดตามผลได้ตลอด ให้นักลงทุน และตัวแทนขายในระบบทั่วภูมิภาคหรือตัวแทนขายที่ได้รับสิทธ์จากแสนสิริจากทั่วทุกมุมโลกสามารถเข้าถึงข้อมูล และรายละเอียดโครงการของแสนสิริได้อย่างรวดเร็ว สะดวก ง่าย ซึ่งระบบ ePropertyTrack for Sansiri พร้อมที่จะเปิดใช้บริการอย่างสมบูรณ์แบบแล้ววันนี้
ที แอล เอส กรุ๊ป ดำเนินธุรกิจจัดจำหน่ายและให้บริการเครื่องจักร เพื่อการขนถ่ายลำเลียงในอุตสาหกรรมและเครื่องจักรหนักเพื่อการก่อสร้างและเหมืองแร่ ซึ่งดำเนินธุรกิจในประเทศไทยมากว่า 13 ปี มีบริษัทในเครือ 3 บริษัท คือ 1.บริษัท ที แอล เอส กรุ๊ป เซาธ์อีสท์ เอเชีย จำกัด ผู้นำธุรกิจด้านจำหน่ายและให้เช่ารถฟอร์คลิฟท์ ซึ่งเป็นตัวแทนจำหน่ายอย่างเป็นทางการรถฟอร์คลิฟท์ แบรนด์ "ฮุนได" (HYUNDAI) 2.บริษัท วัตคินสัน คอนสตรัคชั่น อิควิปเมนท์ จำกัด ผู้นำธุรกิจด้านจัดจำหน่ายและให้บริการเครื่องจักรหนัก เพื่อการก่อสร้างและเหมืองแร่ แบรนด์ "เคส คอนสตรัคชั่น" (CASE Construction) และ 3.บริษัท ที แอล เอส ฟิชเชอรี่ จำกัด ธุรกิจด้านจัดจำหน่ายและส่งออกอุปกรณ์การประมง
ซึ่งในปีนี้ ที แอล เอส กรุ๊ป มั่นใจลุยตลาดฟอร์คลิฟท์ และเครื่องจักรหนักสำหรับงานก่อสร้างและเหมืองแร่ พร้อมปรับกลยุทธ์ต่อยอดธุรกิจด้วยการแต่งตั้งผู้เชี่ยวเฉพาะด้านเข้ามาบริหารจัดการและเพิ่มศักยภาพเพื่อสร้างความมั่นใจและความพึงพอใจให้แก่ลูกค้าในกลุ่มธุรกิจหลัก ให้ได้รับประโยชน์สูงสุดจากการใช้เครื่องมือในการทำงาน และเป็นการตอกย้ำจุดเด่นของ ที แอล เอส กรุ๊ป ในการให้บริการด้วยสินค้าที่มีคุณภาพและมาตรฐานสูงต่อลูกค้า
นายสุวิทย์ รุ่งเรืองศิริวงศ์ ผู้จัดการธุรกิจเครื่องจักรเพื่อการขนถ่ายลำเลียงในอุตสาหกรรม
ที แอล เอส กรุ๊ป เซาธ์อีสท์ เอเชีย จำกัด ได้แต่งตั้งให้ นายสุวิทย์ รุ่งเรืองศิริวงศ์ รับตำแหน่งผู้จัดการธุรกิจเครื่องจักรเพื่อการขนถ่ายลำเลียงในอุตสาหกรรม นายสุวิทย์ เป็นผู้เชี่ยวชาญและอยู่ในตลาดรถฟอร์คลิฟท์มากว่า 28 ปี ก่อนหน้านี้เคยทำหน้าที่ผู้จัดการฝ่ายขายและผู้จัดการทั่วไปให้กับบริษัทตัวแทนจำหน่ายรถฟอร์คลิฟท์ของ โคมัสสุ และแคตเตอร์พิลล่าตามลำดับ ซึ่ง ที แอล เอส กรุ๊ป เซาธ์อีสท์ เอเชีย จำกัด เป็นตัวแทนจำหน่ายรถฟอร์คลิฟท์ฮุนได (HYUNDAI) แต่เพียงผู้เดียวในประเทศไทยด้วยความไว้วางใจจากบริษัท ฮุนได เฮฟวี่ อินดัสตรีส์ จำกัด ประเทศเกาหลีใต้ มาเป็นเวลากว่า 6 ปี ปัจจุบันมีทีมผู้เชี่ยวชาญไว้คอยบริการกว่า 20 ทีม สำหรับให้คำปรึกษา ดูแล ฝึกอบรม และซ่อมบำรุง รถฟอร์คลิฟท์ที่ให้บริการทั้ง 3 ระบบ คือ ไฟฟ้า เชื้อเพลิงดีเซล และแก๊สแอลพีจี ซึ่งปัจจุบัน ที แอล เอส มีบริการทั้งแบบจัดจำหน่ายและให้เช่า ทั้งตัวรถ แบตเตอรี่ และอุปกรณ์เสริมอื่น ๆ
นายอติพงศ์ พงศ์หว่าน ดำรงตำแหน่งที่ปรึกษาอาวุโส ด้านเครื่องจักรหนักเพื่อการก่อสร้างและเหมืองแร่ แบรนด์ "เคส คอนสตรัคชั่น" (CASE Construction)
ด้าน บริษัท วัตคินสัน คอนสตรัคชั่น อิควิปเมนท์ จำกัด ผู้นำด้านการจัดจำหน่ายและให้บริการเครื่องจักรหนักแบบครบวงจร บริษัทในเครือของ ที แอล เอส กรุ๊ป ได้แต่งตั้งให้ นายอติพงศ์ พงศ์หว่าน ดำรงตำแหน่งที่ปรึกษาอาวุโส ด้านเครื่องจักรหนักเพื่อการก่อสร้างและเหมืองแร่ แบรนด์ "เคส คอนสตรัคชั่น" (CASE Construction) ซึ่งนายอติพงศ์ เป็นผู้เชี่ยวชาญและคร่ำหวอดอยู่ในวงการธุรกิจด้านอุตสาหกรรมหนักเพื่อการก่อสร้างและเหมืองแร่ มาเกือบ 40 ปี โดยก่อนหน้านี้นายอติพงษ์ ได้เคยดำรงตำแหน่งผู้บริการระดับสูงให้กับ บริษัท อิตัลไทย อินตัสเตรียล มาก่อน
เครื่องจักรหนักเพื่อการก่อสร้าง CASE Construction แบรนด์ดังจากสหรัฐอเมริกา เป็นเครื่องจักรเพื่อการเกษตรและการก่อสร้างที่ดีที่สุดแบรนด์หนึ่งของโลก โดยล่าสุด CASE Construction ได้รับการเสนอชื่อให้เป็นสมาชิกดีเด่นแห่งปี 2558 จากสมาคมการจัดการเครื่องมือและอุปกรณ์มืออาชีพ ในงานสัมมนาประจำปี ครั้งที่ 33 ที่เมืองออร์แลนโด สหรัฐอเมริกา ปัจจุบันเครื่องจักร CASE Construction เป็นที่นิยมเป็นอย่างมากทั่วโลกรวมทั้งในประเทศไทย เนื่องจากคุณภาพของเครื่องจักรมีความทนทาน ประสิทธิภาพสูง และประหยัดพลังงานได้เป็นเลิศ
ปัจจุบัน บริษัท วัตคินสัน คอนสตรัคชั่น อิควิปเมนท์ จำกัด ผู้จัดจำหน่ายเครื่องจักรหนัก CASE Construction มีเครื่องจักรครบครัน ที่สามารถตอบโจทย์กับทุกสภาพการใช้งาน อาทิ รถขุด รถตัก รถหน้าตัก-หลังขุด รถบด และอื่น ๆ บริษัทฯ มีสำนักงานใหญ่อยู่ที่จังหวัดระยอง ปัจจุบันมีศูนย์บริการทั้งหมด 6 แห่ง และมีแผนการขยายธุรกิจโดยจะเพิ่มถึง 20 สาขาภายในปี 2562
บีเออี ซิสเต็มซ์ ได้ร่วมลงนามสัญญาฉบับใหม่ร่วมกับอู่กรุงเทพในการก่อสร้างเรือตรวจการณ์ไกลฝั่งความยาว 90 เมตรลำที่สองให้กับกองทัพเรือไทยตามข้อตกลงแล้วบีเออี ซิสเต็มซ์ จะให้ความสนับสนุนทางด้านวิศวกรรมและข้อแนะนำตลอดการก่อสร้างเรือดังกล่าวในประเทศไทย
มร.ไนเจล สตูเวิร์ด ผู้อำนวยการฝ่ายพาณิชย์ของบีเออี ซิสเต็มซ์ กล่าวว่า “เราภูมิใจที่ได้เป็นส่วนหนึ่งในการสร้างและกระชับความสัมพันธ์ในอุตสาหกรรมการต่อเรือของประเทศไทย สัญญาฉบับนี้ถือเป็นการสนับสนุนครั้งที่สองจากกองทัพเรือไทยที่ได้ไว้วางใจในดีไซน์และการออกแบบเรือตรวจการณ์ไกลฝั่งที่มีความเป็นอเนกประสงค์ของเรา”
“เรือตรวจการณ์ไกลฝั่งของเราจำนวนสามลำได้รับการประจำการแล้วที่ประเทศบราซิล และอีกสามลำอยู่ในขั้นตอนการก่อสร้างเพื่อกองทัพเรือสหราชอาณาจักร แสดงให้เห็นว่าดีไซน์ของเราได้รับการยอมรับในระดับนานาชาติ” มร.ไนเจล กล่าวเพิ่มเติม
เรือตรวจการณ์ไกลฝั่ง จากบีเออี ซิสเต็มซ์เป็นเรือที่มีความเป็นเอนกประสงค์สูง ทำให้คุ้มค่าเม็ดเงินที่ลงทุนและมักเป็นตัวเลือกอันดับต้นของกองทัพเรือหลายแห่ง อีกทั้งยังสามารถเลือกก่อสร้างเรือ ณ โรงงานที่กลาสโกว์ ประเทศสกอตแลนด์ ซึ่งเป็นโรงงานของจากบีเออี ซิสเต็มซ์ หรือ เลือกก่อสร้างเรือภายใต้ข้อตกลงอนุญาตใช้สิทธ์ในโรงงานในประเทศนั้น ๆ สำหรับลูกค้าต่างประเทศได้ กองทัพเรือไทยได้รับเรือตรวจการณ์ไกลฝั่งความยาว 90 เมตรลำแรก ชื่อว่า เรือหลวงกระบี่ (HTMS KRABI) จากอู่กรุงเทพในปี พ.ศ.2556 เรือลำดังกล่าวเป็นการพัฒนาจากโครงสร้างพื้นฐานของบีเออี ซิสเต็มซ์ และได้ออกปฏิบัติการกับกองทัพเรือไทยแล้วกว่า 1,000 วัน นอกจากนี้ บีเออี ซิสเต็มซ์ ได้นำส่งเรือตรวจการณ์ไกลฝั่งที่ก่อสร้างในสหราชอาณาจักรให้แก่กองทัพเรือบราซิลอีกสามลำระหว่างปี พ.ศ.2556–2557
ปัจจุบัน บีเออี ซิสเต็มซ์ กำลังก่อสร้างเรือตรวจการณ์ไกลฝั่งให้กับกองทัพเรือสหราชอาณาจักรในโรงงานที่กลาสโกลว์ ประเทศสกอตแลนด์ โดยเรือดังกล่าวจะมีโครงสร้างพื้นฐานที่คล้ายกันแต่มีปรับแต่งบางส่วนตามความต้องการของกองทัพเรือสหราชอาณาจักร นอกจากนี้ทางฝ่ายรัฐบาลอังกฤษยังมีการเตรียมการซื้อเรือตรวจการณ์ไกลฝั่งเพิ่มอีกสอง ลำตามแผนยุทธศาสตร์การป้องกันและการรักษาความปลอดภัย (Strategic Defence and Security Review) ฉบับล่าสุด
นายพรนริศ ชวนไชยสิทธิ์ (ที่ 4 จากซ้าย) นายกสมาคมอสังหาริมทรัพย์ไทย พร้อมด้วย นายวีระกิตติ์ เอกอัครวิจิตร (ที่ 2 จากขวา) กรรมการผู้จัดการ บริษัท วีระเกียรติ พัฒนาที่ดิน จำกัด รับบทหัวเรือใหญ่ เป็นประธานคณะกรรมการจัดงาน มหกรรมบ้านและคอนโด ครั้งที่ 34 จัดพิธีจับฉลากบูธ ณ ห้องประชุม 3-4 ศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ ซึ่งในปีนี้มีผู้ประกอบการกว่า 200 บริษัท ยอดโครงการบ้านกว่า 1,000 โครงการเข้าร่วมงาน ทำให้ปิดการขายได้อย่างรวดเร็ว โดยมี 3 ค่ายอสังหาฯ ยักษ์ใหญ่ได้แก่ บริษัท พฤกษา เรียลเอสเตท จำกัด (มหาชน) บริษัทเจ้าพระยา ดีเวล๊อปเมนต์ คอร์ปอเรชั่น จำกัด และบริษัท บ้านราชประสงค์ จำกัด เจ้าของโครงการ ดิ เอ็นเนอร์จี้ หัวหิน จองพื้นที่มากสุด
อนึ่งงานมหกรรมบ้านและคอนโด ครั้งที่ 34 ได้รับความรวมมือจากจากสมาคมอสังหาริมทรัพย์ไทย สมาคมธุรกิจบ้านจัดสรร และสมาคมอาคารชุดไทยร่วมกันจัดงานครั้งนี้ ซึ่งจะมีขึ้นระหว่างวันที่ 10–13 มีนาคม 2559 เวลา 10.00-20.00 น. ณ บริเวณโซนซี ชั้น 1 ชั้น 2 และพลาซ่า ของศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์
บริษัท แอสเซนด์ คอมเมิร์ซ จำกัด ผู้ให้บริการแพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซ iTruemart และ WeLoveShopping แถลงความสำเร็จในช่วงไตรมาสสุดท้ายของปีที่ผ่านมา พร้อมต่อยอดกลยุทธ์ที่ประสบความสำเร็จเหนือคู่แข่งในประเทศไทยในการขยายธุรกิจไปยังตลาดใหม่ ๆ
บริษัท แอสเซนด์ คอมเมิร์ซ จำกัด รายงานผลการดำเนินงานของบริษัทในช่วงไตรมาส 4 ของปี 2558 ด้วยยอดออเดอร์ (ยอดคำสั่งซื้อสินค้า) เฉลี่ยต่อวันเติบโตมากถึงร้อยละ 65 และสามารถสร้างฐานลูกค้ารายใหม่จากการเป็นพันธมิตรกับ แบรนด์ชั้นนำต่าง ๆ โดยมีจำนวนออเดอร์เฉลี่ย 14,000 รายการต่อวัน และมีจำนวนออเดอร์สูงสุดอยู่ที่ 30,000 รายการ ต่อวัน และกว่าร้อยละ 50 ของจำนวนลูกค้าทั้งหมดกลับมาซื้อสินค้าเพิ่มในเดือนเดียวกัน
นายปุณณมาศ วิจิตรกุลวงศา กรรมการผู้จัดการใหญ่และประธานคณะผู้บริหาร บริษัท แอสเซนด์ กรุ๊ป จำกัด กล่าวว่า “นี่คือก้าวสำคัญในการบรรลุเป้าหมายของเราที่มุ่งมั่นนำสินค้าคุณภาพในราคาคุ้มค่าสู่ผู้บริโภคออนไลน์ในตลาดเอเซียตะวันออกเฉียงใต้ โดยเราได้นำกลยุทธ์ที่ทำให้เราเป็นผู้นำและประสบความสำเร็จในแต่ละประเภทสินค้าในตลาดประเทศไทยไปปรับใช้กับตลาดอื่น ๆ ในเอเซียตะวันออกเฉียงใต้ จากกระแสตอบรับที่ดีของลูกค้าปัจจุบัน ทำให้เรามั่นใจว่าเราจะสามารถส่งมอบประสบการณ์การชอปปิ้งออนไลน์ในแบบของคนเมือง ให้แก่คนอีกหลายล้านคนในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เพื่อช่วยให้ทุกคนมีมาตรฐานความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น”
iTrueMart คือ ร้านค้าปลีกออนไลน์ที่เชื่อมโยงผู้ประกอบการเข้ากับผู้บริโภค ส่วน WeLoveShopping คือ ตลาดสินค้าออนไลน์สำหรับธุรกิจขนาดย่อม ให้พื้นที่แก่ผู้ประกอบการเข้ามาขายสินค้า โดยมีกลุ่มผู้บริโภคขนาดใหญ่ ซึ่งแพลตฟอร์มทั้งสองธุรกิจนี้เริ่มเปิดให้บริการในประเทศไทยเป็นที่แรก และปัจจุบัน iTrueMart ได้ขยายฐานลูกค้าไปยังกลุ่มตลาดอาเซียนอีกด้วย
ในปี 2558 บริษัท แอสเซนด์ คอมเมิร์ซ จำกัด ได้ลงทุนสร้างศูนย์บริการครบวงจรเป็นของตนเอง เพื่อควบคุมกระบวนการให้บริการได้อย่างเต็มรูปแบบ ตั้งแต่การจัดซื้อสินค้าไปจนถึงการจัดส่งสินค้า นายปุณณมาศ กล่าวว่า “เป้าหมายหลักในการลงทุนครั้งนี้ คือการมอบประสบการณ์ที่น่าประทับใจให้แก่ลูกค้า ซึ่งจะส่งผลให้ลูกค้ากลับมาใช้บริการอย่างต่อเนื่อง”
iTruemart.com ประสบความสำเร็จเป็นอย่างมาก เนื่องมาจากความรวดเร็วในการจัดส่ง โดยร้อยละ 98 ของออเดอร์ในเขตกรุงเทพมหานครจะได้รับสินค้าในวันรุ่งขึ้น ส่วนผู้ที่อาศัยอยู่ในต่างจังหวัด จะได้รับสินค้าภายใน 2 วัน ทำให้ลูกค้าเกิดประสบการณ์ที่ดีในการใช้บริการ ล่าสุดนี้ iTruemart ได้เริ่มเปิดให้บริการในประเทศฟิลิปปินส์เมื่อปลายปีที่ผ่านมา
ในขณะเดียวกัน ยอดออเดอร์ ผ่าน WeLoveShopping เติบโตเกือบร้อยละ 300 ในไตรมาสสุดท้ายของปีที่แล้ว อีกทั้งยังมีผู้ขายรายใหม่เพิ่มขึ้นกว่า 1,300 ราย และการที่ WeLoveShopping.com ได้ทำสัญญากับผู้ขายรายใหม่ๆเพิ่มขึ้น ยังช่วยเพิ่มยอดออเดอร์ทั้งจากกลุ่มลูกค้าปัจจุบันและลูกค้ารายใหม่อีกด้วย
นายสืบสกล สกลสัตยาทร ผู้จัดการทั่วไป ไอทรูมาร์ท บริษัท แอสเซนด์ คอมเมิร์ซ จำกัด กล่าวว่า “ในช่วงต้นปี 2558 ที่บริษัทเพิ่งเปิดตัวนั้น บริษัทมียอดออเดอร์เพียงไม่กี่ร้อยรายการต่อวัน แต่ภายในปีเดียวกัน บริษัทมียอดออเดอร์เพิ่มขึ้นมากถึงร้อยละ 700 ซึ่งมาจากการที่เราใช้กลยุทธ์มุ่งมั่นการเป็นผู้นำในสินค้าแต่ละประเภทก่อน และจะนำเสนอสินค้าในหมวดหมู่ใหม่ก็ต่อเมื่อมั่นใจแล้วว่าสินค้าประเภทนั้นมีจุดแข็งพอที่จะนำเสนอต่อผู้บริโภคต่อไป กลยุทธ์นี้ประสบความสำเร็จอย่างดีในประเทศไทยและฟิลิปปินส์ บริษัทจึงเชื่อมั่นว่ากลยุทธ์ดังกล่าวจะประสบความสำเร็จเป็นอย่างดีในตลาดอื่นๆเช่นกัน”
นายดีน เครเสตฟสกี ประธานภูมิภาคฝ่ายปฏิบัติการอีคอมเมิร์ซ บริษัท แอสเซนด์ กรุ๊ป กล่าวว่า “iTruemart.ph ประสบความสำเร็จเกินคาด แม้ว่าจะเพิ่งเริ่มดำเนินกิจการในประเทศฟิลิปปินส์เมื่อปลายปีที่ผ่านมา และก้าวสู่การเป็นตลาดหลักอีกแห่งสำหรับเรา ทั้งนี้บริษัท แอสเซนด์ คอมเมิร์ซ จำกัด ยังคาดว่า iTrueMart.ph ในตลาดฟิลิปปินส์จะมีการเจริญเติบโตไปในทิศทางที่ดี และจะขยายกลุ่มสินค้าและบริการการจัดส่งอย่างต่อเนื่อง”
กรมส่งเสริมอุตสาหกรรม (กสอ.) เผยแนวทางการส่งเสริมกลุ่มเกษตรกรเพิ่มมูลค่าสินค้าด้วยการแปรรูปผลิตผลทางการเกษตรให้สามารถจำหน่ายได้ด้วยตนเอง ด้วยโมเดลสูตรผสม อุตสาหกรรมที่ 6 (‘sixth’ industrialization) ซึ่งเป็นการนำผู้ประกอบการภาคการเกษตร ภาคการผลิตและแปรรูป และภาคการตลาดนำมารวมเป็นแนวคิด “1x2x3=6” โดยนำร่องฝึกอบรมภายใต้หลักสูตร “การเพิ่มมูลค่าผลิตภัณฑ์จากข้าว” ให้กับกลุ่มเกษตรกรข้าวในพื้นที่ภาคกลาง จำนวนกว่า 100 ราย ทั้งนี้ คาดว่าจะเกิดการคิดค้นและแปรรูปเป็นผลิตภัณฑ์ใหม่ ๆ ที่หลากหลาย สามารถพลิกจากการเป็นแค่เกษตรกรให้กลายเป็นผู้ประกอบการได้อย่างแข็งแกร่งต่อไป
ดร.สมชาย หาญหิรัญ อธิบดีกรมส่งเสริมอุตสาหกรรม กล่าวว่า จากความสำเร็จในการส่งเสริมกลุ่มเกษตรกรของประเทศญี่ปุ่น ให้มีความสามารถเป็นผู้ประกอบการได้ด้วยตนเองโดยนำแนวคิดการศึกษาเรียนรู้ อุตสาหกรรมที่6 (‘sixth’ industrialization) ซึ่งเป็นนิยามของ ศาสตราจารย์ นาราโอมิ อิมามุระ มหาวิทยาลัยโตเกียว ที่เป็นการนำกิจการประเภทที่ 1 คือ ผู้ประกอบการภาคการเกษตร ประเภทที่2 คือภาคการผลิตและแปรรูป และประเภทที่ 3 คือภาคการตลาดมารวมเข้าด้วยกันเป็นสูตรผสม “1x2x3=6” เริ่มตั้งแต่การที่ผู้ประกอบการภาคเกษตรกรรมผลิตผลิตผลทางการเกษตร ต่อด้วยการนำมาแปรรูปเป็นผลิตภัณฑ์ที่สอดคล้องกับตลาด และสุดท้ายสามารถเป็นผู้จำหน่ายผลผลิตได้ด้วยตนเอง อย่างไรก็ตาม หากไม่ได้ปฏิบัติขั้นตอนใดขั้นตอนหนึ่งจะกลายเป็น 0 ทั้งหมดก็จะกลายเป็น 0 ด้วยเช่นกัน ทำให้ผู้ประกอบการจำเป็นต้องมีองค์ความรู้ในด้านการประกอบธุรกิจครบทุกด้านจึงจะสามารถประกอบการได้อย่างยั่งยืน
ด้วยแนวคิดดังกล่าว กรมส่งเสริมอุตสาหกรรม (กสอ.) จึงวางกลยุทธ์ผลักดันให้ผู้ประกอบการภาคเกษตรของไทยมุ่งสู่การเป็นผู้ประกอบการที่มีศักยภาพสามารถแข่งขันได้ท่ามกลางเศรษฐกิจที่ชะลอตัว โดยร่วมกับมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ วิทยาเขตกำแพงแสน นำร่องจัดฝึกอบรมหลักสูตร “การเพิ่มมูลค่าผลิตภัณฑ์จากข้าว” ให้กับผู้ประกอบการอุตสาหกรรมต้นน้ำ (เกษตรกร) ในพื้นที่จังหวัดนครปฐม สุพรรณบุรี ราชบุรี และกาญจนบุรี จำนวนกว่า 100 คน เพื่อให้การส่งเสริมและพัฒนาผู้ประกอบการภาคเกษตรได้มีการเตรียมความพร้อมสู่การเป็นผู้ประกอบการในอนาคต โดยมุ่งเน้นการสร้างทักษะการเป็นผู้ประกอบการ การบริหารจัดการ การเพิ่มมูลค่าสินค้าด้วยการแปรรูปอาหารจากข้าวและการวางกลยุทธ์การขายและจำหน่ายสินค้านอกจากนี้ยังได้สอดแทรกวิชาชีพเสริมจากการทำนาอื่น ๆ ไว้ด้วย เช่น การใช้ประโยชน์จากพื้นที่คันนาในการปลูกผัก และการผลิตปุ๋ยอินทรีย์ ตลอดจนการแปรรูปเป็นผลิตภัณฑ์ที่สอดคล้องกับความต้องการของตลาดซึ่งจะทำให้เกษตรกรมีความสามารถในการเรียนรู้การเป็นผู้ประกอบการในธุรกิจของตนเองได้ต่อไป” ดร.สมชาย กล่าว
มร.โคจิ เทสึกะ ประธาน บริษัท ฟูจิ ซีร็อกซ์ (ประเทศไทย) จำกัด (คนกลาง) ให้เกียรติเป็นประธานในพิธีมอบทุนการศึกษาของมูลนิธิ ฟูจิ ซีร็อกซ์ (ประเทศไทย) ประจำปี 2559 เพื่อสร้างบุคลากรรุ่นใหม่ในธุรกิจการพิมพ์ จำนวน 2 ทุน ทุนละ 50,000 บาท โดยทางมหาวิทยาลัยเป็นผู้คัดเลือกนิสิต นักศึกษาที่มีศักยภาพ มีความรู้ความสามารถ เพื่อเข้ารับทุนนี้ ซึ่งได้แก่ นักศึกษาภาควิชาวิทยาศาสตร์ทางภาพถ่ายและเทคโนโลยีทางการพิมพ์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย จำนวน 1 ทุน และนักศึกษาจากภาควิชาเทคโนโลยีการพิมพ์และบรรจุภัณฑ์ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรี จำนวน 1 ทุน โครงการดังกล่าวจัดขึ้นอย่างต่อเนื่องเป็นปีที่ 4 มีวัตถุประสงค์เพื่อส่งเสริม และสนับสนุนเทคโนโลยีด้านการพิมพ์ให้เกิดความก้าวหน้า พร้อมสำหรับการแข่งขันในภูมิภาคอาเซียน
ชไนเดอร์ อิเล็คทริค ผู้เชี่ยวชาญระดับโลกด้านการจัดการพลังงานและระบบออโตเมชั่น ได้รับการยกย่องให้เป็นหนึ่งในทำเนียบ 100 องค์กรระดับโลกที่ยั่งยืนที่สุดในโลกประจำปี 2559 (2016 Global 100 Most Sustainable Corporations in the World) โดยอยู่ในอันดับที่ 12 จากทั้งหมด และเป็นอันดับหนึ่ง ในอุตสาหกรรม GICS ปีนี้นับเป็นปีที่ 5 ที่ชไนเดอร์ อิเล็คทริค ได้รับการจัดอันดับให้อยู่ใน 15 องค์กรชั้นนำในทำเนียบดัชนีความสามารถในการสร้างความยั่งยืน (Sustainability Index) ที่จัดโดย Corporate Knights นิตยสารสำหรับระบบเศรษฐกิจแบบทุนนิยมที่โปร่งใส ที่มีการเผยแพร่ทุกปีที่การประชุมเศรษฐกิจโลก (World Economic Forum) ณ กรุงดาวอส
บริษัทที่ติดอันดับโลก Global 100 เป็นผู้ที่มีผลงานโดดเด่นเรื่องความสามารถในการสร้างความยั่งยืนในภาคอุตสาหกรรม โดยได้รับการคัดเลือกจากบริษัทที่ได้รับการลิสต์รายชื่อทั่วโลกในเบื้องต้น 4,353 บริษัทในวันที่ 1 ตุลาคม 2558 ซึ่งล้วนเป็นบริษัทที่มีการประเมินหลักทรัพย์มูลค่ามากกว่า 2 ล้านเหรียญสหรัฐ ทั้งนี้ ชไนเดอร์ อิเล็คทริค ถูกจัดเป็นอันดับหนึ่งในภาคอุตสาหกรรมเดียวกันท่ามกลางบริษัทสัญชาติฝรั่งเศสที่ติดโผจำนวน 11 บริษัทด้วยกัน Global 100 นี้มีการประเมินโดยใช้ตัวบ่งชี้เรื่องความสามารถในการสร้างความยั่งยืน 12 ปัจจัยด้วยกัน ตัวอย่างก็คือ ในแง่ของปริมาณรายได้ของบริษัทต่อหนึ่งหน่วยพลังงานที่ใช้ไป
มิสเตอร์ ฌอง ปาสคาล ตริคัวร์ ประธานบริษัท และประธานเจ้าหน้าที่บริหารของ ชไนเดอร์ อิเล็คทริค ได้แสดงความคิดเห็นในเรื่องนี้โดยกล่าวว่า “ด้วยคะแนนรวมทั้งหมดที่เพิ่มขึ้นเป็น 70.5 เปอร์เซ็นต์ในปี 2559 จาก 68.4 เปอร์เซ็นต์ในปี 2558 คือ การที่เราสามารถทำคะแนน Global 100 ได้ดีที่สุดเท่าที่เคยทำมา และยังได้รับการจัดให้เป็นที่หนึ่งในภาคอุตสาหกรรมนี้ อีกทั้งเป็นการแสดงให้เห็นถึงความมุ่งมั่นของเราในการพัฒนาความยั่งยืนซึ่งเป็นหัวใจหลักของกลยุทธ์ของชไนเดอร์ อิเล็คทริค แม้กระนั้นก็ตาม เราก็ยังตกไป 3 อันดับในการจัดอันดับทั่วโลก แต่นั่นก็หมายความว่ามาตรฐานโดยรวมสูงขึ้น ซึ่งนับเป็นข่าวดีมากสำหรับทุกคน และเสมือนเป็นการเชิญชวนให้เรามานะมุ่งมั่นยิ่งขึ้นไปอีก”
ชไนเดอร์ อิเล็คทริค ได้รับการจัดให้อยู่ในทำเนียบดัชนีหลักที่ใช้วัดความสามารถในการสร้างความยั่งยืนหลายดัชนีด้วยกัน ไม่ว่าจะเป็นดัชนี CDP A-List และ ดัชนีความเป็นผู้นำที่เปิดเผยข้อมูลเกี่ยวกับสภาพภูมิอากาศ (the Climate Disclosure Leadership Index) รวมถึงดัชนีวัดความยั่งยืนของดาวโจนส์ ทั้งในยุโรปและทั่วโลก (the Dow Jones SustainabilityTM World & Europe Indices) และการจัดอันดับบริษัทที่มีจรรยาบรรณมากที่สุดในโลก (the World’s Most Ethical Companies©) นี่คือการยืนยันคำมั่นสัญญาของกลุ่มซึ่งวัดได้จากการทำ Planet & Society Barometer ของตนเอง ซึ่งเป็นบันทึกการให้คะแนนความยั่งยืนของบริษัท ที่พัฒนาขึ้นตั้งแต่ปี 2005 ยิ่งกว่านั้น ในเดือนพฤศจิกายน ปีที่ผ่านมา ชไนเดอร์ อิเล็คทริค ไม่เพียงตอบรับความมุ่งมั่นใหม่ 10 ประการ ในงานประชุมนานาชาติด้านสภาพภูมิอากาศ (COP21) เกี่ยวกับผลิตภัณฑ์ และโซลูชั่น แต่ยังรวมถึงการวิจัยและการพัฒนา รวมไปถึงห่วงโซ่การผลิต ในการดำเนินงานของบริษัท และสร้างความสมดุลให้กับระบบนิเวศน์และสิ่งแวดล้อมในอีก 15 ปีข้างหน้า
นายวรินทร์ ตันติพงศ์พาณิช (ขวา) รองประธานกลุ่มผลิตภัณฑ์ บริษัท แคนนอน มาร์เก็ตติ้ง (ไทยแลนด์) จำกัด รับมอบรางวัล Thailand's Most Admired Brand ประจำปี 2016 ปีที่ 16 หรือแบรนด์ที่ได้รับความน่าเชื่อถือมากที่สุดจากผู้บริโภคในหมวดพรินเตอร์ จาก นายธนเดช กุลปิติวัน (ซ้าย) บรรณาธิการบริหารนิตยสาร BrandAge โดยเป็นสำรวจความนิยมของผู้บริโภคต่อกลุ่มธุรกิจต่าง ๆ จากกลุ่มตัวอย่าง 2,100 ชุดทั่วประเทศโดยนิตยสาร BrandAge ร่วมกับทีมวิจัยของมหาวิทยาลัยชั้นนำต่าง ๆ ทั่วประเทศ อาทิ มหาวิทยาลัยขอนแก่น มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ มหาวิทยาลัยกรุงเทพ และมหาวิทยาลัยนอร์ทเชียงใหม่ โดยล่าสุด สินค้าเลเซอร์พรินเตอร์ของแคนนอนมีสัดส่วนการตลาดขึ้นเป็นอันดับหนึ่งในภูมิภาคอาเซียน การมอบรางวัล Thailand's Most Admired Brand จัดขึ้น ณ ห้องศศินทร์ฮอลล์ อาคารศศปาฐศาลา สถาบันบัณฑิตบริหารธุรกิจศศินทร์