จากรายงานของ Nissan Motor Co. ที่ได้สำรวจออกมาล่าสุด พบว่าปัจจุบันประเทศญี่ปุ่นมีจำนวนสถานีชาร์จแบตเตอรี่สำหรับรถยนต์ขับเคลื่อนด้วยพลังไฟฟ้า หรือ EV เพิ่มมากขึ้น จนแซงหน้าสถานีบริการน้ำมันไปเป็นที่เรียบร้อยแล้ว โดยสถานีชาร์จที่ว่านี้ก็มีทั้งแบบที่เป็นสถานี fast-charger และสถานีขนาดเล็กของส่วนบุคคล โดยมีจำนวนรวมกันทั้งหมดถึง 40,000 สถานี ในขณะที่สถานีบริการน้ำมันมีอยู่ทั้งหมด 34,000 สถานี ซึ่งการเติบโตอย่างรวดเร็วของโครงสร้างพื้นฐานสำหรับ EV นี้ เกิดขึ้นอย่างรวดเร็วภายในระยะเวลาร่วมๆ สิบปีเท่านั้น ในขณะที่สหรัฐฯ ปัจจุบันยังมีคงสถานีชาร์จไฟอยู่เพียง 9,000 สถานี และมีสถานีบริการน้ำมันอยู่มากถึง 114,500 สถานี ส่วนประเทศอื่นๆ ยังคงมีแนวโน้มของการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานสำหรับรถยนต์ EV ที่ยังช้ากว่านี้มาก
ทำไมประเด็นที่ว่านี้น่าสนใจอย่างไร? Nissan Leaf (รถยนต์ไฟฟ้าที่ผลิตโดย Nissan) สามารถใช้เดินทางได้ 172 กม. ต่อการชาร์จหนึ่งครั้ง นั่นทำให้หลายคนเป็นกังวลว่าแบตเตอรี่อาจหมดระหว่างทางก่อนจะไปถึงสถานีชาร์จซึ่งก่อนหน้านี้มีอยู่ไม่กี่แห่ง ความกังวลข้อนี้เองกดดันการตัดสินใจของผู้บริโภคมาโดยตลอด แต่เมื่อจำนวนของสถานีชาร์จมีเพิ่มขึ้น บวกกับเทคโนโลยีของแบตเตอรี่ที่ดีขึ้นมาก ทั้งหมดจะมาช่วยปลดล็อกความกังวลดังกล่าว และเป็นปัจจัยที่เสริมให้ตลาดของรถยนต์ไฟฟ้าสามารถจะเติบโตต่อไปได้
นอกจากนั้นเมื่อสถานีชาร์จมีความแพร่หลาย สิ่งที่เกิดตามมาในขณะนี้ก็คือ บริการรูปแบบใหม่ที่จะช่วยอำนวยความสะดวกให้ผู้ใช้งานรถยนต์ EV ซึ่งเริ่มทยอยตามมา เช่น Open Charge Map ซึ่งเป็นบริการค้นหาตำแหน่งของสถานีชาร์จที่อยู่ใกล้ที่สุด รวมทั้งเทรนด์ของบริการแบบ sharing economy (เช่น บริการของ Airbnb ที่เจ้าของบ้านสามารถสมัครร่วมเป็นเครือข่ายของ Airbnb เพื่อแบ่งห้องว่างเพื่อให้นักเดินทางเข้าพักได้ แบบคิดค่าบริการ) ก็จะช่วยให้ในอนาคตอันใกล้สถานีชาร์จส่วนบุคคลต่างๆ ทั่วประเทศ จะเป็นตัวเลือกให้กับผู้ใช้งานรถยนต์ EV สามารถเข้าใช้บริการได้ด้วย เป็นต้น