นายแอนโทนี บอร์น
ผู้อำนวยการฝ่ายอุตสาหกรรมโลกด้านการผลิต บริษัท ไอเอฟเอส
โซลูชันเอไอรุ่นใหม่จะมาพิสูจน์ตัวเองให้เป็นที่ประจักษ์ในปี 2562ในรูปของการสร้างความไว้วางใจ ความเร่งด่วน และความเข้าใจใหม่ๆ เกี่ยวกับสิ่งที่เอไอเป็นอย่างแท้จริง รวมถึงเรื่องที่ว่าเทคโนโลยีนี้จะได้รับการนำไปใช้มากน้อยเพียงใด โดยจะมีโซลูชันสั่งงานด้วยเสียงเป็นหัวหอกสำคัญที่ก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงดังกล่าว และเราจะมีโอกาสได้เห็นหุ่นยนต์ทำหน้าที่หยิบของและนำไปวางในคลังสินค้าอัจฉริยะหลายๆ แห่ง ซึ่งสิ่งนี้จะก่อให้เกิดความได้เปรียบในการแข่งขันครั้งใหญ่เมื่อบรรดาบริษัทต่างๆ หันมาใช้หุ่นยนต์อัตโนมัติช่วยในกระบวนการทำงาน และต่อไปนี้คือการคาดการณ์ 3 เรื่องหลักๆ สำหรับอุตสาหกรรมการผลิตในปี 2562 เป็นต้นไป
การคาดการณ์ที่ 1: 50% ของบริษัทด้านการผลิตทั้งหมดจะนำเอไอเข้ามาใช้ในรูปแบบต่างๆ ภายในสิ้นปี 2564
ขอให้เชื่อเถิดว่าการนำโซลูชันเอไอเข้ามาใช้จะเปลี่ยนแปลงทุกอย่าง ผมหมายความถึงทุกสิ่ง ทุกอุตสาหกรรม ทุกธุรกิจ ทุกกระบวนการทำงาน และทุกบริษัท จะเห็นได้ว่าขณะนี้โซลูชันเอไอแบบมีกลุ่มเป้าหมายชัดเจนมีพร้อมให้ใช้องค์กรธุรกิจจำนวนมากได้ใช้งานแล้วที่นี่! และเทคโนโลยีนี้จะก่อให้เกิดความได้เปรียบทางการแข่งขันอย่างแน่นอน โดยในปี 2562 จะเป็นเรื่องราวเกี่ยวกับการขยายตัวของเอไอรูปแบบใหม่ที่มุ่งเน้นเฉพาะโครงการและมีเป้าหมายอย่างชัดเจน
‘เอไอ’ โซลูชันเล็กๆ ที่นำมาซึ่งชัยชนะอันยิ่งใหญ่
อุปสรรคสำคัญตลอดระยะเวลาที่ผ่านมาสำหรับเอไอก็คือคำว่า ‘เอไอ’ นั่นเอง คำนี้ทำให้ผู้ผลิตหลายรายเข้าใจผิดว่าเป็นระบบขนาดใหญ่ที่ครอบคลุมการผลิตตั้งแต่ต้นน้ำจนถึงปลายน้ำ แต่ที่จริงแล้ว ‘เอไอ’ เป็นเพียงกลุ่มเทคโนโลยีใดเทคโนโลยีที่มีเป้าหมายเฉพาะ เช่น การประมวลผลภาษาของมนุษย์ การระบุวัตถุจากภาพถ่าย การใช้คอมพิวเตอร์ตอบแชทลูกค้า การวิเคราะห์ต่างๆ ครอบคลุมไปถึงการทำงานในรูปแบบอัตโนมัติ โดยแต่ละเทคโนโลยีล้วนมีจุดแข็งและการนำไปใช้งานที่แตกต่างกัน แต่สิ่งที่มีร่วมกันก็คือ ความอัจฉริยะ อาทิ ความแม่นยำขั้นสูงและความสามารถที่จะเรียนรู้จากความผิดพลาดได้อย่างชาญฉลาดและรวดเร็วอย่างน่าทึ่ง
เมื่อไม่นานมานี้ ผมเห็นกับตาถึงความแม่นยำดังกล่าวพร้อมๆ กับลูกค้ารายหนึ่งของไอเอฟเอสในยุโรปเหนือ บริษัทแห่งนี้เป็นผู้ผลิตเครื่องใช้ภายในครัวเรือนที่ได้ใช้โซลูชันการวางแผนความต้องการสินค้าด้วยเอไอเพื่อคาดคะเนการบริโภคล่วงหน้าในภาคอุตสาหกรรมที่บริษัทให้บริการอยู่ ความแม่นยำของการคาดคะเนก่อนและหลังการใช้โซลูชันเอไอแสดงผลลัพธ์ให้เห็นอย่างน่าทึ่ง โดยการคาดคะเนการวางแผนความต้องการสินค้าที่เกิดจากโซลูชันเอไอพิสูจน์ให้เห็นแล้วว่าใกล้เคียงกับสถานการณ์จริงในตลาดอย่างมาก ส่วนการวางแผนความต้องการสินค้าล่วงหน้าก็พิสูจน์ให้เห็นด้วยเช่นกันว่าเป็นทางเลือกที่ยอดเยี่ยมและควรค่าแก่การนำมาใช้ เพราะสำหรับธุรกิจแล้ว เป้าหมายที่จับต้องได้และบรรลุผลสำเร็จได้จริงมักสร้างผลประกอบการที่จับต้องและวัดค่าได้ด้วยเช่นกัน
โซลูชันเอไอเป็นเครื่องมือที่แม่นยำก็จริง แต่ไม่ใช่เครื่องมือครอบจักรวาล
เมื่อนึกถึงเอไอ เราต้องจำไว้ว่า คุณจะนำเอไอมาใช้ไปทั่วเหมือนกับที่ใช้อินเทอร์เน็ตไม่ได้ ก่อนเริ่มโครงการใดๆ ก็ตาม คุณต้องทราบก่อนว่าคุณทำโครงการนี้ ‘ทำไม’ อะไรคือผลลัพธ์ทางธุรกิจและเป้าหมายที่คาดหวังไว้ คุณต้องการยกระดับและปรับปรุงอะไรกันแน่ ยิ่งเป้าหมายของคุณตรงจุดมากเท่าใด ผลประกอบการของคุณก็จะเป็นรูปเป็นร่างมากยิ่งขึ้นเท่านั้น
การคาดการณ์ที่ 2: 25% ของผู้วางแผนการผลิตจะ “พูดคุย” กับระบบอัตโนมัติภายในสิ้นปี 2563
โซลูชันเอไอฉลาดและมีวาทศิลป์มากกว่าที่พวกเราทุกคนคาดคิด เมื่อปีที่แล้วจากการสำรวจความเห็นลูกค้าเอไอรายใหญ่พบว่า 2 ใน 3 ของผู้ที่บอกว่าไม่เคยใช้เอไอมาก่อน กลับเคยใช้เอไอในรูปแบบแชทบ็อต ซึ่งคุณภาพของเทคโนโลยีนี้สูงมาก กล่าวคือแชทบ็อตสามารถปลอมเสียงพูดของมนุษย์ได้อย่างแนบเนียน และจากการสำรวจเดียวกันนี้ยังพบด้วยว่า 84% ของกลุ่มตัวอย่างรู้สึกสบายใจเมื่อใช้เอไอแบบที่สามารถสั่งงานด้วยเสียงที่บ้านในรูปแบบของ Alexa, Siri หรือor Home และถ้าหากความเรียบง่าย ความรวดเร็ว และความถูกต้องเป็นประโยชน์แก่ลูกค้าเป็นอย่างมากแล้วล่ะก็ ลองคิดดูสิว่าจะเป็นประโยชน์แค่ไหนหากนำมาใช้กับสายการผลิต
บีเอ็มดับเบิลยูได้ผสานรวมการทำงานของ Alexa เข้ากับรถยนต์หลายรุ่นของบริษัทเมื่อเดือน มีนาคม 2561 และได้รับรับเสียงชื่นชมในวงกว้าง ใช่แล้ว การสั่งงานด้วยเสียงไม่ใช่แค่นำมาใช้อย่างผิวเผิน แต่จะต้องช่วยยกระดับความสามารถในการให้บริการและเสริมสมรรถนะให้กับประสบการณ์การขับขี่ทั้งหมด สิ่งที่หลายคนยังไม่ทราบก็คือ มีการใช้โซลูชันสั่งงานด้วยเสียงในฝั่งการผลิตของภาคยานยนต์กันแล้ว
บริษัท เอ็นอีซี ลูกค้ารายหนึ่งของเราในญี่ปุ่นได้หันมาใช้โซลูชันสั่งงานด้วยเสียงในกระบวนการเลือกคำสั่ง ซึ่งพนักงานในสายการผลิตเพียงแค่ป้อนคำสั่งด้วยเสียงพูด ระบบก็จะสร้างคำสั่งตามเสียงที่พูดนั้นขึ้นในทันที ไปดูรายละเอียดกันต่อในหัวข้อถัดไป...
การคาดการณ์ที่ 3: หุ่นยนต์สำหรับหยิบและวางจะทำหน้าที่จัดเก็บสินค้าในกระบวนการผลิตคิดเป็นสัดส่วน 25% ภายในสิ้นปี 2563
หุ่นยนต์ในสายการผลิตมีความจำเป็นมาหลายทศวรรษแล้ว แต่หุ่นยนต์ที่มีเทคโนโลยีเอไอจะทำให้เกิดความประหยัดและความได้เปรียบด้านการแข่งขันในคลังสินค้าแบบไหนกัน ตัวอย่างเช่น Amazon ตกเป็นข่าวดังเมื่อไม่นานมานี้เกี่ยวกับคลังสินค้าอัจฉริยะที่ใช้หุ่นยนต์ที่สามารถทำงานได้อย่างรวดเร็วและไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย ซึ่งแสดงให้เห็นอย่างชัดเจนว่าหุ่นยนต์ช่วยยกระดับประสิทธิภาพการทำงานของธุรกิจและช่วยประหยัดค่าใช้จ่ายได้เป็นอย่างมาก สาเหตุก็เพราะหุ่นยนตืไม่มีดวงตาหรือเลือดเนื้อ จึงไม่จำเป็นต้องใช้แสงไฟและความอบอุ่น ต้นทุนด้านพลังงานจึงลดลง แถมไม่มีข้อจำกัดด้านเวลาพัก การเข้ากะทำงาน หรือข้อจัดของน้ำหนักในการยกสินค้า การหยิบและวางสินค้าโดยหุ่นยนต์มีความยืดหยุ่น คล่องแคล่ว เข้าถึงง่าย และคุ้มค่า เท่ากับว่าไม่มีเวลาหรือความเหน็ดเหนื่อยที่สูญเปล่า และยังสามารถใช้สอยพื้นที่ได้ดียิ่งกว่าเดิม กล่าวคือคลังสินค้าสามารถทำงานได้ตลอด 24 ชั่วโมง โดยไม่ต้องเปิดไฟ สามารถเก็บสินค้าและทำสิ่งต่างๆ ได้มากกว่าเดิมโดยที่ไม่จำเป็นต้องขยายพื้นที่ให้ใหญ่กว่าปกติ
เมื่อเอไอทำได้ หุ่นยนต์ก็ต้องทำได้ด้วยเช่นกัน และขณะนี้ได้เกิดขึ้นแล้วกับการใช้งานเล็กๆ น้อยๆ ในหลายรูปแบบ อีกทั้งยังขยายตัวเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ ตัวอย่างเช่น ตอนนี้เรากำลังร่วมงานกับลูกค้ารายหนึ่งในอเมริกาเหนือ โดยการช่วยให้พวกเขาเพิ่มการใช้งานระบบหุ่นยนต์ตั้งแต่การยกกล่องสินค้าไปถึงการขนถ่ายวัสดุอย่างเต็มรูปแบบ สำหรับลูกค้าของเรานั้น นี่คือก้าวเล็กๆ อีกก้าวหนึ่งบนหนทางที่ยาวไกลของการเปลี่ยนผ่านเข้าสู่ระบบดิจิทัลอย่างแท้จริง
แม้ว่าอาจต้องใช้เวลาอีกหลายปีกว่าที่ระบบคลังสินค้าแบบใช้หุ่นยนต์เต็มรูปแบบจะเกิดขึ้นจริง แต่สิ่งนี้ได้เริ่มต้นแล้ว โดยบริษัท ไอเอฟเอส มองเห็นบริษัทพันธมิตรที่กล้าลองสิ่งใหม่ๆ เริ่มลงมือสร้างคลังสินค้าที่ใช้ระบบอัตโนมัติกันแล้ว สินค้าที่มีน้ำหนักมากที่ครั้งหนึ่งอาจต้องใช้พนักงานหลายคนมาช่วยกันขนถ่าย ตอนนี้สามารถยกขึ้นจากชั้นวางด้วยหุ่นยนต์ตัวเดียวโดยไม่ต้องเสียแรง เสียเวลา และเสียค่าใช้จ่ายเพิ่มเติมอีกต่อไป
ในปี 2562 จะเป็นปีที่เราได้เห็นเทคโนโลยีที่กล่าวมานี้ในโลกธุรกิจมากขึ้น เทคโนโลยีเหล่านี้จะเข้าถึงปัญหาได้ตรงจุดและมีส่วนขับเคลื่อนโครงการต่างๆ มากขึ้น ดังนั้นจงจับตาดูให้ดีถึงผลลัพธ์ของพัฒนาการเล็กๆ ที่เริ่มเป็นรูปธรรมมากขึ้นเรื่อยๆ ว่าจะนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ได้อย่างไร
สำหรับหลายบริษัทแล้ว ปี 2562 จะเป็นปีที่พวกเขาตระหนักว่าที่จริงแล้ว พวกเขาไม่จำเป็นต้อง “ขี่เอไอจับตั๊กแตน” เพียงแค่ก้าวเดินไปให้ถูกทางและค่อยเป็นค่อยไป ลงมือทำและค่อยๆ ไต่ระดับขึ้นสู่จุดสูงสุดครั้งใหม่ให้ได้
เกี่ยวกับไอเอฟเอส
ไอเอฟเอส (IFS™) เป็นผู้นำระดับโลกด้านการพัฒนาและนำเสนอซอฟต์แวร์สำหรับการวางแผนทรัพยากรองค์กร (Enterprise Resource Planning หรือ ERP) การบริหารจัดการสินทรัพย์ขององค์กร (Enterprise Asset Management หรือ EAM) และ การบริหารจัดการงานบริการขององค์กร (Enterprise Service Management หรือ ESM) ทั้งนี้ ไอเอฟเอสก่อตั้งขึ้นในปี พ.ศ. 2526 โดยมีส่วนช่วยสนับสนุนให้ลูกค้าที่เป็นกลุ่มเป้าหมายสามารถดำเนินธุรกิจได้ดีขึ้น ตลอดจนผลักดันให้เกิดความคล่องตัวในการดำเนินงาน พร้อมทั้งจัดเตรียมสิ่งต่างๆ สำหรับอุตสาหกรรมเพื่อให้พร้อมรับมือกับอนาคต ไอเอฟเอส มีพนักงาน 2,800 คนที่พร้อมให้การสนับสนุนผู้ใช้ทั่วโลกมากกว่า 1 ล้านคนผ่านสำนักงานสาขาในเขตพื้นที่ต่างๆ และผ่านเครือข่ายพันธมิตรที่กำลังขยายตัวเพิ่มมากขึ้น สำหรับข้อมูลเพิ่มเติม โปรดไปที่เว็บไซต์: IFSworld.com
ติดตามเราทาง Twitter: @ifsworld
เยี่ยมชมบล็อกของไอเอฟเอสเกี่ยวกับเทคโนโลยี นวัตกรรม และผลงานสร้างสรรค์ต่างๆ: http://blog.ifsworld.com/
สงวนลิขสิทธิ์ ตามพระราชบัญญัติลิขสิทธิ์ พ.ศ. 2539 www.thailandindustry.com
Copyright (C) 2009 www.thailandindustry.com All rights reserved.
ขอสงวนสิทธิ์ ข้อมูล เนื้อหา บทความ และรูปภาพ (ในส่วนที่ทำขึ้นเอง) ทั้งหมดที่ปรากฎอยู่ในเว็บไซต์ www.thailandindustry.com ห้ามมิให้บุคคลใด คัดลอก หรือ ทำสำเนา หรือ ดัดแปลง ข้อความหรือบทความใดๆ ของเว็บไซต์ หากผู้ใดละเมิด ไม่ว่าการลอกเลียน หรือนำส่วนหนึ่งส่วนใดของบทความนี้ไปใช้ ดัดแปลง โดยไม่ได้รับอนุญาตเป็นลายลักษณ์อักษร จะถูกดำเนินคดี ตามที่กฏหมายบัญญัติไว้สูงสุด