เนื้อหาวันที่ : 2010-05-12 16:59:31 จำนวนผู้เข้าชมแล้ว : 13666 views

Business Blueprint

การจัดการเชิงวิทยาศาสตร์ทั่วไปเพื่อการวิเคราะห์หรือปรับปรุงจะต้องใช้แบบจำลองหรือ Model เสมอ แบบจำลองใด ๆ ก็ตามมีไว้เพื่อการสื่อสาร ในการจัดการธุรกิจเช่นกัน แบบจำลองธุรกิจก็ย่อมมีไว้สื่อสารให้กับผู้มีส่วนร่วมทุกคนในกระบวนการธุรกิจ

ดร.วิทยา สุหฤทดำรง
ภาควิชาวิศวกรรมอุตสาหการ คณะวิศวกรรมศาสตร์ สถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าพระนครเหนือ

.

.

ผมเคยได้ยินในต่างประเทศพูดกันถึง Business Blueprint หรือ พิมพ์เขียวธุรกิจกันมานานแล้ว แต่ก็ยังไม่แพร่หลายมากนักในเมืองไทย ตั้งแต่ผมให้ความสนใจการจัดการกระบวนการธุรกิจ (Business Process Management) ผมก็เริ่มใช้แนวคิดของ Business Blueprinting เพื่อที่จะอธิบายแนวคิดในการจัดการกระบวนการธุรกิจ แต่ก็ยังไม่เห็นใครที่ออกมาอธิบายให้เด่นชัดมากนัก

.

จนผมไปได้หนังสือชื่อ Get It Done ของ Ralph Welborn และ Vince Kasten ที่พิมพ์เมื่อตอนต้นปี 2006 นี้เอง ที่อธิบายเรื่องราวของการทำพิมพ์เขียวธุรกิจได้เป็นเรื่องเป็นราวน่าสนใจมากสำหรับผู้เริ่มต้น ซึ่งผมคิดว่ามีประโยชน์สำหรับท่านที่เริ่มต้นการจัดการกระบวนการธุรกิจ ผมได้อ่านแล้วจึงมาเล่าให้ฟัง

.
เผชิญหน้ากับความท้าทาย: แผนที่ในฐานะเป็นแบบจำลอง 

สำหรับการจัดการเชิงวิทยาศาสตร์ทั่วไปเพื่อการวิเคราะห์หรือปรับปรุงจะต้องใช้แบบจำลองหรือ Model เสมอ แบบจำลองใด ๆ ก็ตามมีไว้เพื่อการสื่อสาร ในการจัดการธุรกิจเช่นกัน แบบจำลองธุรกิจก็ย่อมมีไว้สื่อสารให้กับผู้มีส่วนร่วมทุกคนในกระบวนการธุรกิจ นั่นหมายความว่า ควรจะมีแบบจำลองที่เป็นตัวแทนของธุรกิจในมุมมองต่าง ๆ ของธุรกิจ

.

เหมือนกับพิมพ์เขียวของบ้านหรือตึกที่ถูกออกแบบโดยสถาปนิก แล้วผู้รับเหมาในเรื่องต่าง ๆ ของการสร้างบ้านหรือตึกนั้น ๆ ใช้แบบพิมพ์เขียวนั้นในการดำเนินงานตามหน้าที่ที่ได้มอบหมาย Business Blueprint หรือพิมพ์เขียวธุรกิจจะเป็นเครื่องแสดงให้เห็นถึงข้อมูลสารสนเทศที่เกี่ยวกับในสิ่งที่ธุรกิจนั้นเป็นอยู่และธุรกิจนั้นทำงานได้อย่างไร 

.

ในขณะที่มีการจัดการระดับของรายละเอียดจนแบบพิมพ์เขียวนี้ไม่ได้ถูกใช้เป็นเครื่องมือแค่เพียงเพื่อความเข้าใจและชี้ทาง แต่ยังสามารถใช้เป็นเครื่องมือในการจัดการและผลักดันธุรกิจให้ก้าวไป

.

ลองนึกถึง แผนที่ พิมพ์เขียว และเอกสารราชการ มีความสัมพันธ์กับเมืองอย่างไร นักเดินทางที่เดินทางไปในเมืองที่ไม่คุ้นเคยก็ใช้แผนที่ในการไปไหนมาไหน ทำไมหรือ ? เพราะแผนที่ได้เข้ารวบรวมความรู้ที่อยู่ในสมองของผู้คนต่าง ๆ ที่คุ้นเคยกับที่ใด ๆ ก็ตามที่เขาเดินทางไป เพื่อช่วยให้คนที่ไม่เคยเดินทางไปได้เดินทางไปในสถานที่ต่าง ๆ ด้วยความสะดวกด้วยแผนที่

.

ถ้าคุณเป็นนักเดินทางไปในสถานที่ต่าง ๆ คุณคงจะใช้แผนที่ในหลายรูปแบบ เช่น แผนที่ทางหลวงสำหรับการเดินทางระหว่างจังหวัด แผนที่ถนนและทางร่วมทางแยกในเขตเมืองใช้หาตำแหน่งที่ตั้งที่อยู่ และแผนที่สถานที่ท่องเที่ยวหรือคู่มือสถานที่ท่องเที่ยวที่ให้รายละเอียดที่ตั้งของแต่ละสถานที่  

.

แผนที่ทั้งสามลักษณะที่มีการเชื่อมต่อกัน จากถนนระหว่างจังหวัด สู่ถนนในเมืองและตำแหน่งที่อยู่ของสถานที่นั้น ๆ ถ้าเรามีที่อยู่ของสถานที่ที่เราต้องการจะไป เราก็สามารถที่จะเลือกใช้แผนที่ในแต่ละประเภทได้อย่างเชื่อมโยงกัน เรียกได้ว่า มีความสามารถในการสืบย้อนกลับ (Traceability) ซึ่งจะบอกเราว่า อะไร (What) เชื่อมต่อกับอะไร (What) ที่ไหน (Where) เมื่อไร (When) อย่างไร (How) และเป็นจำนวนเท่าไร (How Much)

.

ถ้ามองให้ลึกลงไปอีกผู้บริหารเมืองก็ย่อมจะมีแผนที่หรือแผนผังของเมืองสำหรับความรับผิดชอบของตัวเอง เช่น แผนผังของท่อน้ำประปาและท่อแก๊สที่อยู่ใต้ดิน ทางเดินสายไฟฟ้าและสายโทรศัพท์ต่าง ๆ โครงสร้างพื้นฐานต่าง ๆ ผู้ดูแลสถานที่ต่าง ๆ ก็จะมีแผนที่ภายในหรือแผนผังภายในของสถานที่แต่ละแห่งซึ่งก็จะมีความสัมพันธ์โดยตรงกับสถานที่หรือเมืองนั้น ๆ ไม่มีแผนที่ใดที่ได้กล่าวมาบอกถึงภาพใหญ่ (Total Picture) ของเมืองได้

.

ถึงแม้ว่าเอาแผนที่หรือแผนผังทั้งหมดมารวมกัน จะต้องมีเอกสาร (Documents) หรือกฎข้อบังคับ (Rules or Regulations) อะไรก็ตามที่แสดงให้เห็นถึงความสัมพันธ์ในแต่ละส่วนเพื่อแสดงให้เห็นถึงความเป็นเหตุเป็นผลผลและรวมถึงการสื่อสารกัน

.

การนำเอาแผนที่หรือแผนผังต่างมารวมกันและมีเอกสารที่เป็นกฎข้อบังคับของเมืองที่แสดงถึงความเชื่อมโยงต่าง ๆ ของสถานที่และคนที่อยู่ในเมืองนั้นเป็นการสร้างกลุ่มของแบบจำลองต่าง ๆ ที่ให้ภาพของเมืองได้สมบูรณ์ยิ่งขึ้น แผนที่แต่ละแผ่นก็แสดงให้เห็นถึงข้อมูลและรายละเอียดของตัวเองสำหรับบุคคลที่สนใจ แต่แผนที่ทั้งหมดนั้นจะต้องนำมารวมกันเพื่อที่จะเชื่อมโยงให้เกิดความเข้าใจที่เกิดผลในสิ่งที่จะต้องทำและจะต้องทำอย่างไร

.
แผนที่และแบบจำลอง - เจาะลึกและปฏิบัติการ

แนวคิดของแผนที่ของเมืองที่กล่าวมาทั้งหมดสามารถใช้ได้กับธุรกิจ ธุรกิจหนึ่งธุรกิจรู้จักข้อมูลสารสนเทศที่เกี่ยวกับตัวเองมากเท่าไร ก็ยิ่งทำให้คนเหล่านั้นดำเนินการธุรกิจนั้นสามารถที่นำพาธุรกิจได้รับรู้ถึงการเปลี่ยนแปลงที่กำลังมาถึง  และเพื่อที่จะเข้าใจในผลกระทบต่อธุรกิจและเตรียมที่จะรับมืออย่างมีประสิทธิผล แผนที่ต่าง ๆ ถูกใช้สำหรับกลุ่มคนต่าง ๆ ที่อยู่ในเมือง แบบจำลองธุรกิจก็ถูกใช้สำหรับคนที่ต้องการที่จะเข้าใจธุรกิจ

.

เราใช้คำว่าแบบจำลองในฐานะที่เป็นแนวคิดที่สำคัญและอย่างเปิดเผยด้วยคำนิยามว่า แบบจำลอง คือรายละเอียดของบางสิ่งหรือแนวคิดที่อธิบายคุณสมบัติที่สำคัญของสิ่งนั้นหรือแนวคิดนั้น  Deming เองเคยกล่าวไว้ว่า แบบจำลองทั้งหลายนั้นไม่ถูกต้อง แต่แบบจำลองบางตัวมีประโยชน์ แผนที่ถนนเป็นแบบจำลอง แต่แผนที่ถนนก็คงยังไม่ใช่ถนนอยู่ดี มันคงเป็นแค่นามธรรมของคุณสมบัติที่แน่นอนของถนน

.

ตัวอย่าง เช่น ถนนไหนขึ้นเขาหรือลงเขา แผนที่อาจจะมีประโยชน์ต่อคนเดินทาง แต่สำหรับสถาปนิกคนออกแบบตึกแล้วถือว่าไม่มีประโยชน์ เพราะว่า แบบจำลองไม่ใช่ความเป็นจริง แต่เป็นตัวแทนของความเป็นจริง มันอาจจะมีข้อเสียหรือมีข้อจำกัดสำหรับกลุ่มคนบางกลุ่ม

.

หลักสำคัญในการสร้างแบบจำลองที่ดีและมีประโยชน์ คือ การให้รายละเอียดคุณสมบัติที่สำคัญของสิ่งที่คุณกำลังจะอธิบาย และพยายามที่ซ่อนรายละเอียดที่ไม่สำคัญต่อสิ่งที่คุณกำลังจะอธิบาย ปริมาณและชนิดของรายละเอียดนั้นขึ้นอยู่กับใครจะเป็นคนที่ใช้แบบจำลองนั้นและแบบจำลองนั้นจะมีประโยชน์กับอะไรบ้าง

.

แล้วที่กล่าวมาทั้งหมดเกี่ยวกับธุรกิจหรือเปล่า ? ลองคิดดูถึงความซับซ้อนมากมายของธุรกิจของคุณในเชิงการปฏิบัติการที่มีส่วนที่เชื่อมต่อกันเป็นพัน ๆ จุด การติดต่อสื่อสารกันระหว่างคน การผูกไขว้กันของเทคโนโลยี ความสัมพันธ์กันกับพันธมิตรของคุณ ข้อบังคับที่มีต่อลูกค้าแต่ละราย ข่ายใยของผู้ค้า (Webs of Vendors)กับหุ้นส่วน ยังมีอีกมากสำหรับธุรกิจของคุณ เกินกว่าที่ใครสักคนหนึ่งจะจำได้หมด

.

แต่เมื่อคุณถูกถาม คุณก็ต้องสามารถอธิบายธุรกิจของคุณได้ภายในสองประโยคสั้น ๆ (Elevator Pitch) ที่มีความหมาย ประโยคสั้น ๆ หรือคำอธิบายสั้นที่มีความหมายนั้นเป็นแบบจำลองระดับสูงของธุรกิจของคุณ เมื่อมีการเปลี่ยนแปลงรายละเอียดสั้น ๆ เหล่านี้อาจจะไม่เปลี่ยนแปลงธุรกิจของคุณ แต่ที่ใดที่หนึ่งในธุรกิจมีหลายสิ่งกำลังเปลี่ยนแปลงไป ความเข้าใจในความสัมพันธ์ระหว่างการเปลี่ยนแปลงที่กำลังจะเกิดขึ้นและผลกระทบของมัน เช่น บางสาเหตุที่ทำให้เกิดผลกระทบมากมาย

.

ซึ่งหมายความว่าคุณสามารถที่ดำเนินการได้อย่างมีประสิทธิภาพ การที่คุณขาดความเข้าใจจะทำให้การเปลี่ยนแปลงนั้นเพิ่มความเสี่ยงขึ้นไปอีก และทำให้ทรัพยากรไม่อยู่ในความควบคุม มันก็เลยย้อนกลับมาที่ อะไรเชื่อมต่อกับอะไร เมื่อไร ที่ไหน อย่างไร และเป็นเงินเท่าไร ที่กล่าวมาทั้งหมด หมายถึง ความสามารถในการรับรู้ (Visibility) และความสามารถในการสืบย้อนกลับ ของ สิ่งต่าง ๆ นั่นเอง

.
พิมพ์เขียวธุรกิจ เล่นเกมซ่อนหาในองค์กรธุรกิจของคุณ

สมมุติว่าคุณมีแบบจำลองของธุรกิจของคุณที่มีรายละเอียดของคุณสมบัติที่สำคัญของทั้งหมด จากมุมมองที่ไม่ต้องอธิบายมาก (Elevator Pitch) ตลอดไปจนถึงการปฏิบัติงานจริงประจำวันที่แสนจะซับซ้อนของกระบวนการธุรกิจของคุณ แบบจำลองเช่นนี้น่าจะเป็นเหมือนแผนที่ที่เป็นที่ตั้ง ๆ ของเมืองที่อธิบายไปแล้วก่อนหน้านี้ 

.

ซึ่งที่จริงแล้วก็ประกอบไปด้วยแบบจำลองในรูปแบบต่าง ๆ แต่ละแบบจำลองที่เป็นเอกเทศจะแสดงรายละเอียดที่สำคัญของแต่ละส่วนของธุรกิจในรูปแบบที่แต่ละบุคคลที่รับผิดชอบสำหรับส่วนนั้นจะใช้ประโยชน์ แบบจำลองนี้อาจจะเชื่อมต่อกันเหมือนเหมือนแผนที่ทางหลวงและแผนที่ถนนในเมืองที่เชื่อมต่อถึงที่อยู่โดยการสืบย้อนกลับ

.

ตัวอย่างเช่น พนักงานศูนย์ Call Center ใช้ซอฟต์แวร์ประยุกต์ (Applications) ความท้าท้ายก็คือการกำหนดกลุ่มของแบบจำลองและระดับของรายละเอียดที่มีอยู่ในข้อมูลสารสนเทศที่คุณต้องการ เช่น คุณสมบัติที่สำคัญซอฟต์แวร์ประยุกต์ ในขณะเดียวกันก็ซ่อนรายละเอียดบางอย่างไว้เพื่อที่จะได้กลับนำมาใช้ได้อย่างเหมาะสม นี่คือสิ่งที่ Business Blueprint หรือ พิมพ์เขียวธุรกิจสามารถที่จะบอกเราได้

.

จากรูปที่ 1 แสดงให้เห็นถึงชั้น (Layers) ต่าง ๆ ของพิมพ์เขียวธุรกิจในรูปแบบการเชื่อมต่อกันเป็นชั้น ๆ ร่วมกัน ในธุรกิจสามารถที่แบ่งแยกกิจกรรมและสิ่งต่าง ๆ ได้อย่างง่ายและมีที่มาที่ไป กิจกรรมเหล่านั้น คือ ยุทธศาสตร์ (Strategy) กระบวนการธุรกิจ (Business Process) ซอฟต์แวร์ประยุกต์ (Applications) และ โครงสร้างพื้นฐาน (Infrastructure)

.

ทั้งหมดนี้ต้องทำงานร่วมกัน และแต่ละส่วนนี้ก็มีกลุ่มคนของตัวเองซึ่งทำงานด้วย คุณสมบัติ, มุมมอง, มาตรวัด และภาษาของพวกเขาเอง ในขณะธุรกิจที่กำลังดำเนินไปอยู่ พวกเขาทำงานร่วมกันในกิจกรรมเหล่านั้น ความท้าทายก็คือ การค้นหาเข้าไปในแต่ละชั้น (Layers)และทำความเข้าใจว่า อะไรมีผลกระทบกับอะไรเมื่อไร ที่ไหน อย่างไร และเป็นเงินเท่าไร

.

พิมพ์เขียวธุรกิจประกอบด้วยกลุ่มของแบบจำลองที่ถูกเชื่อมต่อกัน แบบจำลองนี้มีคุณสมบัติที่เป็นประโยชน์ซึ่งเป็นที่ต้องการที่จะเข้าใจและคาดการณ์ผลกระทบของการเปลี่ยนแปลงในขณะที่หลีกเลี่ยงการที่จะมาเปรียบและแข่งกันเองภายในองค์กร การสร้างพิมพ์เขียวธุรกิจจะกำหนดกลุ่มของแบบจำลองและวิธีการที่สามารถนำมาใช้ร่วมกันในการแสดงให้เห็นถึงมุมมองที่สำคัญของปัญหาทางธุรกิจต่าง ๆ ตั้งแต่ยุทธศาสตร์ที่เหมาะสมจนถึงโครงสร้างพื้นฐาน

.

มันคงไม่มีเหตุผลและไม่น่าพิสมัยเลยที่จะคาดหวังว่าทุกคนในธุรกิจจะรู้ถึงรายละเอียดของที่ทุกคนทำและแบ่งปันรายละเอียดการสื่อสารในการทำงานนั้น แต่มันก็มีเหตุผลและน่าจะหาวิธีในการสร้างสรรค์การแบ่งปันรายละเอียดการสื่อสารในการทำงานออกไปให้ทุกคนได้รับรู้ ราวกับว่ามันเป็นเรื่องที่มีความสำคัญถึงเป็นวิกฤติการณ์เลยทีเดียว

.

รูปที่ 1 พิมพ์เขียวธุรกิจ (Business Blueprint)

.

แต่ละชั้น (Layer) ในรูปที่ 1 ก็มีวิธีการของตัวเองในการทำในสิ่งที่จะต้องทำและแยกแยะอะไรที่มีความสำคัญที่จะทำ    แต่ละชั้นจะมีแบบจำลองของตัวเองเพื่อที่จะแบ่งแยกกิจกรรมเฉพาะ แต่ละคนก็จะมุ่งไปที่ผู้ที่เกี่ยวข้องด้วยภาพของปัญหาธุรกิจทั้งหมดโดยใช้คำศัพท์ (Vocabulary) หรือภาษาเฉพาะ และวิธีในการปฏิบัติเพื่อให้เหมาะสมกับคนที่เกี่ยวข้อง

.

ความสัมพันธ์หรือการเชื่อมต่อระหว่างแบบจำลองต่าง ๆ ทำให้พิมพ์เขียวทางธุรกิจสื่อสารได้ถึงผลกระทบของการเปลี่ยนแปลงในแบบจำลองหนึ่งไปสู่แบบจำลองอื่น ๆ ในพิมพ์เขียวธุรกิจ เพื่อที่จะตอบคำถามที่ว่า อะไรมีผลกระทบต่ออะไร ที่ไหนเมื่อไร อย่างไร และ เป็นเงินเท่าไร ภาษาของพิมพ์เขียวธุรกิจสร้างสรรค์ตัวกลางในการสื่อสารที่ต้องการความสม่ำเสมอเชิงการดำเนินการ

.

ไม่ใช่ให้ทุกคนในองค์กรต้องเข้าใจในงานที่ทุกคนทำ แต่โดยใช้เครื่องมือ เทคนิคและวิธีการที่เฉพาะเจาะจงในการทำให้กลุ่มต่าง ๆ เข้าใจว่า “เมื่อผมพูดอย่างนี้แล้วทำอย่างนั้น” แบบจำลองจะวาดภาพให้พวกเขาเห็นการทำงานของคุณและผลกระทบต่อคุณอย่างนั้นและอย่างนี้ แบบจำลองจะถูกออกแบบมาเพื่อที่เข้าใจได้ง่ายมาก ๆ สามารถนำไปใช้ได้ แต่ก็มีข้อจำกัดและสามารถเปลี่ยนแปลงได้โดยขึ้นกับผู้ที่จะใช้งาน

.
พิมพ์เขียวธุรกิจ ใครทำ อะไร ที่ไหน อย่างไร

พิมพ์เขียวธุรกิจจะประกอบข้อมูลสารสนเทศ 4 กลุ่มที่แตกต่างกัน แต่ละกลุ่มก็เกี่ยวข้องกับแต่ละชั้น (Layer) ที่จริงแล้วก็ไม่มีอะไรวิเศษเลย สำหรับ 4 ชั้นของพิมพ์เขียวธุรกิจซึ่งเป็นกลุ่มของกิจกรรมต่าง ๆ ขององค์กรธุรกิจที่มารวมกันอยู่ในแบบจำลอง

.

สิ่งที่มีประโยชน์สำหรับชั้นต่าง ๆ ในพิมพ์เขียวธุรกิจ คือ 1) ง่ายและมีเหตุและผลเป็นไปตามสัญชาตญาณ 2) แต่ละชั้นของกิจกรรมจะมีกลุ่มของคนทำงานอยู่ด้วยภาษา คำศัพท์ มาตรวัด พฤติกรรม มุมมอง และกระบวนการของตัวเอง และ 3) เป็นเหมือนที่รวมของกิจกรรมที่จะต้องทำในชั้นสูงสุดของพิมพ์เขียวธุรกิจ ชั้นที่ 1 ชั้นยุทธศาสตร์ แบบจำลองในชั้นยุทธศาสตร์จะแสดงถึงสิ่งต่าง ๆ ที่การดำเนินงานของผู้บริหารสนใจ เช่น CEO หรือ ผู้บริหารระดับสูงที่ใหญ่มากพอที่จะสร้างสรรค์ยุทธศาสตร์และดำเนินการยุทธศาสตร์    

.

แบบจำลองในชั้นนี้จะต้องให้รายละเอียดที่ผู้บริหารระดับสูงสนใจ ช่วยให้ผู้บริหารมีความเข้าใจในเนื้อหาและผลกระทบของกระบวนภารธุรกิจและเทคโนโลยี และในขณะเดียวกันก็จะทำให้ผู้บริหารมีความมั่นใจว่าการดำเนินงานในระดับปฏิบัติการสอดคล้องกับวัตถุประสงค์ขององค์กรหรือไม่

.

ในชั้นที่ 2 ของพิมพ์เขียวธุรกิจ คือ ชั้นกระบวนการ (Process Layer) จะประกอบไปด้วยแบบจำลองสำหรับผู้จัดการธุรกิจในเชิงปฏิบัติการ แบบจำลองจะแสดงให้เห็นถึงกลุ่มของกิจกรรม เรื่องราวที่จะต้องทำ และกำหนดว่าองค์กรจะสร้างสรรค์คุณค่าได้อย่างไร องค์กรจะให้บริการลูกค้าอย่างไร จะปฏิบัติต่อผู้ค้าและพันธมิตรอย่างไร

.

ในชั้นที่ 3 ของพิมพ์เขียวธุรกิจ คือ ชั้นซอฟต์แวร์ประยุกต์ (Application Layer) ในกระบวนการธุรกิจที่คนทั่วไปที่อยู่ในกระบวนการธุรกิจก็จะใช้คอมพิวเตอร์และซอฟต์แวร์ประยุกต์ในการทำงานในกระบวนการธุรกิจนั้น ๆ แบบจำลองในชั้นซอฟต์แวร์ประยุกต์นี้จะมีคนอยู่สองประเภท คือ คนที่ปฏิบัติงานอยู่ในกระบวนการธุรกิจ 

.

เพราะว่าพวกเขาต้องการที่จะรู้ว่าซอฟต์แวร์ประยุกต์จะช่วยพวกเขาทำงานได้หรือไม่ แล้วอีกกลุ่มคน คือ กลุ่มคนที่เขียนซอฟต์แวร์ประยุกต์เพื่อสนับสนุนคนเหล่านี้ที่ปฏิบัติงานในกระบวนการธุรกิจ   

.

ที่จริงแล้วชั้นที่ 2 และ 3 นั้นมีความใกล้เคียงกันมาก แต่ก็มีอยู่ 2 เหตุผลที่ต้องแยกออกจากกัน คือ คนสองกลุ่มนี้มีการสื่อสารที่แตกต่างกัน ดังนั้นแบบจำลองของแต่ละแบบจำลองก็เลยพุ่งเป้าไปที่แต่ละกลุ่มคน ส่วนอีกเหตุผลหนึ่ง คือ ความยืดหยุ่นและความสม่ำเสมอในเชิงการดำเนินงาน มันเป็นเรื่องที่สำคัญมากที่กระบวนการธุรกิจไม่ควรที่จะผูกติดไปกับซอฟท์แวร์ประยุกต์ที่นำมาใช้งาน

.

กลุ่มคนในธุรกิจควรจะสามารถเปลี่ยนกระบวนการธุรกิจได้ตามความต้องการของการเปลี่ยนแปลงทางธุรกิจ กลุ่มคนทางด้านเทคโนโลยีเองก็จะต้องสนับสนุนการเปลี่ยนแปลงนี้ แต่พวกเขาก็ต้องรับผิดชอบต่อการปรับเทคโนโลยีให้เหมาะสม

.

ในชั้นที่ 4 ของพิมพ์เขียวธุรกิจ เป็นชั้นที่ทั้ง คน ข้อมูลสารสนเทศ และซอฟต์แวร์ประยุกต์ จะต้องอาศัยอยู่ นั่น คือ โครงสร้างพื้นฐาน (Infrastructure) แสดงให้เห็นถึงสิ่งต่าง ๆ เชิงกายภาพที่องค์กรใช้ทำในสิ่งต้องการจะทำและการบริการด้วย

.

ซึ่งคนและซอฟท์แวร์ประยุกต์จะต้องอาศัยโครงสร้างพื้นฐานนี้ในการดำเนินงาน สิ่ง ๆ ต่าง ๆ ทางการภาพนี้ในโครงสร้างพื้นฐาน คือ คอมพิวเตอร์ ฐานข้อมูล โครงข่าย การเชื่อมต่อการสื่อสาร และเครื่องจักรทางกายภาพต่าง ๆ ผู้ที่รับผิดชอบในชั้นนี้ คือ CIO, CTO, ผู้จัดการ IT การลงทุนขององค์กรในด้าน IT จะอยู่ในชั้นนี้

.
สรุป

แต่ละชั้นของพิมพ์เขียวธุรกิจจะมีกลุ่มของกิจกรรมต่าง ๆ ที่มี มาตรวัด ผู้รับผิชอบกระบวนการและพฤติกรรมของกระบวนการ สิ่งที่ท้าทายของพิมพ์เขียวธุรกิจ คือ การสร้างความเข้าใจในสิ่งที่เชื่อมต่อกันว่าเชื่อมต่อกับอะไร ที่ไหน เมื่อไรอย่างไร และเป็นต้นทุนเท่าไร

.

พิมพ์เขียวธุรกิจทำให้เราสามารถที่จะเห็นได้ทั่วถึงองค์กรและตรวจสอบย้อนกลับได้สำหรับความเชื่อมต่อต่าง ๆ ในองค์กร เหมือนเราเป็นช่างซ่อมเครื่องจักรอะไรก็ตามจะต้องแผนผังวงจรในการซ่อมแซมเครื่องจักรนั้น แล้วองค์กรล่ะมีมูลค่ามากกว่าเครื่องจักรมากมายนัก ทำไมถึงไม่มี !

สงวนลิขสิทธิ์ ตามพระราชบัญญัติลิขสิทธิ์ พ.ศ. 2539 www.thailandindustry.com
Copyright (C) 2009 www.thailandindustry.com All rights reserved.

ขอสงวนสิทธิ์ ข้อมูล เนื้อหา บทความ และรูปภาพ (ในส่วนที่ทำขึ้นเอง) ทั้งหมดที่ปรากฎอยู่ในเว็บไซต์ www.thailandindustry.com ห้ามมิให้บุคคลใด คัดลอก หรือ ทำสำเนา หรือ ดัดแปลง ข้อความหรือบทความใดๆ ของเว็บไซต์ หากผู้ใดละเมิด ไม่ว่าการลอกเลียน หรือนำส่วนหนึ่งส่วนใดของบทความนี้ไปใช้ ดัดแปลง โดยไม่ได้รับอนุญาตเป็นลายลักษณ์อักษร จะถูกดำเนินคดี ตามที่กฏหมายบัญญัติไว้สูงสุด