News & Movement

คณะวิศวกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยศรีปทุม เยี่ยมชมโชว์รูมเครื่องฉีดพลาสติกไห่เทียน

          ผศ.ชวลิต มณีศรี และคณะอาจารย์ นำนักศึกษา คณะวิศวกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยศรีปทุม ฟังบรรยายความรู้ และเยี่ยมชมกระบวนการทำงานของเครื่องฉีดพลาสติก ยี่ห้อ ไห่เทียน โดยมี โจ จันทร์ล้วน ผู้อำนวยการฝ่ายขาย บริษัท เอสพี อินเตอร์แมค จำกัด เป็นวิทยากร ให้การต้อนรับและนำชม ณ โชว์รูมไห่เทียน ถนนมอเตอร์เวย์

 

ABC ร่วมกับ สภากาชาดไทย บริจาคโลหิตเพื่อการกุศล

          บริษัท แอสเซท ไบร์ท จำกัด (มหาชน) หรือ ABC ร่วมกับ ศูนย์บริการโลหิตแห่งชาติ สภากาชาดไทย เปิดบูธรับบริจาคโลหิต โดยมี คุณพีรวัส  ธนภูติ  ผู้ช่วยผู้อำนวยการฝ่ายอสังหาริมทรัพย์ (ตรงกลาง) และพนักงานเชิญชวนผู้มีจิตศรัทธา และประชาชนทั่วไปร่วมบริจาคโลหิตเพื่อนำไปช่วยเหลือชีวิตผู้ป่วยในยามฉุกเฉินตามโรงพยาบาลต่าง ๆ ทั่วประเทศ  ณ อาคาร ABC WORLD  บริเวณห้องโถงชั้น 1 เมื่อเร็ว ๆ นี้

 

ซัมมิทวางยุทธศาสตร์ ปักธงเปิดสาขารับความต้องการลูกค้าในภูเก็ต

          นายวิชิต พยุหนาวีชัย (กลาง) ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ซัมมิท แคปปิตอล ลีสซิ่ง จำกัด นำทัพรุกตลาดภาคใต้อย่างต่อเนื่อง วางยุทธศาสตร์สร้างการบริการให้สอดคล้องกับการเจริญเติบโตของธุรกิจ การเข้าถึงลูกค้า และการให้บริการที่ดี ปักธงเปิดศูนย์บริการสินเชื่อเช่าซื้อรถจักรยานยนต์แห่งใหม่ใน จ.ภูเก็ต หลังเข้าสำรวจความต้องการของลูกค้าในปีที่ผ่านมาและพบว่าลูกค้าในพื้นที่มีความต้องการใช้บริการสินเชื่อเช่าซื้อรถจักรยานยนต์ สูงเป็นอันดับที่ 3 ในพื้นที่ภาคใต้ โดยปัจจุบันมียอดสินเชื่อใหม่รวมกว่า 52 ล้านบาท และได้เปิดให้บริการอย่างเป็นทางการเมื่อเร็วๆนี้ โดยที่ทำการสาขาตั้งอยู่ ณ ต.เกาะแก้ว อ.เมืองภูเก็ต จ.ภูเก็ต

 

ร่วมส่งเสริมอุตสาหกรรมอากาศยาน

          นายภานุวัฒน์ ตริยางกูรศรี ผู้อำนวยการสำนักพัฒนาอุตสาหกรรมสนับสนุน (สพส.) พร้อมด้วยคณะเจ้าหน้าที่เข้าพบ กัปตันมนตรี จำเรียง รองกรรมการผู้อำนวยการใหญ่สายกลยุทธ์องค์กรและพัฒนาอย่างยั่งยืน บริษัท การบินไทย จำกัด (มหาชน) เพื่อร่วมหารือแนวทางการส่งเสริมอุตสาหกรรมอากาศยาน รวมไปถึงแนวทางการขับเคลื่อนโครงการ Eastern Economic Corridor (EEC) ร่วมกัน ณ อาคาร 5 ชั้น 29 บริษัท การบินไทย จำกัด (มหาชน) สำนักงานใหญ่

อีตั้นจับมือเดอะแวลลูซิสเตมส์บุกตลาดเครื่องสำรองไฟฟ้าเพื่อเซิร์ฟเวอร์ในไทย

          บริษัท อีตั้น อิเล็คทริค (ประเทศไทย) จำกัด โดย คุณพิชัย สุทธิจินตทิพย์ (ที่ 2 จากขวา) ผู้อำนวยการระดับภูมิภาคเอเชียตะวันออกส่วนกลาง จับมือกับพันธมิตรใหม่ บริษัท เดอะแวลลูซิสเตมส์ จำกัด โดย คุณสมศักดิ์ เพ็ชรทวีพรเดช (ตรงกลาง) ประธานกรรมการบริหาร บุกตลาดเครื่องสำรองไฟฟ้าสำหรับเซิร์ฟเวอร์ โดยมีการเซ็นสัญญาและรับมอบเอกสารแต่งตั้งตัวแทนอย่างเป็นทางการแล้ววันนี้ (11 พ.ย. 2559) พร้อมด้วยสักขีพยานจากทั้งสองบริษัท อันได้แก่ คุณศศิฉาย ฉายงาม (ที่ 2 จากซ้าย) ผู้ช่วยผู้อำนวยการฝ่ายขายและการตลาด บริษัท เดอะแวลลูซิสเตมส์ จำกัด, คุณดุษฎี ทองไทย (ขวาสุด) ผู้จัดการฝ่ายขายภูมิภาคเอเชียตะวันออกส่วนกลางและ คุณปริญญา พงษ์รัตนกูล (ซ้ายสุด) ผู้จัดการประจำประเทศไทย บริษัท อีตั้น อิเล็คทริค (ประเทศไทย) จำกัด

กสอ. ดันเชียงใหม่สู่เมืองสตาร์ทอัพ

          นายพสุ โลหารชุน อธิบดีกรมส่งเสริมอุตสาหกรรม กระทรวงอุตสาหกรรม (คนที่ 5 จากขวา) และ นายพรเทพ การศัพท์ รองอธิบดีกรมส่งเสริมอุตสาหกรรม (คนที่ 4 จากขวา)ลงพื้นที่เยี่ยมชมต้นแบบผู้ประกอบการกลุ่มสตาร์ทอัพ พร้อมแถลงเปิดยุทธศาสตร์การพัฒนาจังหวัดเชียงใหม่สู่เมืองสตาร์ทอัพ หรือ Start Up District ในอนาคต โดยมุ่งเน้นสนับสนุนการพัฒนาในด้านผลิตภาพ การเข้าถึงแหล่งเงินทุน ฯลฯ ซึ่งกิจกรรมดังกล่าวจัดขึ้นเมื่อเร็ว ๆ นี้ ณ เชียงใหม่ เมคเกอร์ คลับ ถนนอารักษ์ อำเภอเมือง จังหวัดเชียงใหม่

อุตฯ เร่งยกระดับผู้ประกอบการ SMEs ภาคอีสาน สู่ยุคอุตสาหกรรม 4.0

          ดร.อรรชกา สีบุญเรือง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม (คนกลาง) พร้อมด้วย นางวารี จันทร์เนตร เลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรงอุตสาหกรรม (คนที่ 3 จากซ้ายมือ) นายกอบชัย สังสิทธิสวัสดิ์ รองปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม (คนที่ 2 จากขวามือ) และ นายพงศ์ศักดิ์ ปรีชาวิทย์ ผู้ว่าราชการจังหวัดขอนแก่น (คนที่ 3 จากขวามือ) ร่วมเปิดงาน “มหกรรมวันนัดพบผู้ประกอบการภาคอีสานตอนกลาง” เพื่อยกระดับศักยภาพผู้ประกอบการ SMEs และ OTOP ให้มีความพร้อมกับการก้าวสู่ยุคอุตสาหกรรม 4.0 นอกจากนี้ยังมีการออกบูธการให้บริการในด้านต่างๆ ของกระทรวงอุตสาหกรรมและหน่วยงานเครือข่าย อาทิ มาตรการการช่วยเหลือด้านการเงิน ภารกิจและแนวทางในการสนับสนุน SMEs เป็นต้น พร้อมด้วยการสัมมนาและปาฐกถาพิเศษในหัวข้อ “พลิกธุรกิจ สู่ยุคอุตสาหกรรม 4.0 และ SME 4.0” ซึ่งกิจกรรมดังกล่าวจัดขึ้น ณ ห้องคอนเวนชั่น 1-2 โรงแรมอวานี ขอนแก่น โฮเทล แอนด์ คอนเวนชั่น เซ็นเตอร์ 

โชว์ผลงานพลาสติกชีวภาพผสมข้าวเสื่อมสภาพ

          ดร.พสุ โลหารชุน อธิบดีกรมส่งเสริมอุตสาหกรรม พร้อมด้วยทีมวิจัยจากสำนักพัฒนาอุตสาหกรรมสนับสนุน (สพส.) นำผลงานวิจัยการพัฒนาพลาสติกชีวภาพผสมข้าวเสื่อมสภาพ โดยการผสมและบดเป็นเนื้อเดียวกันในเครื่องอัดรีดสกรูคู่ เข้าแสดงในงาน นิทรรศการวิชาการโรงเรียนนายร้อยพระจุลจอมเกล้า 2559 พร้อมด้วยนวัตกรรมเพื่อประโยชน์ในการบำบัดน้ำเสียด้วยเทคโนโลยีฟองอากาศระดับอนุภาค เพื่อให้อาจารย์และนักศึกษา ตลอดจนผู้ที่สนใจทั่วไปได้นำไปประยุกต์ใช้ในการแก้ไขปัญหาต่างๆ อันเป็นประโยชน์ต่อประเทศชาติต่อไป โดยมีหน่วยงานจากภาครัฐและเอกชนกว่า 37 องค์กรเข้าร่วม ณ หอสมุด โรงเรียนนายร้อยพระจุลจอมเกล้า จังหวัดนครนายก

ผู้บริหารและพนักงานซีเกท เทพารักษ์ร่วมงาน “รวมพลังแห่งความภักดี”

          ปัญญา สกุลรัตนกุลชัย ผู้อำนวยการฝ่ายการผลิต โรงงานเทพารักษ์ บริษัท ซีเกท เทคโนโลยี (ประเทศไทย) จำกัด (กลาง) พร้อมคณะผู้บริหารและพนักงานซีเกท เทพารักษ์ ร่วมงาน รวมพลังแห่งความภักดี โดยมีการถวายสัตย์ปฏิญาณตนแสดงความจงรักภักดีต่อพระมหากษัตริย์ทุกพระองค์ในพระบรมราชจักรีวงศ์ และร่วมร้องเพลงสรรเสริญพระบารมีเพื่อน้อมเกล้าน้อมกระหม่อมถวายพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพล อดุลยเดช ในโอกาสวันคล้ายวันพระราชสมภพ ปีที่ 89 ซึ่งจะมีขึ้นในวันที่ 5 ธันวาคม ศกนี้

โสสุโก้ ร่วมงาน TOP THAI BRANDS 2016

          ชัยวัฒน์ กฤตนันท์ (ที่ 1 จากซ้าย) ผู้ช่วยผู้จัดการส่วนขายต่างจังหวัด  รัฐศิริ ศิริสุข (ที่ 4 จากซ้าย) ผู้จัดการแผนกออกแบบส่งเสริมการขายโชว์รูม พร้อมด้วย พฤธิรัตน์ กนกศรีสวัสดิ์ (ที่ 3 จากซ้าย) พนักงานขายต่างประเทศ ตัวแทนจากบริษัท โสสุโก้ แอนด์ กรุ๊ป (2008) จำกัด ผู้ดำเนินการตลาดและการขายกระเบื้องเซรามิกปูพื้นและบุผนัง ตราโสสุโก้ ให้การต้อนรับ จิรวุฒิ สุวรรณอาจ (ที่ 2 จากซ้าย) อัครราชทูตที่ปรึกษาฝ่ายการพาณิชย์ กรุงพนมเปญ ประเทศกัมพูชา เข้าเยี่ยมชมบูธกระเบื้องโสสุโก้ ในงานแสดงสินค้า TOP THAI BRANDS 2016 สุดยอดแบรนด์ไทย ก้าวไกลสู่สากล ณ ประเทศกัมพูชา

ยิบอินซอย ร่วมเสวนา ความได้เปรียบขององค์กรด้วยมาตรฐานอาชีพ

           คุณแววรัตน์ ชำนาญภักดี ผู้อำนวยการสายงานบุคคลและประชาสัมพันธ์ บริษัท ยิบอินซอย จำกัดและบริษัทในเครือ คุณปิยะนุช สัมฤทธิ์ ผู้บริหารบริษัท นิ่มซี่เส็งขนส่ง 1988 จำกัด อ.สุวิช นุกุลสุขศิริ ผู้เชี่ยวชาญมาตรฐานอาชีพสาขาวิชาชีพบริหารงานบุคคล และ คุณสุรเชษฐ์ ทองบุญล้อม ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่ ภาคใต้ เครือเบทาโกงาน ร่วมเป็นวิทยากรในงานเสวนา ความได้เปรียบขององค์กรด้วยมาตรฐานอาชีพ เพื่อนำเสนอโอกาสที่เพิ่มขึ้นและความได้เปรียบในการทำธุรกิจเมื่อสนับสนุนให้พนักงานของบริษัทปรับคุณวุฒิตามมาตรฐานอาชีพ โดยวิทยากรแต่ละท่านนำแนวคิดและการปฏิบัติจริง พร้อมประโยชน์ที่ได้รับมาร่วมแชร์ประสบการณ์กับผู้เข้าร่วมงาน งานเสวนาครั้งนี้เป็นส่วนหนึ่งของงาน เจาะลึกมาตรฐานอาชีพ บันไดสู่ความก้าวหน้าในอาชีพ ซึ่งจัดขึ้นโดยสถาบันคุณวุฒิวิชาชีพ (องค์การมหาชน) ณ ศูนย์ประชุมนานาชาติฉลองสิริราชสมบัติครบ 60 ปี มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ วิทยาเขตหาดใหญ่ จังหวัดสงขลา

ดาว ประเทศไทย ร่วมกับกนอ. และผู้ประกอบการโรงงาน รวมพลังรักษ์ชายหาดระยอง เก็บขยะเนื่องในวันอนุรักษ์ชายฝั่งสากล

          กลุ่มบริษัท ดาว ประเทศไทย นำโดย เฮนรี่ หลิง ผู้อำนวยการโรงงาน และอาสาสมัครของบริษัท จำนวนประมาณ 800 คน รวมพลังกับองค์กรอนุรักษ์ท้องทะเล (Ocean Conservancy) เก็บขยะในกิจกรรมวันอนุรักษ์ชายฝั่งสากล ครั้งที่ 14 (International Coastal Cleanup Day) ในการนี้มีอาสาสมัครจากกลุ่มผู้ประกอบการโรงงานอุตสาหกรรมในนิคมอุตสาหกรรมมาบตาพุดและบ้านฉาง และสถาบันการศึกษารวม 26 แห่ง รวมทั้งสิ้น 3,140 คน ร่วมทำความสะอาดเก็บขยะบนชายหาด ณ บริเวณหาดน้ำริน-พยูน และหาดแม่รำพึง จังหวัดระยอง รวมระยะทาง 11.5 กิโลเมตร โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อส่งเสริมการสร้างจิตสำนึกในการรักษาความสะอาดชายฝั่งทะเล รวมไปถึงการป้องกันไม่ให้เกิดขยะในท้องทะเลที่อาจคุกคามสุขภาวะของมนุษย์และสัตว์น้ำ ในปีนี้อาสาสมัครสามารถเก็บขยะได้กว่า 1 แสนชิ้น รวมน้ำหนักทั้งสิ้นกว่า 9,100 กิโลกรัม ซึ่งกิจกรรมดังกล่าวสะท้อนถึงความมุ่งมั่นที่ดาวให้ความสำคัญต่อเป้าหมายเพื่อความยั่งยืน พ.ศ.2568 ข้อหนึ่งที่ระบุว่าจะนำศักยภาพพนักงานของดาวทั่วโลกมาใช้เพื่อช่วยให้เกิดผลด้านบวกต่อชีวิตของผู้คน 1 พันล้านคน

คอร์เบียน ผู้นำด้านพลาสติกชีวภาพ จากประเทศเนเธอร์แลนด์ จัดพิธีวางศิลาฤกษ์โรงงานแห่งใหม่ที่ระยอง

          ดร.อรรชกา  สีบุญเรือง (กลาง) รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม เป็นประธานในพิธีวางศิลาฤกษ์โรงงานผลิต PLA หรือผลิตภัณฑ์พลาสติกชีวภาพ พร้อมด้วย Mr. Tjerk de Ruiter (ที่ 4 จากซ้าย) ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร กลุ่มบริษัท คอร์เบียน โดยมี นายสุรศักดิ์  เจริญศิริโชติ (ที่ 3 จากขวา) ผู้ว่าราชการจังหวัดระยอง นายโชคดี แก้วแสง (ที่ 2 จากซ้าย) รองเลขาธิการสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน Mr. Guillaume Teerling (ที่ 3 จากซ้าย) รองเอกอัครราชทูตเนเธอร์แลนด์ ประจำประเทศไทย และ นางสาวสุลี  จิตรวะรัตนา (ซ้ายสุด) ผู้ช่วยผู้ว่าการ การนิคมอุตสาหกรรม แห่งประเทศไทย พร้อมด้วยแขกผู้มีเกียรติจากหน่วยงานของรัฐและเอกชน ร่วมแสดงความยินดีในงานพิธีวางศิลาฤกษ์ ที่ อ.บ้านฉาง จ.ระยอง

ปลัดกระทรวงวิทย์ฯ เป็นประธาน ในพิธีแถลงข่าวความร่วมมือระหว่างองค์การพิพิธภัณฑ์วิทยาศาสตร์แห่งชาติและซีเกท ประเทศไทย

          รศ.นพ.สรนิต ศิลธรรม ปลัดกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี (แถวยืน กลาง) เป็นประธานในพิธีแถลงข่าว ความร่วมมือในโครงการส่งเสริมการศึกษาด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ปีที่ 2 ระหว่างองค์การพิพิธภัณฑ์วิทยาศาสตร์แห่งชาติและซีเกท ประเทศไทย โดยมี นางกรรณิการ์ วงศ์ทองศิริ รองผู้อำนวยการ รักษาการแทนผู้อำนวยการองค์การพิพิธภัณฑ์วิทยาศาสตร์แห่งชาติ (อพวช.) (แถวยืน ขวา) และนายนรเชษฐ์ แซ่ตั้ง ผู้จัดการฝ่ายปฏิบัติการ โรงงานเทพารักษ์ บริษัท ซีเกท เทคโนโลยี (ประเทศไทย) จำกัด (แถวยืน ซ้าย) ร่วมในพิธี เมื่อเร็ว ๆ นี้

เนอวานา เปิดตัว แอทเวิร์ค รามอินทรา (@WORK RAMINTRA) โฮมออฟฟิศแห่งใหม่ บนถนนรามอินทรา

          นายศรศักดิ์ สมวัฒนา ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เนอวานา ดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด (คนกลาง) พร้อมด้วยคณะผู้บริหาร จัดงานแถลงข่าวเปิดตัวโครงการใหม่ล่าสุด เนอวานา แอทเวิร์ค รามอินทรา (NIRVANA @WORK RAMINTRA) โฮมออฟฟิศแห่งแรงบันดาลใจ ด้วยดีไซน์ที่แตกต่าง และฟังก์ชันทันสมัย บนทำเลแห่งอนาคตย่านรามอินทรา ติดถนนใหญ่ ใกล้รถไฟฟ้า ในราคาเริ่มต้นที่ 14.2 ล้านบาท พร้อมรองรับกลุ่มผู้ประกอบการรุ่นใหม่ที่อยากมีออฟฟิศบนที่ดินตัวเองโดยไม่ต้องเช่า ทั้งนี้ได้เปิดโครงการให้คณะสื่อมวลชนได้เข้าร่วมเยี่ยมชมแบบเจาะลึก ณ โครงการเนอวานา แอทเวิร์ค รามอินทรา กม.2 เมื่อเร็ว ๆ นี้

อบรมอุตสาหกรรมยานยนต์ญี่ปุ่น

          ทีมวิศวกรจากสำนักพัฒนาอุตสาหกรรมสนับสนุน กรมส่งเสริมอุตสาหกรรม เข้าอบรมโครงการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ด้านอุตสาหกรรมยานยนต์ เพื่อศึกษาและทดสอบยางล้อยานยนต์พลังงานไฮโดรเจน และระบบชาร์จไฟยานยนต์ไฟฟ้า รวมถึงสาธิตการทดสอบชน และชมห้องปรับแต่งหุ่นทดสอบ ฯลฯ เพื่อนำความรู้และเทคโนโลยีมาพัฒนาภาคอุตสาหกรรมในประเทศ รองรับการจัดตั้งศูนย์ทดสอบยานยนต์และยางล้อแห่งชาติในอนาคต ณ เมืองชิโรซาโตะ (Shirosato) และเมืองซูกูบะ (Tsukuba) ประเทศญี่ปุ่น

เอปสันรุกวงการรถสูตรหนึ่ง ส่งแว่นตาอัจฉริยะ Moverio เปิดประสบการณ์รับชมเสมือนจริง

          เอปสัน นำแว่นตาอัจฉริยะ Moverio สร้างมิติใหม่ในการชมการแข่งขันรถสูตรหนึ่ง หลังเปิดโอกาสให้ผู้เข้าชมศูนย์ควบคุมของทีมเมอร์ซิเดส เอเอ็มจี ปิโตรนาส ฟอร์มูล่าวัน ระหว่างการแข่งขันรายการ 2016 Fomular 1 Singapore Grand Prix ได้มีโอกาสสัมผัสประสบการณ์สุดพิเศษ โดยใช้ Moverio เพื่อดูข้อมูลในรูปแบบ AR (Augmented Reality) ทั้งสถิติการแข่งรถของนักแข่ง ข้อมูลรายละเอียดของรถแข่ง การปฏิบัติงานของเจ้าหน้าที่วิศวกร และเหตุการณ์ที่จุดพิตสต็อป ไปจนถึงข้อมูลต่าง ๆ เกี่ยวกับการแข่งขันที่ปรากฏบนโซเชียลมีเดีย ซึ่งสร้างความตื่นเต้นเหมือนได้เข้าไปชมในสนามการแข่งขันจริง

เอบีบี ร่วมงาน EECON39

          เอบีบี ร่วมออกบูธงานประชุมวิชาการทางวิศวกรรมไฟฟ้าครั้งที่ 39 (EECON39) ซึ่งจัดขึ้นในระหว่างวันที่ 2-4 พฤศจิกายน 2559 ณ โรงแรมเดอะ รีเจ้นท์ ชะอำบีช รีสอร์ท จังหวัดเพชรบุรี โดยครั้งนี้ คุณชัยยศ ปิยะวรรณรัตน์ Managing Director เอบีบีประเทศไทย เมียนมา ลาวและกัมพูชา (คนที่ 4 จากขวา) ได้รับเกียรติให้เป็นผู้บรรยายในหัวข้อเรื่อง Big Shift in Power-Shaping the System of the Future ให้กับผู้เข้าร่วมสัมมนา พร้อมกันนี้ทางคณะผู้บริหารและทีมงานได้ร่วมต้อนรับ ศาสตราจารย์ ดร.บัณฑิต เอื้ออาภรณ์ อธิการบดีจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย (คนที่ 4 จากซ้าย) และตัวแทนคณาจารย์จากมหาวิทยาลัยชั้นนำในโอกาสมาเยี่ยมชมบูธของทางบริษัท

เอบีบี ร่วมสนับสนุนงาน CEPSI 2016

          คุณชัยยศ ปิยะวรรณรัตน์ Managing Director เอบีบีประเทศไทย เมียนมา ลาวและกัมพูชา (กลางขวา) ร่วมต้อนรับ พลอากาศเอก ดร.ประจิน จั่นตอง รองนายกรัฐมนตรี (กลางซ้าย) ประธานการเปิดงาน ในโอกาสเยี่ยมชมนวัตกรรมและเทคโนโลยีทางด้านพลังงานที่บูธเอบีบีในงาน CEPSI 2016 ณ Convention center ชั้น 22 โรงแรม Centara Grand at Central World โดยได้ร่วมชิมกาแฟลาเต้อาร์ตจากบาริสต้า YuMi® แขนกลอัจฉริยะจากเอบีบีที่สามารถทำงานร่วมกับมนุษย์ได้ พร้อมกันนี้ทางตัวแทนเอบีบียังได้รับเกียรติให้เป็นตัวแทนบรรยายในเรื่องเกี่ยวกับ Smart Grid และการใช้พลังงานทางเลือกในอนาคตอย่างมีประสิทธิภาพให้กับผู้เข้าร่วมฟังการบรรยายทางวิชาการในงานอีกด้วย

ซีเกท เทคโนโลยี ต้อนรับนิสิตนักศึกษาที่มาเยี่ยมชมการทำงาน

          บริษัท ซีเกท เทคโนโลยี (ประเทศไทย) จำกัด นำโดย นายนรเชษฐ์ แซ่ตั้ง ผู้จัดการฝ่ายปฏิบัติการ โรงงานเทพารักษ์ (แถวที่ 2 กลาง) ให้การต้อนรับนิสิตนักศึกษาชั้นปีที่ 4 สาขาวิทยาศาสตร์และวิศวกรรมศาสตร์ จากสถาบันการศึกษาทั่วประเทศ ที่ได้รับทุนการศึกษาจากหอการค้าอเมริกันในประเทศไทย (AMCHAM) เนื่องในโอกาสเข้าศึกษาดูงาน ณ โรงงานซีเกท เทพารักษ์ จ.สมุทรปราการ เมื่อเร็ว ๆ นี้

ผู้บริหาร เครือโอซีเอส รับรางวัลผู้ให้บริการ งานบริหารจัดการอาคาร

          นายบุญเกียรติ วิสิทธิกาศ (ขวาสุด) ผู้อำนวยการงานบริหารจัดการอาคารแบบครบวงจร (TFM) บริษัท รักษาความปลอดภัย พีซีเอส และฟาซิลิตี้ เซอร์วิสเซส จำกัด รับรางวัล TFMA Dedicated 2016 Award ในฐานะเป็นบริษัทชั้นนำด้านการรักษาความปลอดภัยและการบริหารจัดการอาคารแบบครบวงจรจาก BMAM Expo Asia 2016 และสมาคมวิชาชีพการบริหารทรัพยากรอาคาร โดยมี มร.เซบาสเตียน พาวเวอร์ (ที่ 4 จากซ้าย)  รองกรรมการผู้จัดการ สายงานปฏิบัติการ และ มร.แมทเธียส ฮอฟริชเตอร์ (ที่ 3 จากซ้าย) ผู้อำนวยการฝ่ายพัฒนาธุรกิจ บริษัท รักษาความปลอดภัย พีซีเอส และ ฟาซิลิตี้ เซอร์วิสเซส จำกัด เครือโอซีเอส กรุ๊ป จากอังกฤษ มร.แมททิว รีส (ที่2 จากขวา) ผู้บริหารฝ่ายอาคาร โรงเรียนนานาชาติฮาร์โรว์ ร่วมเป็นเกียรติในงาน ณ ห้องฟินิกซ์ 1-2 ศูนย์แสดงสินค้าและการประชุม อิมแพ็ค เมืองทองธานี

ฟูจิ ซีร็อกซ์ ร่วมสนับสนุนโครงการ วาดเขียน เรียนศิลป์ เด็กไทยหัวใจศิลปะ (Season 6)

          นายโคจิ เทสึกะ ประธาน บริษัท ฟูจิ ซีร็อกซ์ (ประเทศไทย) จำกัด (ที่ 2 จากขวา) ร่วมสนับสนุนการจัดกิจกรรม SAM for All คิดดี ทำดี ไม่มีข้อจำกัด ในโครงการ วาดเขียน เรียนศิลป์ เด็กไทยหัวใจ ศิลปะ (Season 6) ซึ่งจัดขึ้นโดยบริษัทบริหารสินทรัพย์สุขุมวิท จำกัด (SAM) โดยวัตถุประสงค์ของโครงการ คือการส่งเสริมการศึกษางานด้านศิลปะ อันเป็นปัจจัยและพื้นฐานสำคัญที่จะทำให้เด็กๆ ซึ่งเป็นอนาคตของชาติได้พัฒนาความรู้ ความคิดในเชิงสร้างสรรค์ มาเป็นแรงบันดาลใจในการดำเนินชีวิต สอดคล้องกับนโยบายกิจกรรมตอบแทนสังคม (CSR) เพื่อเด็ก ๆ ที่ทางฟูจิ ซีร็อกซ์ ให้ความสำคัญมาอย่างต่อเนื่อง โดยในปีนี้มีน้องๆ เยาวชนอายุตั้งแต่ 6-12 ปี เข้าร่วมโครงการจำนวน 60 คน กิจกรร มจัดขึ้น ณ อาคารซันทาวเวอร์เอ ถ.วิภาวดีรังสิต

สตีเบล เอลทรอน พาผู้โชคดีบินลัดฟ้าไปประเทศเยอรมนี

          นายพัลลภ เชี่ยวชาญวิทยเวช ผู้อำนวยการฝ่ายขายและการตลาด บริษัท สตีเบล เอลทรอน เอเซีย, ส่งผู้โชคดีทั้ง 6 ท่านจากแคมเปญ ‘อาบไออุ่น ลุ้นเที่ยวเยอรมันปีที่ 3’ บินลัดฟ้าตะลุย 9 แหล่งท่องเที่ยวอันโด่งดังในประเทศเยอรมนี รวมมูลค่ารางวัลทั้งหมดกว่า  4 แสนบาท ซึ่งแคมเปญดี ๆ เช่นนี้ ยังมีต่ออีกครั้งในปีนี้ สามารถติดตามข้อมูลข่าวสารของสตีเบล เอลทรอน ผู้นำด้านการผลิตเครื่องทำน้ำอุ่น เครื่องทำน้ำร้อน เครื่องกรองน้ำ และเครื่องเป่ามือ ชั้นนำจากประเทศเยอรมนี ได้ที่ www.facebook.com/stiebeleltronasia หรือ http://www.stiebeleltronasia.com

อินเตอร์ลิ้งค์คว้างานใหญ่ 500 ล้าน

          นายสมบัติ อนันตรัมพร ประธานกรรมการและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท อินเตอร์ลิ้งค์ คอมมิวนิเคชั่น จำกัด (มหาชน) นายพิเชฐ ศรีสวัสดิ์ รองผู้ว่าการวิศวกรรม และ นายปิยะพจน์ รุธิรโก รองผู้ว่าการก่อสร้างและบริหารโครงการ การไฟฟ้าส่วนภูมิภาค ลงนามในสัญญาจ้างเหมาก่อสร้างสถานีไฟฟ้าระบบ 115-22 เควี นิคมอุตสาหกรรมภาคเหนือ 2, 3 และสถานีไฟฟ้าลำปาง 3 รวมมูลค่างานกว่า 563 ล้านบาท ณ การไฟฟ้าส่วนภูมิภาค สำนักงานใหญ่

ผู้บริหารดับบลิวเอชเอ คอร์ปอเรชั่น รับรางวัลบุคคลตัวอย่างในภาคธุรกิจแห่งปี 2016

          นางสาวจรีพร จารุกรสกุล (กลาง) ประธานเจ้าหน้าที่บริหารกลุ่ม บริษัท ดับบลิวเอชเอ คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน)  รับมอบรางวัลบุคคลตัวอย่างในภาคธุรกิจพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ ซึ่งจัดโดยมูลนิธิสภาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งประเทศไทย ตอกย้ำถึงการมีบทบาทสำคัญในการส่งเสริมภาคอุตสาหกรรมและบริการของประเทศไทยมาโดยตลอด โดยมีทีมผู้บริหารของดับบลิวเอชเอเข้าร่วมแสดงความยินดีในพิธีมอบรางวัลดังกล่าวด้วย

กสอ. ผนึกกำลัง 3 หน่วยงาน พร้อมจับมือ Alibaba.com ผลักดันผู้ประกอบการ SMEs ก้าวสู่ตลาด E-Commerce ระดับสากล

          ดร.สมชาย หาญหิรัญ ปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม และประธานกรรมการธนาคารพัฒนาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมแห่งประเทศไทย (คนที่ 4 จากซ้ายมือ) และ Mr.Jerry Wu, Country Manager of Alibaba Thailand (คนที่ 6 จากซ้ายมือ) ให้เกียรติร่วมเป็นสักขีพยานใน พิธีลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือการพัฒนาผู้ประกอบการ SMEs ก้าวสู่ตลาด E-Commerce ระดับสากล ระหว่าง กรมส่งเสริมอุตสาหกรรม กระทรวงอุตสาหกรรม ธนาคารพัฒนาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมแห่งประเทศไทย ธนาคารเพื่อการส่งออกและนำเข้าแห่งประเทศไทย และมหาวิทยาลัยหอการค้าไทย โดยกิจกรรมดังกล่าวจัดขึ้นเมื่อเร็ว ๆ นี้ ณ สำนักงานใหญ่ SME Bank Tower ถ.พหลโยธิน กรุงเทพฯ

แคนนอน รวมพลังพันธมิตร จัดกิจกรรมเพื่อสังคม บริจาคโลหิต ให้สภากาชาดไทย

          มร. ฮารุกิ เทราฮิระ (กลาง) ประธานบริษัทและประธานกรรมการบริหาร บริษัท แคนนอน มาร์เก็ตติ้ง (ไทยแลนด์) จำกัด พร้อมด้วยพันธมิตรอย่าง คุณคเชนทร์ กังสดาลณที (ซ้าย) Individual Channels Sales Director บริษัท บูพา ประกันสุขภาพ (ประเทศไทย) จำกัด คุณสมบูรณ์ วศินชัชวาล (ขวา) กรรมการบริหาร บริษัท นอร์ท สาธร เรียลตี้ จำกัด ผู้บริหารอาคารสารทรสแควร์ จัดกิจกรรมเพื่อสังคมและเชิญชวนคนไทยร่วมบริจาคโลหิต Canon Blood Donation Day 2016 เพื่อบริจาคโลหิตให้กับศูนย์บริการโลหิตแห่งชาติ สภากาชาดไทย ประจำปี 2559 นับเป็นครั้งที่ 5 เพื่อเป็นการสำรองโลหิตไว้ช่วยเหลือผู้ป่วยหรือผู้ประสบภัยต่าง ๆ ซึ่งเป็นกิจกรรมเพื่อสังคมที่ทางแคนนอนทำกันมาต่อเนื่องทุกปี โดยในครั้งนี้มีพนักงานของแคนนอน และผู้มีจิตสาธารณะร่วมบริจาคโลหิตจำนวนทั้งสิ้น 285 คน ณ บริเวณโถงชั้น 1 อาคารสาทร สแควร์ ออฟฟิศ ทาวเวอร์

เอ็นฟอร์ซ จับมือเทรนด์ ไมโคร นำเสนอโซลูชั่นปัองกันแรนซัมแวร์ เจาะกลุ่มลูกค้าโรงงานอุตสาหกรรม

          นายอภิสิทธิ์ จันทร์เจนจบ ผู้จัดการผลิตภัณฑ์ บริษัท เอ็นฟอร์ซ  ซีเคียว จำกัด (ขวา) และ นายโยชิโน่ โทโมยะ ผู้จัดการฝ่ายขาย บริษัท  เทรนด์ ไมโคร (ประเทศไทย) จำกัด (ซ้าย) นำเสนอโซลูชั่นเพื่อช่วยป้องกันแรนซัมแวร์ ร่วมออกบูธภายในงาน ‘Fujitsu Manufacturing Day’ ให้กับกลุ่มลูกค้าโรงงานอุตสาหกรรมได้อัพเดทข้อมูลข่าวสารและเทคโนโลยีเพื่อปกป้องระบบไอทีจากอาชญากรรมไซเบอร์ต่าง ๆ

คณะวิศวกรรมศาสตร์ สจล.ต้อนรับ FIT ประเทศญี่ปุ่น ในโอกาสเดินทางเยี่ยมชมงานวิจัยของไทย

          คณะวิศวกรรมศาสตร์ สถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหาร ลาดกระบัง (สจล.)  โดย รศ.ดร.คมสัน มาลีสี คณบดี ให้การต้อนรับ ศาสตราจารย์เรียวอิชิ มูระยาม่า คณบดีจาก สถาบันเทคโนโลยี ฟุกุโอกะ (Fukuoka Institute of Technology-FIT) ประเทศญี่ปุ่น พร้อมคณะฯ ในโอกาสเดินทางมาเยี่ยมชมห้องปฏิบัติการ และศึกษาดูงานวิจัยในประเทศไทย ณ คณะวิศวกรรมศาสตร์ สจล. ใน 4 ภาควิชา ได้แก่ ภาควิชาวิศวกรรมอาหาร ภาควิชาวิสวกรรมไฟฟ้า ภาควิชาวิสวกรรมโยธา ภาควิชาวิศวกรรมการวัดคุม ตลอดจนเตรียมจัดประชุมวิชาการและเทคโนโลยีไทย-ญี่ปุ่นร่วมกันในงานวิศวะ 60 ที่ศูนย์ประชุมไบเทคบางนา ในเดือน ตค.2560

ออมสิน สุดยอดแนวคิดพลิกธุรกิจไทย พา 10 สุดยอดทีมดูงานเตรียมความพร้อมเป็นผู้ประกอบการที่โอซาก้า

          โครงการประกวด ออมสิน สุดยอดแนวคิดพลิกธุรกิจไทยStartup Thailand by GSB พา 10 สุดยอดทีม บินตรงสู่โอซาก้า ประเทศญี่ปุ่น เพื่อเข้าร่วมโปรแกรม Outing เตรียมความพร้อมในการเป็นผู้ประกอบในอนาคต ด้วยการเปิดประสบการณ์ตรงที่เป็นประโยชน์ โดยได้ไปการดูงานพิพิธภัณฑ์บะหมี่กึ่งสำเร็จรูป The Momofuku Ando Instant Ramen Museum)-Grand Front Osaka, งานด้านการออกแบบผลิตภัณฑ์และสินค้าโอท็อป ณ ศูนย์งานหัตถกรรมเมืองเกียวโต (Kyoto Handicraft Center), งานศูนย์การออกแบบอุตสาหกรรมเมืองโอซาก้า (Osaka Design Center) และศูนย์ดูแลสนับสนุนผู้ผลิตในอุตสาหกรรมขนาดเล็กและขนาดกลาง MOBIO (Monodzukkuri Business Information Center-OSAKA) ซึ่งเยาวชนทั้ง 10 ทีมได้เติมเต็มแนวคิดธุรกิจทั้งยังได้รับคำแนะนำจากอาจารย์ ผู้ทรงคุณวุฒิจากประเทศญี่ปุ่น นับเป็นประโยชน์ต่อการเตรียมตัวทำธุรกิจให้คนรุ่นใหม่ ต่อไป

บมจ.อินเตอร์ลิ้งค์ จับมือคณะวิศวลาดกระบัง ส่งเสริมความก้าวหน้านวัตกรรมโทรคมนาคม 4.0

          คุณณัฐวุฒิ ปิ่นทองคำ ผู้จัดการฝ่ายการตลาดและสื่อสารองค์กร บมจ.อินเตอร์ลิงค์ คอมมิวนิเคชั่น จำกัด ซึ่งเป็นผู้นำระบบสัญญานสื่อสารโครงข่ายไฟเบอร์ออพติคของประเทศไทย ผนึกความร่วมมือกับ รศ.ดร.คมสัน มาลีสี คณบดี คณะวิศวกรรมศาสตร์ สถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหารลาดกระบัง (สจล.) จัดงานโครงการอบรมเชิงปฏิบัติการระบบสายสัญญาณคอมพิวเตอร์และโทรคมนาคม เพื่อให้ความรู้แก่คนรุ่นใหม่ด้านวิศวกรรมระบบสายสัญญาณ อุปกรณ์ที่ต้องใช้กับระบบสายสัญญาณโครงข่ายในประเทศและนานาประเทศ เสริมสร้างองค์ความรู้และสามารถต่อยอดนวัตกรรมการใช้งานสายสัญญาณในแนวทางใหม่ๆ ส่งเสริมศักยภาพของเยาวชนในการร่วมพัฒนาความก้าวหน้าของการสื่อสารโทรคมนาคมของชาติรองรับไทยแลนด์ 4.0 ในอนาคต โดยมีผู้เข้าร่วมอบรมจำนวนมาก

เชฟรอนร่วมสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณ ผลิตละครเทิดพระเกียรติ “ตามรอยพระราชา จากภูผาสู่มหานที”

          บริษัท เชฟรอนประเทศไทยสำรวจและผลิต จำกัด นำโดย นายไพโรจน์ กวียานันท์ ประธานกรรมการบริหาร ร่วมรำลึกในพระมหากรุณาธิคุณหาที่สุดมิได้ ในพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช ผลิตละครเทิดพระเกียรติ “ตามรอยพระราชา จากภูผาสู่มหานที” เพื่อสร้างความตระหนักรู้และสร้างแรงบันดาลใจแก่ประชาชนในการน้อมนำพระราชดำริของพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดชด้านการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมมาปฏิบัติ นำแสดงโดย อลีสญาณ์ ทอย (อลิส ทอย), ร้อยเอกณัชร นันทโพธิ์เดช ร่วมด้วย เขมนิจ จามิกรณ์, ศิวัฒน์ โชติชัยชรินทร์, พิษณุ นิ่มสกุล และ จิรายุ ละอองมณี โดยจะออกอากาศทางสถานีโทรทัศน์สีกองทัพบกช่อง 5 ในวันที่ 5 ธันวาคม นี้ เวลา 09.09 น.

สัมมนาหัวข้อ Chemical Pump High Performance ของแผนก Valve & Pump

          บริษัท นิวแม็ก จำกัด แผนก Valve & Pump ได้จัดสัมมนาลูกค้าเชิงวิชาการเกี่ยวกับ Chemical Pump High Performance ขึ้นในวันที่ 26 ตุลาคม 2559 ที่ผ่านมา ซึ่งมีลูกค้าหลากหลายให้ความสนใจเข้าร่วมการสัมมนา ในการสัมมนาครั้งนี้ได้เน้นเรื่องความรู้เกี่ยวกับ การเลือกใช้ปั๊มให้เหมาะกับความต้องการ การนำไปใช้งานจริง การแก้ปัญหาเบื้องต้น การดูแลบำรุงรักษาปั๊มให้ใช้งานได้นานที่สุด มีการแลกเปลี่ยนความรู้ และประสบการณ์การใช้งาน รวมทั้งข้อมูลทางเทคนิคต่าง ๆ กับทางวิทยากรด้วยบรรยากาศที่เป็นกันเอง ซึ่งทางบริษัทฯ ได้สร้างความมั่นใจในคุณภาพของสินค้า โดยให้ผู้เข้าร่วมสัมมนาได้ชมสินค้าและถาม/ตอบถึงปัญหาเกี่ยวกับสินค้าเพื่อแก้ไขปัญหาเฉพาะหน้า พร้อมทั้งมีการยกตัวอย่างภาพหน้างาน ที่เราได้มีการติดตั้งให้กับผู้ใช้งานไปแล้ว เพื่อให้ลูกค้าได้เห็นถึงประสิทธิภาพ และประโยชน์สูงสุด

เดลต้า อีเลคโทรนิคส์ฯ ได้รับเลือกเป็น ‘ESG100 ประจำปี 2559’ ต่อเนื่องเป็นปีที่ 2 จากสถาบันไทยพัฒน์ ตอบโจทย์การลงทุนที่ยั่งยืน

          บริษัท เดลต้า อีเลคโทรนิคส์ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) หรือ DELTA หนึ่งในผู้นำอิเล็กทรอนิกส์และนวัตกรรมไอซีทีของโลก โดย มร.เซีย เชน เยน ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ได้รับการจัดอันดับใน ‘ESG 100 Certificate ประจำปี 2559’ ต่อเนื่องเป็นปีที่ 2 จาก ดร.พิพัฒน์ ยอดพฤติการ ผู้อำนวยการ สถาบันไทยพัฒน์ โดย บมจ.เดลต้า อีเลคโทรนิคส์ (ประเทศไทย) ได้เป็น 1 ใน 100 บริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ที่มีความโดดเด่นในการดำเนินธุรกิจสู่ความยั่งยืนทั้งในด้านสิ่งแวดล้อม สังคม และธรรมาภิบาล ตลอดจนเป็นบริษัทที่มีผลการดำเนินงานเด่นในกลุ่มธุรกิจผลิตชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์/ไอซีที จำหน่ายในประเทศและส่งออกไปยังนานาประเทศ สร้างรายได้ให้ประเทศปีละกว่า 40,000 ล้านบาท

               

          มร.เซีย เชน เยน ประธานบริหาร กล่าวว่า ตลอดระยะเวลา 26 ปี เดลต้า อีเล็คโทรนิคส์ (ประเทศไทย) เป็นหนึ่งในผู้นำอิเล็กทรอนิกส์และนวัตกรรมไอซีทีของโลก มุ่งเน้นการดำเนินงานอย่างยั่งยืน การวิจัยพัฒนาผลิตภัณฑ์และเทคโนโลยีที่ก้าวล้ำ บริษัทมี 3 กลุ่มผลิตภัณฑ์หลัก ได้แก่ 1.กลุ่มผลิตภัณฑ์เพาเวอร์อิเล็กทรอนิกส์ 2.กลุ่มผลิตภัณฑ์การจัดการพลังงาน ซึ่งรวมถึงโซลาร์คอนเวอร์เตอร์และเครื่องชาร์จรถยนต์พลังงานไฟฟ้า และ 3.กลุ่มผลิตภัณฑ์สมาร์ทกรีนไลฟ์ ซึ่งประกอบด้วยจอภาพ ระบบแสดงผลและ LED ตลอดจน บริการวางแผนโซลูชั่นออโตเมชั่น แก่ธุรกิจอุตสาหกรรมต่าง ๆ สร้างงานและรายได้แก่ประเทศ ลูกค้าของเดลต้าฯ ในนานาประเทศที่เป็นองค์กรชั้นนำ อาทิ Tesla, Apple, Google, Microsoft, Dell, HP, Gateway, IBM, NEC, Fujitsu, Porche, Mercedes, Chrysler, Eaton, Daikin, Bendix, Continental, Phillips, Cisco, Sun, Hitachi, Sony, Sharp. Xerox, Samsung, Panasonic และบริษัทชั้นนำอื่น ๆ อีกมากมาย สร้างงานและรายได้แก่ประเทศ เดลต้า อีเลคโทรนิคส์ฯ ดูแลกำกับกิจการด้วยสำนึกของความรับผิดชอบต่อสังคม ประหยัดพลังงานและอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม สะท้อนให้เห็นถึงพลังความมุ่งมั่นในแนวทางสู่ความยั่งยืนขององค์กรและพนักงานกว่า 10,000 คน

          

          ก่อนหน้ารางวัลนี้ ในปี 2559 บมจ.เดลต้า อีเลคโทรนิคส์ (ประเทศไทย) ได้รับเกียรติและรางวัลจากหลายองค์กรได้แก่ รางวัลสุดยอดแบรนด์องค์กรไทย (Thailand’s Corporate Brand Values 2016) จากจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยและตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.), รางวัลองค์กรต้นแบบบริหารจัดการแรงงานสัมพันธ์ของประเทศไทย ปี 2559 จากกระทรวงแรงงาน, รางวัลเกียรติยศ CSR-DIW Continuous Award 2016 จากกระทรวงอุตสาหกรรม

เชฟรอนสนับสนุนลาดกระบังทำวิจัย “การบริหารจัดการน้ำชุมชนอย่างมีส่วนร่วม” ตามแนวพระราชดำริ สร้างฐานข้อมูลและบทพิสูจน์ของศาสตร์พระราชาเพื่อการแก้ปัญหาสิ่งแวดล้อม

          บริษัท เชฟรอนประเทศไทยสำรวจและผลิต จำกัด โดย นายอาทิตย์ กริชพิพรรธ (ที่ 2 จากขวา) ผู้จัดการใหญ่ฝ่ายสนับสนุนธุรกิจ เชฟรอนประเทศไทย ได้เป็นตัวแทนมอบทุนสนับสนุนโครงการวิจัย ‘การออกแบบเชิงภูมิสังคมไทย การติดตามและประเมินผลเพื่อบริหารจัดการน้ำชุมชนอย่างมีส่วนร่วม’ จำนวน 9,258,000 บาท แก่ ผู้ช่วยศาสตราจารย์พิเชฐ โสวิทยสกุล (ที่ 3 จากซ้าย) คณบดีคณะสถาปัตยกรรมศาสตร์ สถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหารลาดกระบัง ตัวแทนศูนย์บูรณาการเทคโนโลยีเพื่อการแก้ไขปัญหาประเทศ สถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหารลาดกระบัง (Integrated Technology Operation KMITL - ITOKmitl) โดยการสนับสนุนครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อจัดทำฐานข้อมูลอย่างมีส่วนร่วม และวิจัยข้อมูลเชิงประจักษ์ จากชุมชนและพื้นที่ที่นำหลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงและเกษตรทฤษฎีใหม่ตามกระแสพระราชดำริ ภายใต้แนวคิด ‘โคก หนอง นา โมเดล’ ไปใช้ในการจัดการดิน น้ำ และป่า รวมถึงนำผลงานวิจัยมาจัดทำเป็นชุดความรู้และคู่มือในการทำงานให้หน่วยงานทั้งภาครัฐและภาคเอกชนอื่น ๆ สามารถนำไปปฏิบัติได้ เพื่อต่อยอดแนวคิดและขยายผลไปยังพื้นที่ชุมชนอื่น ๆ ในอนาคต

 

          โครงการวิจัยดังกล่าว ได้เริ่มดำเนินการตั้งแต่เดือนตุลาคมที่ผ่านมา และคาดว่าจะแล้วเสร็จในปี พ.ศ.2561 เป็นระยะเวลาโครงการทั้งสิ้น 2 ปี โดยจัดเก็บข้อมูลวิจัยใน 3 พื้นที่ คือ จังหวัดลำปาง จังหวัดอุดรธานี และจังหวัดตาก รวม 300 ไร่ การสนับสนุนของเชฟรอนนี้จะช่วยให้การจัดเก็บข้อมูลเป็นไปอย่างมีระบบและได้มาตรฐานทางวิชาการ สามารถนำฐานข้อมูลมาประมวลผลในมิติต่าง ๆ ทั้งมิติทางเศรษฐกิจ มิติทางสังคม และมิติทางสภาพแวดล้อม ซึ่งงานวิจัยชิ้นนี้จะเป็นผลงานทางวิชาการที่ยืนยันความสำเร็จของทฤษฎีการจัดการทรัพยากรตามแนวพระราชดำริของพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช อันเป็นทฤษฎีการแก้ปัญหาสิ่งแวดล้อมระดับโลก

ดาคอนร่วมโชว์เทคโนโลยีงานเซฟตี้เดย์โรงไฟฟ้าบางปะกง

          บริษัท ดาคอน อินสเป็คชั่น เซอร์วิสเซส จำกัด ผู้นำทางด้านการตรวจสอบทางวิศวกรรม นำเสนอเทคโนโลยีการตรวจสอบท่อด้วยระบบตรวจสอบท่ออัจฉริยะ (Intelligent PIGGING) การโรยตัวเพื่อการตรวจสอบ  (Rope Access) การตรวจสอบระยะไกลด้วยคลื่นความถี่สูง ( LRUT), การตรวจสอบหม้อไอน้ำ (Boiler Inspection), การตรวจสอบการกัดกร่อนบริเวณฐานรองรับ (CUS) งานตรวจสอบท่อสำหรับหม้อต้มไอน้ำ คอนเดนเซอร์ เครื่องระบายความร้อนแบบครีบและอุปกรณ์แลกเปลี่ยนความร้อนอื่น ๆ (Tube Inspection)  ในงาน ‘สมภพ เซฟตี้เดย์ปีที่ 25’ ณ อาคารนันทนาการ โรงไฟฟ้าบางปะกง จังหวัดฉะเชิงเทรา

 

          งานดังกล่าว ได้จัดขึ้นเป็นประจำทุกปีเพื่อเป็นการระลึกถึงวีรกรรมของ นายช่างสมภพ ภูติโยธิน อดีตวิศวกรเดินเครื่องประจำโรงไฟฟ้าพลังความร้อนร่วมบางปะกง ชุดที่ 1-2 ที่ได้สละชีวิตของตนเองเพื่อรักษาทรัพย์สินของประเทศ ในคราวเหตุการณ์เพลิงไหม้โรงไฟฟ้าบางปะกงเมื่อวันที่ 5 พฤศจิกายน 2534 นอกจากนั้น ยังเป็นการกระตุ้นจิตสำนึกให้กับพนักงานของโรงไฟฟ้าบางปะกงรวมถึงผู้รับเหมาที่ปฏิบัติงานในพื้นที่ของโรงไฟฟ้าได้ปฏิบัติหน้าที่ภายใต้ความปลอดภัยเป็นสำคัญ ภายใต้คอนเซ็ปต์ “ดูแลสภาพแวดล้อมในการทำงานให้มีความปลอดภัย ส่งเสริมอาชีวอนามัยให้มีสุขภาพอนามัยที่ดี” ในโอกาสนี้โรงไฟฟ้าบางปะกงได้เปิดโอกาสให้ บริษัท ดาคอนฯ หนึ่งในพันธมิตรทางธุรกิจ ได้มีโอกาสเข้าร่วมจัดบูธกิจกรรมเพื่อนำเสนอเทคโนโลยีใหม่ และการทำงานแบบใหม่ที่มีส่วนส่งเสริมด้านความปลอดภัยเป็นสำคัญ

ดาคอนร่วมปลูกป่าเทิดไท้องค์ราชา

          บริษัท ดาคอน อินสเป็คชั่นเซอร์วิสเซส จำกัด หนึ่งในสมาชิกของชมรมประชาสัมพันธ์กลุ่มโรงงานนิคมอุตสาหกรรม 33 บริษัท (The Membership of Public Relation club หรือ MPR) ได้ร่วมกิจกรรมปลูกป่าถวายพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช ณ แปลงที่ 11 เนินเทิดพระเกียรติ โครงการปลูกป่าเขาห้วยมะหาด ปี 2559 ภายใต้โครงการ พื้นป่า รักษ์น้ำ เขาห้วยมะหาด โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อที่จะให้ชุมชน เยาวชน และกลุ่มสมาชิกได้ตระหนัก เห็นความสำคัญของทรัพยากรธรรมชาติที่มีอยู่ อีกทั้งยังเป็นการสร้างแนวชะลอน้ำเพื่อรักษาหน้าดินและเพิ่มพื้นที่ผืนป่าให้คงอยู่สืบไป โดยโครงการดังกล่าวถือได้ว่าเป็นการสร้างเสริมจิตสำนึกที่แท้จริง

 

          นอกจากนั้นกิจกรรมนี้ยังเป็นการแลกเปลี่ยนความรู้ ความคิดเห็นระหว่างกลุ่มสมาชิกเพื่อที่จะนำความรู้ที่ได้กลับมาเผยแพร่และประยุกต์ใช้ในชีวิตประจำวันต่อไป

ทั้งนี้บริษัทฯและพนักงานทุกท่านหวังเป็นอย่างยิ่งว่าการเป็นส่วนหนึ่งของกิจกรรมนี้จะช่วยให้เกิดการกระตุ้นการอนุรักษ์และฟื้นฟูป่าธรรมชาติเพื่อที่จะเป็นการสร้างความรับผิดชอบต่อสังคมและสิ่งแวดล้อมให้เกิดความยั่งยืนต่อสังคมโดยรวมต่อไป

คาร์กิลล์ลงทุน 50 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ขยายกิจการแปรรูปสัตว์ปีกในประเทศไทย สร้างงานใหม่กว่า 1,400 ตำแหน่ง

 

          คาร์กิลล์ ลงทุนกว่า 50 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ เพื่อขยายกิจการแปรรูปสัตว์ปีกสำหรับโรงงานซึ่งตั้งอยู่ในจังหวัดนครราชสีมา การขยายกิจการในครั้งนี้จะช่วยสร้างงานใหม่กว่า 1,400 ตำแหน่ง โดยเพิ่มพนักงานจากเดิมที่มีอยู่แล้วกว่า 13,500 คน ใน 14 สาขาทั่วประเทศ คาร์กิลล์จะร่วมมือกับฟาร์มเลี้ยงไก่กระทงรายย่อยในชุมชนท้องถิ่นเพื่อตอบสนองความต้องการการบริโภคไก่กระทงที่เพิ่มขึ้น

 

          การขยายกิจการครั้งนี้ สืบเนื่องมาจากการเพิ่มขึ้นของความต้องการของลูกค้าและความเชื่อมั่นจากลูกค้า ในด้านคุณภาพและมาตรฐานความปลอดภัยของผลิตภัณฑ์ไก่ที่ผลิตโดยคาร์กิลล์ในประเทศไทย โรงงานแห่งใหม่ซึ่งเป็นส่วนต่อขยายจากโรงงานปัจจุบันได้เริ่มก่อสร้างเมื่อวันที่ 21 ตุลาคม 2559 และคาดว่าจะเริ่มผลิตสินค้าได้ในไตรมาสแรกของปี พ.ศ.2561

 

          “คาร์กิลล์ดำเนินกิจการในอุตสาหกรรมสัตว์ปีกไทยกว่า 25 ปี และเติบโตอย่างต่อเนื่องจนกลายเป็นผู้ส่งออกผลิตภัณฑ์ไก่ปรุงสุกชั้นนำของประเทศ ความสำเร็จนี้มาจากความพยายามอย่างไม่ลดละของเราในการพัฒนานวัตกรรมอาหาร คุณภาพ และความปลอดภัย แรงงานท้องถิ่นที่มีความสามารถและประสิทธิภาพทำงานในสภาพแวดล้อมที่เข้มงวดเรื่องความปลอดภัย รวมถึงความร่วมมืออย่างใกล้ชิดกับหน่วยงานในประเทศ สำหรับการขยายกิจการในครั้งนี้ ต้องขอขอบคุณความเชื่อมั่นและความไว้วางใจจากลูกค้าที่มีต่อผลิตภัณฑ์ของเรา พนักงานของเรา และความมุ่งมั่นของเราในการส่งมอบผลิตภัณฑ์” นายฮานส์ คาบัท ประธานบริหาร กลุ่มบริษัทคาร์กิลล์โปรตีน เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ กล่าว

 

 

นายฮานส์ คาบัท ประธานบริหาร กลุ่มบริษัทคาร์กิลล์โปรตีน เอเชียตะวันออกเฉียงใต้

 

          คาร์กิลล์ โปรตีน เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เติบโตอย่างต่อเนื่องในภูมิภาคนี้ อันเป็นผลมาจากความต้องการที่เพิ่มขึ้นของลูกค้าและความต้องการบริโภคผลิตภัณฑ์ไก่ในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก ในเดือนพฤษภาคม บริษัทได้ร่วมทุนกับกับบริษัทจอลลีบี ฟู้ดส์ คอร์ปอเรชั่น ซึ่งเป็นบริษัทผู้ผลิตอาหารและเครื่องดื่มรายใหญ่ที่สุดในเอเชีย สร้างโรงงานแปรรูปสัตว์ปีกในประเทศฟิลิปปินส์ ซึ่งสร้างงานใหม่กว่า 1,000 ตำแหน่ง เมื่อเดือนกันยายนที่ผ่านมา บริษัทได้ร่วมทุนกับบริษัทจาพฟาผู้นำธุรกิจเกษตร-อาหาร เพื่อผลิตและจำหน่ายผลิตภัณฑ์ไก่ปรุงสุกในประเทศอินโดนีเซีย

 

          “การลงทุนเหล่านี้เสริมให้คาร์กิลล์เป็นผู้นำด้านอาหารและอุตสาหกรรมการเกษตรในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก และเพิ่มความสามารถอันโดดเด่นของบริษัทเพื่อตอบสนองความต้องการอาหารที่เปลี่ยนแปลงในภูมิภาค อีกทั้งยังสะท้อนให้เห็นถึงโอกาสในการเติบโตอย่างมากสำหรับคาร์กิลล์ในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก และความมุ่งมั่นของบริษัทที่จะเดินหน้าลงทุนในธุรกิจในภูมิภาครวมไปถึงในทรัพยากรบุคคลของบริษัท” นายฮานส์ คาบัท กล่าวเพิ่มเติม

EGAT จัดงานประชุมใหญ่เชิงวิชาการ CEPSI 2016 ‘ความมั่นคงและยั่งยืนทางพลังงาน: ทางเลือกและความท้าทายของอุตสาหกรรมผลิตไฟฟ้า’

          พลอากาศเอกประจิน จั่นตอง (ที่ 3 จากซ้าย) รองนายกรัฐมนตรี เป็นประธานเปิดงานประชุมใหญ่เชิงวิชาการอุตสาหกรรมไฟฟ้า ครั้งที่ 21 หรือ The 21st Conference of Electric Power Supply Industry (CEPSI 2016) ภายใต้แนวคิด ความมั่นคงและยั่งยืนทางพลังงาน: ทางเลือกและความท้าทายของอุตสาหกรรมไฟฟ้า จัดโดย การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) ร่วมกับ สมาพันธ์อุตสาหกรรมไฟฟ้าแห่งเอเชียตะวันออกและแปซิฟิกตะวันตก (The Association of the Electricity Supply Industry of East Asia and the Western Pacific: AESIEAP) เปิดเวทีให้ผู้นำองค์กรด้านพลังงานระดับโลก แลกเปลี่ยนความรู้ ติดตามความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีและวิชาการของอุตสาหกรรมไฟฟ้าในสาขาต่าง ๆ เล็งปั้นไทยเป็นศูนย์กลางพลังงานของภูมิภาค พร้อมด้วย พล.อ.อนันตพร กาญจนรัตน์ (ที่ 3 จากขวา) รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน พล.อ.ณัฐติพล กนกโชติ (ที่ 2 จากขวา) ผู้ช่วยรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน นายอารีพงษ์ ภู่ชอุ่ม (ที่ 2 จากซ้าย) ปลัดกระทรวงพลังงาน ร่วมแสดงความยินดี โดยมี นายกรศิษฎ์ ภัคโชตานนท์ (ขวาสุด) ผู้ว่าการ กฟผ. และประธานสมาพันธ์ AESIEAP และ นางภาวนา อังคนานุวัฒน์ (ซ้ายสุด) ผู้ช่วยผู้ว่าการทรัพยากรบุคคล กฟผ. และ เลขาธิการสมาพันธ์ AESIEAP ร่วมให้การต้อนรับ ณ โรงแรมเซ็นทารา แกรนด์ แอท เซ็นทรัลเวิลด์

คณะวิศวลาดกระบัง แลกเปลี่ยนประสบการณ์ กับผู้เชี่ยวชาญจากเยอรมัน ‘เทคโนโลยีผลิตไบโอออยล์จากชีวมวล’

          ทั่วโลกตื่นตัวกับพลังงานทางเลือกและเทคโนโลยีพลังงานชีวมวล รศ.ดร.คมสัน มาลีสี คณบดีคณะวิศวกรรมศาสตร์ สถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหารลาดกระบัง (สจล.) และ รศ.ดร.ปานมนัส ศิริสมบูรณ์ ภาควิชาวิศวกรรมเกษตร ต้อนรับ ดร.เอเซล ฟังค์ (Dr. Axel Funke) ผู้เชี่ยวชาญจากสถาบันเทคโนโลยีแห่งคาร์ลสเรอห์ ประเทศเยอรมัน (Karlsruhe Institute of Technology-KIT) บรรยายพิเศษในงาน เทคโนโลยีสลายชีวมวลด้วยไพโรไลซิสแบบเร็วเพื่อผลิตน้ำมันเชื้อเพลิงไบโอออยล์ในเยอรมัน (Biomass Pyrolysis in Germany) โดยมีวัตถุประสงค์ในการเผยแพร่องค์ความรู้ด้านพลังงานทางเลือกเพื่อเศรษฐกิจและสิ่งแวดล้อมที่ยั่งยืนแก่นักศึกษาและคณาจารย์ ณ ห้องประชุม สจล.

               

          รศ.ดร.คมสัน มาลีสี คณบดี คณะวิศวกรรมศาสตร์ สจล.กล่าวว่า ไทยเป็นประเทศการเกษตรและมีชีวมวลหรือของเหลือใช้จากเกษตรและอื่น ๆ กว่า 59 ล้านตันต่อปี ซึ่งสามารถนำมาใช้ให้เกิดประโยชน์ด้านพลังงานได้กว่า 12 ล้านตัน ขณะที่เราและนานาประเทศ กำลังเผชิญปัญหาจากการใช้พลังงานเชื้อเพลิงฟอสซิลและผลกระทบ เช่น สิ่งแวดล้อมเป็นพิษ สภาวะโลกร้อน พลังงานขาดแคลน ต้องพึ่งพาการนำเข้าน้ำมันดิบจากต่างประเทศ เพื่อการผลิตกระแสไฟฟ้า การคมนาคมขนส่ง การทำการเกษตรและอุตสาหกรรม เราสามารถลดความรุนแรงของปัญหาลงได้โดยใช้ทรัพยากรธรรมชาติที่หมุนเวียนได้ เช่น ชีวมวล โดยนำมาใช้เป็นวัตถุดิบเพื่อการผลิตพลังงานเชื้อเพลิงชีวภาพ ดังนั้น ระบบไพโรไลซิสแบบเร็ว (Fast Pyrolysis) จึงเป็นอีกคำตอบของการสร้างมูลค่าจากชีวมวลที่เหลือใช้ให้เกิดประโยชน์ทางด้านเศรษฐกิจ สังคมและสิ่งแวดล้อม กระบวนการไพโรไลซิส เป็นกระบวนการแปลงสภาพชีวมวลให้เป็นเชื้อเพลิงเหลว ในอุณหภูมิระหว่าง 450-600 องศาเซลเซียส ที่เรียกว่า น้ำมันเชื้อเพลิงชีวภาพ หรือ Bio-oil เทียบได้กับน้ำมันเตา ซึ่งสามารถใช้ในการผลิตไฟฟ้า ในเครื่องกังหันแก๊ส เครื่องยนต์ดีเซล หม้อไอน้ำ เป็นต้น  และหากใช้ตัวเร่งปฏิกิริยาในกระบวนการ ก็จะได้ น้ำมันเบนซินชีวภาพ (Biogasoline) จึงนับเป็นอีกทางเลือกหนึ่งในการใช้ทรัพยากรอย่างคุ้มค่า คลายปัญหาสิ่งแวดล้อมและประหยัดพลังงาน

สแกนเนีย จัดอบรมทักษะการขับขี่ชั้นสูง มุ่งสร้างกำไรอย่างยั่งยืนให้กับธุรกิจขนส่ง

          สแกนเนีย จัดอบรมทักษะการขับขี่ชั้นสูงมุ่งสร้างกำไรอย่างยั่งยืนให้กับธุรกิจขนส่ง เน้น 3 หัวใจหลักที่นักขับสแกนเนียมืออาชีพต้องมี ทั้งการใช้รถสแกนเนียได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ ขับขี่ประหยัดเชื้อเพลิง และ สร้างความปลอดภัยต่อตนเองและผู้อื่นบนท้องถนน

 

          นายอำนาจ ทองทัย ผู้จัดการฝ่ายฝึกอบรมพนักงานขับรถ บริษัท สแกนเนีย สยาม จำกัด กล่าวถึง หลักสูตรการอบรมทักษะการขับขี่รถขนาดใหญ่เพื่อการพาณิชย์ของ สแกนเนีย ว่า หลักสูตรในการอบรมมีความครอบคลุมทั้งรถโดยสารและรถบรรทุก โดยแบ่งเป็น 2 ระดับ คือ การขับขี่เบื้องต้น Scania Driver Training มุ่งเน้นให้ผู้ขับขี่มีความรู้และความชำนาญในการใช้รถสแกนเนียได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ พร้อมการดูแลรถให้พร้อมใช้งานตลอดเวลา ระยะเวลาการอบรม 1 วัน ซึ่งกลุ่มเป้าหมายคือกลุ่มลูกค้าใหม่ที่ยังไม่เคยใช้งานรถสแกนเนียมาก่อน หรือ กลุ่มลูกค้าที่ต้องการทบทวนทักษะนักขับให้มีความรู้ความชำนาญในการใช้รถสแกนเนียเพิ่มขึ้น และการฝึกอบรมทักษะการขับขี่ขั้นสูง Advance Driver Program (ADP) มุ่งเน้นพัฒนาทักษะผู้เข้ารับการฝึกอบรมให้เป็นเทรนเนอร์ หรือครูผู้ฝึกสอนพนักงานขับรถบรรทุกและรถโดยสาร ให้มีความรอบรู้ และสามารถถ่ายทอดความรู้ไปยังนักขับต่อไป

 

          โดยการอบรมหลักสูตรพิเศษที่สแกนเนียจัดทำขึ้นนั้น เป็นหลักสูตรสำหรับผู้ฝึกสอนพนักงานขับ และนักขับผู้มีประสบการณ์  ที่ต้องการพัฒนาทักษะ ความรู้ เทคนิคการขับขี่ให้เพิ่มมากขึ้น ที่สำคัญคือสามารถนำไปถ่ายทอดต่อได้อย่างมืออาชีพ สามารถผลิตพนักงานขับที่มีคุณภาพให้เพิ่มมากขึ้นแก่บริษัทต้นสังกัด ซึ่งเป็นการต่อยอดผลกำไรทางธุรกิจอย่างยั่งยืนให้กับลูกค้าสแกนเนีย

 

          ส่วนเนื้อหาในการอบรมฯ นั้น ได้รับการออกแบบและพัฒนามาจากหลักสูตรมาตรฐานการฝึกอบรมนักขับมืออาชีพระดับโลกของ สแกนเนีย นำมาปรับให้เหมาะสมกับสภาพการใช้งาน และกฎข้อบังคับทางกฎหมายของไทย โดยผู้เข้าอบรมจะได้เรียนรู้ทั้งทฤษฎีและปฏิบัติบนถนนจริงอย่างเข้มข้นตลอดระยะเวลา 4 วัน ครอบคลุมทั้งในเรื่องของเทคโนโลยียานยนต์และระบบของรถสแกนเนีย การเลือกใช้รถให้เหมาะสมกับลักษณะงาน เทคนิคการควบคุมรถระดับสูง การขับขี่ประหยัดเชื้อเพลิงและการขับขี่ปลอดภัยบนสภาพถนนจริง บรรทุกน้ำหนักจริง ในเส้นทางขึ้น-ลงภูเขา การตรวจวิเคราะห์ปัญหารถและแก้ไขเบื้องต้น การวิเคราะห์อุบัติเหตุ รวมถึงกฎหมายการขับขี่และการขนส่ง พร้อมทั้งอบรมเทคนิคการเป็นผู้ฝึกสอน และมอบข้อมูลความรู้ทั้งหมดให้แก่ผู้เข้ารับการอบรม

 

          ด้าน นายจำลอง โสภาเลิศ จาก บริษัท ชัยพัฒนาขนส่งเชียงใหม่ จำกัด หนึ่งในผู้เข้าร่วมอบรมพัฒนาทักษะการขับขี่รถขนาดใหญ่เพื่อการพาณิชย์ขั้นสูง (ADP) กล่าวถึงการเข้าร่วมอบรมฯ ในครั้งนี้ว่า "นอกจากจะได้พบเพื่อนใหม่จากต่างบริษัทที่ทำอาชีพเดียวกัน ได้แลกเปลี่ยนความรู้ ประสบการณ์ ยังได้รับความรู้ที่สามารถนำไปถ่ายทอดให้กับนักขับคนอื่น ๆ ได้ต่อไป ซึ่งจะช่วยเพิ่มจำนวนนักขับรถที่มีคุณภาพ เพิ่มความปลอดภัยและลดอุบัติเหตุที่เกิดขึ้นบนท้องถนนได้มากขึ้นอีกด้วย"

 

          สำหรับผู้ประกอบการและผู้สนใจสามารถขอทราบรายละเอียดได้ที่ แผนกฝึกอบรมพนักงานขับรถสแกนเนีย โทรศัพท์ 0-2769-9200

ชไนเดอร์ ฯ มอบเครื่องอัดประจุไฟฟ้าให้แก่ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรี

          มร.มาร์ค เพลิทิเยร์ (ที่ 2 จากขวา) ประธาน ชไนเดอร์ อิเล็คทริค ประเทศไทย มอบเครื่องอัดประจุไฟฟ้าของ ชไนเดอร์ อิเล็คทริค มูลค่า 700,000 บาท ให้แก่ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรี สำหรับใช้ใน ‘โครงการคลัสเตอร์วิจัยยานยนต์ และชาร์จแอนด์แชร์’ ซึ่งเป็นโครงการนำร่องของทางมหาวิทยาลัยฯ โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อลดการปล่อยมลพิษทางยานพาหนะของทางมหาวิทยาลัยฯ โดยใช้ยานยนต์ไฟฟ้าในการเดินทางแทนยานยนต์พลังงานเชื้อเพลิง โดยมี รศ.ดร.สุวิทย์ เตีย (กลาง) รองอธิการบดีอาวุโสฝ่ายวิชาการ ของมหาวิทยาลัยฯ เป็นผู้รับมอบ

เมโทรซิสเต็มส์ฯ จัดงาน ‘ปรับกระบวนธุรกิจให้ทันกับยุค Digital Economy’

          นายจิระศักดิ์ ตรังคิณีนาถ (ขวา) ผู้ช่วยผู้อำนวยการกลุ่มผลิตภัณฑ์ฮาร์ดแวร์ บริษัท เมโทรซิสเต็มส์คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) จัดงาน ปรับกระบวนธุรกิจให้ทันกับยุค Digital Economy’ ณ สำนักงานใหญ่ เมื่อวันที่ 17 พฤศจิกายน 2559 เพื่อนำเสนอแนวทางการปฏิรูปธุรกิจ การค้า การบริการขององค์กรให้ทันต่อการเปลี่ยนแปลงในยุคที่การใช้เทคโนโลยีสารสนเทศ และการสื่อสารเป็นกลไกสำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจและสังคม โดยได้รับเกียรติจากวิทยากรรับเชิญบรรยายในหัวข้อต่าง ๆ ที่น่าสนใจ อาทิ Digital Marketing Trend 2017’ โดย อาจารย์ธันยวัชร์ ไชยตระกูลชัย, The Next Generation Storage for Digital Economy’ โดย นายวัฒนา สุธาทองไทย IT Specialist บริษัท ไอบีเอ็ม ประเทศไทย จำกัด, Turn Massive Storage Challenges info a Business Advantage’ โดย นายสุรินทร์ กมลพละวัฒน์ Advisory IT Specialist บริษัท ไอบีเอ็ม ประเทศไทย จำกัด และ Digital Economy’ โดย พันเอก ดร.เศรษฐพงค์ มะลิสุวรรณ รองประธานกรรมการกิจการกระจายเสียงกิจการโทรทัศน์และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ ภายในงานยังมีการสาธิต solution ที่สามารถทำงานได้ดีบน IBM Storage รุ่นใหม่นี้ ได้แก่ “Big Data Analytic” จากบริษัท อินเทลชั่น จำกัด, ‘Implement Cloud Storage’ จากบริษัท ไอซ์ โซลูชั่น จำกัด และ ‘SAP Hana’ จาก บริษัท Thai Business Solution การจัดงานในครั้งนี้ได้รับความสนใจจากบริษัทลูกค้าเข้าร่วมงานเป็นจำนวนมาก

อิตัลไทยวิศวกรรมส่งมอบงาน TPE PILOT PLANT COMPLEX PROJECT นิคมอุตสาหกรรม อาร์ไอแอล จ. ระยอง

          อิตัลไทยวิศวกรรม ส่งมอบงาน TPE PILOT PLANT COMPLEX PROJECT ซึ่งเป็นโครงการนำร่องวัตถุประสงค์ เพื่อใช้เป็นศูนย์วิจัยและพัฒนาผลิตภัณฑ์ของ SCG Chemical เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการผลิตและลดปัญหาด้านสิ่งแวดล้อม

 

 

          นายสกล เหล่าสุวรรณ กรรมการผู้จัดการ บริษัท อิตัลไทยวิศวกรรม จำกัด (ITALTHAI Engineering : ITE) หนึ่งในบริษัทผู้นำตลาดทางด้านวิศวกรรม ภายใต้ “อิตัลไทย กรุ๊ป” ผู้นำตลาดในการให้บริการงานก่อสร้างแบบครบวงจร สำหรับงานระบบสาธารณูปโภคขนาดใหญ่ โรงไฟฟ้า สถานีไฟฟ้า โรงงานอุตสาหกรรม โรงงานกลุ่มปิโตรเคมี รวมไปถึงงานวิศวกรรมระบบไฟฟ้าและเครื่องกลของอาคารสูง และอาคารขนาดใหญ่ กล่าวว่าบริษัท อิตัลไทยวิศวกรรม ได้รับความไว้วางใจจากบริษัท ไทยโพลิเอทิลีน จำกัดซึ่งเป็นบริษัทในเครือ บริษัท ปูนซีเมนต์ไทย จำกัด (มหาชน) หรือ SCGโดยโครงการ TPE PILOT PLANT COMPLEX PROJECT ตั้งอยู่ที่นิคมอุตสาหกรรม อาร์ไอแอล จังหวัดระยอง มีวัตถุประสงค์เพื่อใช้เป็นศูนย์วิจัย และพัฒนาผลิตภัณฑ์ของ SCG Chemical เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการผลิตและลดปัญหาด้านสิ่งแวดล้อม

 

 

          อย่างไรก็ตามITE ตั้งเป้าหมายที่จะพัฒนาระบบการบริหารอย่างต่อเนื่อง เพื่อยกระดับมาตรฐานระบบการบริหารคุณภาพสู่มาตรฐานISO9001 ใน Version ใหม่ 2015 พร้อมเข้าสู่มาตรฐานระบบบริหารด้านความปลอดภัยอาชีวอนามัยและสภาพแวดล้อมในระดับสากล OHSAS18001 และ ISO14001  รองรับการแข่งขันในระดับนานาชาติอย่างเต็มรูปแบบ

 

กระทรวงวิทย์ฯ สวทช. หนุน สมาคมอาร์เอฟไอดี โชว์เทคโนโลยี ‘RFID’ ระบบจำแนกวัตถุอัตโนมัติ ยกระดับการแข่งขันภาคอุตสาหกรรม

          กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) โดย โปรแกรมสนับสนุนการพัฒนาเทคโนโลยีและนวัตกรรม หรือ ไอแทป (ITAP) สนับสนุนสมาคมอาร์เอฟไอดีแห่งประเทศไทย จัดงาน “RFID Duo Hero 2016” งานแสดงนวัตกรรมเทคโนโลยี RFID ที่ใหญ่ที่สุดในประเทศไทยครั้งที่ 5 พร้อมผนึกกำลังกลุ่ม IOT Thailand Consortium จัดเสวนาแลกเปลี่ยนประสบการณ์เทคโนโลยี RFID และ IOT โชว์นวัตกรรม RFID จากผู้ประกอบการทั้งในและต่างประเทศกว่า 20 บริษัท

 

          นางสุวิภา วรรณสาธพ ผู้ช่วยผู้อำนวยการ สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) ประธานเปิดงาน ‘RFID Duo Hero 2016’ กล่าวว่า “สวทช. ให้การสนับสนุนสมาคมอาร์เอฟไอดีแห่งประเทศไทย ผ่านทางโปรแกรมสนับสนุนการพัฒนาเทคโนโลยีและนวัตกรรม หรือ ไอแทป (ITAP) มากว่า 6 ปี โดยได้มีการทำวิจัยร่วมกับผู้ประกอบการในสมาคมอาร์เอฟไอดีแห่งประเทศไทย เพื่อนำเทคโนโลยี RFID มาใช้ประโยชน์ในอุตสาหกรรมต่าง ๆ อยู่หลายโครงการ รวมทั้งสนับสนุนการจัดงาน RFID Duo Hero 2016 ขึ้นในปีนี้ ซึ่งเป็นงานแสดงนวัตกรรมเทคโนโลยี RFID  ที่ใหญ่ที่สุดในประเทศไทย ครั้งที่ 5 โดยปีนี้มีความพิเศษคือ สมาคมอาร์เอฟไอดี ร่วมกับลุ่ม Thailand IOT Consortium จัดแสดงโซลูชั่นทางด้าน RFID และ IOT กว่า 20 บูธ จากผู้ประกอบการทั้งในและต่างประเทศ ประกอบด้วยนวัตกรรมใหม่ ๆ ด้านเทคโนโลยี IOT (Internet of Things) รวมถึงการแสดงผลงานการประยุกต์ใช้เทคโนโลยี RFID ประเภทต่าง ๆ ในภาคการผลิตและบริการ และการนำไปต่อยอดใช้งานร่วมกับโซลูชั่นต่างๆ เช่น ระบบติดตามภายในอาคารที่มีความแม่นยำสูงและแสดงผลได้แบบทันที (Ultra Wide Band :UWB), การตรวจสอบย้อนกลับในอุตสาหกรรมไม้ ตั้งแต่ตัดจนแปรรูป, ผลงานหุ่นยนต์และเครื่องอากาศยานไร้คนขับในการเกษตร (Unmanned Aerial Vehicle: UAV) และชุดหุ่นยนต์แบบสวมใส่, เครื่องทดสอบแท็กเพื่อการออกแบบและตรวจสอบคุณภาพผลิตโดยคนไทยระบบจัดการไปรษณีย์ไทย, RFID Card ในระบบรถไฟฟ้าบีทีเอส ระบบควบคุมการเข้าออก ระบบบริหารลานจอด ระบบงานลงทะเบียนงานสัมมนา ระบบบันทึกข้อมูลสภาพแวดล้อมภาคสนาม เป็นต้น ทั้งนี้ภายในงานมีการเสวนาให้ความรู้ในหัวข้อที่น่าสนใจและเป็นกระแสในปัจจุบัน อาทิ IOT hub of ASEAN กระแสเมกเกอร์เพื่อขับเคลื่อนเศรษฐกิจ RFID กับประเทศเพื่อนบ้าน เป็นต้น

 

          นอกจากนี้ สวทช. โดย ITAP ยังให้ทุนสนับสนุนงานวิจัยและจัดหานักวิจัย รวมถึงให้การสนับสนุนด้านต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องตลอดระยะเวลากว่า 6 ปีที่ผ่านมา ซึ่งสมาคมอาร์เอฟไอดีแห่งประเทศไทยได้พัฒนาและเติบโตอย่างมาก สำหรับการจัดงานแสดงความก้าวหน้าและโซลูชั่นของ RFID ได้รับความสนใจจากผู้ประกอบการและประชาชนทั่วไปมากกว่า 500 คนในแต่ละปี เชื่อมั่นได้ว่าเทคโนโลยี RFID จะเป็นเทคโนโลยีที่ให้ประโยชน์กับผู้ประกอบการและภาคอุตสาหกรรมต่าง ๆ หากได้มีการนำไปปรับใช้ในธุรกิจต่อไป

 

          นายสุทัด ครองชนม์ นายกสมาคมอาร์เอฟไอดีแห่งประเทศไทย กล่าวว่า งาน RFID Duo Hero 2016 ได้รับการสนับสนุนจาก สวทช. ด้วยดีเสมอมา และได้รับความร่วมมือจากสถาบันส่งเสริมความเป็นเลิศทางเทคโนโลยีอาร์เอฟไอดี สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย โดยปีนี้พันธมิตรและสมาชิกในชมรม RFID มีโซลูชั่นใหม่ ๆ ที่ได้ทำและส่งมอบให้กับลูกค้ามาจัดแสดง อีกทั้งได้พันธมิตรจากประเทศลาว นำโซลูชั่นที่ใช้งานในประเทศลาวมานำเสนอ นอกจากนั้นแล้วกลุ่ม Thailand IOT Consortium ได้ส่งตัวแทนที่เป็น Hero ของกลุ่มมาร่วมในงานด้วย ซึ่งทำให้ปีนี้เป็นอีกปีหนึ่งที่น่าสนใจสำหรับหน่วยงาน องค์กร และประชาชนที่ชื่นชอบเทคโนโลยี RFID & IOT เป็นอย่างมาก

 

          นายกำพล โชคสุนธสุทธิ์ ประธาน Thailand IOT Consortium เปิดเผยว่า ในปี 2016 กลุ่ม Thailand IOT Consortium จัดแสดงนวัตกรรมเทคโนโลยี IOT และนิทรรศการต่าง ๆ โดยได้รับความสนใจจากหน่วยงานภาครัฐและเอกชนจำนวนมาก และเช่นเดียวกันสำหรับงาน RFID Duo Hero 2016 กลุ่ม Thailand IOT Consortium ได้รับเกียรติจาก ดร.ชานนท์ ตุลาบดี ประธานสมาพันธ์เมกเกอร์สเปซแห่งเอเชียอาคเนย์ มาร่วมกิจกรรมเสวนาเรื่อง Maker Movement และกระแสเมกเกอร์เพื่อขับเคลื่อนเศรษฐกิจ ให้กับผู้สนใจได้รับฟัง รวมทั้งได้เชิญ Senior Maker มาร่วมนำเสนอผลงานเพื่อเปิดโอกาสให้กับผู้สนใจได้รับประโยชน์จากเทคโนโลยีใหม่ ๆ อย่างเต็มที่

GGC เดินหน้าผลักดันอุตสาหกรรมเครื่องสำอางไทยก้าวสู่สากล ร่วมสนับสนุนการคัดสรรสุดยอดผลิตภัณฑ์เครื่องสำอางไทยในโครงการ Thailand Cosmetic Contest 2016

          ดร.พสุ โลหารชุน อธิบดีกรมส่งเสริมอุตสาหกรรม (กลาง) และ คุณจิรวัฒน์ นุริตานนท์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท โกลบอลกรีนเคมิคอล จำกัด (มหาชน)  หรือ GGC ร่วมสนับสนุนโครงการประกวดสุดยอดผลิตภัณฑ์เครื่องสำอางไทย ภายใต้โครงการ Thailand Cosmetic Contest 2016 จัดโดยกรมส่งเสริมอุตสาหกรรม ร่วมกับคลัสเตอร์เครื่องสำอางไทยและองค์กรเครือข่าย ณ ศูนย์ประชุมไบเทค บางนา

 

          บริษัท โกลบอลกรีนเคมิคอล จำกัด (มหาชน) หรือ GGC ผู้บุกเบิกธุรกิจผลิตภัณฑ์เคมีเพื่อสิ่งแวดล้อมของประเทศไทย ในกลุ่มบริษัท พีทีที โกลบอล เคมิคอล จำกัด (มหาชน) (PTTGC) ร่วมสนับสนุนโครงการประกวดสุดยอดผลิตภัณฑ์เครื่องสำอางไทย มอบรางวัลพิเศษ Global Green Cosmetic เพื่อผลักดันการวิจัยและพัฒนาผลิตภัณฑ์เครื่องสำอางที่ผลิตจากวัตถุดิบจากธรรมชาติ พร้อมกระตุ้นอุตสาหกรรมเครื่องสำอางไทยให้นำความรู้ด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีมาใช้ ในการพัฒนาสินค้า เตรียมความพร้อมในการแข่งขันบนเวทีโลก สอดคล้องกับนโยบายประเทศไทย 4.0

 

          โครงการประกวดสุดยอดผลิตภัณฑ์เครื่องสำอางไทย หรือ Thailand Cosmetic Contest 2016 เป็นส่วนหนึ่งของงาน Cosmex 2016 จัดขึ้นโดยกรมส่งเสริมอุตสาหกรรมและคลัสเตอร์เครื่องสำอางไทย เพื่อเฟ้นหาต้นแบบผลิตภัณฑ์เครื่องสำอางเป็นตัวอย่างให้กับผู้ประกอบการทั่วไป ซึ่งการประกวดครั้งนี้ได้คัดเลือกผู้ประกอบการที่ผ่านเข้ารอบกว่า 100 ราย เพื่อคัดสรรผู้ที่มีความเหมาะสมในด้านต่าง ๆ ซึ่ง GGC ในฐานะผู้ผลิตแฟตตี้แอลกอฮอลส์ (Fatty Alcohols) และกลีเซอรีน (Glycerine)รายใหญ่ ซึ่งเป็นต้นทางของผลิตภัณฑ์ที่เกี่ยวข้องกับเครื่องสำอาง ผลิตภัณฑ์บำรุงผิวและดูแลร่างกายหลายประเภท ได้สนับสนุนรางวัลพิเศษ “Global Green Cosmetics” โดยใช้หลักเกณฑ์การพิจารณาจากโครงการต้นแบบหรือสินค้าที่มีการใช้สารตั้งต้นจากธรรมชาติ และมีแนวทางการดำเนินธุรกิจที่ใส่ใจสิ่งแวดล้อม สอดคล้องกับวิสัยทัศน์ ของบริษัทฯ ในการส่งเสริมความสามารถการแข่งขันของธุรกิจปลายน้ำที่เกี่ยวข้องกับการเกษตรในประเทศ และยังร่วมสนับสนุนรางวัลอื่น ๆ อีก รวมทั้งสิ้น 10 รางวัล

งานสัมมนา Property Report Congress Thailand 2016 ครั้งแรกในไทย

          นางสุพินท์ มีชูชีพ กรรมการผู้จัดการ บริษัท  โจนส์ แลง ลาซาล (ประเทศไทย) จำกัด (กลาง) ร่วมถ่ายภาพใน งานสัมมนา Property Report Congress Thailand 2016 ที่จัดขึ้นสำหรับผู้บริหารชั้นนำในวงการอสังหาริมทรัพย์ โดยมีวิทยากรที่มีความรู้ความชำนาญทั้งชาวไทยและผู้ที่มีชื่อเสียงระดับสากลมากถึง 23 ท่าน ร่วมให้ความรู้และวิเคราะห์ภาพตลาดที่อยู่อาศัย อาคารสำนักงาน การออกแบบ ฯลฯ โดยต่างคาดการณ์ว่าภาคอสังหาริมทรัพย์ไทยในปีหน้ายังมีแนวโน้มที่สดใส การสัมมนาจัดขึ้นเมื่อเร็ว ๆ นี้ ที่ โรงแรมพลาซ่า แอทธินี แบงคอก อะ รอยัล เมอริเดียน ถือเป็นครั้งแรกในไทย เป็นการสานต่อความสำเร็จจากการจัดประชุมด้านอสังหาริมทรัพย์ที่จัดขึ้นในหลายประเทศก่อนหน้านี้ อาทิ มะนิลา-ฟิลิปปินส์ โฮจิมินท์-เวียดนาม ย่างกุ้ง-เมียนมาร์ และกัวลาลัมเปอร์-มาเลเซีย สำหรับการสัมมนาครั้งต่อไป จะจัดขึ้นระหว่างวันที่ 23-24 พฤศจิกายน ศกนี้ ที่โรงแรมแชงกรีล่า ประเทศสิงคโปร์ โดยวิทยากรในงานมาจากผู้ที่มีชื่อเสียงในภาคอสังหาริมทรัพย์ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้มากกว่า 30 ท่าน

ชไนเดอร์ อิเล็คทริค ติดโผผู้นำอุตสาหกรรม ในดัชนีความยั่งยืนดาวโจนส์ ติดกันเป็นปีที่ 4

          ชไนเดอร์ อิเล็คทริค ผู้เชี่ยวชาญระดับโลกด้านการจัดการพลังงานและระบบออโตเมชั่น ภูมิใจที่ได้เป็นผู้นำอุตสาหกรรมในดัชนีชี้วัดความยั่งยืนดาวโจนส์ (Dow Jones Sustainability Index) (DJSI) ซึ่งเป็นการจัดอันดับความสามารถด้านการสร้างความยั่งยืนที่มีชื่อเสียงในระดับสากล โดยประเมินวิธีปฏิบัติที่องค์กรใช้ในการสร้างคุณค่าทั้งในระยะกลางและระยะยาว (ในแง่สภาพแวดล้อม สังคม ธรรมาภิบาล การจัดการความเสี่ยง เศรษฐกิจใหม่ กลยุทธ์ รวมถึงนวัตกรรม ฯลฯ) พร้อมนำมาเปรียบเทียบกับองค์กรขนาดใหญ่จำนวน 3,400 แห่งที่ได้รับเชิญให้เข้าร่วมการตอบแบบสอบถาม ทั้งนี้ดัชนีชี้วัดความยั่งยืนดาวโจนส์ จะให้การยกย่ององค์กรที่แสดงให้เห็นถึงความเข้าใจอย่างชัดเจนถึงแนวโน้มความยั่งยืนที่เชื่อมโยงกับศักยภาพด้านการเงิน

 

          ทั้งกลยุทธ์ โครงสร้าง โปรแกรม และกระบวนการที่เราสร้างขึ้น นับเป็นการพิสูจน์คุณค่าของเรา ในปีนี้ดัชนีชี้วัดความยั่งยืนดาวโจนส์ ได้ตัดสิน ศักยภาพของชไนเดอร์ อิเล็คทริค ที่โดดเด่นใน 3 เรื่องด้วยกันซึ่งได้รับคะแนนสูงสุด นั่นคือ 100 เต็ม 100 ได้แก่ กลยุทธ์ด้านสภาพภูมิอากาศ การเข้าถึงโปรแกรมพลังงาน (Access to Energy program) และมูลนิธิ รวมถึงการดำเนินการของเราที่เป็น สาระสำคัญ โดยความมีสาระสำคัญนี้นับเป็นบรรทัดฐานใหม่ในการตอบแบบสอบถามปี 2016 โดยเป็นการประเมินความสามารถของบริษัทในการระบุถึงแหล่งที่มาของการสร้างคุณค่าในระยะยาว รวมถึงเข้าใจความเชื่อมโยงระหว่างกรณีธุรกิจและปัญหาระยะยาว พร้อมพัฒนาตัวชี้วัดในระยะยาวและรายงานเรื่องเหล่านี้ต่อสาธารณชน

 

          บทบาทที่โดดเด่นของชไนเดอร์ อิเล็คทริค เน้นย้ำให้เห็นถึงความเป็นผู้นำที่ได้รับการยอมรับเรื่องความสามารถในการสร้างความยั่งยืนทั่วอุตสาหกรรม ซึ่งเป็นตัวบ่งชี้สำคัญถึงจุดยืนของชไนเดอร์ อิเล็คทริคเพื่อเปรียบเทียบกับองค์กรที่ดีที่สุด ทั้งนี้มี 316 องค์กรที่ได้รับการคัดเลือกในงาน DJSI World และอีก 154 องค์กรที่ได้รับคัดเลือกในงาน DJSI Europe ในปีนี้ ซึ่งชไนเดอร์ อิเล็คทริค ได้รับคัดเลือกทั้งในงาน DJSI World และ Europe มาตั้งแต่ปี 2002

เปิดบิ๊กซี สาขา บ้านไผ่ จังหวัดขอนแก่น เป็นไฮเปอร์มาร์เก็ตสาขาที่ 129 ศูนย์กลางช้อปปิ้งจุด ยุทธศาสตร์ของภาคอีสาน เดินหน้าในฐานะ ‘ห้างคนไทย หัวใจคือลูกค้า’

          นายอัศวิน เตชะเจริญวิกุล ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท บิ๊กซี ซูเปอร์เซ็นเตอร์ จำกัด (มหาชน)  เปิดเผยว่า บริษัท บิ๊กซี ซูเปอร์เซ็นเตอร์ฯ ได้เปิดให้บริการ บิ๊กซี สาขา บ้านไผ่ จังหวัดขอนแก่น ซึ่งนับเป็นเป็นไฮเปอร์มาร์เก็ตสาขาที่  129 ของบิ๊กซี มีพื้นที่รวม 11,846 ตารางเมตร โดยจัดสรรเป็นพื้นที่ขายจำนวน 3,842 ตารางเมตร พร้อมด้วยสินค้าหลากหลายในราคาประหยัดกว่า 21,192 รายการ ทั้งอาหารสด อาหารแห้ง เครื่องใช้ภายในบ้าน  ซึ่งบิ๊กซีได้จัดเตรียมทั้งในด้านความหลากหลายของสินค้าที่มีคุณภาพในราคาประหยัด พร้อมการให้บริการตามมาตรฐานระดับประเทศ รวมถึงพื้นที่จอดรถยนต์และจักรยานอีกจำนวน 760 คัน เพื่อที่จะอำนวยความสะดวกในการเลือกซื้อสินค้าที่บิ๊กซี บ้านไผ่ ให้กับพี่น้องชาวบ้านไผ่ และประชาชนในพื้นที่ใกล้เคียง นอกจากนี้บิ๊กซียังได้จัดกิจกรรมส่งเสริมการขายพิเศษต่าง ๆ เพื่อเป็นการสร้างสีสันในการช้อปปิ้งให้กับลูกค้าของเราอย่างต่อเนื่อง

 

          “ทั้งนี้การจับจ่ายของทุกท่านที่บิ๊กซี คือผลตอบแทนกลับสู่ชุมชนในรูปแบบภาษีท้องถิ่นด้วย บิ๊กซีมีนโยบายในการชำระภาษีคืนกลับสู่ท้องถิ่น ในทุกพื้นที่ที่เราไปเปิดให้บริการ เพื่อช่วยพัฒนา ความเจริญให้กับอำเภอบ้านไผ่ จังหวัดขอนแก่น สามารถกระจายรายได้สู่ชุมชนและสนับสนุนรายได้ของท้องถิ่นอีกด้วย” นายอัศวินกล่าว

 

          นอกจากนี้ ยังเป็นการสร้างอาชีพให้กับคนในท้องถิ่นกว่า 117 คน โดยเป็นการจ้างงานในท้องถิ่นถึง 81 คน และมีพนักงานโอนย้ายกลับภูมิลำเนาจำนวน  37 คน นับเป็นการช่วยให้พนักงานได้มีโอกาสได้อยู่ใกล้ชิดกับครอบครัว ช่วยพัฒนาด้านสังคมในภาพรวมของจังหวัดขอนแก่น

 

          การเปิดบิ๊กซี สาขา บ้านไผ่ เป็นไฮเปอร์มาร์เก็ตคืออีกหนึ่งข้อพิสูจน์ของบิ๊กซี ในการนำสินค้าคุณภาพราคาถูกไปยังผู้บริโภคในแต่ละท้องถิ่นทั่วประเทศเพื่อช่วยลดภาระค่าใช้จ่ายและค่าครองชีพให้แก่ประชาชน เราพร้อมที่จะให้ความร่วมมือ สนับสนุนกิจกรรมชุมชนที่เป็นประโยชน์อย่างเต็มกำลัง เพื่อตอกย้ำตำแหน่งของบิ๊กซี ในฐานะห้างคนไทย หัวใจคือลูกค้า ของคนทั่วประเทศ

ดาว คอร์นนิ่ง รุกตลาดเมืองไทย จัดงาน ‘ซิลิโคน ซิตี้’ ขนทัพผลิตภัณฑ์พร้อมโชว์สุดยอดเทคโนโลยีใหม่ในอุตสาหกรรมซิลิโคนเพื่องานก่อสร้าง

          บริษัท ดาว คอร์นนิ่ง (ประเทศไทย) จำกัด ผู้ผลิตกาวซิลิโคนเพื่องานก่อสร้างชั้นนำของโลกและผู้นำนวัตกรรมและเทคโนโลยีที่อาศัยการใช้กาวซิลิโคนเป็นพื้นฐานซึ่งเป็นบริษัทในเครือของ บริษัท ดาว เคมิคอล จัดนิทรรศการและงานประชุมภายใต้ชื่อ ‘ซิลิโคน ซิตี้’ ซึ่งรวบรวมผลิตภัณฑ์ซิลิโคนหลากหลายรายการแบบครบวงจรรวมทั้งจัดแสดงเทคโนโลยีซิลิโคนขั้นสูงสำหรับลูกค้าในอุตสาหกรรมการก่อสร้างและอาคาร

 

          งาน ‘ซิลิโคน ซิตี้’ ของดาว คอร์นนิ่ง เป็นงานเชิงวิชาการที่จัดขึ้นเพื่อให้ความรู้แก่บุคคลากรในวงการอุตสาหกรรมการก่อสร้างและอาคารของประเทศไทยโดยเฉพาะ นอกจากการจัดแสดงกลุ่มผลิตภัณฑ์และเทคโนโลยีซิลิโคนงานก่อสร้างและอาคารแล้ว บริษัทฯ ยังแนะนำโปรแกรมที่มีคุณภาพและบริการด้านการบริหารจัดการโครงการ มีการจัดงานสัมมนาในสองหัวข้อที่กำลังได้รับความนิยมเกี่ยวกับวัสดุก่อสร้างและนำเสนอการใช้ซิลิโคนของดาว คอร์นนิ่ง กับวัสดุต่าง ๆ ที่เป็นผลงานจริงเพื่อตอบสนองความต้องการของตลาดในปัจจุบันและอนาคต รวมทั้ง มีการอภิปรายผลการศึกษาล่าสุดสองประเด็นที่แสดงให้เห็นว่าซิลิโคนเพื่องานเคลือบโครงสร้างของดาว คอร์นนิ่ง มีศักยภาพในการยึดเกาะได้คงทนถาวรยาวนานกว่า 50 ปี

 

          นายฌอง ปอล โฮตีเกียร์ ผู้อำนวยการฝ่ายการตลาดระดับโลกด้านอาคารและการก่อสร้างของ ดาว คอร์นนิ่ง เป็นผู้บรรยายในหัวข้อ “นวัตกรรมซิลิโคนเพื่อสถาปัตยกรรมที่ยั่งยืน” (Silicone innovations for sustainable architecture) ครอบคลุมนวัตกรรมซิลิโคนใหม่ล่าสุดของบริษัทที่ช่วยยกระดับการออกแบบ ความคงทนและยั่งยืนของอาคารที่มีประสิทธิภาพสูง

 

          “ผลิตภัณฑ์ซิลิโคนคุณภาพสูงประเภทต่าง ๆ ของดาว คอร์นนิ่ง เข้าไปมีบทบาทในโครงการก่อสร้างและอาคารสำคัญระดับโลกมาเป็นเวลาหลายปี และในประเทศไทย ดาว คอร์นนิ่ง ก็เป็นซิลิโคนที่ได้รับการยอมรับและใช้งานในวงกว้าง งานซิลิโคน ซิตี้ ในวันนี้จึงนับว่าเป็นเวทีสำคัญที่เราได้มีโอกาสแสดงนวัตกรรมทางเทคโนโลยีเกี่ยวกับซิลิโคนที่สามารถตอบโจทย์ความท้าทายในการก่อสร้าง การออกแบบและสถาปัตยกรรมที่มีความยากและซับซ้อนซึ่งลูกค้ากำลังประสบอยู่ได้อย่างชัดเจน” นายฌอง ปอล โฮตีเกียร์ กล่าว

 

          นายเจย์โรลด์ บอติสา วิศวกรรมอาวุโสด้านวัสดุและผู้เชี่ยวชาญพิเศษด้านเทคนิคบรรยายในหัวข้อ “การยึดเกาะ ด้วยสุดยอดนวัตกรรมซิลิโคนใสราวคริสตัล” โดยได้อธิบายถึงความเป็นไปได้ในการออกแบบกระจกด้านหน้าอาคารภายนอกในรูปแบบใหม่ ๆ ด้วยการใช้ซิลิโคนรุ่นปัจจุบันและเทคโนโลยีแห่งอนาคตที่มีความใสราวคริสตัล

 

          ภายในงานฯ ยังมีการแนะนำเทคโนโลยีซิลิโคนที่เป็นนวัตกรรมใหม่โดยเป็นซิลิโคนสีใสราวคริสตัล ได้แก่ Dow Corning® Transparent Structural Silicone Adhesive (TSSA) สำหรับงานยึดติดกระจกภายนอกอาคารส่วนหน้าที่มีเนื้อใสราวคริสตัล เป็นนวัตกรรมที่ความทนทานและมีแรงยึดเกาะสูงจึงช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการระบายความร้อน Dow Corning® Transparent Structural Silicone Laminate (TSSL) สำหรับงานเคลือบกระจกภายในอาคาร และโครงสร้างภายในต่าง ๆ รวมทั้งบันไดและราวบันได มีความแข็งแรงเป็นพิเศษและมีความยืดหยุ่นรองรับการเคลื่อนไหวของตัวอาคารและการสั่นสะเทือน ผลิตภัณฑ์รายการที่สามที่เปิดตัวในงาน ได้แก่ Dow Corning® 2400 Silicone Assembly Sealant เป็นซิลิโคน วันพาร์ท เซ็ตตัวจากความชื้น หลอมละลายด้วยความร้อนเพื่องานประกอบชิ้นส่วน ยึดเกาะและยาแนวงานโครงสร้างภายในและภายนอกอาคาร ทนต่อรังสีอัลตร้าไวโอเลต หรือ ยูวี และทุกสภาพอากาศและอุณหภูมิได้อย่างยอดเยี่ยม

 

          ภายในงาน มีผู้เชี่ยวชาญด้านเทคนิคของบริษัทฯ ให้คำปรึกษาเกี่ยวกับโครงการก่อสร้างต่าง ๆ ที่กำลังจะเริ่มขึ้น ตลอดจนให้ข้อมูลเกี่ยวกับแนวโน้มและความท้าทายในปัจจุบันในวงการอุตสาหกรรมอาคารและการก่อสร้าง ผู้เข้าร่วมงานฯ ยังได้รับข้อมูลเกี่ยวกับระบบการจัดการโครงการของดาว คอร์นนิ่ง ซึ่งเป็นระบบการเสริมสร้างความปลอดภัยที่มีคุณภาพและข้อมูลความสำเร็จของโครงการเคลือบซิลิโคนต่าง ๆ อีกทั้งยังมีการนำเสนอโปรแกรม Dow Corning’s Quality Bond™ ซึ่งเป็นบริการที่ดาว คอร์นนิ่งริเริ่มขึ้นเพื่อช่วยส่งมอบความรู้ให้กับพันธมิตรในโครงการต่าง ๆ ด้วยการจัดอบรม ตรวจสอบและบริหารจัดการคุณภาพ ทั้งนี้ เพื่อช่วยยกระดับการใช้ซิลิโคนยาแนวสำหรับระบบกรอบอาคารและการติดตั้งแผงกระจกในประเทศไทยให้มีคุณภาพสูงสุด

โครงการส่วนขยายไบเทค ลุยเปิดให้บริการ พ.ย.นี้ ชูพื้นที่ 70,000 ตารางเมตร The Grand METALEX 2016 จ่อคิวประเดิมเป็นงานแรก

          ศูนย์นิทรรศการและการประชุมไบเทค ประกาศความพร้อมเปิดให้บริการโครงการส่วนขยายไบเทค พร้อมเข้าสู่การเป็นหนึ่งในสถานที่จัดงานที่ใหญ่ที่สุดในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ต้อนรับ The Grand METALEX 2016 งานแสดงเครื่องจักรกล เทคโนโลยีโลหะการ และการประชุมระดับนานาชาติใหญ่ที่สุดในอาเซียน จัดโดย บริษัท รี้ด เทรดเด็กซ์ จำกัด ประเดิมเป็นงานแรกใช้พื้นที่เต็ม 100% รวม 10 อีเว้นท์ฮอลล์ คลอบคลุมพื้นที่กว่า 70,000 ตารางเมตร จะจัดขึ้นระหว่างวันที่ 23-26 พฤศจิกายน 2559

 

 

นางสาวปนิษฐา บุรี กรรมการผู้จัดการ ศูนย์นิทรรศการและการประชุมไบเทค

 

           นางสาวปนิษฐา บุรี กรรมการผู้จัดการ ศูนย์นิทรรศการและการประชุมไบเทค เปิดเผยว่า “เมื่อครั้งที่ไบเทคเปิดให้บริการเมื่อปี พ.ศ.2540 บริษัท รี้ด เทรดเด็กซ์  เป็นลูกค้ารายแรกของไบเทคที่จัดแสดงงานเกี่ยวกับโลกแห่งเทคโนโลยี ใช้พื้นที่โถงนิทรรศการจำนวน 4 โถง ครอบคลุมพื้นที่จัดงาน 20,000 ตารางเมตร ในขณะที่อุตสาหกรรมไมซ์มีแนวโน้มการขยายตัวสูงขึ้น ความต้องการของลูกค้าในการจัดงานต่าง ๆ เพิ่มขึ้นตามด้วยเช่นกัน การดำเนินงานก่อสร้างโครงการส่วนขยายไบเทคถือเป็นการขยายโอกาสให้แก่ลูกค้าในการใช้พื้นที่จัดงานเพิ่มขึ้น ซึ่งในปีนี้ขนาดของงาน The Grand METALAX 2016 ได้ขยายใหญ่ขึ้นกว่าเดิม มีการรวบรวมนำเครื่องจักรกลและเทคโนโลยีโลหะการชั้นนำในทุกมิติกว่า 3,300 แบรนด์ จาก 50 ประเทศทั่วโลก มาจัดแสดงอย่างยิ่งใหญ่ ซึ่งคาดว่าจะมีผู้ประกอบการ คู่ค้าทางธุรกิจและผู้ชมงานมากถึง 100,000 คน” 

 

           “โครงการส่วนขยายไบเทค หรือ ไบเทคเฟส 2 เริ่มก่อสร้างเมื่อปี พ.ศ.2556 เป็นการขยายพื้นที่เพิ่มขึ้นเกือบสองเท่าของพื้นที่ปัจจุบัน รวมกว่า 70,000 ตารางเมตร (จากเดิมมีพื้นที่เพียง 38,000 ตารางเมตร และขยายพื้นที่เพิ่มขึ้นอีก 32,000 ตารางเมตร) โดยมอบสิ่งอำนวยความสะดวกในแบบผสมผสานอย่างลงตัวเพื่อสนับสนุนการจัดงานแสดงสินค้าและศูนย์การประชุมระดับโลกในแบบบูรณาการไม่ว่าจะเป็น พื้นที่โซนร้านค้าปลีก โซนร้านอาหาร สถานที่จัดการประชุมระดับโลกที่มีชื่อว่า ภิรัช คอนเวนชั่น เซนเตอร์ รวมถึงอาคารภิรัชทาวเวอร์ แอท ไบเทค ถูกสร้างขึ้นมาเพื่อให้เป็นแลนมาร์คด้านอาคารสำนักงานในระดับภูมิภาค อาคารเกรดเอมาตรฐานระดับดีเยี่ยม ด้วยทำเลที่ตั้งในย่านบางนา ใช้เวลาเพียง 20 นาทีจากสนามบินนานาชาติสุวรรณภูมิ โดยผู้จัดงานและผู้มาชมงานจะได้รับความสะดวกสบายในการเชื่อมต่อที่ดีที่สุดด้วยการเดินทางโดยรถไฟฟ้าบีทีเอสสถานีบางนา ซึ่งจะตอบโจทย์การใช้ชีวิตของคนในยุคปัจจุบันได้อย่างแน่นอน”

 

          นางสาวปนิษฐา กล่าวเพิ่มเติมว่า "โครงการส่วนขยายไบเทคจะช่วยเพิ่มความมั่นใจให้แก่ผู้จัดงาน ผู้จัดแสดงสินค้า และผู้เข้าชมงานในการได้รับสิ่งอำนวยความสะดวกต่าง ๆ อย่างสมบูรณ์แบบ เราเชื่อมั่นว่าพื้นที่ส่วนขยายที่มาพร้อมกับสิ่งอำนวยความสะดวกอันทันสมัยจะเพิ่มความเป็นเลิศให้ไบเทคมากยิ่งขึ้น และกลายเป็นหนึ่งในสถานที่จัดงานไมซ์ชั้นนำในภูมิภาค”

 

ปตท.สผ. เปิดค่าย PTTEP Teenergy ปีที่ 3 ปลูกจิตสำนึกอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม

          นายศิริพงษ์ เฟื่องลิขิต (กลาง) ผู้จัดการอาวุโส ฝ่ายกิจกรรมเพื่อสังคม บริษัท ปตท.สำรวจและผลิตปิโตรเลียม จำกัด (มหาชน) หรือ ปตท.สผ. เป็นประธานในพิธีเปิดค่ายเยาวชน PTTEP Teenergy ปีที่ 3 ตอน หลงป่า นำนักเรียนมัธยมปลายซึ่งผ่านการคัดเลือก จำนวน 100 คน เข้าร่วมกิจกรรมเรียนรู้คุณค่าผืนป่ามรดกโลกกับนักอนุรักษ์แนวหน้าของไทย เพื่อปลูกจิตสำนึกอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม พร้อมเปิดโอกาสให้เยาวชนนำเสนอโครงการเพื่อสิ่งแวดล้อม เพื่อทำประโยชน์ให้กับโรงเรียนหรือชุมชนของตน

 

          พิธีเปิดค่าย PTTEP Teenergy ปีที่ 3 จัดขึ้น ณ ห้องประชุมนนทรี อุทยานแห่งชาติเขาใหญ่ โดยมี นายวิชัย  พรลีแสงสุวรรณ (ที่ 3 จากขวา) ผู้อำนวยการส่วนอุทยานแห่งชาติ สำนักบริหารพื้นที่อนุรักษ์  ที่ 1 ปราจีนบุรี ศาสตราจารย์เกียรติคุณ ดร.พิไล พูลสวัสดิ์ (ที่ 3 จากซ้าย) หัวหน้าโครงการศึกษานิเวศวิทยาของนกเงือก ผศ.ดร.วิจักขณ์  ฉิมโฉม (ที่ 2 จากซ้าย) เลขานุการมูลนิธิศึกษาวิจัยนกเงือก และ นายสัตวแพทย์ ภัทรพล มณีอ่อน หรือหมอล็อต (ที่ 1 จากขวา) นายสัตวแพทย์ประจำกรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่าและพันธุ์พืช ให้เกียรติร่วมงาน

ไอเอฟเอส เปิดตัวเวอร์ชั่นใหม่ของระบบการดำเนินงานอัจฉริยะสำหรับองค์กร (IFS Enterprise Operational Intelligence)

          คุณสมบัติใหม่ได้เสริมความสามารถด้านเวอร์ชวลไลเซชั่นแบบกำหนดได้เอง รวมการใช้งานแบบปลั๊กแอนด์เพลย์ ของไอเอฟเอส แอพพลิเคชั่น และผนวกไอเอฟเอส ไอโอที บิซิเนส คอนเนคเตอร์  

 

 

          ไอเอฟเอส บริษัทผู้ผลิตแอพพลิเคชั่นสำหรับองค์กรระดับโลก เปิดเผย คุณสมบัติที่ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพให้กับผลิตภัณฑ์การดำเนินงานอัจฉริยะสำหรับองค์กรหรือไอเอฟเอส อีโอไอ (IFS Enterprise Operational Intelligence (IFS EOI) ซึ่งเป็นการเปิดตัวครั้งสำคัญและครั้งแรกนับตั้งแต่โซลูชั่นนี้เข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของบริษัทหลังการเข้าซื้อกิจการของบริษัท วิชั่นเวฟส์ (VisionWaves) เมื่อเดือนกรกฎาคม 2558 โดยผลิตภัณฑ์ใหม่นี้ได้นำมาจัดแสดงภายในงานไอเอฟเอส เวิลด์ คอนเฟอเรนซ์ (IFS World Conference 2016) ณ เมืองกอเทนเบิร์ก ประเทศสวีเดน

 

          ไอเอฟเอส อีโอไอ 8.1 (IFS EOI (8.1)) เวอร์ชั่นใหม่จะออกสู่ตลาดในช่วงต้นปี 2560 ซึ่งมาพร้อมประสิทธิภาพที่เพิ่มมากขึ้นมากมาย ได้แก่

 

  • แผนผังแบบกำหนดเอง ลูกค้าสามารถขยายขีดความสามารถด้านการแสดงผลด้วยการรวมภาพวาดหรือภาพประกอบในประเภทต่าง ๆ เข้าด้วยกันและนำมาโอเวอร์เลย์เข้ากับข้อมูลได้อย่างมีประสิทธิภาพ คุณสมบัตินี้ช่วยให้ผู้ใช้สามารถติดตามตรวจสอบประสิทธิภาพได้โดยใช้การแสดงผลภาพที่เกี่ยวข้องกับองค์กร เช่น พิมพ์เขียว แผนผัง หรือรูปภาพของสินทรัพย์ ผ่านทางแพลตฟอร์มไอเอฟเอส อีโอไอ ได้โดยตรง
  • การผสานรวมการทำงานเข้ากับ ไอเอฟเอส แอพพลิเคชั่นส์ (IFS Applications) ขณะนี้ ไอเอฟเอส อีโอไอ ได้ผสานการทำงานเข้ากับแหล่งข้อมูลใน ไอเอฟเอส แอพพลิเคชั่นส์ ในแบบปลั๊กแอนด์เพลย์แล้ว ส่งผลให้ผู้ใช้สามารถพัฒนาโมเดล อีโอไอ ที่สามารถใช้ข้อมูลใน ไอเอฟเอส แอพพลิเคชั่นส์ และให้ข้อมูลที่ลูกค้าสามารถใช้ร่วมกันจากแหล่งข้อมูลเดียวได้อย่างรวดเร็ว
  • ไอโอที (IoT) ผลิตภัณฑ์เวอร์ชั่นใหม่นี้ได้รับการออกแบบให้รองรับการใช้งานไอเอฟเอส ไอโอที บิซิเนส คอนเนคเตอร์ (IFS IoT Business Connector) ซึ่งจะช่วยให้ลูกค้าสามารถใช้ ไอเอฟเอส อีโอไอ เพื่อเชื่อมโยงสิ่งที่ตรวจพบของไอโอที เข้ากับกลยุทธ์ วัตถุประสงค์ เป้าหมาย และประสิทธิภาพทางธุรกิจได้อย่างเหมาะสม
  • การจัดกำหนดการ ขณะนี้ ไอเอฟเอส อีโอไอ สามารถใช้กลไกชั้นนำระดับโลก นั่นคือ ไอเอฟเอส ไดนามิค สแกดิลลิ่ง เอ็นจิ้น (IFS Dynamic Scheduling Engine (DSE)) มาช่วยเสริมประสิทธิภาพให้กับโซลูชั่นการจัดกำหนดการของ ไอเอฟเอส โมบาย เวิร์กฟอร์ซ แมเนจเม้นท์ (IFS Mobile Workforce Management) พร้อมทั้งรองรับโมเดล ข้อมูล และกลไกดำเนินงานที่มีอยู่เดิมได้อย่างมีประสิทธิภาพ นอกจากนี้ ความสามารถด้านการจัดกำหนดการยังช่วยให้ไอเอฟเอส อีโอไอ สามารถดำเนินการวิเคราะห์ตามที่กำหนดในสถานการณ์จำลองทางธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับการจัดกำหนดการได้ด้วย
  • อินเทอร์เฟซผู้ใช้โฉมใหม่ ผลิตภัณฑ์เวอร์ชั่นใหม่นี้ได้รับการปรับปรุงภาพลักษณ์และการใช้งานให้มีความทันสมัยเพื่อเสริมสร้างความพึงพอใจให้กับลูกค้าและยกระดับประสบการณ์การใช้งานของผู้ใช้ให้ดียิ่งขึ้น

 

          ทั้งนี้ ไอเอฟเอส อีโอไอ 8.1 (IFS EOI 8.1) กำลังพัฒนาและทดสอบภายใต้ความร่วมมืออย่างใกล้ชิดกับลูกค้าที่เข้าร่วมโปรแกรม Early Adopter ในสหรัฐอเมริกา นั่นคือ บริษัท เอ็ดเวิร์ดส์ คอมพานีส์ (Edwards Companies)

 

          “เราตัดสินใจเข้าร่วมโปรแกรม Early Adopter ของ ไอเอฟเอส อีโอไอ เนื่องจากต้องการเป็นรายแรกที่ได้รับประโยชน์จากคุณสมบัติใหม่และมีประสิทธิภาพเหล่านี้” นายดีน คิสซอส ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายปฏิบัติการ (ซีโอโอ) ของ บริษัท เอ็ดเวิร์ดส์ คอมพานีส์ กล่าว และว่า “ในฐานะนักพัฒนาอสังหาริมทรัพย์เชิงพาณิชย์และที่พักอาศัย เรามีความสนใจเป็นพิเศษด้านการปรับใช้คุณสมบัติแผนผังแบบกำหนดเองในรูปแบบใหม่นี้ เนื่องจากจะช่วยให้เราสามารถอัพโหลดและแสดงผลแผนผังหรือพิมพ์เขียวไปยังแพลตฟอร์ม อีโอไอได้โดยตรง ทำให้แน่ใจได้ถึงการระบุตำแหน่งที่ง่ายดาย รวมถึงความสามารถด้านการติดตามตรวจสอบและการจัดการที่ครอบคลุม”

 

          “นับตั้งแต่การเข้าซื้อกิจการเมื่อปีที่แล้ว เราได้เพิ่มเงินลงทุนด้านการวิจัยและพัฒนาให้กับไอเอฟเอส อีโอไอ มากถึงสองเท่าและผลิตภัณฑ์เวอร์ชั่นใหม่นี้ถือเป็นดอกผลแรกที่ได้จากการทุ่มเทดังกล่าว” นายแดน แมทธิวส์ ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายเทคโนโลยี (ซีทีโอ) ของบริษัท ไอเอฟเอส กล่าว และว่า “ผมมีความยินดีเป็นอย่างยิ่งที่เราได้มีโอกาสร่วมกันสร้างสรรค์ผลิตภัณฑ์อื่น ๆ ของไอเอฟเอสผ่านการผสานรวมการทำงานเข้ากับไอเอฟเอส แอพพลิเคชั่นส์ ที่มีการเชื่อมโยงกับไอเอฟเอส ไอโอที บิซิเนส คอนเนคเตอร์ รุ่นใหม่ของเรา และยังผสานรวมกลไกด้านการจัดกำหนดการของเราเอาไว้ด้วย”

 

          ศึกษาเพิ่มเติมเกี่ยวกับวิธีที่ IFS Enterprise Operational Intelligence สามารถช่วยองค์กรธุรกิจต่าง ๆ ได้ที่นี่: www.ifsworld.com/corp/solutions/enterprise-operational-intelligence/

 

Sophos ขึ้นแท่นตำแหน่งผู้นำในรายงาน Endpoint Security Suites ในรายงานของนักวิเคราะห์จากฟอร์เรสเตอร์

 

          Sophos (LSE: SOPH) ได้แถลงข่าวว่า ตนเองได้รับการยกย่องให้เป็น ผู้นำ ในรายงานฉบับใหม่ของ Forrester Research ชื่อ The Forrester Wave™: Endpoint Security Suites, Q4 2016 ซึ่งรายงานฉบับนี้ยังให้คะแนน Sophos ในด้านยุทธศาสตร์ผลิตภัณฑ์สูงที่สุดอีกด้วย โดย Forrester ยกให้ผลิตภัณฑ์ Sophos Endpoint Protection เป็น ชุดผลิตภัณฑ์ความปลอดภัยเอนด์พอยต์แบบ SaaS ที่เหมาะกับระดับองค์กรมากที่สุด รายงานนี้ยังย้ำด้วยว่า ผู้ซื้อผลิตภัณฑ์ดังกล่าวจะชื่นชอบอินเทอร์เฟซการบริหารจัดการที่สะดวกสบาย ที่มาพร้อมกับความยืดหยุ่น และการรองรับการเปลี่ยนขนาดของระบบอย่างคล่องตัว ซึ่งเป็นความต้องการหลักในการติดตั้งสำหรับเกือบทุกองค์กร ทั้งขนาดเล็กและขนาดใหญ่ Forrester ยังพบด้วยว่า ลูกค้าส่วนใหญ่ของ Sophos พึงพอใจในระดับสูงมาก โดยเฉพาะกับประสิทธิภาพของผลิตภัณฑ์

 

          Forrester ประเมินผู้จำหน่ายผลิตภัณฑ์ 15 ราย โดยใช้เกณฑ์การให้คะแนน 25 รายการ และแบ่งกลุ่มความสามารถของผู้จำหน่ายออกตามความต้องการหลัก 3 ประการ ได้แก่: การป้องกัน, ตรวจจับ, และฟื้นฟูหลังการโจมตี โดยรายงานฉบับนี้แนะนำลูกค้าให้พิจารณาความสามารถของผู้จำหน่ายก่อนตัดสินใจซื้อ โดยเฉพาะในเรื่องของ:

 

  • การป้องกันมัลแวร์และการใช้ประโยชน์จากช่องโหว่
  • การตรวจจับกิจกรรมที่เป็นอันตรายหลังจากมัลแวร์เริ่มทำงาน
  • การฟื้นฟูและจำกัดบริเวณกิจกรรมที่เป็นอันตราย กับช่องโหว่ที่มีความเสี่ยง

 

          รายงานนี้ยังได้รวมเอาผู้จำหน่ายที่มีผลิตภัณฑ์ที่ความสามารถตรงตามรายการข้างต้น และได้แสดงศักยภาพในตลาดระดับองค์กรมาแล้วว่า โซลูชั่นดังกล่าวได้รับความสนใจในระดับสูงจากลูกค้าระดับองค์กร

 

          ในรายงานฉบับนี้ Forrester ยังได้ประเมินยุทธศาสตร์ของผู้จำหน่าย โดยแบ่งเกณฑ์ด้านยุทธศาสตร์ที่จะให้คะแนนออกเป็นด้านโมเดลค่าใช้จ่ายและการซื้อไลเซนส์, โร้ดแมปของผลิตภัณฑ์, และการพัฒนาผลิตภัณฑ์ออกสู่ตลาด Forrester กล่าวย้ำว่า “ในตลาดที่เต็มไปด้วยเทคโนโลยีความปลอดภัยเอนด์พอยต์ทั้งเก่าและใหม่นั้น โร้ดแมปของ Sophos ที่ต้องการพัฒนาระบบการป้องกันและตรวจจับอันตรายแบบไม่ใช้ซิกเนเจอร์ ซึ่งมีประสิทธิภาพแข็งแกร่ง จะทำให้ผลิตภัณฑ์ของ Sophos มีศักยภาพสูงมากในการแข่งกับตลาดในระยะยาว”

 

          Sophos Intercept X เป็นผลิตภัณฑ์ความปลอดภัยเอนด์พอยต์แบบ Next-Gen ที่หยุดยั้งมัลแวร์แบบ Zero-Day, ช่องโหว่ที่ไม่ทราบมาก่อนต่าง ๆ, และการซุ่มโจมตีแบบเงียบ ๆ รวมทั้งยังมีฟีเจอร์ต่อต้านแรนซั่มแวร์ระดับสูง ที่สามารถตรวจจับแรนซั่มแวร์ที่ไม่รู้จักมาก่อนได้ภายในไม่กี่วินาที Sophos Intercept X สามารถติดตั้งพร้อมกับซอฟต์แวร์ความปลอดภัยเอนด์พอยต์จากผู้จำหน่ายรายอื่นได้ ซึ่งจะช่วยยกระดับการปกป้องเอนด์พอยต์ด้วยการตรวจจับแบบไม่ต้องพึ่งพาซิกเนเจอร์ ปัจจุบัน Sophos Intercept X สามารถโหลดได้ และเรียกดูข้อมูลเพิ่มเติมได้จากเว็บไซต์ https://www.sophos.com/en-us/products/intercept-x.aspx

 

 

แดน ชิอัปปา รองประธานอาวุโส และผู้จัดการทั่วไปของกลุ่มผลิตภัณฑ์ความปลอดภัยของผู้ใช้ปลายทางของ Sophos

 

          “การศึกษาครั้งนี้ ได้ประเมินผู้จำหน่ายผลิตภัณฑ์ความปลอดภัย ทั้งแบบเก่าและแบบ Next-Gen โดยใช้เกณฑ์ให้คะแนนแบบเดียวกัน การวางตำแหน่งด้านยุทธศาสตร์ของ Sophos ไว้สูงสุดแสดงให้เห็นว่า Sophos ได้เป็นผู้นำในการเลือกใช้เทคโนโลยีแบบ Next-Gen กับสายผลิตภัณฑ์ด้านการปกป้องเอนด์พอยต์” แดน ชิอัปปา รองประธานอาวุโส และผู้จัดการทั่วไปของกลุ่มผลิตภัณฑ์ความปลอดภัยของผู้ใช้ปลายทางของ Sophos กล่าว “ผมเชื่อว่าตำแหน่ง “ผู้นำ” ที่เราได้รับในรายงานฉบับนี้ ถือเป็นหลักฐานสำคัญที่แสดงว่า Sophos ได้พยายามประเมินสถานการณ์ความปลอดภัยที่มีการเปลี่ยนแปลงตลอดนั้นอย่างสม่ำเสมอ และคอยฟังความต้องการของลูกค้าเพื่อพัฒนาผลิตภัณฑ์ความปลอดภัยเอนด์พอยต์ที่มีประสิทธิภาพ ที่ให้มากกว่าความคาดหวังที่มี ทั้งในด้านการปกป้อง และความสามารถในการจัดการ ผมภูมิใจที่ลูกค้าของเราได้รับประโยชน์จากเทคโนโลยี และยุทธศาสตร์ผลิตภัณฑ์ที่อยู่ในระดับชั้นนำของตลาด ทั้งในการติดตั้งแบบภายในองค์กร และแบบ SaaS ผ่านแพลตฟอร์มจัดการบนคลาวด์อย่าง Sophos Central รวมถึงความสามารถของเราในการส่งต่อผลิตภัณฑ์ความปลอดภัยนวัตกรรมใหม่ให้แก่องค์กรได้ทุกขนาด”

แอลจี ร่วมปลูกป่าชายเลน อนุรักษ์วาฬบรูด้าแห่งอ่าวไทย

          คุณนิพนธ์ วงษ์แสงอรุณศรี (ที่ 3 จากขวา) ผู้อำนวยการฝ่ายการตลาด บริษัท แอลจี อีเลคทรอนิคส์ (ประเทศไทย) จำกัด นำทีมเหล่าพนักงานจิตอาสากว่า 40 คน จัดกิจกรรม ‘Life’s Good, Life Saving’ คืนชีวิตสู่ธรรมชาติ คืนวาฬสู่ทะเล ร่วมปลูกป่าชายเลนราว 600 ต้น เพื่อฟื้นฟูแหล่งอาหารของวาฬบรูด้า และช่วยปรับปรุงระบบนิเวศโดยรอบให้กลับคืนสู่สมดุล ณ สถานีพัฒนาทรัพยากรป่าชายเลนที่ 6 อำเภอบ้านแหลม จังหวัดเพชรบุรี

ทรานสคอสมอส (ประเทศไทย) ยกระดับประสิทธิภาพและขยายงานบริการ โดยจับมือกับผู้นำแห่งวงการ อวาย่าและเทคแมทริกซ์ เพื่อเสริมทัพการบริหารศูนย์คอนแท็คเซ็นเตอร์

          การเลือกใช้ FastHelp5 จากเทคแมทริกซ์และ Avaya Contact Center Select จากอวาย่าทำให้ศูนย์ปฏิบัติการธุรกิจมีความสะดวกง่ายดายในการดำเนินงาน พร้อมรองรับงานบริการจากหลากหลายช่องทาง รวมถึงการให้บริการลูกค้าที่เปี่ยมคุณภาพแบบเรียลไทม์

 

          เทคแมทริกซ์ คอร์ปอเรชั่น (เทคแมทริกซ์) และ อวาย่า ญี่ปุ่น (อวาย่า) แถลงข่าวร่วมกันว่า บริษัท ทรานสคอสมอส (ประเทศไทย) จำกัด ซึ่งเป็นบริษัทในเครือของ ผู้ให้บริการเอาท์ซอร์สคอนแท็คเซ็นเตอร์ที่ใหญ่ที่สุดของญี่ปุ่น ได้ติดตั้งโซลูชั่นแบบครบวงจรที่ผสานระบบ CRM FastHelp5 ของเทคแมทริกซ์ เข้ากับโซลูชั่นทางด้านคอนแท็คเซ็นเตอร์ Avaya Contact Center Select (ACCS) ของอวาย่า

 

          การผสานระบบ CRM FastHelp5 ของเทคแมทริกซ์ เข้ากับโซลูชั่น Avaya Contact Center Select (ACCS) ของอวาย่าจะส่งผลให้ ทรานสคอสมอส (ประเทศไทย) สามารถเปิดให้บริการแบบครบวงจร เพื่อสนับสนุนงานบริการเอาท์ซอร์สต่าง ๆ ให้กับธุรกิจของบริษัทไทย รวมทั้งบริษัทญี่ปุ่นและบริษัทข้ามชาติที่ตั้งอยู่ในประเทศไทย นับตั้งแต่เปิดดำเนินงานอย่างเป็นทางการในเดือนกรกฎาคม 2559 ที่ผ่านมา

 

          "ทรานสคอสมอส (ประเทศไทย) มุ่งหวังที่จะจัดหาและดำเนินธุรกิจงานให้บริการลูกค้าที่มีคุณภาพสูงสำหรับตลาดคอนแท็คเซ็นเตอร์ที่มีการเติบโตอย่างรวดเร็วในประเทศไทย และเพื่อให้บรรลุเป้าประสงค์นี้  บริษัทต้องมีระบบงานที่มีความยืดหยุ่นสูง รวมทั้งมีประสิทธิภาพในการบริหารต้นทุนและค่าใช้จ่ายที่ดีเลิศ" กล่าวโดย ไดสุเกะ ยานากาวา รองประธานอาวุโสของทรานสคอสมอส (ประเทศไทย) "ระบบ FastHelp5 และ ACCS ได้รับการคัดเลือกให้เป็นโซลูชั่นที่จะตอบสนองความต้องการดังกล่าวนี้ ซึ่งทั้งระบบ FastHelp5 และ ACCS ต่างก็มีคุณสมบัติและข้อดีที่โดดเด่นอย่างมากเมื่อนำไปใช้แบบเอกเทศ และเมื่อนำมาใช้งานร่วมกันก็ยิ่งสร้างผลสัมฤทธิ์ที่ช่วยเสริมประสิทธิภาพการทำงานที่เหนือชั้นยิ่งขึ้น ไม่ว่าจะเป็นการให้บริการแบบ one-to-one marketing และการตอบรับลูกค้าที่มีความคล่องตัวมากยิ่งขึ้น เราประสบผลสำเร็จอย่างดีเยี่ยมโดยวัดจากประสิทธิภาพการปฏิบัติงานที่เพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ"

 

          เทคแมทริกซ์ และอวาย่า ญี่ปุ่น ลงนามในข้อตกลงเป็นตัวแทนจำหน่ายร่วมกันเมื่อวันที่ 1 กุมภาพันธ์ 2555 และตั้งแต่นั้นมาทั้งสองบริษัทได้ทำการตลาดร่วมกัน โดยการผสานระบบ CRM ของเทคแมทริกซ์รุ่นล่าสุด FastHelp5 เข้ากับโซลูชั่นทางด้านคอนแท็คเซ็นเตอร์ของอวาย่าญี่ปุ่น ACCS ส่งผลให้เขาสามารถนำเสนอระบบตอบรับโทรศัพท์อัตโนมัติแบบครบวงจร (Computer Telephony Integration-CTI) ซึ่งเป็นระบบที่สร้างสรรค์ประสบการณ์ที่ดีที่สุดสำหรับลูกค้าและครอบคลุมธุรกิจทุกขนาด

 

          FastHelp5 คือระบบ CRM ของเทคแมทริกซ์ ที่ออกแบบมาสำหรับศูนย์คอนแท็คเซ็นเตอร์ล้ำยุค และพัฒนาขึ้นจากประสบการณ์ ความเชี่ยวชาญ และเทคโนโลยีของบริษัทที่สั่งสมมานานกว่า 20 ปี ยูสเซอร์อินเตอร์เฟซที่เข้าใจง่ายและให้สมรรถภาพในการปฏิบัติงานที่ดีเยี่ยม ระบบมาตรฐานมาพร้อมกับฟีเจอร์หลากหลายที่เหมาะสมกับการใช้งาน อาทิเช่น การสนับสนุนการตอบรับลูกค้าและการแจ้งเตือนต่าง ๆ ซึ่งไม่เพียงแต่ปรับปรุงการบริหารจัดการข้อมูลและคำถามของลูกค้า แต่ยังเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานของผู้ใช้โดยรวม ระบบให้ทั้งความยืดหยุ่นสูงและเปิดการทำงานตลอดเพื่อสนับสนุนขนาดของศูนย์คอนแท็คเซ็นเตอร์ที่แตกต่างกัน ไม่ว่าจะเป็นศูนย์บริการขนาดเล็กไปจนถึงขนาดใหญ่

 

          Avaya ACCS คือโซลูชั่นทางด้านคอลเซ็นเตอร์ที่มีความยืดหยุ่นสูงและสามารถปรับ-ลดขนาดระบบได้ตามต้องการ ซึ่งรองรับได้ตั้งแต่ศูนย์คอลเซ็นเตอร์ขนาดเล็กที่มีเอเจนท์ประมาณ 10 คนไปจนถึงสูงสุด 250 คน เพราะระบบให้การรองรับการสื่อสารหลากหลายช่องทาง ไม่เพียงแต่ทางโทรศัพท์อย่างเดียว แต่ยังรวมถึง อีเมล แชท และข้อความ ช่วยให้ธุรกิจสามารถติดต่อลูกค้าผ่านช่องทางต่าง ๆ ได้อย่างคล่องตัว ด้วยการสร้างแพลตฟอร์มการสื่อสารที่ตรงกับความต้องการของลูกค้าอย่างครอบคลุม ธุรกิจต่าง ๆ จึงไม่พลาดหรือสูญเสียโอกาสทางธุรกิจที่สำคัญไปอย่างน่าเสียดาย

สกว.พัฒนาเอนไซม์-โปรตีนมาร์คเกอร์ ดันนักวิจัยรุ่นใหม่ตั้งบริษัทสตาร์ทอัพ

          เมธีวิจัยอาวุโส สกว. เผยผลงานพัฒนาเอนไซม์ใช้ประโยชน์ในด้านการแพทย์ พลังงาน อุตสาหกรรม และคิดค้นโปรตีนมาร์คเกอร์คุณภาพเทียบเคียงต่างประเทศเพื่อลดการนำเข้า และสร้างมูลค่าทางเศรษฐกิจให้ประเทศ พร้อมผลักดันนักวิจัยรุ่นใหม่ร่วมกันจัดตั้งบริษัทสตาร์ทอัพ

 

          ศ.ดร.พิมพ์ใจ ใจเย็น (คนที่ 2 จากขวา) เมธีวิจัยอาวุธโส สกว. สังกัดภาควิชาชีวเคมี คณะวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล เปิดเผยถึงความก้าวหน้าของงานวิจัยเกี่ยวกับเอนไซม์และการนำไปใช้ประโยชน์ในด้านต่าง ๆ ในการประชุมประจำปี 2559 ทุนส่งเสริมกลุ่มวิจัย หัวข้อ “ระบบเอนไซม์ในการเร่งปฏิกิริยาเคมีโดยกลไกทางชีวภาพและอุตสาหกรรมเคมีชีวภาพ (Enzymes Systems Biocatalysis and Biorefinery) ซึ่งได้รับการสนับสนุนจากฝ่ายวิชาการ สกว. รวมถึงการส่งเสริมนักวิจัยภายในกลุ่มวิจัยให้จัดตั้งบริษัทสตาร์ทอัพ

 

          ผลจากงานวิจัยเรื่อง “การศึกษาการเร่งปฏิกิริยาของเอนไซม์” พบว่าเอนไซม์ที่ศึกษาอยู่ทุกตัวสามารถนำมาประยุกต์ใช้ประโยชน์ในด้านต่าง ๆ รวม 4 ด้านด้วยกัน ประกอบด้วย 1.กลุ่มเอนไซม์ที่มีประโยชน์ในการเร่งปฏิกิริยาการสังเคราะห์ผลิตภัณฑ์ทางยาหรือสารเคมีที่มีมูลค่าสูง ซึ่งจะช่วยให้กระบวนการผลิตใช้เทคโนโลยีสะอาด 2.กลุ่มเอนไซม์ที่มีประโยชน์ในกระบวนการเปลี่ยนผลผลิตเหลือใช้จากการเกษตรให้เป็นสารเคมีหรือพลังงานที่มีประโยชน์ เพื่อเพิ่มความยั่งยืนของภาคการผลิตในประเทศไทย และยังเป็นแหล่งพลังงานทางเลือก 3.กลุ่มเอนไซม์ที่มีประโยชน์ในการประยุกต์ใช้เป็นตัวตรวจวัดชีวภาพ ได้แก่ เอนไซม์ luciferase จากเชื้อแบคทีเรีย Vibrio Campbellii และ Photobacterium Leiognathi ที่แยกได้จากทะเลไทย มีประโยชน์ในการใช้เป็นเครื่องมือในการตรวจวัดและการวินิจฉัยการแสดงออกของยีน และ 4.กลุ่มเอนไซม์ที่เป็นเป้าหมายใหม่สำหรับยาต้านเชื้อมาลาเรีย เพื่อคัดเลือกหาตัวยับยั้งปฏิกิริยาที่มีประสิทธิภาพ อาจสามารถนำไปสู่การค้นพบยาต้านมาลาเรียตัวใหม่

 

          เมธีวิจัยอาวุโส สกว. ระบุว่า จากประสบการณ์และความชำนาญทางด้านงานวิจัยที่เกี่ยวกับเอนไซม์ผ่านมา ทำให้มีผลงานวิจัยระดับชาติและนานาชาติเป็นจำนวนมาก นอกจากนี้ทางกลุ่มวิจัยยังได้คิดค้นนวัตกรรมที่มีประโยชน์กับนักวิจัยไทย โดยผลิตภัณฑ์แรกที่ได้จากกลุ่มวิจัย คือ โปรตีนมาร์คเกอร์ ด้วยเหตุนี้จึงทำให้เกิดสตาร์ทอัพของกลุ่มศิษย์เก่าและศิษย์ปัจจุบันในนามของบริษัท เอนซมาร์ท ไบโอเทค จำกัด ซึ่งบริษัทดังกล่าวได้ผลิตโปรตีนมาร์คเกอร์ที่ผลิตขึ้นเองภายในประเทศไทย ทำให้นักศึกษา อาจารย์ นักวิจัย สามารถสั่งซื้อได้ในราคาที่ถูกลง ลดระยะเวลาในการสั่งซื้อ และยังคงมีคุณภาพเทียบเคียงกับต่างประเทศ

 

          ทั้งนี้โปรตีนมาร์คเกอร์เป็นโปรตีนมาตรฐานที่มีความจำเป็นสำหรับห้องปฏิบัติการวิทยาศาสตร์ชีวภาพ งานวิเคราะห์คุณภาพอาหาร และงานทางการแพทย์ที่มีการศึกษาและวิเคราะห์โปรตีน ซึ่งที่ผ่านมาโปรตีนมาร์คเกอร์เป็นหนึ่งในสินค้าที่ต้องนำเข้าจากต่างประเทศทั้งหมดผ่านตัวแทนจำหน่ายในไทย ทำให้มีราคาสูงและต้องใช้ระยะเวลานานในการสั่งซื้อ ส่งผลกระทบต่อการศึกษาและวิจัย นอกจากนี้บริษัท เอนซมาร์ท ไบโอเทค จำกัด ยังมีแผนในการผลิตผลิตภัณฑ์ที่เกี่ยวกับงานทางด้านวิจัย เช่น ชุดตรวจวิเคราะห์เอนไซม์เพื่อนักวิจัยไทยและต่างชาติ

 

          “โปรตีนมาร์คเกอร์เป็นผลงานประดิษฐ์ชิ้นแรกของบริษัท เอนซมาร์ท ไบโอเทค จำกัด จึงเป็นตัวอย่างของการดำเนินการวิจัยพื้นฐานที่นำไปสู่ความต้องการของตลาดวิจัยไทยที่สามารถนำไปใช้ได้จริง และเป็นส่วนหนึ่งในการส่งเสริมให้มีการนำความรู้ทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีมาพัฒนาต่อยอดสร้างมูลค่าเพิ่มทางเศรษฐกิจให้ประเทศ ส่งเสริมการพึ่งพาตนเอง ลดการนำเข้า ทำให้เกิดการจ้างงาน อีกทั้งยังส่งเสริมการเป็นผู้ประกอบการในหมู่นักวิจัยรุ่นใหม่ อันเป็นส่วนหนึ่งของการส่งเสริมนโยบายประเทศไทย 4.0 ของรัฐบาลปัจจุบัน” เมธีวิจัยอาวุโส สกว. กล่าวสรุป

บีเอ็มดับเบิลยู กรุ๊ป ประเทศไทย มุ่งหน้าสู่มอเตอร์ เอ็กซ์โป 2016

          บีเอ็มดับเบิลยู ประเทศไทย นำโดย มร.ลาร์ส นีลเซ่น (ที่ 2 จากซ้าย) ผู้อำนวยการฝ่ายขายและการตลาด คุณเศรษฐิพงศ์ อนุตรโสตถิ (ที่ 2 จากขวา) ผู้จัดการทั่วไปฝ่ายการตลาด และคุณโอภาส นพพรพิทักษ์ (ซ้ายสุด) ผู้เชี่ยวชาญด้านผลิตภัณฑ์ พร้อมด้วย คุณกฤษดา อุตตโมทย์ (ขวาสุด) ผู้อำนวยการฝ่ายสื่อสารกิจการองค์กร บีเอ็มดับเบิลยู กรุ๊ป ประเทศไทย ตอกย้ำความเป็นผู้นำด้านเทคโนโลยีแห่งยนตรกรรมระดับพรีเมียม ด้วยการเผยนวัตกรรมยานยนต์และข้อเสนอพิเศษต่าง ๆ ของงาน Thailand International Motor Expo 2016 ที่จะจัดขึ้นในเดือนธันวาคม

ยิปรอคจัดงานสัมมนา “Gyproc Safe & Sound” กระชับมิตรกับกลุ่มสถาปนิกชั้นนำ

          บริษัท ไทยผลิตภัณฑ์ยิบซั่ม จำกัด (มหาชน) ผู้ผลิตนวัตกรรมยิปซัมคุณภาพสูงแบรนด์ ยิปรอค และผู้ให้บริการโซลูชั่นส์ระบบผนังและฝ้าครบวงจรมากว่า 45 ปี จัดงานสัมมนาเพื่อกระชับความสัมพันธ์กับกลุ่มสถาปนิกในธุรกิจการออกแบบและการก่อสร้างของเมืองไทย ภายใต้หัวข้อ “Gyproc Safe & Sound” ณ โรงแรมเดอะ เซนต์ รีจิส กรุงเทพฯ โดยมีจุดประสงค์เพื่อให้สถาปนิกมีความเข้าใจในผลิตภัณฑ์และโซลูชั่นส์ของยิปรอค ในด้านการทนไฟและการป้องกันเสียงรบกวนอย่างครบถ้วน สำหรับนำไปใช้ในการออกแบบและการตกแต่งอาคารอย่างมีประสิทธิภาพ

 

          มร.ริชาร์ด จูเชรี (ที่ 3 จากขวา) กรรมการผู้จัดการ บริษัท ไทยผลิตภัณฑ์ยิบซั่ม จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า “ยิปรอค เล็งเห็นถึงโอกาสในการเติบโตอย่างมีศักยภาพภายใต้การสนับสนุนของกลุ่มสถาปนิกชั้นนำของประเทศไทย เนื่องจากอุตสาหกรรมการก่อสร้างในไทยมีการเติบโตอย่างต่อเนื่อง เราจึงปรับเปลี่ยนกลยุทธ์ทางธุรกิจเพื่อตอบสนองความต้องการของกลุ่มสถาปนิกชั้นนำ ทั้งในด้านการออกแบบ การก่อสร้าง และการบูรณะโครงการต่าง ๆ อย่างครอบคลุม โซลูชั่นส์ของเราได้นำเสนอนวัตกรรมร่วมกับรูปแบบการก่อสร้างที่มีคุณภาพ ความปลอดภัย ตลอดจนการให้ความสำคัญกับการใช้ทรัพยากรอย่างคุ้มค่าและและการรีไซเคิล ทั้งนี้เราขอขอบคุณสถาปนิกทุกท่านสำหรับการเข้าร่วมการสัมมนาครั้งนี้ และหวังเป็นอย่างยิ่งว่าจะได้มีโอกาสจัดงานสัมมนาที่มีประโยชน์เช่นนี้ต่อไป”

 

          งานสัมมนาดำเนินรายการโดยผู้บรรยายชื่อดัง ดร. กฤษฎา วิวัฒน์เวคิน ผู้เชี่ยวชาญด้านการออกแบบระบบเสียงและโสตทัศนะ ซึ่งได้มาร่วมบรรยายในหัวข้อ ระบบเสียงสำหรับการออกแบบอาคาร (Acoustics for Building Design) ในฐานะผู้ที่ทำงานเกี่ยวข้องกับระบบเสียง การควบคุมเสียงรบกวน และการออกแบบระบบโสตทัศนะให้แก่โรงแรม หอประชุม ห้องประชุม ศูนย์การประชุม และสตูดิโอจำนวนหลายแห่ง นอกจากนี้ พ.ต.ท.ดร.บัณฑิต ประดับสุข อุปนายกสมาคมสถาปนิกสยามฯ ในพระบรมราชูปถัมภ์  ยังให้เกียรติมาร่วมบรรยายในหัวข้อ การออกแบบอาคารเพื่อลดความเสี่ยงด้านอัคคีภัย (Building Design to Reduce Fire Risk) ในฐานะนักออกแบบอาคารและระบบป้องกันอัคคีภัยที่มีชื่อเสียง  

 

          ภายในงานสัมมนา ยิปรอคได้นำเสนอผลิตภัณฑ์ที่มีคุณสมบัติทนไฟและป้องกันเสียงรบกวนหลายรายการแก่ผู้เข้าร่วมงาน ได้แก่ Gyproc® HabitoTM ผนังยิปซัมรูปแบบใหม่ที่แข็งแกร่งทนทานเป็นเลิศ พร้อมคุณสมบัติป้องกันการกระแทก ป้องกันเสียงได้อย่างดีเยี่ยม และติดตั้งได้ง่าย, GypWall® Sound MAXX ระบบผนังยิปซัมที่ป้องกันการส่งผ่านเสียงได้อย่างมีประสิทธิภาพ สำหรับการก่อผนังใหม่แบบดรายวอลล์, GypLyner® Sound MAXX ระบบผนังที่ช่วยเสริมประสิทธิภาพการป้องกันความร้อน และเสียงรบกวนสำหรับการก่อผนังทึบ, Gyptone Reflex Guard ระบบฝ้าเพดานที่ออกแบบมาเพื่อดูดซับเสียงสะท้อน ช่วยลดระดับเสียงที่ดังเกินไปและเสียงแทรกที่ไม่พึงประสงค์ และ Fire Stop Board แผ่นยิปซัมทนไฟที่ประกอบด้วยสารประกอบยิปซัม ผสมกับแกนกลางไฟเบอร์กลาสและไมโครซิลิกา ทำให้สามารถทนไฟได้นาน 13 ชั่วโมง

3 โรงงานของ ดาว ประเทศไทย รับโล่รับรองโรงงานอุตสาหกรรมเชิงนิเวศ

          กลุ่มบริษัท ดาว ประเทศไทย รับโล่รับรองโรงงานอุตสาหกรรมเชิงนิเวศ (Eco Factory) ในงานสัมมนาวิชาการประจำปี Eco Innovation and Solution 2016 ซึ่งจัดโดยสถาบันสิ่งแวดล้อมอุตสาหกรรม สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย โดยมี ดร.อรรชกา สีบุญเรือง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม เป็นผู้มอบโล่ให้กับ 3 โรงงานของกลุ่มบริษัท ดาว ประเทศไทย ได้แก่ โรงงานสไตรีนโมโนเมอร์และเอทิลเบนซีน (บริษัท สยามสไตรีนโมโนเมอร์ จำกัด) โรงงานสไตรีน-บิวทาไดอีน เลเท็กซ์ (บริษัท สยามเลเทกซ์สังเคราะห์ จำกัด)  และโรงงานโพลิสไตรีน (บริษัท สยามโพลีสไตรีน จำกัด) ณ ศูนย์นิทรรศการและการประชุมไบเทค บางนา ทั้งนี้ นับตั้งแต่ปี 2558 มีโรงงานของกลุ่มบริษัท ดาว ประเทศไทย ที่ผ่านการรับรองโรงงานอุตสาหกรรมเชิงนิเวศแล้วทั้งสิ้น 8 โรงงาน

 

          โล่รับรองโรงงานอุตสาหกรรมเชิงนิเวศ หรือ Eco Factory เป็นเกณฑ์รับรองประสิทธิภาพการดำเนินงานขององค์กร ซึ่งมุ่งเน้นในเรื่องของการพัฒนาปรับปรุงกระบวนการผลิตและการบริหารจัดการสิ่งแวดล้อมบนพื้นฐานของความรับผิดชอบต่อสังคมทั้งภายในและภายนอกองค์กร ตลอดโซ่อุปทานอย่างต่อเนื่องและยั่งยืน

กพร. รุกใช้อากาศยานไร้คนขับยกระดับการกำกับดูแลเหมืองแร่ นำร่องในพื้นที่เหมืองหินปูนและเหมืองแร่ยิปซัม

          กรมอุตสาหกรรมพื้นฐานและการเหมืองแร่ (กพร.) กระทรวงอุตสาหกรรม รุกใช้เทคโนโลยีอากาศยานไร้คนขับในงานตรวจสอบและกำกับดูแลเหมืองแร่ เพิ่มประสิทธิภาพการทำงานและลดความเสี่ยงในการปฏิบัติงานบริเวณพื้นที่อันตรายเช่นบริเวณหน้าผาสูงชันในบ่อเหมืองที่มีการทำงานของเครื่องจักรขนาดใหญ่อีกทั้งช่วยลดต้นทุนการใช้ทรัพยากรต่าง ๆ ในการตรวจสอบและกำกับดูแลเหมืองแร่  ทั้งนี้ อากาศยานไร้คนขับสามารถทำการรังวัดภาคสนาม และประมวลผลข้อมูลภาพถ่ายทางอากาศ โดยภาพถ่ายทางอากาศที่ได้จะถูกนำมาคำนวณความสูงและพิกัดของพื้นที่เพื่อนำไปใช้ในการสร้างแผนที่ แบบจำลองภูมิประเทศ และการคำนวณปริมาตรพื้นดินที่ถูกขุดตักจากการทำเหมือง อย่างไรก็ดี ข้อมูลที่ได้จากการใช้อากาศยานไร้คนขับจะเป็นข้อมูลแบบเป็นปัจจุบัน (Real Time) สามารถใช้ประกอบการตัดสินใจและแก้ปัญหาได้ทันต่อสถานการณ์ พร้อมนำร่องใช้ในเหมืองหินปูน เหมืองแร่ยิปซัม เหมืองแร่แคลไซต์ และเหมืองแร่ทองคำ ซึ่งรวมเป็นพื้นที่ประทานบัตรประมาณ 50 แปลง

               

          นายสมบูรณ์ ยินดียั่งยืน รองอธิบดีกรมอุตสาหกรรมพื้นฐานและการเหมืองแร่ รักษาราชการแทนอธิบดีกรมอุตสาหกรรมพื้นฐานและการเหมืองแร่ กล่าวว่า ปัจจุบันเทคโนโลยีเข้ามามีบทบาทกับทุกภาคอุตสาหกรรมเช่นเดียวกันกับอุตสาหกรรมเหมืองแร่ที่ต้องอาศัยการใช้เทคโนโลยีในการกำกับดูแล เนื่องจากการดำเนินงานกำกับดูแลการประกอบการเหมืองแร่พบข้อจำกัดด้านงบประมาณและบุคลากร ทำให้ไม่สามารถดำเนินการตรวจสอบและกำกับดูแลการประกอบการเหมืองแร่ได้อย่างทั่วถึงและมีประสิทธิภาพเท่าที่ควร ทั้งในแง่ของการควบคุมการทำเหมืองให้ถูกต้องตามเงื่อนไขที่กำหนดไว้ในใบอนุญาต และควบคุมการลักลอบทำเหมืองโดยผิดกฎหมาย

               

          นายสมบูรณ์ กล่าวต่อว่า จากปัญหาดังกล่าวกรมอุตสาหกรรมพื้นฐานและการเหมืองแร่จึงได้มีการนำเทคโนโลยีการรังวัดสำรวจด้วยอากาศยานไร้คนขับ (Unmanned Aerial Vehicle: UAV หรือ DRONE) มาใช้สนับสนุนในการตรวจสอบกำกับดูแลกิจการการทำเหมืองแร่ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการปฏิบัติงาน ขจัดปัญหาการเข้าถึงพื้นที่ที่เข้าถึงยาก หรือพื้นที่เสี่ยงอันตราย เช่น บริเวณหน้าผาสูงชัน หรือในบ่อเหมืองที่มีการทำงานของเครื่องจักรขนาดใหญ่อีกทั้งข้อมูลที่ได้จากการสำรวจเป็นข้อมูลแบบเป็นปัจจุบัน (Real time) สามารถช่วยในการตัดสินใจหรือแก้ปัญหาตามสถานการณ์ได้อย่างทันท่วงที  ทั้งนี้ การปฏิบัติงานสำรวจรังวัดด้วยอากาศยานไร้คนขับจะประกอบด้วย การรังวัดภาคสนาม โดยผู้ปฏิบัติงานจะทำการลงพื้นที่เพื่อทำการวางเป้าในการกำหนดจุดพิกัดภาคพื้นดิน (Ground Control Point: GCP) แล้วจึงทำการบินเพื่อถ่ายภาพตามแนวบินที่กำหนด โดยอากาศยานไร้คนขับจะติดตั้งกล้องเพื่อถ่ายภาพในระยะความสูงประมาณ 50-300 เมตร และการประมวลผลข้อมูลภาพถ่ายทางอากาศ ซึ่งภาพถ่ายทางอากาศที่ได้จะถูกนำมาคำนวณความสูงและพิกัดของพื้นที่ เพื่อนำมาใช้ในการสร้างแผนที่และแบบจำลองภูมิประเทศและการคำนวณปริมาตรพื้นดินที่ถูกขุดตักจากการทำเหมือง

               

          อย่างไรก็ตาม กพร. มีการใช้งานอากาศยานไร้คนขับ 2 ประเภท คือ อากาศยานไร้คนขับแบบปีกตรึง (Fixed Wing) และอากาศยานไร้คนขับแบบปีกหมุน (Multi-rotor UAV) ซึ่งทั้ง 2 ประเภทมีข้อแตกต่างของคุณลักษณะในการปฏิบัติงาน กล่าวคือ อากาศยานไร้คนขับแบบปีกตรึงจะสามารถปฏิบัติงานได้ยาวนานกว่า ซึ่งเป็นผลให้สามารถปฏิบัติงานได้ครอบคลุมพื้นที่มากกว่าในแต่ละรอบการบิน ในขณะที่แบบปีกหมุนมีความคล่องตัวในการปฏิบัติงานในพื้นที่ที่เป็นแนวดิ่งได้มากกว่า ดังนั้นการใช้งานอากาศยานไร้คนขับแต่ละประเภทต้องคำนึงถึงขนาดพื้นที่และสภาพภูมิประเทศที่ต้องการสำรวจรังวัดสำรวจ

               

          ทั้งนี้ กพร.ได้นำร่องใช้เทคโนโลยีอากาศยานไร้คนขับดังกล่าวในพื้นที่เหมืองหินปูน จังหวัดสระบุรีเหมืองแร่ยิปซัม จังหวัดนครสวรรค์และจังหวัดพิจิตร เหมืองแร่แคลไซต์ จังหวัดลพบุรี และเหมืองแร่ทองคำ จังหวัดพิจิตร รวมพื้นที่ประทานบัตรประมาณ 50 แปลง  โดยเชื่อมั่นว่าการนำเทคโนโลยีอากาศยานไร้คนขับมาช่วยในการตรวจสอบและกำกับดูแลกิจการการทำเหมืองแร่ จะช่วยให้ได้ข้อมูลที่มีความรวดเร็ว แม่นยำ เพื่อนำมาใช้เป็นข้อมูลในการประกอบการตัดสินใจการกำกับดูแลด้านต่าง ๆ อาทิ กำกับดูแลการประกอบการเหมืองแร่ที่ถูกต้องตามหลักวิศวกรรม การใช้เป็นข้อมูลเพื่อการประเมินความถูกต้องในการชำระค่าภาคหลวง การตรวจสอบเพื่อเปรียบเทียบพื้นที่สถานประกอบการเพื่อป้องกันการทำเหมืองออกนอกเขต และการกำกับดูแลการออกแบบพื้นที่เพื่อการฟื้นฟูเหมืองหลังเสร็จสิ้นการทำเหมือง ที่สำคัญเป็นการลดต้นทุนการใช้ทรัพยากรต่าง ๆ ในการกำกับดูแลได้ นายสมบูรณ์ กล่าวทิ้งท้าย

               

          สอบถามรายละเอียดได้ที่กรมอุตสาหกรรมพื้นฐานและการเหมืองแร่กระทรวงอุตสาหกรรมถนนพระรามที่ 6 กรุงเทพฯ โทรศัพท์ 0-2202-3555 หรือเข้าไปที่ www.dpim.go.th

เชฟรอนมอบอุปกรณ์แก่กลุ่มอาชีพสตรีสามจังหวัดชายแดนใต้ ภายใต้โครงการ ‘เชฟรอน-ทุนเพื่อชีวิต’ เพื่อสตรีในปัตตานี ยะลา และนราธิวาส

          บริษัท เชฟรอนประเทศไทยสำรวจและผลิต จำกัด และ มูลนิธิรักษ์ไทย มุ่งพัฒนาศักยภาพและสร้างความเข้มแข็งให้กลุ่มสตรีจาก 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ ปัตตานี ยะลา และนราธิวาส  ใน ‘โครงการเชฟรอน ทุนเพื่อชีวิต’ (Chevron Fund4Life) อย่างต่อเนื่อง โดยเมื่อเร็ว ๆ นี้ นายดุลยพินิจ ภู่อยู่ ผู้จัดการศูนย์เศรษฐพัฒน์ ของเชฟรอนประเทศไทย ได้เป็นตัวแทนมอบอุปกรณ์อาชีพให้แก่กลุ่มอาชีพสตรี 6 กลุ่ม ได้แก่ กลุ่มซาลาเปานึ่งกาบัง และกลุ่มสตรีปอเยาะ จากจังหวัดยะลา กลุ่มขนมดอกจอกบ้านบลูกา และกลุ่มสตรียามูแรแน จากจังหวัดนราธิวาส รวมถึงกลุ่มสานสีรุ้ง และกลุ่มสตรีบาโงเปาะเล็ง จากจังหวัดปัตตานี ซึ่งมีสมาชิกรวมกันทั้งสิ้น 87 คน เพื่อช่วยเพิ่มศักยภาพในการผลิตให้ทุกกลุ่มอาชีพ ให้สามารถผลิตสินค้าที่มีคุณภาพได้เพียงพอกับความต้องการของตลาด

 

          โครงการเชฟรอน-ทุนเพื่อชีวิต เป็นความร่วมมือระหว่างเชฟรอนประเทศไทยและมูลนิธิรักษ์ไทย ดำเนินการตั้งแต่เดือนมกราคม 2558 ถึง 31 ธันวาคม 2559 รวมระยะเวลา 2 ปี ด้วยงบประมาณสนับสนุนกว่า 9,621,000 บาท เพื่อพัฒนาคุณภาพชีวิตและเพิ่มศักยภาพของกลุ่มผู้หญิงและเด็กเปราะบางใน 3 จังหวัด ปัตตานี ยะลา และ นราธิวาสให้สามารถรับมือกับผลกระทบด้านสังคม-เศรษฐกิจ ที่เกิดจากความรุนแรงทางการเมืองได้ โดยการดำเนินโครงการฯ เน้นเพิ่มทักษะและพัฒนาศักยภาพกลุ่มอาชีพสำหรับกลุ่มผู้หญิงสำหรับ 3 จังหวัดภาคใต้ อาทิ การอบรมแผนธุรกิจขนาดเล็กและการตลาด การอบรมการบริหารจัดการธุรกิจการทำบัญชีการเงิน การทำรายงานประจำเดือน การส่งเสริมพลังด้านเพศภาวะในระดับชุมชน รวมถึงส่งเสริมกลยุทธ์การตลาดให้สมาชิกกลุ่มในชุมชน และสร้างช่องทางการกระจายสินค้าสำหรับคนในชุมชนเป็นต้น

บ้านปูฯ และคณะวิทยาการเรียนรู้และศึกษาศาสตร์ ม. ธรรมศาสตร์ ประกาศความร่วมมือใน “โครงการส่งเสริมนวัตกรขับเคลื่อนการเรียนรู้ โดยธรรมศาสตร์และบ้านปูฯ”

บรรยายภาพ (จากซ้ายไปขวา): รศ.ดร.อนุชาติ พวงสำลี คณบดี คณะวิทยาการเรียนรู้และศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์, ศาสตราจารย์ ดร.สมคิด เลิศไพฑูรย์ อธิการบดี มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์, นายชนินท์ ว่องกุศลกิจ ประธานกรรมการ บริษัท บ้านปู จำกัด (มหาชน) และนางสมฤดี ชัยมงคล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท บ้านปู จำกัด (มหาชน)

           

          บริษัท บ้านปู จำกัด (มหาชน) และคณะวิทยาการเรียนรู้และศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือใน “โครงการส่งเสริมนวัตกรขับเคลื่อนการเรียนรู้ โดยธรรมศาสตร์และบ้านปูฯ” หรือ “Thammasat-Banpu Innovators for Learning Program” ณ ตึกโดมบริหาร มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ศูนย์รังสิต  โดยโครงการฯ มีวัตถุประสงค์เพื่อพัฒนานักเรียนระดับชั้นมัธยมศึกษาตอนปลายและครูให้มีทักษะที่เอื้อต่อการเป็นนวัตกรรุ่นใหม่ เช่น การคิดอย่างมีวิจารณญาณและการคิดเชิงวิเคราะห์ (Critical and Analytical Thinking) การคิดและการสื่อสารความคิดอย่างสร้างสรรค์ (Creative Communication) ความรับผิดชอบ และภาวะผู้นำ (Leadership) ผ่านกระบวนการสร้าง “เกมการเรียนรู้ โดยโครงการฯ ได้รับการสนับสนุนงบประมาณจากบ้านปูฯ รวม 15 ล้านบาท เพื่อใช้ในการดำเนินการตามแผนงานตลอดระยะเวลา 3 ปี ในปีแรกเป็นการพัฒนาโปรแกรมและเครื่องมือฝึกอบรมเพื่อส่งเสริมทักษะการคิดเชิงออกแบบและการสร้างสรรค์นวัตกรรม พร้อมการเปิดรับสมัครและคัดเลือกเยาวชนจากโรงเรียนต่าง ๆ ทั่วประเทศเข้าร่วมโครงการฯ ซึ่งสามารถรองรับได้ ทั้งหมด 15 โรง แต่ละโรงเรียนประกอบด้วยนักเรียน 5 คนและครูที่ปรึกษาอีก 1 คน ปีที่สอง เป็นการจัดการฝึกอบรมการคิดเชิงออกแบบผ่านกระบวนการสร้างเกมการเรียนรู้ เพื่อสร้างทักษะให้แก่ผู้เรียนซึ่งจะเติบโตไปเป็นนวัตกรในอนาคต และในปีสุดท้ายจะเป็นการนำชิ้นงานนวัตกรรมที่ได้มาต่อยอดให้ประยุกต์ใช้ได้จริงและนำไปเผยแพร่เพื่อเป็นประโยชน์ต่อสังคมต่อไป

ซีเกท ประเทศไทย รับรางวัล “องค์กรที่มีความรับผิดชอบต่อสังคมดีเด่น” ระดับโกลด์ ประจำปี 2559 จากหอการค้าอเมริกันในประเทศไทย

          เจฟฟรี่ย์ ไนการ์ด รองประธานอาวุโสฝ่ายปฏิบัติการหัวอ่านและบันทึกข้อมูล บริษัท ซีเกท เทคโนโลยี (ประเทศไทย) จำกัด (ที่ 3 จากขวา) พร้อมคณะผู้บริหาร รับรางวัล “องค์กรที่มีความรับผิดชอบต่อสังคมดีเด่น” ระดับโกลด์ และได้รับการยกย่องให้เป็นพันธมิตรเชิงสร้างสรรค์ (Creative Partnership Recognition) ประจำปี 2559 จากหอการค้าอเมริกันในประเทศไทย โดยมี กลิน ที. เดวีส์ เอกอัครราชทูตสหรัฐอเมริกาประจำประเทศไทย (ที่ 4 จากขวา) เป็นผู้มอบรางวัล

เครือข่ายทีวียอดฮิตติดอันดับต่างก็เข้าร่วมเป็นส่วนหนึ่งของ AsiaMX โปรแกรมระบบซื้อขายแลกเปลี่ยนโฆษณาโทรทัศน์ชั้นนำแห่งยุค

          เอเชีย มีเดีย เอ็กซ์เชนจ์ (AsiaMX) มีความภูมิใจที่จะเปิดตัวช่องทีวีทั้งในและต่างประเทศในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้หลายช่องที่เพิ่งเซ็นต์สัญญาเพื่อนำเสนอโปรแกรมโฆษณาระดับพรีเมี่ยมที่มีมูลค่าสูงให้เลือกบนระบบซื้อขายแลกเปลี่ยนโฆษณาโทรทัศน์ชั้นนำ เอื้อประโยชน์ให้นักโฆษณาสามารถเข้าถึงเครือข่ายโฆษณาโทรทัศน์ที่มีมูลค่ากว่า 500 ล้านเหรียญสหรัฐผ่านระบบ AsiaMX

 

          หนึ่งในผู้เข้าร่วมรายใหม่ล่าสุดได้แก่ ดิสคัฟเวอรี่ เน็ตเวิร์ค เอเชีย แปซิฟิก ซึ่งเปิดโอกาสให้นักโฆษณาสามารถเข้าถึงสมาชิกผู้รับชมในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้กว่า 19.3 ล้านครัว เรือนผ่านช่องสถานีที่เลื่องชื่อที่สุดอย่าง Discovery Channel รวมถึงช่องรายการที่ได้รับความนิยมสูง อาทิ  TLC, Animal Planet, Eurosport และ Setanta Sports

 

          นอกจากนี้กลุ่มเครือข่าย NBCUniversal International ก็เข้าร่วมเป็นส่วนหนึ่งของระบบนี้ โดยนำเสนอรายการบันเทิงที่ติดอันดับความนิยมสูงสุดมากมาย อาทิ DIVA, E! และ Universal Channel สำหรับรายอื่น ๆ ที่เพิ่งเข้าร่วมก่อนหน้านี้ไม่นานได้แก่ กลุ่มเครือข่าย A+E เน็ตเวิร์คเอเชีย และ เทิร์นเนอร์ เอเชีย แปซิฟิค ที่มีช่องรายการยอดฮิตอย่าง การ์ตูน เน็ตเวิร์ค

 

          ช่องทีวีจากประเทศไทยที่เพิ่มเข้ามาใหม่ได้แก่  โมโนบรอดคาสท์ (ช่อง Mono29) จีเอ็มเอ็มแกรมมี่ (ช่อง One HD) และเวิร์คพอยท์เอ็นเทอร์เทนเมนท์ (ช่อง Workpoint TV) โดยก่อนหน้านี้กลุ่มแรกที่เข้าร่วมได้แก่ บีอีซี เทโร เอ็นเทอร์เทนเม้นท์; เนชั่นแนล บรอดคาสติง; โอทีวี คอร์ปอเรชั่น; เด็กดี อินเทอร์แอคทีฟ และ เอเชีย แซทเทลไลท์ ทีวี (เอเอสทีวี)

 

          ค่าย PCCW จากประเทศมาเลเซีย ผู้ให้บริการระบบออกอากาศแบบ OTT  ในชื่อ Viu ได้เข้าร่วมในระบบซื้อขายแลกเปลี่ยนโฆษณานี้เช่นกัน เพื่อเป็นตัวเลือกแก่นักโฆษณาที่สนใจละครทีวีรวมถึงรายการบันเทิงในรูปแบบวาไรตี้ซึ่งได้รับความนิยมสูงของเอเชีย

 

          "เราเพิ่งเปิดตัว AsiaMX ระบบซื้อขายแลกเปลี่ยนโฆษณาทีวีได้เพียงสี่เดือนเท่านั้น แต่เราได้รับความไว้วางใจและเชื่อมั่นจากเครือข่ายโทรทัศน์ที่ได้รับการยอมรับมากที่สุดในภูมิภาคนี้หลายรายด้วยกัน" เบซิล ชัว ซีอีโอของ AsiaMX กล่าว "เรามุ่งมั่นที่จะติดอาวุธให้กับบริษัททีวีและมีเดียเอเจนซี่ด้วยการเพิ่มความรวดเร็วและประสิทธิภาพในขั้นตอนการทำงาน และช่วยให้ทุกคนที่เกี่ยวข้องเชื่อมถึงกันผ่านโลกดิจิตอล”

 

          AsiaMX นำเสนอพื้นที่โฆษณาระดับพรีเมี่ยมจากเพย์ทีวีชั้นนำ และเครือข่ายโทรทัศน์แบบฟรีทีวีผ่านทางแพลตฟอร์มอัลกอริธึมเทรดดิ้ง ระบบซื้อขายแบบอัตโนมัตินี้จะทำการรวบรวมและคัดเลือกช่องทีวีเพื่อนำเสนอเป็นแพคเกจโดยอ้างอิงจากกลุ่มผู้ชมเป้าหมายและยอดชม นักโฆษณาเพียงแค่เลือกแพ็คเกจที่พวกเขาต้องการโดยอิงจากข้อมูลการแสดงผลการรับชมของกลุ่มเป้าหมาย ซึ่งเป็นวิธีที่มีประสิทธิภาพและเจาะจงไปยังกลุ่มเป้าหมายโดยตรงเพื่อให้บรรลุเป้าประสงค์ทางการตลาด

 

          ทีวียังคงเป็นสื่อที่มีผู้รับชมมากที่สุดในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก โดยมีการคาดการณ์ว่าจำนวนผู้ชมจะเพิ่มมากขึ้นในปี 2560 งบโฆษณาทางทีวียังคงไต่ระดับสูงขึ้นและคาดว่าจะมีมูลค่าแตะระดับ 64.4 พันล้านดอลลาร์สหรัฐภายในปี 2560 ซึ่งเพิ่มขึ้นเกือบ 1.5% จากมูลค่าที่เคยคาดการณ์ไว้สำหรับปีนี้

TPARK เปิดตัวโครงการ TPARK ลำพูน ทุ่มงบลงทุนกว่า 1,500 ล้านบาท ขยายพื้นที่คลังสินค้า รองรับการเติบโตด้านโลจิสติกส์ในพื้นที่ภาคเหนือ

          TPARK เดินหน้าขยายโลจิสติกส์พาร์คต่อเนื่อง เปิดตัวโครงการ TPARK ลำพูน ตั้งเป้าพัฒนาคลังสินค้าคุณภาพสูงพร้อมใช้ พื้นที่ให้เช่ารวม 97,860 ตารางเมตร บนพื้นที่ 140 ไร่ ใช้งบลงทุนกว่า 1,500 ล้านบาท คาดแล้วเสร็จทั้งโครงการภายในปี 2561 หวังรองรับธุรกิจสินค้าอุปโภคบริโภค สินค้าวัสดุก่อสร้าง และผู้ให้บริการด้านโลจิสติกส์ที่กำลังบูมในพื้นที่ภาคเหนือ ย้ำมั่นใจพื้นที่ลำพูนมีศักยภาพในการเติบโตของอุตสาหกรรมและโลจิสติกส์สูง และดึงดูดเม็ดเงินจากจีนเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง

 

          นายวีรพันธ์ พูลเกษ กรรมการผู้จัดการ กลุ่มบริษัทไท เปิดเผยว่า “กลุ่มไทคอน ได้เล็งเห็นสัญญาณการขยายตัวในเชิงบวกของเศรษฐกิจและอุตสาหกรรมในภาคเหนือมาเป็นระยะ เนื่องจากปัจจุบันภาคเหนือมีความสำคัญมากขึ้นต่อเศรษฐกิจโดยรวมของประเทศไทย โดยวัดจากดัชนีชี้วัดมูลค่าผลิตภัณฑ์มวลรวมของสินค้าและบริการ (Gross Regional Products หรือ GRP) ของภาคเหนือที่มีการเติบโตมาโดยตลอด สอดคล้องกับการเติบโตของธุรกิจอุปโภคบริโภค ค้าส่งและค้าปลีก วัสดุก่อสร้าง นอกจากนี้ รัฐบาลยังมีโครงการพัฒนาความร่วมมือทางเศรษฐกิจในอนุภาคลุ่มแม่น้ำโขง 6 ประเทศ (Greater Mekong Sub-regional Economic Cooperation : GMS-EC) ได้แก่ ประเทศกัมพูชา จีน พม่า ลาว เวียดนาม และไทย ด้วยเหตุนี้ ทำให้ภาคเหนือมีความน่าสนใจในการลงทุน และเหมาะในการจัดตั้งเป็นศูนย์กระจายสินค้า ดังนั้น กลุ่มไทคอนจึงได้เริ่มทำการศึกษาศักยภาพของทำเลยุทธศาสตร์ในกลุ่มจังหวัดภาคเหนือตอนบนจนตัดสินใจซื้อที่ดิน 140 ไร่ในจังหวัดลำพูน เพื่อนำมาพัฒนาโครงการโลจิสติกส์พาร์ค TPARK ลำพูน ในปี 2557 เนื่องจากเป็นทำเลศักยภาพที่สามารถรองรับการเติบโตของโรงงานอุตสาหกรรมในนิคมอุตสาหกรรมภาคเหนือ (ลำพูน) 1 และ 2 รวมถึงเป็นถนนสายหลักในการคมนาคมและกระจายสินค้าที่สะดวกและรวดเร็วครอบคลุมจังหวัดภาคเหนือ ซึ่งเหมาะสำหรับการเป็นศูนย์กลางการกระจายสินค้าทางภาคเหนือได้อย่างมีศักยภาพ ตลอดจนยังสะดวกต่อการกระจายสินค้าไปยังประเทศเพื่อนบ้าน เช่น เมียนมาร์ ลาว และตอนใต้ของประเทศจีน เป็นต้น”

 

          ด้าน นายแทน จิตะพันธ์กุล ผู้จัดการทั่วไป TPARK หรือ บริษัท ไทคอน โลจิสติคส์ พาร์ค จำกัด กล่าวว่า “โครงการ TPARK ลำพูน ได้ก่อสร้างแล้วเสร็จและเริ่มเปิดให้ดำเนินการมาตั้งแต่ต้นปี 2559 โดยใช้งบลงทุนกว่า 1,500 ล้านบาท ในการพัฒนาโครงการบนพื้นที่ 140 ไร่ และตั้งเป้าจะสร้างคลังสินค้าพื้นที่รวม 97,860 ตารางเมตร คาดว่าจะแล้วเสร็จทั้งโครงการในปี 2561 โดยจะมีคลังสินค้าคุณภาพสูงพร้อมใช้ ขนาดตั้งแต่ 840-2,291 ตารางเมตร โดยมุ่งเน้นลูกค้ากลุ่มเป้าหมายที่เป็นธุรกิจสินค้าอุปโภคบริโภค โมเดิร์นเทรด สินค้าวัสดุก่อสร้าง และผู้ให้บริการด้านโลจิสติกส์ที่กำลังบูมในพื้นที่ภาคเหนือ โดยปัจจุบันมีลูกค้าเข้าเริ่มดำเนินงานภายในคลังสินค้าในโครงการ TPARK ลำพูน เป็นที่เรียบร้อยแล้ว และมีลูกค้าหลายรายให้ความสนใจเข้าชมโครงการอย่างต่อเนื่อง เนื่องจากโครงการแห่งนี้อยู่ในทำเลยุทธศาสตร์ด้านโลจิสติกส์ของหลากหลายกลุ่มอุตสาหกรรมในภาคเหนือ รองรับการผลิตสินค้าของโรงงานทั้งในและนอกนิคมอุตสาหกรรม ซึ่งสินค้าส่วนใหญ่เป็นสินค้าประเภทชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์

 

          สำหรับจุดเด่นของโครงการ TPARK ลำพูน คือ ทำเลยุทธศาสตร์ที่ตั้งอยู่บนทางหลวงไฮเวย์หมายเลข 11 สายเชียงใหม่-ลำปาง ตั้งอยู่ห่างจากถนนวงแหวนรอบ 3 ของจังหวัดเชียงใหม่เพียง 10 กิโลเมตร ใกล้กับนิคมอุตสาหกรรมภาคเหนือ (ลำพูน) 1 และ 2 และ สวนอุตสาหกรรมเครือสหพัฒน์ (ลำพูน) รวมถึงโรงงานในบริเวณใกล้เคียง ยิ่งไปกว่านี้ ที่ตั้งโครงการอยู่ใกล้กับสนามบินเชียงใหม่ ซึ่งเอื้อประโยชน์ให้โครงการ TPARK ลำพูน เหมาะสมอย่างยิ่งสำหรับการเป็นศูนย์กลางกระจายสินค้าของธุรกิจสินค้าอุปโภคบริโภค และธุรกิจบริการด้านโลจิสติกส์ ตลอดจนรองรับกิจกรรมของอุตสาหกรรมในภาคเหนือได้เป็นอย่างดี

               

          จุดเด่นประการที่สอง คือ คลังสินค้าคุณภาพสูงพร้อมใช้ หรือ Ready Built Warehouses (RBWs) ซึ่งเป็นการพัฒนาคลังสินค้าล่วงหน้าไว้รองรับความต้องการของลูกค้า บริการนี้ถือเป็นจุดเด่นให้กับ TPARK โดยลูกค้าสามารถเลือกคลังสินค้าคุณภาพสูงที่มีขนาดเหมาะสมกับการใช้งาน และเข้าดำเนินงานได้ทันที อีกทั้ง คลังสินค้าได้ถูกออกแบบโดยคำนึงถึงความเหมาะสมในการใช้งานเป็นหลัก และเน้นที่คุณภาพของการก่อสร้างอาคาร
ให้ได้มาตรฐานระดับสากล นอกจากนี้ ยังจัดให้มีระบบสาธารณูปโภค และสิ่งอำนวยความสะดวกต่าง ๆ ที่จำเป็นภายในเขตอุตสาหกรรมโลจิสติกส์ (Logistics Park) พร้อมจัดให้มีเจ้าหน้าที่ประจำการโครงการเพื่อให้บริการแก่ลูกค้าอย่างใกล้ชิด

 

          “การขยายธุรกิจคลังสินค้าคุณภาพสูงพร้อมใช้ไปยังภูมิภาคต่าง ๆ ของประเทศไทย นอกจากจะเป็นการเพิ่มโอกาสทางธุรกิจของบริษัทฯ ในการตอบสนองความต้องการของลูกค้าที่กำลังขยายตัวไปยังภาคต่าง ๆ ทั่วประเทศแล้ว TPARK ยังคาดหวังว่าจะเป็นการกระตุ้นให้เกิดการยกระดับการให้บริการด้านคลังสินค้าที่มีอยู่แล้วในแต่ละพื้นที่ไปสู่ระดับมาตรฐานสากลที่ทัดเทียมกับนานาประเทศ เช่นเดียวกับมาตรฐานคุณภาพคลังสินค้า
และการให้บริการระดับ World Class ของ TPARK ซึ่งจะมีส่วนช่วยเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศไทยอีกทางหนึ่ง” นายแทน กล่าวสรุป

สถาบันคุณวุฒิวิชาชีพจับมือ EEI เปิดหลักสูตรสาขาอาชีพเครื่องใช้ไฟฟ้าเทคโนโลยีชั้นสูง เข้าสู่ยุคอุตสาหกรรมไทยแลนด์ 4.0

          นับแต่อดีตที่ผ่านมา ประเทศไทยได้พัฒนาระบบการเรียนการสอนในโรงเรียนและมหาวิทยาลัยอย่างต่อเนื่อง ส่งผลให้นักเรียนนักศึกษาที่จบการศึกษามีความรู้ในด้านวิชาการที่ดีมีมาตรฐานเป็นที่ยอมรับในระดับสากล ดังนั้นประเทศไทยจึงใช้ระบบคุณวุฒิทางการศึกษาเป็นสิ่งวัดระดับความสามารถของบุคคลและเป็นสิ่งสำคัญในการจ้างงานทั้งในภาครัฐและเอกชนมาโดยตลอด เมื่อหน่วยงานทั้งภาครัฐและเอกชนรับผู้จบการศึกษาที่มีความรู้ทางวิชาการเข้ามาทำงานแล้ว ต้องทำการฝึกอบรมเพิ่มเติมเพื่อให้บุคลากรใหม่มีสมรรถนะที่จะสามารถทำงานให้กับองค์กรได้ต่อไปซึ่งต้องใช้เวลานานและเสียค่าใช้จ่ายเป็นจำนวนมากแต่หลังจากที่ยุคสมัยได้มีการเปลี่ยนแปลงจนมีภาวการณ์ในปัจจุบัน ท่ามกลางการแข่งขันที่สูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง ภาคธุรกิจต้องปรับตัวเพิ่มศักยภาพในการแข่งขันทั้งโดยการลดต้นทุนและเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานให้สูงขึ้นโดยเฉพาะการเพิ่มสมรรถนะบุคลากรเดิม ส่วนบุคลากรใหม่ก็ต้องมีความสามารถและสมรรถนะเพียงพอที่จะเริ่มงานได้ทันทีเช่นเดียวกัน จะมีความรู้แต่ในเชิงวิชาการเช่นเดียวกับในอดีตไม่ได้ ซึ่งในหลายประเทศได้ทำการพัฒนาระบบฐานสมรรถนะบุคคลซึ่งรู้จักกันดีในนาม ระบบคุณวุฒิวิชาชีพ มาอย่างต่อเนื่องและบางประเทศได้ประกาศใช้อย่างเป็นทางการแล้วเช่นกัน

 

          นอกจากนั้นจากการที่มีประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน AEC ในปี 2559 ส่งผลให้ประเทศสมาชิกในกลุ่มอาเซียนมีประโยชน์ทางเศรษฐกิจร่วมกันโดยการเป็นตลาดและฐานการผลิตเดียวกัน ซึ่งจะส่งผลให้มีการเคลื่อนย้ายแรงงานเพื่อทำงานระหว่างประเทศสมาชิกได้ ซึ่งในปัจจุบันยังไม่มีกฎเกณฑ์หรือระบบคุณวุฒิวิชาชีพมารองรับ ดังนั้นจึงเห็นควรที่จะมีการจัดทำมาตรฐานอาชีพและคุณวุฒิวิชาชีพในกลุ่มอาชีพต่าง ๆ เพื่อเป็นการรองรับประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน บุคลากรในกลุ่มอาชีพที่เกี่ยวข้องจะสามารถนำไปพัฒนาศักยภาพและสมรรถนะของตนเอง ผู้ประกอบการสามารถจ้างงานได้ตรงกับความต้องการ สถานศึกษาสามารถนำไปใช้ในการพัฒนาหลักสูตรการเรียนการสอนให้ตรงกับความต้องการของผู้ประกอบการ และจะนำไปสู่การเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันให้กับประเทศไทยได้ในที่สุด

           

          ผลิตภัณฑ์ไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์เป็นสิ่งที่ทุกคนคุ้นเคยและกลายเป็นส่วนหนึ่งของการดำรงชีวิตของผู้คนในปัจจุบันอย่างแยกกันไม่ได้ โดยผลิตภัณฑ์ไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์หลายอย่างมีการใช้อย่างแพร่หลาย ไม่ว่าจะเป็นเครื่องใช้ไฟฟ้าภายในบ้าน (เช่น เครื่องรับโทรทัศน์ ตู้เย็น เครื่องซักผ้า ฯลฯ) โทรศัพท์เคลื่อนที่ และเครื่องคอมพิวเตอร์ เป็นต้น ทำให้อุตสาหกรรมเครื่องใช้ไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์เป็นอุตสาหกรรมที่มีความสำคัญต่อระบบเศรษฐกิจไทยอย่างมากทั้งในแง่ของการผลิต การส่งออก และการจ้างงาน โดยเป็นอุตสาหกรรมที่สร้างรายได้ให้กับประเทศเป็นอันดับ 1 ติดต่อกันมาหลายปีมีแรงงานทั้งอุตสาหกรรมกว่า 5 แสนคน และมีสัดส่วนการส่งออกกว่าร้อยละ 25 ของมูลค่าการส่งออกทั้งหมดของประเทศ

 

          ประเทศไทยก็นับเป็นประเทศหนึ่งที่มีบทบาทสำคัญในอุตสาหกรรมนี้โดยปัจจุบันไทยมีศักยภาพโดดเด่นในด้านของการผลิตเครื่องใช้ไฟฟ้า โดยเฉพาะเครื่องปรับอากาศ และตราสินค้าของไทยก็ได้รับการยอมรับในระดับหนึ่ง เพราะอุตสาหกรรมเครื่องใช้ไฟฟ้านั้นเป็นอุตสาหกรรมที่ไม่ต้องอาศัยเทคโนโลยีที่มีความซับซ้อนมาก ในขณะที่อุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์เป็นอุตสาหกรรมที่ต้องอาศัยการลงทุนสูงและใช้เทคโนโลยีระดับสูง อุตสาหกรรมส่วนใหญ่จึงเป็นการร่วมลงทุนระหว่างผู้ประกอบการไทยกับต่างชาติ และไทยจะมีบทบาทในการเป็นผู้รับจ้างผลิต โดยจุดแข็งของประเทศจะอยู่ที่ความสามารถในการผลิตสินค้าที่มีขนาดเล็กและแม่นยำสูง เหล่านี้นำไปสู่การวางวิสัยทัศน์ให้กับประเทศไทยในอุตสาหกรรมเครื่องใช้ไฟฟ้าคือ การ “เป็นผู้นำของอาเซียนและอันดับต้นของเอเชียในการผลิตและส่งออกเครื่องใช้ไฟฟ้า ด้วยการสร้างนวัตกรรมและการออกแบบผลิตภัณฑ์เพื่อสิ่งแวดล้อมและอนุรักษ์พลังงาน” และสำหรับอุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์ คือ “เป็นผู้นำด้านผลิตและส่งออก HDD และ EMS ในอาเซียน และสร้างคุณค่า (Value Creation) ให้แก่อุตสาหกรรมเพื่อนำไปสู่อุตสาหกรรมที่มีศักยภาพ (New Wave Products) ในอนาคต” เช่นอุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์ในยานยนต์ อุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์ทางการเกษตร และอุตสาหกรรม Intelligent Communication Device เป็นต้น

 

สภาพแวดล้อมทางธุรกิจของอุตสาหกรรมไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์

          อุตสาหกรรมไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์แบ่งออกเป็น อุตสาหกรรมต้นน้ำ อุตสาหกรรมกลางน้ำ และอุตสาหกรรมปลายน้ำ ได้ดังนี้

  • อุตสาหกรรมต้นน้ำ ซึ่งเป็นอุตสาหกรรมพื้นฐานของอุตสาหกรรมไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์ คือ การออกแบบวงจรไฟฟ้า การผลิตและเจือสารแผ่นเวเฟอร์
  • อุตสาหกรรมกลางน้ำ คือ อุตสาหกรรมชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ซึ่งประกอบด้วยการผลิตแผ่นวงจรพิมพ์ (Printed Circuit Board: PCB) และชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์อื่น ๆ ซึ่งเป็นอุตสาหกรรมที่เน้นการส่งออกเป็นหลัก ดังนั้นจึงต้องพึ่งพาความต้องการสินค้าจากต่างประเทศ ปัจจุบันอุตสาหกรรมชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ต้องพึ่งพาการนำเข้าวัตถุดิบจากต่างประเทศถึงร้อยละ 80 ใช้วัตถุดิบในประเทศ ร้อยละ 20
  • อุตสาหกรรมปลายน้ำ คือ คอมพิวเตอร์และส่วนประกอบ อุปกรณ์โทรคมนาคม เครื่องใช้ไฟฟ้า ซึ่งผู้ผลิตมีการพัฒนาขีดความสามารถทางเทคโนโลยีการออกแบบและมีความสามารถในการผลิตชิ้นส่วนส่วนประกอบและผลิตภัณฑ์สำเร็จรูป ทำให้เครื่องใช้ภายในบ้านที่ผลิตในประเทศไทยมีรูปแบบสวยงามคุณภาพดี การผลิตเครื่องใช้ภายในบ้าน รวมทั้งมีความเชื่อมโยงกับอุตสาหกรรมในประเทศสูง

 

การบริโภคภายในประเทศ

  • อุตสาหกรรมไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์ของประเทศไทยมีการผลิตเพื่อการบริโภคภายในประเทศเพียง 10% และส่งออก 90% ซึ่งเมื่อมีการชะลอตัวทางเศรษฐกิจจึงส่งผลกระทบต่ออุตสาหกรรม ดังนั้นผู้ผลิตต้องพยายามหันมาให้ความสำคัญกับตลาดในประเทศมากขึ้นเพื่อลดความเสี่ยง

 

การส่งออกและนำเข้า

  • สินค้าส่งออกหลัก คือ แผงวงจรไฟฟ้า PCB เครื่องรับโทรทัศน์ เป็นต้น โดยมีตลาดส่งออกที่สำคัญ คือ สหรัฐอเมริกา ญี่ปุ่น ภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้และกลุ่มสหภาพยุโรป คู่แข่งในอาเซียนที่สำคัญ คือ ประเทศมาเลเซียและประเทสสิงคโปร์ ส่วนตลาดนำเข้าหลักของไทย คือ สหรัฐอเมริกา จีน เยอรมัน ฮ่องกงและญี่ปุ่น โดยตลาดอุตสาหกรรมไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์ของไทยมีอัตราการเติบโตอย่างรวดเร็วและมีนักลงทุนทั้งไทยและต่างประเทศให้ความสนใจและมีความต้องการลงทุนเพิ่มสูงขึ้นทำให้มีการลงทุนสะสมอย่างต่อเนื่อง

 

แนวโน้มของอุตสาหกรรมไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์

  • จากแนวโน้มอุตสาหกรรมไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์พบว่าสินค้าเครื่องใช้ไฟฟ้าเกือบทุกผลิตภัณฑ์โดยรวมปรับตัวลดลง ส่วนแนวโน้มอุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์ปรับตัวลดลงเช่นกัน จากการปรับตัวลดลงของอุตสาหกรรม HDD และชิ้นส่วน IC โดยมีการคาดการณ์ว่าจะปรับตัวลดลงซึ่งจะเป็นการปรับลดลงที่น้อยกว่าในช่วงก่อนหน้านี้ เนื่องจากเริ่มมีคำสั่งซื้อเข้ามาและมีสัญญาณที่ดีในการจ้างงานที่อาจมีการปรับตัวเพิ่มขึ้น

 

          ด้วยเหตุนี้สถาบันคุณวุฒิวิชาชีพและสถาบันไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์ (EEI) ได้ร่วมกันดำเนินโครงการจัดทำมาตรฐานอาชีพและคุณวุฒิวิชาชีพในสาขาวิชาชีพไฟฟ้า สาขาอาชีพเครื่องใช้ไฟฟ้าเทคโนโลยีชั้นสูง เพื่อเป็นการรองรับการเข้าสู่ยุคอุตสาหกรรม 4.0 ผู้ประกอบการสามารถจ้างงานได้ตรงกับความต้องการ และเชื่อมั่นว่าผู้ประกอบวิชาชีพไฟฟ้าที่ผ่านการทดสอบสอบมาตรฐานอาชีพแล้วเป็นผู้ที่มีความรู้ ความสามารถได้มาตรฐานสามารถปฏิบัติหน้าที่ได้อย่างมีประสิทธิภาพ และจะนำไปสู่การเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันให้กับประเทศไทยได้ในที่สุด

 

วัตถุประสงค์

  1. 1. เพื่อส่งเสริมและสนันสนุนให้กลุ่มสาขาอาชีพ จัดทำมาตรฐานอาชีพและคุณวุฒิวิชาชีพ ที่สอดคล้องกับความต้องการของผู้ประกอบการ มีความเป็นสากลและเหมาะสมกับประเทศไทย เป็นที่ยอมรับทั้งภายในประเทศและระดับสากล โดยเฉพาะกลุ่มประเทศอาเซียน เพื่อรองรับประชาคมอาเซียน
  2. 2. เพื่อสร้างเครือข่ายการจัดทำ พัฒนา และเผยแพร่ มาตรฐานอาชีพและคุณวุฒิวิชาชีพ
  3. 3. เพื่อประชาสัมพันธ์ให้ระบบคุณวุฒิวิชาชีพและมาตรฐานอาชีพ เป็นที่รับรู้และยอมรับในทุกภาคส่วน

 

สาขาอาชีพเครื่องใช้ไฟฟ้าเทคโนโลยีชั้นสูง

  1. อาชีพนักพัฒนาและออกแบบผลิตภัณฑ์อัจฉริยะ (Smart Product) เพื่อรองรับ IOT (Internet of Things)
  2. อาชีพนักพัฒนาการผลิตขั้นสูง (Smart Factory)
  3. อาชีพนักควบคุมและป้องกันไฟฟ้าสถิตและสิ่งปนเปื้อน

 

          การเปิดหลักสูตรครั้งนี้เพื่อสร้างมาตรฐานอาชีพและคุณวุฒิวิชาชีพ ตามกรอบคุณวุฒิวิชาชีพ สาขาวิชาชีพไฟฟ้า สาขาอาชีพเครื่องใช้ไฟฟ้าเทคโนโลยีชั้นสูง ในระบบคุณวุฒิวิชาชีพแห่งชาติ ที่พัฒนาโดยสถาบันคุณวุฒิวิชาชีพ (องค์การมหาชน) เพื่อการจัดทำมาตรฐานความสามารถในการประกอบอาชีพให้กว้างขวางกว่าที่เป็นอยู่และในการอำนวยต่อการที่ภาคผู้ประกอบการจะมีส่วนร่วมอย่างเข้มแข็งและแข็งขันต่อการปรับปรุงมาตรฐานแห่งชาติให้สอดรับกับการยกระดับศักยภาพการแข่งขันสากลมากขึ้น อีกทั้งให้เชื่อมโยงต่อยอดได้กับระบบการศึกษา และความก้าวหน้าในสายอาชีพ

               

          สนใจสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่สถาบันไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์ (EEI) โทร 02-280-7272 หรือโทรสาร 0-2280-7277