เนื้อหาวันที่ : 2016-10-07 11:19:39 จำนวนผู้เข้าชมแล้ว : 9406 views

“ยิบอินซอย”ต่อยอด 70 ปีธุรกิจปุ๋ยและเคมีเกษตรรายแรกของไทย ชูคอนเซ็ปต์ Green Industry ลงทุน 200 ล้านบาท เปิดโรงงานแห่งใหม่

“ยิบอินซอย” ต่อยอด 70 ปีธุรกิจปุ๋ยและเคมีเกษตรรายแรกของไทย
ชูคอนเซ็ต์ Green Industry
ลงทุน 200 ล้านบาท เปิดโรงงานแห่งใหม่

 

 

นายยุพธัช ยิบอินซอย รองกรรมการผู้จัดการใหญ่ กลุ่มบริษัทยิบอินซอย

 

     90 ปีที่แล้ว “ยิบอินซอย” เป็นที่รู้จักในฐานะผู้บุกเบิกธุรกิจค้าแร่ในเมืองไทย ประสบการณ์และความเชี่ยวชาญที่สั่งสม ทำให้ชื่อเสียงของยิบอินซอยถูกกล่าวขาน ในฐานะกลุ่มธุรกิจหัวก้าวหน้า และเป็นที่มาของโอกาสเพื่อก้าวสู่ธุรกิจใหม่ ๆมากมาย ธุรกิจปุ๋ยและเคมีเกษตรเป็นหนึ่งในธุรกิจใหม่ที่..ยิบอินซอย...นำเข้ามาเปิดโลกทัศน์แก่เกษตรกรไทย เพื่อก้าวสู่เมืองเกษตรอุตสาหกรรมแห่งแรกของภูมิภาค ผ่านมาถึงวันนี้ 70 ปี ความมั่นใจและเป็นมิตรแท้ตลอดกาลของเกษตรกร เป็นเหมือนพันธกิจสำคัญที่ทำให้....ยุพธัช ยิบอินซอย รองกรรมการผู้จัดการใหญ่ กลุ่มบริษัทยิบอินซอย ในฐานะทายาทธุรกิจรุ่นที่ 3 ต้องคิดหนักทุกครั้ง....เพื่อสร้างแนวทางที่ยั่งยืนให้ธุรกิจปุ๋ยและเคมีเกษตร....คงอยู่คู่กับการก้าวสู่ปีที่ 100 ของยิบอินซอยในปี 2568

 

          ผลงานล่าสุดคือการขยายฐานการผลิต  ด้วยเงินลงทุนกว่า 200 ล้านบาท  เพื่อเปิดโรงงานผลิตปุ๋ยที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม(Green Industry) บนพื้นที่กว่า 30 ไร่ ณ อ.นครหลวง จ.พระนครศรีอยุธยา พร้อมกระบวนการผลิตแบบ 1 ต่อ 1 โดยผลิตปุ๋ยผสมทีละกระสอบด้วยเทคโนโลยีอันทันสมัย เพื่อให้ได้ปุ๋ยคุณภาพเยี่ยมตรงตามสูตรทุกถุง สานต่อเจตนารมย์ที่บรรพบุรุษวางรากฐานไว้ และในอนาคต เมื่อต้นไม้และแปลงทดลองการเกษตรที่ปลูกไว้โดยรอบเติบโต โรงงานปุ๋ยของยิบอินซอยแห่งนี้จะเป็นโรงงานที่สวยที่สุด เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมมากที่สุดแห่งหนึ่ง

 

 

 

 

 

 บริเวณด้านนอกของโรงงาน

 

ย้อนรอย “ธุรกิจปุ๋ยและเคมีเกษตร” ผ่านมุมมองของทายาทรุ่นที่ 3

 

 

          ธุรกิจปุ๋ยและเคมีเกษตรเป็นธุรกิจหลักธุรกิจหนึ่งของ “กลุ่มบริษัทยิบอินซอย” ตอนที่รับช่วงเข้ามาดูแลธุรกิจนี้ จำได้ว่าแนวทางที่คุณปู่และคุณพ่อวางไว้คือ เราจะขายแต่สินค้าที่ดีมีคุณภาพ สินค้าเกรดต่ำ คุณภาพไม่ดี  จะไม่นำเข้ามาขาย ในตอนนั้นทั้งคุณปู่และคุณพ่อ ใช้ความพยายามอย่างมาก เพื่อส่งเสริมให้เกษตรกรไทยมีความรู้ และเห็นความสำคัญของการบำรุงดินโดยการใช้ปุ๋ย การบำรุงและป้องกันต้นไม้โดยใช้เคมีเกษตร เพราะธุรกิจปุ๋ยและเคมีเกษตรยังเป็นเรื่องใหม่มาก คนไทยยังไม่รู้ว่าจะต้องบำรุงดิน บำรุงต้นไม้ไปเพื่ออะไร ตอนนั้นคุณปู่ได้นำผู้เชี่ยวชาญชาวเยอรมันมาถ่ายทอดองค์ความรู้นี้และฝึกอบรมพนักงานขายของบริษัท เพื่อให้พนักงานขายเหล่านั้นเอาความรู้ไปถ่ายทอดต่อ เน้นว่าจะขายปุ๋ยก็ต้องอธิบายโดยหลักทางวิชาการให้ได้ว่าปุ๋ยที่ขายนั้นดีอย่างไร มีวิธีการใช้ที่ถูกต้องเหมาะสมอย่างไร ถึงปัจจุบันเกษตรกรจากรุ่นสู่รุ่นจดจำปุ๋ยของยิบอินซอย ในฐานะปุ๋ยระดับพรีเมี่ยม จึงไม่น่าแปลกใจที่เครื่องหมายการค้า “ตราใบไม้” จะได้รับการตอบรับจากลูกค้าในประเทศ(ที่เป็นกลุ่มเกษตรระดับพรีเมี่ยม) และภูมิภาคอาเซียนเป็นอย่างดีต่อเนื่องยาวนาน จนได้รับการยอมรับว่าเราคือผู้นำธุรกิจปุ๋ยและเคมีเกษตรในตลาดสินค้าพรีเมี่ยม แม้ว่ามูลค่าโดยรวมของธุรกิจปุ๋ยและเคมีเกษตรจะไม่สูงมากนัก หากนำมูลค่าธุรกิจนี้มาเปรียบเทียบกับปริมาณการใช้ของทั้งกลุ่ม แต่นั่นเป็นเพราะเราเลือกที่จะทำตลาดในกลุ่มสินค้าพรีเมี่ยมเท่านั้น

 

 

 

 บริเวณด้านหน้าโรงงานที่ทำเป็นสวนไว้สำหรับพนักงานพักผ่อน

 

“ธุรกิจปุ๋ยและเคมีเกษตร” ในช่วงเปลี่ยนผ่าน

 

          ช่วงที่ผมเริ่มเข้ามารับผิดชอบงานของ “กลุ่มบริษัทยิบอินซอย” ซึ่งนอกเหนือจากธุรกิจปุ๋ยและเคมีเกษตร ก็ยังมีธุรกิจอื่น เช่น กลุ่มวัสดุก่อสร้าง ฯลฯ แนวทางของผมคือการพัฒนาอย่างต่อเนื่องเพื่อสร้างความยั่งยืน  ควบคู่ไปกับการขยายธุรกิจนี้ไปยังกลุ่มตลาดใหม่ สำหรับการพัฒนาอย่างต่อเนื่องเพื่อสร้างความยั่งยืน คือเน้นการสร้างทีมงานคุณภาพ วันนี้ขายปุ๋ยแล้วรู้เรื่องปุ๋ยเพียงอย่างเดียวคงไม่พอ ต้องรู้สภาพแวดล้อมที่เกี่ยวข้อง ต้องรู้ผลกระทบของการใช้ปุ๋ยมากหรือน้อยเกินไปเป็นอย่างไร จุดแข็งหรือจุดอ่อนที่จะทำให้เกิดการขายหรือไม่ ต้องสร้างความสัมพันธ์กับผู้ซื้อจากทั่วประเทศ แล้วก็ต้องให้ความรู้ทางวิชาการต่อเนื่อง สำหรับการขยายกลุ่มธุรกิจไปยังกลุ่มตลาดใหม่ ก็แน่นอนเราจะเห็นว่า พืชผลทางการเกษตรมีการพัฒนาตลอดเวลา หน่วยงานของรัฐเองก็มีบทบาทและพยายามให้การสนับสนุนเพิ่มมากขึ้น เราก็มองว่าจากผลิตภัณฑ์คุณภาพที่มี เราสามารถไปขายกับใครเพิ่มได้อีก ทั้งหมดนี้จึงประมวลออกมาเป็น การจัดอบรมสัมมนาให้ความรู้ การทำกิจกรรมโรดโชว์ การจัดโปรโมทชั่นเพื่อส่งเสริมการขาย และการสร้างความสัมพันธ์เชิงลึกกับผู้ซื้อรายหลักจากทั่วประเทศ

 

          แต่ก็ต้องยอมรับว่าช่วงที่ผมมาดูแลเป็นช่วงที่ประเทศเรามีความเปลี่ยนแปลงทางการเมืองมาโดยตลอด ซึ่งก็มีผลกระทบบ้าง แต่ช่วงที่หนักที่สุดคือน้ำท่วมปี 2554 ซึ่งถือว่าผลกระทบรุนแรง ความเสียหายของพืชผลการเกษตรสูงมาก และภาวะภัยแล้งที่เริ่มขึ้นในปี 2557 เป็นระยะยาว ทำให้กำลังซื้อหายไปทันที แต่ในทางกลับกัน ก็เป็นผลดีที่ผลักให้ราคาพืชผลสูงตามไปด้วย และเป็นจุดที่ทำให้เราเริ่มคิดถึงการปรับตัวต่อไปในอนาคต จึงเกิดโครงการขึ้น ด้วยการเริ่มจากมองหาทำเลใหม่ในการสร้างโรงงานเพื่อรองรับความเปลี่ยนแปลง รองรับการเติบโต และสอดคล้องกับการนำธุรกิจนี้ไปยังกลุ่มตลาดใหม่ เพราะโรงงานเดิมที่นิคมอุตสาหกรรมบางปูซึ่งผลิตทั้งปุ๋ยและเคมีเกษตร มีพื้นที่จำกัด ไม่เพียงพอต่อการเติบโตทางธุรกิจ ในปี 2556 เราจึงตัดสินใจเริ่มโครงการในการสร้างโรงงานผลิตปุ๋ยแห่งที่ 2 ที่ อ.นครหลวง จ.พระนครศรีอยุธยา ซึ่งเปิดดำเนินการแล้วเมื่อเดือนมิถุนายนที่ผ่านมา โรงงานแห่งใหม่นี้จะส่งผลให้บริษัทมีกำลังผลิตปุ๋ยสูงถึง 100,000 ตันต่อปี และคาดว่าจะทำให้มีผลประกอบการเพิ่มขึ้น 100 % จากเดิม โดยจะมีผลิตภัณฑ์ปุ๋ยและเคมีเกษตร “ตราหัวคนป่า” ซึ่งเป็นแบรนด์ใหม่ เน้นเกษตรกรกลุ่มพืชไร่ ข้าว ผักผลไม้ ยางและปาล์มเพิ่มขึ้น มีสัดส่วนประมาณ 70%

 

 

การใช้ถุงขนาดใหญ่ หรือจัมโบ้ ในการจัดเก็บ Raw Material เพื่อลดการเกิดฝุ่นในการผลิต

 

 

ระบบการผลิตใหม่ที่เป็นระบบปิดทั้งหมด

 

          ตอนวางแผนทำโรงงานแห่งใหม่ ผมใช้เวลาทบทวน นั่งคิดว่า...ผมต้องการอะไร แน่นอนละ....โรงงานแห่งใหม่ต้องเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม เป็น Green Industry แล้วก็มาคิดต่อนะครับ เป็น Green Industry แค่ไหนถึงจะเพียงพอกับสิ่งที่เราต้องการจริง ๆ เพราะแม้จะมีเงินทุนมากพอ แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าเราจะได้ทุกสิ่งที่ต้องการ หากวางแผนไม่รัดกุมพอ วันนี้โรงงานปุ๋ยแห่งใหม่เสร็จเรียบร้อย ด้วยมูลค่าการลงทุนประมาณ 200 ล้านบาท และผมได้ทุกสิ่งที่ต้องการในขั้นแรก

 

          ภายใต้คอนเซ็ปต์ Green Industry เรามี 3M ที่ทำให้ธุรกิจขับเคลื่อนได้อย่างมีประสิทธิภาพ เอ็มแรกคือ Modern คือความทันสมัย เราใช้เทคโนโลยีการผลิตแบบ 1 ต่อ 1 ควบคุมการทำงานด้วยระบบคอมพิวเตอร์ ซึ่งสามารถเปลี่ยนการผลิตสูตรปุ๋ยที่ต้องการได้อย่างรวดเร็ว โดยไม่จำเป็นต้องใช้ไลน์การผลิตขนาดใหญ่ แต่มีประสิทธิภาพการผลิตที่ดีกว่า ใช้พลังงานน้อยกว่า ผลิตเท่าที่ต้องการ ที่สำคัญที่สุดทำให้มีวัสดุเหลือทิ้งหรือเหลือใช้จากการผลิตน้อยที่สุด ในขณะที่ถุงบรรจุจัดเก็บวัตถุดิบก็สามารถนำกลับมาใช้ใหม่ได้ซ้ำแล้วซ้ำอีก จนกว่าจะหมดสภาพ จากนั้นจึงจะถูกส่งกลับไปทำการย่อยสลายตามกระบวนการที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม ในขณะที่การผลิตปุ๋ยแบบ 1ต่อ 1 จะทำให้ปุ๋ยทุกถุงมีคุณภาพที่แน่นอนและเป็นระบบการผลิตที่ได้รับการยอมรับในระดับสากลว่าดีที่สุดในเวลานี้

 

 

 

เทคโนโลยีการผลิตแบบ 1 ต่อ 1 ที่ทำให้ปุ๋ยทุกถุงมีคุณภาพที่แน่นอนและเป็นระบบการผลิตที่ได้รับการยอมรับในระดับสากลว่าดีที่สุดในเวลานี้

 

          เอ็มที่ 2 คือ Marketing Management ซึ่งเน้นที่การบริหารจัดการเพื่อการเคลื่อนตัวทางการตลาดอย่างมีประสิทธิภาพเริ่มตั้งแต่การรับคำสั่งซื้อจากลูกค้า แล้วส่งต่อไปยังขั้นตอนผลิตแบบ Just In Time (JIT) หรือทำให้ทันเวลาพอดีที่ลูกค้าต้องการ โดยมีสต็อกให้น้อยที่สุด จากนั้นจึงส่งต่อให้ถึงมือลูกค้าอย่างรวดเร็ว โดยรถที่มารับปุ๋ยมาถึงโรงงานจะไม่ต้องคอย สามารถรับสินค้าและออกจากโรงงานกลับไปยังจุดหมายปลายทางได้ทันที โดยใช้วิธีเดินรถแบบทางเดียว ถือเป็นการเคลื่อนตัวที่รวดเร็ว ไม่ติดขัด แต่หากมีกรณีที่ต้องคอย ภายในโรงงานจะมีพื้นที่สำหรับการจอดรถ ห้องพักสำหรับคนขับ ที่พร้อมทั้งห้องน้ำและห้องอาหาร คนขับรถไม่ต้องนำรถไปจอดคอยที่ริมถนน สร้างผลกระทบด้านการจราจร หรือติดเครื่องรถทำให้เกิดมลพิษทางอากาศ การจัดการด้านการตลาดที่มีประสิทธิภาพ บวกกับการผลิตแบบ JIT ส่งผลให้เกิดข้อดีหลายประการ ไม่ว่าจะเป็นการลดความเสียหายจากการผลิตมากเกินไป (Over Production Waste) ลดความเสียหายจากการรอคอย (Waiting Waste) สินค้าคงคลังน้อยใช้พื้นที่จัดเก็บน้อย (Inventory Waste) ฯลฯ โรงงานปุ๋ยของเราจึงไม่จำเป็นต้องมีพื้นที่มากเกินไป

 

          เอ็มที่ 3 คือ Move on หรือการก้าวต่อไปข้างหน้าร่วมกับชุมชนอย่างยั่งยืน เพราะส่วนใหญ่เวลาจะมีการตั้งโรงงานที่ไหน จะมีทั้งผลดีและผลเสีย แต่สำหรับการตั้งโรงงานของยิบอินซอยขอเป็นการตั้งโรงงานที่ชุมชนได้ประโยชน์เพียงอย่างเดียว สังเกตุได้จากบริเวณโดยรอบโรงงาน สามารถอยู่กับชุมชนได้อย่างดีเยี่ยม บรรยากาศโดยรอบของโรงงานเป็นชุมชนเกษตรกรรมเดิม มีการปลูกข้าวก็ยังคงปลูกได้เหมือนเดิม การผลิตปุ๋ยของเราจะไม่ส่งผลกระทบใด ๆ กับบริเวณโดยรอบ นอกจากนี้บริเวณโดยรอบโรงงานยังมีตกแต่งบริเวณให้มีความสวยงาม ซึ่งพนักงานของบริษัทสามารถใช้ประโยชน์จากพื้นที่โดยรอบเพื่อการพักผ่อนได้ 

 

“ตราหัวคนป่า” แบรนด์ใหม่ภายใต้จุดยืนเดิม

 

 

ปุ๋ยตราหัวคนป่า สำหรับกลุ่มลูกค้าระดับกลางถึงระดับบน

 

 

ปุ๋ยตราใบไม้ สำหรับกลุ่มลูกค้าระดับบน

 

          ธุรกิจปุ๋ยและเคมีเกษตรของยิบอินซอยจะเน้นตลาดหลักๆ ของประเทศ เช่น ยางพารา ปาล์มน้ำมัน ผลไม้ และพืชผักต่างๆ โดยมีการจัดจำหน่ายสารกำจัดแมลง สารกำจัดไร สารป้องกันและกำจัดโรคพืช สารกำจัดวัชพืช สารควบคุมการเจริญเติบโตของพืช รวมทั้งปุ๋ยสูตรต่างๆซึ่งนำเข้าจากประเทศที่มีชื่อเสียง ทั้งจากสหรัฐอเมริกา เยอรมนี ฝรั่งเศส อิสราเอลและญี่ปุ่น ฯลฯ ทั้งหมดถูกคัดสรรแล้วว่าเป็นผลิตภัณฑ์ที่ดีมีคุณภาพสูง ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา ยิบอินซอยมุ่งเน้นการรักษาชื่อเสียงของบริษัทในฐานะพันธมิตรที่ดีของคู่ค้า ลูกค้าที่ใช้ปุ๋ยและเคมีเกษตรของเรา ต่างมั่นใจในเครื่องหมายการค้า “ตราใบไม้” แผนการตลาดของเรายังคงให้การสนับสนุนการรับรู้ถึงศักยภาพและคุณภาพของผลิตภัณฑ์ พร้อมให้การสนับสนุนความรู้ด้านการเกษตรที่ถูกต้องต่อกลุ่มลูกค้าผ่านทางตัวแทนจำหน่าย   

 

          ส่วนการเพิ่มเครื่องหมายการค้า “ตราหัวคนป่า” เพื่อรองรับทุกตลาดและครอบคลุมทุกกลุ่มพืช ซึ่งเป็นตลาดกลุ่มใหญ่และมีมูลค่าสูงกว่ากลุ่มที่เคยทำอยู่ แต่แผนการตลาดยังคงใช้รูปแบบเดิมคือเน้นสินค้าที่มีคุณภาพ  และสร้างการรับรู้การใช้ผลิตภัณฑ์อย่างถูกต้องโดยผ่านตัวแทนจำหน่าย มีการแนะนำการใช้ที่เหมาะสมให้ประโยชน์สูงสุด ในพืชแต่ละประเภท ซึ่งมั่นใจว่ารูปแบบการตลาดแบบนี้จะทำให้เครื่องหมายการค้า “ตราหัวคนป่า” ได้รับการตอบรับที่ดีและเติบโตอย่างรวดเร็ว มีความยั่งยืนตามแนวทางที่เรายึดถือมาโดยตลอด คุณยุพธัช กล่าวปิดท้าย

 

 

 

 

ผลิตภัณที่บรรจุแล้วเสร็จพร้อมส่งจำหน่าย

 

 

พื้นที่ของเกษตรกรด้านข้างโรงงาน

 

 

แปลงทดลองปลูกข้าวข้างโรงงานซึ่งมีการทดลองเลี้ยงปลาในนาขาวด้วย

 

 

 

ผลิตภัณฑ์ อื่นๆ 

 

 

ข้อมูลจำเพาะธุรกิจปุ๋ยและเคมีเกษตรของ ยิบอินซอย

 

 

Process การผลิตปุ๋ยของโรงงาน ยิปอินซอย

 

สงวนลิขสิทธิ์ ตามพระราชบัญญัติลิขสิทธิ์ พ.ศ. 2539 www.thailandindustry.com
Copyright (C) 2009 www.thailandindustry.com All rights reserved.

ขอสงวนสิทธิ์ ข้อมูล เนื้อหา บทความ และรูปภาพ (ในส่วนที่ทำขึ้นเอง) ทั้งหมดที่ปรากฎอยู่ในเว็บไซต์ www.thailandindustry.com ห้ามมิให้บุคคลใด คัดลอก หรือ ทำสำเนา หรือ ดัดแปลง ข้อความหรือบทความใดๆ ของเว็บไซต์ หากผู้ใดละเมิด ไม่ว่าการลอกเลียน หรือนำส่วนหนึ่งส่วนใดของบทความนี้ไปใช้ ดัดแปลง โดยไม่ได้รับอนุญาตเป็นลายลักษณ์อักษร จะถูกดำเนินคดี ตามที่กฏหมายบัญญัติไว้สูงสุด