เทคโนโลยีทางด้านแมชชีนวิชั่นในปัจจุบัน ช่วยลดความยุ่งยาก ซับซ้อนของกระบวนการในการผลิตสินค้าลงมาก ทั้งยังช่วยประหยัดค่าใช้จ่ายและลดต้นทุนการผลิตได้อย่างมาก
ระบบแมชชีนวิชั่น ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพ
ในการควบคุมคุณภาพสินค้า และลดต้นทุนการผลิตได้อย่างไร
บริษัท ค็อกเน็กซ์ (ประเทศไทย) จำกัด
ไม่อาจปฏิเสธได้ว่าความก้าวหน้าของเทคโนโลยีทางด้านแมชชีนวิชั่นในปัจจุบัน ช่วยลดความยุ่งยาก ซับซ้อนของกระบวนการในการผลิตสินค้าลงมาก อีกทั้งยังช่วยประหยัดค่าใช้จ่ายและลดต้นทุนในการผลิตซึ่งเป็นหัวใจสำคัญของเจ้าของธุรกิจที่ให้ความสำคัญต่อคุณภาพสินค้าเป็นลำดับแรก บทความต่อไปนี้ได้รับการถ่ายทอดจากผู้เชี่ยวชาญทางด้านระบบแมชชีนวิชั่น มร.จัสติน เทสตา ผู้ซึ่งครั้งหนึ่งเคยเป็นวิศวกรฝ่ายขายของบริษัท ค็อกเน็กซ์ คอร์ปอเรชั่น และไต่เต้าจนถึงตำแหน่งสูงสุดคือ รองประธานกรรมการอาวุโสฝ่ายการตลาด เขาเป็นหนึ่งในผู้คว่ำหวอดแห่งวงการอุตสาหกรรมการผลิตแบบออโตเมชั่น และเล็งเห็นถึงประโยชน์ของการนำระบบแมชชีนวิชั่นมาใช้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในสภาวการณ์ปัจจุบันที่เศรษฐกิจทั่วโลกมีความผันผวนสูง ดังนั้นผู้ประกอบการจึงจำเป็นต้องหาวิธีและมาตรการในการปรับปรุงกระบวนการผลิตให้มีผลิตภาพสูงสุดด้วยต้นทุนที่ต่ำสุด โดยไม่กระทบต่อคุณภาพของสินค้า
โดยภาพรวมแล้ว ระบบแมชชีนวิชั่นนับว่าเป็นองค์ประกอบที่มีความสำคัญอย่างยิ่งในอุตสาหกรรมการผลิตแบบออโตเมชั่น เริ่มจากช่วยให้ผู้ผลิตสามารถผลิตสินค้าคุณภาพสูงในราคาต่ำ ทำไมถึงถึงกล่าวเช่นนั้น ยกตัวอย่างง่าย ๆ เพราะระบบแมชชีนวิชั่นช่วยลดค่าใช้จ่ายในการผลิตด้วยการตรวจจับชิ้นงานที่บกพร่องตั้งแต่กระบวนการผลิตลำดับต้น ๆ ก่อนที่ชิ้นงานที่บกพร่องนั้นถูกส่งต่อไปยังกระบวนการผลิตลำดับถัดไป ซึ่งหากเป็นเช่นนั้นมูลค่าของความสูญเสียจะเพิ่มขึ้น หรือ ก่อนที่ชิ้นส่วนนั้นจะถูกส่งไปยังไลน์การประกอบขึ้นเป็นตัวสินค้า ซึ่งขั้นตอนการตรวจสอบนี้ไม่กินแรงคนหรือต้องปรับเปลี่ยนไลน์การผลิตใด ๆ เลย เห็นหรือยังว่านี้คือจุดเริ่มต้นของการประหยัดค่าใช้จ่ายและลดต้นทุนการผลิตในเบื้องต้น
ส่วนบทบาทสำคัญในการควบคุมคุณภาพสินค้าให้ดียิ่งขึ้นนั้น มองให้ง่ายก็คือ การตรวจเช็คว่าชิ้นส่วนต่าง ๆ นั้นมีจุดบกพร่องหรือชำรุดตรงไหน รวมทั้งการตรวจสอบย้อนกลับและการระบุที่มาของชิ้นส่วนต่าง ๆ ทั้งนี้เพื่อช่วยให้ผู้ผลิตสามารถแก้ไขปัญหาได้ถูกจุดในเวลารวดเร็ว หรือในกรณีที่เป็นเหตุสุดวิสัย เช่น เกิดปัญหากับตัวสินค้าและถูกเรียกคืน อย่างน้อยที่สุดผู้ผลิตก็สามารถตรวจสอบย้อนกลับไปได้ว่าต้นตอปัญหาอยู่ ณ จุดใด เห็นหรือยังว่า แค่บทเริ่มต้นเราก็มองภาพรวมออกได้ไม่ยากว่าระบบแมชชีนวิชั่นนั้นจำเป็นต่อการผลิตแบบออโตเมชั่นมากเพียงใด
คุณสมบัติข้อใดของระบบแมชชีนวิชั่นที่ถูกนำมาใช้ในแทบทุกอุตสาหกรรม
โดยทั่วไปแล้วระบบแมชชีนวิชั่นถูกนำมาติดตั้งเพื่อใช้ในการนำทาง (Guide), ตรวจสอบ (Inspect) และระบุ (Indentify) ซึ่งคุณสมบัติหลักทั้ง 3 ข้อนี้ครอบคลุมแทบทุกอุตสาหกรรมการผลิตอย่างไม่ต้องสงสัย
การนำทาง (Guidance) ระบบแมชชีนวิชั่นถูกนำมาใช้ในการค้นหาตำแหน่งของชิ้นส่วนหรือคุณสมบัติจำเพาะของชิ้นส่วนหรือรูปแบบของชิ้นงาน เพื่อนำไปสู่กลไกของระบบออโตเมชั่นในการจัดการกับชิ้นส่วนนั้น ๆ ตามแต่จะกำหนดไว้ ยกตัวอย่างเช่น ระบบแมชชีนวิชั่นถูกนำมาติดตั้งเพื่อเป็นเสมือนตัวช่วยแขนกลในการหยิบชิ้นส่วนที่ไม่สมบูรณ์ออกจากรางส่ง ก่อนที่จะถูกนำไปประกอบหรือจัดวางลงในคอนเทนเนอร์ เป็นต้น ดังนั้นระบบแมชชีนวิชั่นในบทบาทของผู้ช่วยนำทางยังคงเป็นองค์ประกอบที่สำคัญลำดับต้น ๆ ของโรงงานผลิตแบบออโตเมชั่นและเป็นคุณสมบัติหลักสำหรับระบบแมชชีนวิชั่น
การตรวจสอบ (Inspection) “การตรวจสอบ” นั้นเป็นคำที่กว้างมากเพราะมันหมายรวมถึงการตรวจสอบว่า สิ่งนั้น ๆ “มีอยู่” หรือ “ไม่มี” ซึ่งเรามักเรียกกันว่า “Presence/Absence” หรืออีกนัยหนึ่งอาจหมายถึงการตรวจหาจุดบกพร่อง หรือการชำรุดเสียหายของพื้นผิววัสดุ งานเหล่านี้ล้วนถูกจัดอยู่ในประเภท “การตรวจสอบ” ทั้งสิ้น ซึ่งคุณสมบัติของระบบแมชชีนวิชั่นข้อนี้ถูกนำมาใช้กันอย่างแพร่หลายในกระบวนการผลิตที่เน้นการตรวจสอบคุณภาพของสินค้าและลดจำนวนเศษซาก และผู้ผลิตก็มองหาระบบแมชชีนวิชั่นที่มีประสิทธิภาพในการตรวจสอบที่สูงมากขึ้นกว่าเดิมอยู่ตลอดเวลา อาทิเช่น กล้องจับภาพที่มีความละเอียดสูงขึ้น มีประสิทธิภาพในการประมวลผลภาพที่รวดเร็วยิ่งขึ้น เพื่อเร่งการตัดสินใจได้รวดเร็วขึ้นเพื่อให้สอดคล้องกับกระบวนการผลิตที่มีกำลังการผลิตเพิ่มสูงขึ้น เป็นต้น
ส่วนในเรื่องของการระบุ (Indentification) ก็นับว่าเป็นอีกหนึ่งคุณสมบัติที่โรงงานอุตสาหกรรมมักจะนำมาใช้ ค็อกเน็กซ์เริ่มต้นธุรกิจจากการพัฒนาระบบแมชชีนวิชั่นเพื่อใช้ในการติดตามชิ้นส่วน โดยส่วนมากผู้ผลิตจะสลักหรือทำรอยนูนหมายเลขรุ่น (Serial No.) ลงบนชิ้นส่วนเพื่อที่จะใช้อ้างอิงเมื่อมีการติดตามในกระบวนการผลิตและอุตสาหกรรมแรกที่เริ่มดำเนินการตามแนวคิดนี้คือ อุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์เพื่อทำการติดตามแผ่นชิป แต่หลังจากนั้นเราก็จะเห็นได้ว่า มีอุตสาหกรรมอื่น ๆ อีกมากมาย อาทิเช่น อุตสาหกรรมผลิตรถยนต์, การบิน, อิเล็กทรอนิกส์, เวชภัณฑ์ และเครื่องมือทางการแพทย์ หันมาใช้ระบบแมชชีนวิชั่นในการระบุชิ้นส่วนต่าง ๆ และติดตามชิ้นส่วนนั้น ๆ ไม่เพียงแต่ภายในโรงงานเท่านั้น แต่ยังขยายไปถึงห่วงโซ่อุปทานอีกด้วย
ประสิทธิภาพของระบบแมชชีนวิชั่นได้รับการพัฒนาจนถึงระดับที่สามารถอ่านบาร์โค้ดแบบ 2 มิติได้ บาร์โค้ดชนิดนี้แตกต่างจากบาร์โค้ดทั่ว ๆ ไปที่เราเคยเห็นติดตามกล่องนมหรือผลิตภัณฑ์ต่าง ๆ ที่ขายในซูเปอร์มาร์เก็ต เพราะมันดูเหมือนลายขีดเส้นบางหนาเป็นแถวเหมือนรั้วบ้าน แต่บาร์โค้ดแบบ 2 มิติจะมีลักษณะเหมือนตารางหมากรุก ซึ่งต้องใช้ระบบวิชั่นซิสเต็มส์และอุปกรณ์ถ่ายภาพในการอ่านโค้ดนั้น ๆ และนี่ก็เป็นอีกเหตุผลหนึ่งที่ระบบแมชชีนวิชั่นมีการใช้กันอย่างแพร่หลาย เพราะไม่เพียงแต่ผู้ผลิตจะสามารถปรับปรุงกระบวนการผลิตให้ดียิ่ง ๆ ขึ้นแล้ว แต่เขายังสามารถตรวจสอบย้อนกลับได้แม้ว่าสินค้าของเขาจะออกจากโรงงานและวางขายอยู่ในท้องตลาดแล้วก็ตาม
อย่างไรก็ดีอุปสรรคสำคัญอย่างหนึ่งที่มักจะทำให้ผู้ผลิตลังเลที่จะเปลี่ยนรูปแบบการผลิตไปสู่ระบบออโตเมชั่นหรือส่งเสริมระบบการผลิตก็คือ ความเข้าใจที่ว่าระบบแมชชีนวิชั่นมีการใช้งานและการควบคุมกระบวนการผลิตที่ยุ่งยากซับซ้อน ในการตอบโจทก์ข้อนี้ต้องบอกก่อนเลยว่าผู้ผลิตและพัฒนาระบบแมชชีนวิชั่น โดยเฉพาะ ค็อกเน็กซ์นั้น มีผลิตภัณฑ์ระบบแมชชีนวิชั่นหลากหลายมากที่สุด เพื่อรองรับความต้องการที่แตกต่างกันในแต่ละอุตสาหกรรมและผลิตภัณฑ์ทุกประเภทนั้นล้วนแต่ใช้งานง่าย ติดตั้งง่ายและไม่ยุ่งยากในการบำรุงรักษาเลย
ยกตัวอย่าง เช่น In-Sight ซึ่งเป็นผลิตภัณฑ์วิชั่นนำธงของค็อกเน็กซ์และเป็นระบบวิชั่นซิสเต็มส์ที่มาพร้อมกับความสามารถและการใช้งานภายในตัวเองได้ นั่นหมายถึงว่าทั้งกล้องจับภาพ, โปรเซสเซอร์, หน่วยความจำซอฟต์แวร์ถูกบรรจุอยู่ภายในผลิตภัณฑ์ที่เล็กกะทัดรัดแต่ทรงประสิทธิภาพ ซึ่งทำให้ระบบวิชั่นซิสเต็มส์สามารถเข้าไปติดตั้งอยู่ในส่วนต่าง ๆ ของไลน์การผลิตในโรงงานเพื่อทำหน้าที่ต่าง ๆ ได้อย่างสะดวกและเหล่าผู้ผลิตก็พยายามพัฒนาระบบวิชั่นซิสเต็มส์ให้มีขนาดเล็กลงเรื่อย ๆ เพื่อสามารถเข้าไปติดตั้งอยู่ในบริเวณที่มีพื้นที่จำกัด ไม่นานมานี้ค็อกเน็กซ์เพิ่งเปิดตัว In-Sight Micro ขนาด 30 ม.ม.x 30 ม.ม.x 60 ม.ม. ซึ่งเป็นระบบวิชั่นซิสเต็มส์ที่สมบูรณ์แบบในขนาดเล็กจิ๋ว ซึ่งมีประโยชน์ต่อผู้ผลิตเป็นอย่างมากเนื่องจากสามารถติดตั้งลงบนพื้นที่แคบ ๆ หรือตรงปลายสุดของแขนกล
ส่วนในเรื่องของการใช้งานนั้นก็ง่ายแสนง่าย เพราะค็อกเน็กซ์พัฒนาซอฟต์แวร์ EasyBuilderTM ที่ช่วยให้ผู้ใช้งาน พนักงานโรงงานสามารถสร้างแอพพลิเคชั่นที่เขาต้องการในการแก้ไขปัญหาต่าง ๆ ได้อย่างรวดเร็วและง่ายดาย นอกจากนี้ค็อกเน็กซ์ยังมีผลิตภัณฑ์ VisionViewTM ที่ทำงานร่วมกับผลิตภัณฑ์ In-Sight โดยทำหน้าที่เสมือนคอนโซลแสดงผลอินเตอร์เฟซ ซึ่งช่วยให้ผู้ใช้งานมองเห็นภาพระบบวิชั่นซิสเต็มส์ทั้งหมดที่เขาใช้งานและสามารถปรับเปลี่ยน, ปรับการตั้งค่า หรือพารามิเตอร์เมื่อต้องการ และทำให้การสื่อสารกับระบบวิชั่นซิสเต็มส์เป็นไปอย่างง่ายดายยิ่งขึ้น
ถัดไปคือผลิตภัณฑ์ Checker ซึ่งเป็นผลิตภัณฑ์ที่รวมเอาโฟโต้อิเล็กทริกเซนเซอร์และระบบวิชั่นซิสเต็มส์ขั้นสูงแบบเดียวกับ In-Sight เข้าไว้ด้วยกัน โดยจะทำหน้าที่เช็คว่าชิ้นส่วนนั้น ๆ มีอยู่หรือหายไป แต่รุ่นหลัง ๆ ของ Checker นั้นได้รับการเสริมประสิทธิภาพให้มีความสามารถในการเช็ครูปทรงชิ้นส่วนว่ามีขนาดรูปร่างถูกต้องหรือไม่ ซึ่งผู้ใช้งานไม่จำเป็นต้องตั้งค่าพารามิเตอร์ใด ๆ เลย เพราะระบบจะล็อกขอบชิ้นส่วนและยึดจากจุดนั้นเป็นหลักในการวัด ซึ่งง่ายมากสำหรับผู้ที่แม้ไม่เคยรู้จักหรือใช้งานระบบวิชั่นซิสเต็มส์มาก่อน
และปิดท้ายที่ DataMan ? ซึ่งเป็นผลิตภัณฑ์ที่ใช้สำหรับการระบุ (Indentification) ซึ่งมีขนาดเล็กที่สุดแต่เป็นเครื่องอ่านบาร์โค้ดแบบหัวยึดอยู่กับที่ที่ทรงประสิทธิภาพมากที่สุดเท่าที่มีอยู่ในท้องตลาดปัจจุบัน ทำไมเราถึงเรียกว่าแบบหัวยึดอยู่กับที่ เพราะเครื่องอ่านรหัสนี้จะถูกยึดตำแหน่งให้อยู่กับที่เพื่อคอยอ่านบาร์โค้ดแบบ 1 หรือ 2 มิติที่ติดอยู่กับขวดหรือกล่องหรือชิ้นส่วนใด ๆ ก็ตามในระหว่างเคลื่อนตัวผ่านเครื่องอ่านรหัส DataMan ทำงานด้วยตัวของมันเอง เพราะภายในบรรจุซอฟต์แวร์ที่อ่านค่าของความสว่าง มีหน่วยเก็บความจำ ฯลฯ ซึ่งมีขนาดเล็กมากเล็กกว่านามบัตรเสียอีก
ข้อดีประการสุดท้ายของผลิตภัณฑ์จากค็อกเน็กซ์ คือ การลดการพึ่งพาเครื่องพีซีที่ใช้สำหรับเชื่อมต่อกับวิชั่นแอพพลิเคชั่นอื่น ๆ เพราะค็อกเน็กซ์ได้พัฒนาผลิตภัณฑ์ที่บรรจุซอฟต์แวร์อยู่ภายในตัวอุปกรณ์ ทำให้ระบบเป็นเอกเทศเพราะสามารถเชื่อมต่อโดยตรงกับระบบจับกรอบภาพ (Frame Grabbers) หรือต่อเข้ากับกล้องจับภาพได้โดยตรง โดยส่วนใหญ่ระบบวิชั่นซิสเต็มส์นั้นต้องใช้ควบคู่ไปกับเครื่องพีซีเพราะแอพพลิเคชั่นที่ทำงานบนเครื่องพีซีนั้นมีความคล่องตัวสูง ผู้ใช้งานก็รู้สึกสะดวกสบายและคุ้นเคยกับการทำงานบนเครื่องพีซี
นอกจากนี้ยังสามารถเชื่อมต่อเข้ากับกล้องจับภาพได้หลากหลายประเภท รวมทั้งในบางแอพพลิเคชั่นที่เกี่ยวข้องกับการตรวจสอบยังต้องอาศัยซอฟต์แวร์ที่ให้การประมวลผลความเร็วสูง ซึ่งเครื่องพีซีในปัจจุบันพัฒนาขีดความสามารถจนถึงระดับที่สามารถประมวลผลด้วยความเร็วสูงมาก โดยอาศัยซีพียู (CPU) ขนาด 3 GHz หรือสูงกว่า ดังนั้นค็อกเน็กซ์จึงพัฒนาซอฟต์แวร์ที่ชื่อ VisionPro เพื่อรองรับการใช้งานดังกล่าวแทนที่จะใช้เครื่องพีซี โดยเวอร์ชั่นล่าสุด 5.0 นั้นเพิ่มคุณสมบัติในการบันทึกภาพและรองรับกล้องจับภาพในหลากหลายรูปแบบ โดยมีอินเตอร์เฟซมาตรฐานสำหรับกล้องดิจิตอล เช่น USB, FireWire, GigE Vision และ Camera Link แต่ข้อดีของ VisionPro ที่เครื่องพีซีไม่มีก็คือ ผู้ใช้งานสามารถเข้าถึงตัววิชั่นซอฟต์แวร์ในอุปกรณ์ต่าง ๆ เพื่อปรับแต่งค่าต่าง ๆ ที่ใช้ในการตรวจสอบหรืออ่านรหัสได้โดยตรง
แอพพลิเคชั่นใดในระบบแมชชีนวิชั่น ที่กำลังเป็นที่ต้องการในอนาคตอันใกล้นี้
ด้วยการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วในแวดวงอุตสาหกรรมการผลิต ผู้ผลิตต่างมองหาความก้าวหน้าอีกระดับของระบบแมชชีนวิชั่นเพื่อตอบโจทก์ที่ท้าทายมากยิ่งขึ้น อาทิ การผลิตแผงรับพลังงานแสงอาทิตย์ (Solar Cell) ซึ่งเป็นการผลิตที่มีความยากขึ้นในการตรวจเช็ค เนื่องจากต้องตรวจสอบเพื่อหารอยตำหนิขนาดเล็กในพื้นที่กว้างใหญ่ขึ้น ในกรณีนี้เราต้องมองหาโซลูชั่นในการเชื่อมโยงความสามารถของกล้องจับภาพความละเอียดสูงมากเพื่อมารวมกับตัวประมวลผลความเร็วสูงที่ให้ความสว่างคงที่ และซอฟต์แวร์ทูลส์ที่สามารถตรวจจับรอยตำหนิและแยกประเภทของรอยตำหนิได้ นี่คืออีกหนึ่งโจทก์ที่ค็อกเน็กซ์เล็งเห็นว่าจะมีการเรียกร้องจากผู้ผลิตเพิ่มมากขึ้นเรื่อย ๆ
อีกหนึ่งแอพพลิเคชั่นที่กำลังมาแรงก็คือ 3D ถ้าเรามองเรื่อง 3D ในแง่ของวิชั่นสำหรับหุ่นยนต์โรงงาน เช่น แขนกล มีการฝังระบบวิชั่นซิสเต็มส์ลงในแขนกลเหล่านี้เพิ่มมากขึ้น เพื่อคอยนำทางให้มันหยิบของและวางลงในที่ที่ตั้งโปรแกรมไว้ โดยทั่ว ๆ ไป หุ่นยนต์โรงงานจะจับภาพแบบ 2 มิติ แต่ปัจจุบันโรงงานผลิตแบบออโตเมชั่นต่างพยายามเปลี่ยนไลน์การผลิตให้เป็นแบบอัตโนมัติให้มากที่สุด เพื่อแก้ไขจุดบกพร่องต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นให้ลดลงให้มากที่สุด นั้นหมายความว่าหุ่นยนต์โรงงานต้องมีประสิทธิภาพในการจับภาพแบบ 3 มิติ เพื่อให้สามารถมองเห็นรูปร่างของวัตถุแบบรอบทิศและสามารถสั่งให้การหยิบวัตถุและวางลงทำได้ในทุกมุมองศาตามที่ต้องการ นี่คือโจทก์ที่ยากและซับซ้อนมากต้องอาศัยภาพที่มีการ Calibrated อย่างดีและเครื่องมือในการวิเคราะห์และประมวลผลภาพที่มีอัจฉริยภาพสูงเพื่อตอบโจทก์ประเด็นนี้
ปัญหาของเรื่อง “สี” ก็เป็นอีกหนึ่งประเด็นที่ตลาดมีความต้องการระบบวิชั่นซิสเต็มส์ล้ำสมัยเข้ามาช่วย แม้ว่าปัญหาเรื่องสีคิดเป็นสัดส่วนแค่ 10–15 % ของแอพพลิเคชั่นทั้งหมดที่ใช้บนระบบวิชั่นซิสเต็มส์ แต่การใช้สีที่เพิ่มมากขึ้นก็ทำให้ผู้ผลิตสามารถพัฒนาและต่อยอดผลิตภัณฑ์ให้ดียิ่งขึ้น และรับมือกับปัญหาที่น่าจะเกิดขึ้นในอนาคตได้เพิ่มขึ้น
ท้ายสุดต้องไม่ลืมว่าจิตและวิญญาณของระบบวิชั่นซิสเต็มส์คือ วิชั่นซอฟต์แวร์และความต้องการที่จะเห็นซอฟต์แวร์ได้รับการพัฒนาให้มีความชาญฉลาดมากขึ้น เช่นระบบวิชั่นซิสเต็มส์จะต้องมีความสามารถในการตั้งค่าพารามิเตอร์ได้ สามารถล่วงรู้ได้ว่าเกิดอะไรขึ้นอยู่ตอนนี้ แล้วจะต้องทำอย่างไรเพื่อให้งานนั้น ๆ ดำเนินต่อไปได้อย่างปกติและไม่ผิดพลาด
ข้อมูลเกี่ยวกับค็อกเน็กซ์
ค็อกเน็กซ์ คือผู้จัดหาระบบวิชั่นซิสเต็มส์ชั้นนำระดับโลก รวมทั้งวิชั่นซอฟต์แวร์ วิชั่นเซนเซอร์ และระบบตรวจสอบพื้นผิว ซึ่งใช้ในอุตสาหกรรมการผลิตแบบออโตเมชั่น และยังเป็นผู้ออกแบบและพัฒนาระบบหรืออุปกรณ์ที่เกี่ยวข้องกับ “การมองเห็น” วิชั่นเซนเซอร์ของ ค็อกเน็กซ์ถูกนำมาใช้ในโรงงานอุตสาหกรรมแบบออโตเมชั่นทั่วโลกเพื่อช่วยในการควบคุมคุณภาพของสินค้าให้ดียิ่งขึ้นและลดต้นทุนในกระบวนการผลิต ปัจจุบันค็อกเน็กซ์ผลิตและจำหน่ายระบบ Machine Vision ไปแล้วกว่า450,000 ระบบ สำนักงานใหญ่ ค็อกเน็กซ์ตั้งอยู่ที่เมืองเนทิค มลรัฐแมสซาชูเสส และมีสำนักงานตั้งอยู่ในทุกภูมิภาคทั่วโลก
สนใจรายละเอียดเพิ่มเติมติดต่อได้ที่
คุณชยุตม์ รักชลธี, วิศวกรฝ่ายขาย
บริษัท ค็อกเน็กซ์ (ประเทศไทย) จำกัด
โทรศัพท์ 084-644 5982
E-mail: chayut.luckchonlatee@cognex.com
สงวนลิขสิทธิ์ ตามพระราชบัญญัติลิขสิทธิ์ พ.ศ. 2539 www.thailandindustry.com
Copyright (C) 2009 www.thailandindustry.com All rights reserved.
ขอสงวนสิทธิ์ ข้อมูล เนื้อหา บทความ และรูปภาพ (ในส่วนที่ทำขึ้นเอง) ทั้งหมดที่ปรากฎอยู่ในเว็บไซต์ www.thailandindustry.com ห้ามมิให้บุคคลใด คัดลอก หรือ ทำสำเนา หรือ ดัดแปลง ข้อความหรือบทความใดๆ ของเว็บไซต์ หากผู้ใดละเมิด ไม่ว่าการลอกเลียน หรือนำส่วนหนึ่งส่วนใดของบทความนี้ไปใช้ ดัดแปลง โดยไม่ได้รับอนุญาตเป็นลายลักษณ์อักษร จะถูกดำเนินคดี ตามที่กฏหมายบัญญัติไว้สูงสุด