คุณชัยยศ ปิยะวรรณรัตน์ Managing Director บริษัท เอบีบี จำกัด ร่วมต้อนรับคณะผู้บริหารจากหลักสูตร พลังงานสำหรับผู้บริหาร (Excutive Energy Program) ประจำปี 2016 รุ่นที่ 2 กว่า 40 ท่าน เข้าเยี่ยมชมฐานการผลิตของโรงงานเอบีบี ในนิคมอุตสาหกรรมบางปู จ.สมุทรปราการ โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อเสริมสร้างความรู้ ความเข้าใจที่ถูกต้องในภาคอุตสาหกรรม โดยทางคณะได้มีโอกาสเข้าชมกระบวนการผลิตและประกอบหม้อแปลงไฟฟ้ากำลัง Capacitors MV และ LV Switchgears ระบบควบคุมและป้องกันสถานีไฟฟ้า พร้อมเยี่ยมชม Robot Application Center เมื่อวันศุกร์ที่ 30 กันยายน 2559 ที่ผ่านมา
คณะผู้บริหาร บริษัท เอบีบี จำกัด นำโดย คุณชัยยศ ปิยะวรรณรัตน์ Managing Director เข้าร่วมพิธีเปิด 'สถานีชาร์จประจุรถยนต์ไฟฟ้า เพื่อการศึกษาวิจัยด้าน Smart Grid และ Smart Mobility' เมื่อวันที่ 15 กันยายน 2559 ที่คณะวิศวกรรมศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ซึ่งติดตั้งด้วย ABB Terra 53 CJ EV fast Charging Station ซึ่งเป็นสถานีชาร์จไฟฟ้าโดยใช้ระยะเวลาสั้น ประมาณ 15-30 นาที เท่านั้น
ดร.อรรชกา สีบุญเรือง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม (คนกลาง) นายสนธิรัตน์ สนธิจิรวงศ์ ที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม (คนที่ 3 จากซ้าย) นายพสุ โลหารชุน อธิบดีกรมส่งเสริมอุตสาหกรรม (คนที่ 3 จากขวา) ร่วมเปิด มหกรรมวันนัดพบผู้ประกอบการภาคตะวันออก กิจกรรมการออกบูธการให้บริการในด้านต่าง ๆ ของกระทรวงอุตสาหกรรมและหน่วยงานเครือข่ายเพื่อส่งเสริมผู้ประกอบการ SMEs และ OTOP โดยกิจกรรมดังกล่าวจัดขึ้นเมื่อเร็ว ๆ นี้ ณ โรงแรมบางแสนเฮอริเทจ จ.ชลบุรี
นายสมบูรณ์ ยินดียั่งยืน รองอธิบดีกรมอุตสาหกรรมพื้นฐานและการเหมืองแร่ รักษาราชการแทนอธิบดีกรมอุตสาหกรรมพื้นฐานและการเหมืองแร่ (ที่ 3 จากซ้าย) รับมอบกระเช้าจาก นางอนงค์ ไพจิตรประภาภรณ์ รองอธิบดีกรมส่งเสริมอุตสาหกรรม (ที่ 4 จากซ้าย) เนื่องในโอกาสวันคล้ายวันสถาปนากรมอุตสาหกรรมพื้นฐานและการเหมืองแร่ ครบรอบ 14 ปี นอกจากนี้ยังมีข้าราชการชั้นผู้ใหญ่จากทั้งหน่วยงานภาครัฐและเอกชน เข้าร่วมแสดงความยินดีเป็นจำนวนมาก ณ กรมอุตสาหกรรมพื้นฐานและการเหมืองแร่ พระราม 6 กรุงเทพฯ
ทุกวันนี้อัคคีภัยเป็นเรื่องไม่ไกลตัวอีกต่อไป จะเห็นได้จากข่าวการเกิดอัคคีภัยอย่างต่อเนื่องเรื่อยมา โปรซีเคียว (ProSecure) ศูนย์รวมอุปกรณ์ความปลอดภัยได้เล็งเห็นถึงความปลอดภัยของสังคมจึงจัดกิจกรรม ฮีโร่โปรซีเคียว ฮีโร่ ความปลอดภัย ฮีโร่ เพื่อสังคม นำโดย คุณชัยยงค์ อิสริยเมธีกุล กรรมการผู้จัดการบริษัท โปรซีเคียว จำกัด คุณเวียร์ ศุกลวัฒน์ พรีเซนเตอร์ และร้านโปรซีเคียวกว่า 35 สาขาทั่วประเทศร่วมมอบและติดตั้งเครื่องตรวจจับควันไฟจำนวน 3,000 ตัว แก่มูลนิธิ หน่วยงาน องค์กรที่ไม่แสวงหากำไรทั่วประเทศ
ทั้งนี้ บริษัท โปรซีเคียว จำกัดคือผู้นำในตลาดสินค้าและบริการด้านอุปกรณ์ความปลอดภัย มีสินค้าและบริการพร้อมระบบที่แข็งแกร่งเพื่อความปลอดภัยของคนไทยและหนึ่งในวิสัยทัศน์ของ บริษัท โปรซีเคียว จำกัด คือ มีความห่วงใยถึงความปลอดภัยของสังคมไทยทำให้จึงเกิดกิจกรรมบริจาคอุปกรณ์ความปลอดภัยนี้ขึ้นมา สามารถดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ www.prosecureshop.com
แจ่มจันทร์ นพบุตรกานต์ (ซ้ายสุด) หัวหน้าหอสมุดป๋วย อึ๊งภากรณ์ ผู้แทนหอสมุดแห่งมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ร่วมลงนามเครือข่ายความร่วมมือห้องสมุดด้านประกันคุณภาพการศึกษารอบปีที่ 5 ร่วมกับห้องสมุดสถาบันอุดมศึกษา 6 แห่ง ได้แก่ สำนักหอสมุด มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ สำนักหอสมุด มหาวิทยาลัยศรีปทุม สำนักหอสมุดกลาง มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ สำนักบรรณสารการพัฒนา สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ สำนักหอสมุดกลาง มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย และศูนย์บรรณสารสนเทศ มหาวิทยาลัยหัวเฉียวเฉลิมพระเกียรติ ณ ห้องประชุมใหญ่ชั้น 5 อาคารเทพรัตน์วิทยาโชติ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์
นายอนันต์ อัศวโภคิน ประธานกรรมการบริษัท พร้อมด้วย นายคุณวุฒิ ธรรมพรหมกุล กรรมการผู้จัดการ บริษัท โฮม โปรดักส์ เซ็นเตอร์ จำกัด (มหาชน) หรือ โฮมโปร ผู้นำธุรกิจศูนย์รวมวัสดุและอุปกรณ์ตกแต่งบ้านครบวงจร มอบรางวัลเกียรติคุณแด่พนักงานครบรอบ 10 ปี จำนวน 275 คน และ พนักงานครบ 20 ปี จำนวน 27 คน โดยมีกิจกรรมดี ๆ ที่ช่วยเติมเต็มความสุขให้กับพนักงาน และคณะผู้บริหารร่วมยินดีในงานเลี้ยงสังสรรค์ เพื่อเป็นขวัญกำลังใจในการทำงาน และขอบคุณสำหรับความร่วมแรงร่วมใจทำงาน ที่ทำให้โฮมโปรก้าวเป็นผู้นำในธุรกิจค้าปลีกสินค้าเกี่ยวกับบ้าน ณ อิมแพค เมืองทองธานี
เป็นที่ครองใจชาวไอทีไปแล้วสำหรับ PALLADIUM IT HOT SALE ครั้งที่ 3 ซึ่งล่าสุด พาลาเดียม ไอที ประตูน้ำ จับมือร่วมกับแบรนด์ไอทีชั้นนำ พร้อมใจกันขนสินค้าไอทีมาลดราคาสูงสุดกว่า 70% ภายในงานยังจัดคืนกำไรให้ลูกค้ากับช่วงนาทีทอง จำหน่ายสินค้าไอทีเริ่มต้นเพียง 50 บาท โดยบรรยากาศที่ลานโปรโมชั่น ชั้น 4 ที่ผ่านมาคราคร่ำไปด้วยชาวไอทีที่มาเลือกซื้อสินค้าในราคาที่โลกตะลึง และลูกค้าที่ลงทะเบียนร่วมงานยังได้รับ Gift Voucher มูลค่า 200 บาททันทีเพื่อซื้อสินค้าภายในโซนไอที นอกจากนี้ผู้ที่ลงทะเบียนผ่าน Facebook: Palladium IT Pratunam 100 ท่านแรกก็ยังได้รับ Gift Voucher มูลค่า 200 บาท เพิ่มอีกท่านละ 1 ใบ รับรองมางานแล้วไม่มีกลับบ้านไปมือเปล่าแน่นอน ลดจริง ถูกจริง ฟินเวอร์ ต้อง PALLADIUM IT HOT SALE เท่านั้น ติดตามกิจกรรมครั้งต่อไปของพาลาเดียม ไอที ได้ที่ Facebook: Palladium IT Pratunam
คุณโนริโกะ กุนจิ (กลาง) ประธานบริษัท และประธานกรรมการบริหาร บริษัท แคนนอน สิงคโปร์ พร้อมด้วย คุณฮารุกิ เทราฮิระ (ที่ 2 จากขวา) ประธานบริษัท และประธานกรรมการบริหาร บริษัท แคนนอน มาร์เก็ตติ้ง (ไทยแลนด์) จำกัด และ คุณโนริฟูมิ คิตะชิมะ (ที่ 2 จากซ้าย) ผู้บริหารอาวุโสกลุ่มผลิตภัณฑ์เครื่องพิมพ์หน้ากว้าง บริษัท แคนนอน อิงค์ ประเทศญี่ปุ่น ร่วมกันเปิดตัวเครื่องพิมพ์หน้ากว้าง Canon imagePROGRAF PRO Series ที่มีจุดเด่นทางด้านเทคโนโลยีการพิมพ์ที่ล้ำทันสมัย พิมพ์ภาพระดับมืออาชีพและการพิมพ์ภาพศิลปะ ตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้ากลุ่มองค์กรธุรกิจยุคใหม่ที่ต้องการงานพิมพ์ที่แม่นยำและคุณภาพสูงงานพิมพ์ขั้น สุดยอด ณ เบเนดิกต์ สตูดิโอ กรุงเทพมหานคร
สัญชัย ทองจันทรา ผู้อำนวยการฝ่ายวิศวกรรม โรงงานเทพารักษ์ บริษัท ซีเกท เทคโนโลยี (ประเทศไทย) จำกัด (กลางซ้าย) เป็นตัวแทนมอบอุปกรณ์และชิ้นส่วนเครื่องจักรเพื่อสนับสนุนการศึกษาวิจัยของนักศึกษาคณะวิศวกรรมศาสตร์ ในห้องปฏิบัติการทางวิศวกรรม (Engineering Lab) และห้องปฏิบัติการด้านออโตเมชั่น (Automation Lab) แก่ ผศ.ดร.ศิริเดช บุญแสง คณบดีวิทยาลัยนวัตกรรมการจัดการข้อมูล สถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหารลาดกระบัง (สจล.) (กลางขวา)
สมาคมคนหูหนวกแห่งประเทศไทยจัดงาน สัปดาห์หูหนวกโลกประจำปี 2559 โดยมี นายไมตรี อินทุสุต (กลาง) ปลัดกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ ร่วมด้วย นายวิทยุต บุนนาค (ที่ 5 จากซ้าย) นายกสมาคมคนหูหนวกแห่งประเทศไทย ให้เกียรติเป็นประธานเปิดงาน ร่วมด้วย แพทย์หญิง วัชรา ริ้วไพบูลย์ (ซ้ายสุด) รองผู้อำนวยการ สถาบันวิจัยระบบสาธารณสุข นางญาณกร จันทหาร (ที่ 2 จากซ้าย) ผู้อำนวยการสำนักงานบริหารงานการศึกษาพิเศษ และผู้แทนจากบริษัท ทรู คอร์ปอเรชั่น (มหาชน) โดยมีวัตถุประสงค์ให้คนหูหนวกและคนหูตึงมีความตระหนัก รับรู้ในบทบาทของตนเอง ณ ลานหน้า ฮาร์ด ร็อค คาเฟ่ (Hard Rock Cafe)
นายกอบชัย สังสิทธิสวัสดิ์ ผู้ตรวจราชการกระทรวงอุตสาหกรรม (ที่ 1 จากขวา) ลงพื้นที่ตรวจเยี่ยมสถานประกอบการบริษัท ไทยอกริฟู้ด จำกัด (มหาชน) สาขาลำพูน ซึ่งดำเนินธุรกิจผลิตลิ้นจี่ ลำไย ลูกชิดในน้ำเชื่อม หน่อไม้บรรจุกระป๋อง ข้าวโพดอ่อน ในลักษณะบรรจุถุงสุญญากาศ จำหน่ายทั้งในประเทศและต่างประเทศเข้าร่วมโครงการพัฒนาขีดความสามารถในการแข่งขันของอุตสาหกรรมแปรรูปการเกษตรในภูมิภาค (One Province One Agro-Industrial Product) OPOAI ในปี 2559 ประเภทแผนงานที่ 2 การเพิ่มประสิทธิภาพการผลิต ซึ่งภายหลังเข้าร่วมโครงการฯ บริษัทสามารถลดความสูญเสียตามหลักการผลิตลีน โดยเฉพาะขั้นตอนการคัดเลือกผลิตภัณฑ์หน่อไม้บรรจุถุงจากปัญหาเศษหน่อไม้ติดในกระบวนการซีลถุง โดยการเยี่ยมสถานประกอบการครั้งนี้มี นายภัทรวรรธน์ ปิลังโหลด ผู้จัดการโรงงานบริษัท ไทยอกริฟู้ด จำกัด (มหาชน) สาขาลำพูน ตั้งอยู่ที่ตำบลเมืองจี้ อำเภอเมือง จังหวัดลำพูน (คนที่ 2 จากซ้าย) ให้การต้อนรับอย่างอบอุ่น ณ จังหวัดลำพูน
ดร.วีรณัฐ โรจนประภา (ที่ 3 จากซ้าย) นักวิชาการด้านสังคมผู้สูงวัยและนายกสมาคมบ้านปันรัก แถลงเปิดตัวกิจกรรม 5ส เคล็ด(ไม่)ลับ สร้างสุขวัยเกษียณ ต้อนรับวันผู้สูงอายุสากล นำเสนอแนวทางการใช้ชีวิตใหม่หลังวันเกษียณ เพื่อเสริมสร้างคุณภาพชีวิตทั้งด้านร่างกายและจิตใจให้ดีขึ้นอย่างยั่งยืน และสามารถใช้ชีวิตในช่วงเวลาที่เหลืออยู่ร่วมกับลูกหลานได้อย่างมีความสุข โดยมี บุคคลตัวอย่างวัยเกษียณร่วมถ่ายทอดประสบการณ์สร้างสุข ณ สมาคมบ้านปันรัก ถนนพหลโยธิน
พลเอก สุรศักดิ์ กาญจนรัตน์ (ที่ 2 จากซ้าย) รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม มอบประกาศนียบัตรเชิดชูเกียรติแก่ บริษัท ปตท.สำรวจและผลิตปิโตรเลียมจำกัด (มหาชน) หรือ ปตท.สผ. โดยมี นางเกสรา ลิ้มมีโชคชัย (ซ้าย) ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่ สายงานความปลอดภัย มั่นคง อาชีวอนามัย และสิ่งแวดล้อม เป็นผู้รับมอบ ในโอกาสที่ ปตท.สผ. เป็นแบบอย่างที่ดีในการบริหารจัดการและลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก ประเภทการจัดงานประชุมสัมมนาที่ปลอดคาร์บอน (Carbon Neutral Event) จากกิจกรรมชดเชยการปล่อยคาร์บอนที่องค์การบริหารจัดการก๊าซเรือนกระจก (องค์การมหาชน) จัดขึ้น
พิธีมอบประกาศนียบัตรครั้งนี้จัดขึ้นในงาน “ร้อยดวงใจ ร่วมใจลดโลกร้อน” ประจำปี 2559 ณ ศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ กรุงเทพฯ
นายทนงศักดิ์ มโนธรรมรักษา ประธานกรรมการบริหาร พร้อมด้วย นายไพโรจน์ วัฒนวโรดม รองกรรมการผู้จัดการอาวุโส นายธีระชาติ มโนธรรมรักษา รองกรรมการผู้จัดการ และ นายสิทธิพร รัฒนาภรณ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารการเงิน บมจ.เจ.เอส.พี. พร็อพเพอร์ตี้ ร่วมให้การต้อนรับคณะนักลงทุนที่ให้เกียรติเข้าเยี่ยมชมกิจการ ณ บริษัท เจ.เอส.พี. พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด (มหาชน) พระราม2 โดยได้ร่วมพูดคุยถึงแผนการดำเนินงาน และการเตรียมเปิดขายโปรเจกต์ใหม่ 4 โครงการ ในไตรมาส 4/2559 ซึ่งบรรยากาศเป็นไปอย่างอบอุ่นและเป็นกันเอง โดยนักลงทุนต่างให้ความเชื่อมั่นในบริษัทฯ และแนวทางการบริหารงานของคณะผู้บริหาร เจ.เอส.พี. กันอย่างเต็มร้อย
วิภาวี วัชรากร กรรมการผู้จัดการ บริษัท วัชมนฟู้ด จำกัด (คนกลาง) ร่วมด้วย อาเล็ก ธีรเดช เมธาวรายุทธ แอปเปิ้ลแจ๊สแบรนด์แอมบาสเดอร์ (ซ้ายสุด) ยกขบวนความสุข และกิจกรรม เซอร์ไพรส์ สุดเอ็กซ์คลูซีฟ เปิดประสบการณ์ กัดให้สนั่นพัทยา ตามสโลแกน “แค่กัด...โลกก็เปลี่ยน” ซึ่งได้รับการต้อนรับเป็นอย่างดีจากชาวชลบุรี พร้อมมอบของที่ระลึก ให้กับ นายคนอง กลีบสมุทร์ ผู้จัดการสาขา เทสโก้ โลตัส สาขาพัทยาใต้ (ขวาสุด) เพื่อเป็นการสตาร์ทความสดชื่นของแอปเปิ้ลแจ๊ส ที่พร้อมอร่อยได้แล้วในเทสโก้ โลตัสทุกสาขา, บิ๊กซีทุกสาขา, แม็คโครทุกสาขา และ ริมปิงเชียงใหม่ งานจัดขึ้น ณ เทสโก้ โลตัส สาขาพัทยาใต้ จังหวัดชลบุรี
มร.เซบาสเตียน พาวเวอร์ (กลาง) รองกรรมการผู้จัดการ สายงานปฏิบัติการบริษัท รักษาความปลอดภัย พีซีเอส และ ฟาซิลิตี้ เซอร์วิสเซส จำกัด เครือโอซีเอส กรุ๊ป จากประเทศอังกฤษ ร่วมเป็นเกียรติในงานเสวนาหัวข้อ วิสัยทัศน์ของผู้ให้บริการงานบริหารจัดการอาคารครบวงจรในประเทศไทยในปี 2020 ในฐานะเป็นบริษัทชั้นนำด้านการรักษาความปลอดภัยและการบริหารจัดการอาคารแบบครบวงจร ในงานสัมมนา Facilities Management Conference 2016 โดยมี นายบุญเกียรติ วิสิทธิกาศ (ซ้ายสุด) ผู้อำนวยการงานบริหารจัดการอาคารแบบครบวงจร (TFM) บริษัท รักษาความปลอดภัย พีซีเอส และฟาซิลิตี้ เซอร์วิสเซส จำกัด มร.ทิม แชปเพิล (ที่ 2 จากขวา) Campus Manager โรงเรียนนานาชาติฮาร์โรว์ เข้าร่วมงาน จัดโดยสมาคมวิชาชีพการบริหารทรัพยากรอาคาร โดยมี คุณอายุธพร บูรณะกุล (ที่ 2 จากซ้าย) เป็นประธานสมาคม เพื่อแลกเปลี่ยนประสบการณ์การบริหารงานบริหารจัดการอาคารทั้งในไทยและต่างประเทศ ณ ศูนย์แสดงสินค้าและการประชุม อิมแพ็ค เมืองทองธานี
บริษัท ชุมพรอุตสาหกรรมน้ำมันปาล์ม จำกัด (มหาชน) พร้อมบริษัทในเครือได้แก่ บริษัท ซีพีพี จำกัด และ บริษัท ซีพีไอ อะโกรเทค จำกัด โดยมี คุณสมศักดิ์ พงษ์รามัญ ผู้อำนวยการโรงงาน (ที่ 3 จากขวา) ได้จัดงานภายใต้ชื่อ “โครงการเสริมสร้างศักยภาพโรงงานอุตสาหกรรมมุ่งสู่การพัฒนาด้านสิ่งแวดล้อม และรับผิดชอบต่อสังคม ประจำปี 2559 ” เพื่อแจ้งรายงานความคืบหน้า และรับฟังความคิดเห็นข้อเสนอแนะต่างๆจากผู้นำชุมชน และผู้มีส่วนได้เสียของบริษัทฯ โดยโครงการดังกล่าวนี้เป็นส่วนหนึ่งของการจัดทำระบบมาตรฐาน RSPO (Roundtable on Sustainable Palm Oil) ซึ่งเป็นมาตรฐานการผลิตน้ำมันปาล์มอย่างยั่งยืน อีกทั้งในงานดังกล่าวบริษัทฯ ยังได้นำเสนอโครงการ CSR (Corporate Social Responsibility) กิจกรรมเพื่อสังคม ชุมชน และสิ่งแวดล้อม ที่ได้ดำเนินการมาแล้ว รวมถึงแจ้งความคืบหน้าของกิจกรรมที่กำลังจะดำเนินการต่อไปในอนาคต
เดินทางมาถึงบทสรุปแล้วกับการแข่งขันงาน Point Blank Thailand Championship 2016 Presented by Sponsor สุดยอดการแข่งขัน eSports ลีกออนไลน์ของเกมยิงที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในเมืองไทย โดยบรรยากาศการแข่งขันที่บริเวณลานโปรโมชั่น ชั้น 5 ของพาลาเดียม ไอที เป็นไปอย่างดุเดือด แต่ละทีมโชว์ทักษะการยิงแบบไม่มียั้งจนได้ผู้ชนะ 4 ทีมสุดท้ายเพื่อเป็นตัวแทนทีมชาติไทยไปลุยศึกใหญ่ในการชิงแชมป์โลก ได้แก่ ทีม Attack All Around, ทีม Mango by TteSPORTS, ทีม Estrell.EternalFear และ ทีม Ozone[V].Hybridman นอกจากนี้ ภายในงานยังมีกิจกรรมและของรางวัลมาแจกคอเกมเมอร์แบบจัดเต็มอีกด้วย พาลาเดียม ไอที ขอแสดงความยินดีและร่วมส่งกำลังใจให้ทั้ง 4 ทีมคว้าแชมป์กลับมาฝากเกมเมอร์เมืองไทยให้ได้ ติดตามกิจกรรมต่าง ๆ ได้ที่ Facebook: Palladium IT Pratunam
นางเนาวนิจ หลิมประเสริฐศิริ (ที่ 3 จากซ้าย) พร้อมด้วย นายกฤษฎา พันธุ์ลำใย (ที่ 3 จากขวา) ผู้ช่วยผู้อำนวยการกลุ่มผลิตภัณฑ์วัสดุสิ้นเปลือง บริษัท เมโทรซิสเต็มส์คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) พร้อมคณะ ให้การต้อนรับ นายวันเฉลิม ตันอำนวย (ที่ 4 จากซ้าย) System Engineer Supervisor บริษัท เบอร์ลินฟาร์มาซูติคอลอินดัสตรี้ จำกัด ซึ่งเป็นบริษัทผู้ผลิตและจัดจำหน่ายเวชภัณฑ์ยาสามัญชั้นนำของประเทศในโอกาสเข้าเยี่ยมชมนวัตกรรม PageWide Technology Center ศูนย์สาธิตเทคโนโลยีเครื่องพิมพ์เอชพีใหม่ล่าสุดของบริษัทฯ เมื่อวันที่ 30 กันยายน 2559 ณ สำนักงานใหญ่
คุณมรกต ยิบอินซอย กรรมการผู้จัดการใหญ่และประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ยิบอินซอย จำกัด และ คุณสุภัค ลายเลิศ กรรมการอำนวยการและประธานเจ้าหน้าที่ปฏิบัติการ นำคณะผู้บริหารเข้าพบเพื่อร่วมแสดงความยินดีพร้อมมอบของที่ระลึกแด่คุณชัยยงค์ พัวพงศกร ผู้ว่าการการไฟฟ้านครหลวง (กฟน.) ในโอกาสรับตำแหน่งใหม่ ในการนี้ผู้ว่าการฯกล่าวขอบคุณพร้อมแสดงวิส้ยทัศน์การทำงานเรื่อง การนำระบบดิจิตอลมาพัฒนาในองค์กร เพื่อช่วยเหลือการปฏิบัติงานของเจ้าหน้าที่และอำนวยความสะดวกสบายแก่ผู้ใช้บริการ ณ ห้องรับรอง การไฟฟ้านครหลวง (กฟน.) สำนักงานใหญ่เพลินจิต เขตปทุมวัน
บริษัท เอ็นฟอร์ซ ซีเคียว จำกัด (จากซ้ายไปขวา) นำโดย นายอภิสิทธิ์ จันทร์เจนจบ ผู้จัดการผลิตภัณฑ์ นายสิทธิพงษ์ นทีประสิทธิพร ผู้จัดการผลิตภัณฑ์ และ นายวิชญ์พงศ์ เกื้ออรุณ ผู้จัดการผลิตภัณฑ์ ร่วมยกทัพโซลูชั่นแบรนด์ชั้นนำด้านไอที ซีเคียวริตี้ ได้แก่ คาร์บอน แบล็ค (ผู้นำด้าน Endpoint Security) พาโลอัลโต เน็ตเวิร์กส์ (ผู้นำด้าน Next Gen Firewall) โซลาวินด์ (ผู้นำด้าน IT Management and Monitoring) และเทรนด์ ไมโคร (ผู้นำด้าน Virtualization Security) พร้อมโซลูชั่นน้องใหม่ ดาต้า ล็อคเกอร์ (ผู้นำด้าน Encrypted Storage) ร่วมออกบูทให้ความรู้ด้านการปกป้องระบบองค์กรจากภัยร้ายต่าง ๆ ภายในงาน Navy Cyber Contest & Seminar 2016
ทรูมูฟ เอช โดย นางณัฎฐา พสุพัฒน์ ผู้อำนวยการ ธุรกิจโมบายล์ โพสต์เพย์ บมจ.ทรู คอร์ปอเรชั่น คว้ารางวัล “ผู้ให้บริการเครือข่าย LTE เชิงพาณิชย์ที่มีพัฒนาการเด่นชัดที่สุด” (Most Significant Development of a Commercial LTE Network) จากเวทีสุดยอดการประชุมระดับโลก 5G & LTE Asia Awards จัดขึ้นโดย Informa Telecoms & Media ระหว่างวันที่ 26–28 กันยายน 2559 ณ ประเทศสิงคโปร์
โรงเรียนดุสิตธานีการโรงแรม สถาบันฝึกอบรมด้านการโรงแรมมาตรฐานอาเซียนเต็มรูปแบบแห่งแรกและแห่งเดียวในประเทศไทย จัดงานแถลงข่าว โรงเรียนดุสิตธานีการโรงแรม ประกาศความพร้อมผลิตบุคลากรคุณภาพธุรกิจท่องเที่ยวและโรงแรม เพื่อเดินหน้าผลักดันประเทศไทยเป็นศูนย์กลางแห่งภูมิภาคด้านการผลิตบุคลากรคุณภาพภาคการท่องเที่ยวและการโรงแรม โดยมี รศ.ดร.ชวนี ทองโรจน์ (กลาง) ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา ให้เกียรติเป็นประธาน ร่วมด้วย ศุภจี สุธรรมพันธุ์ (ที่ 3 จากซ้าย) ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร กลุ่มดุสิต อินเตอร์เนชั่นแนล รวิษฎา อังคีรส (ซ้าย) รองประธานฝ่ายการสื่อสารและประชาสัมพันธ์ ผศ.ดร.สาโรจน์ พรประภา (ที่ 2 จากซ้าย) อธิการบดีวิทยาลัยดุสิตธานี และผู้อำนวยการกลุ่มการศึกษาดุสิตธานีประจำประเทศไทย ดร.ธงชัย สวัสดิสาร (ที่ 2 จากขวา) ผู้บริหารโรงเรียนดุสิตธานีการโรงแรม และ ดร.จินดารัตน์ ชุมสาย ณ อยุธยา (ที่ 3 จากขวา) ผู้อำนวยการแผนกอาหารไทย เข้าร่วมงาน โดยมี ดร.ดนัย จันทร์เจ้าฉาย (ขวา) ร่วมแสดงความยินดี ณ โรงเรียนดุสิตธานีการโรงแรม ถ.เพชรบุรี
นางอภิรดี ตันตราภรณ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ ให้เกียรติเป็นประธานเปิดงานและเยี่ยมชมงาน Thailand Innovation and Design Expo 2016 หรือ T.I.D.E. 2016 สุดยอดงานแสดงสินค้านวัตกรรมและการออกแบบของไทยและนานาชาติจาก 9 กลุ่มอุตสาหกรรมและ Start up ภายใต้แนวคิด Better Life Innovation For Tomorrow สร้างคุณภาพชีวิตที่ดีกว่าด้วยนวัตกรรมแห่งอนาคต เพื่อยกระดับคุณภาพชีวิตคนไทยก้าวสู่ยุคประเทศไทย 4.0 โดยมี (เรียงจากซ้ายไปขวา) นายสนั่น อังอุบลกุล ประธานกรรมการและกรรมการผู้จัดการ บริษัท ศรีไทย ซุปเปอร์แวร์ จำกัด (มหาชน) นางมาลี โชคล้ำเลิศ อธิบดีกรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ นางสาววิบูลย์ลักษณ์ ร่วมรักษ์ อธิบดีกรมการค้าภายใน ดร.ชาญชัย เจริญสุข เลขาธิการสภาผู้ส่งสินค้าทางเรือแห่งประเทศไทย ณ ห้องเพลนารี่ ฮอลล์ 1–3 โซน บี ศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์
พลเอกเฉลิมชัย สิทธิสาท ผู้บัญชาการทหารบก ให้การต้อนรับ คุณมรกต ยิบอินซอย กรรมการผู้จัดการใหญ่และประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ยิบอินซอย จำกัด พร้อมด้วย คุณอาริศรา ธรมธัช รองกรรมการผู้จัดการใหญ่ สายงานธุรกิจภาครัฐ ธนาคารกรุงไทย และ คุณอานนท์ เจริญรุ่งเรือง กรรมการผู้จัดการ บริษัท โตโยต้าฉะเชิงเทรา จำกัด เพื่อนรุ่น วปอ. 2554 ในโอกาสร่วมแสดงความยินดีที่ได้รับตำแหน่งผู้บัญชาการทหารบกคนใหม่ ณ ห้องประชุม กองบัญชาการกองทัพบก ถนนราชดำเนินนอก เขตพระนคร กรุงเทพฯ
วรวรรณ ธาราภูมิ (กลาง) ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บมจ. บัวหลวง เรืองศักดิ์ ปัญญาบดีกุล (ที่ 2 จากขวา) ผู้ช่วยผู้จัดการใหญ่อาวุโส สายการตลาด บมจ. กรุงเทพประกันชีวิต และนรวีร์ วงศ์สมมาตร (ที่ 3 จากขวา) ผู้บริหารโครงการ smart3B พร้อมด้วยคณะผู้บริหารร่วมงาน The cozy night with smart3B ฉลองก้าวแรกสู่ความสำเร็จเพื่อขอบคุณลูกค้าที่ให้ความเชื่อมั่นและไว้วางใจให้ทีมงาน smart3B ที่ปรึกษาการเงินมืออาชีพ ระดับ CFP® ช่วยวางแผนการเงิน ให้การลงทุนเป็นเรื่องง่ายด้วยฐานลูกค้าที่เพิ่มขึ้น ณ โรงแรมสุโขทัย กรุงเทพฯ
ศูนย์บ่มเพาะธุรกิจเทคโนโลยี สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี (สวทช.) รับรางวัล AABI Incubator of the Year 2016 Award จากการที่ศูนย์บ่มเพาะฯ มีการบริหารงานอย่างมืออาชีพ ศักยภาพดำเนินการ ธรรมาภิบาลเป็นเลิศ รวมถึงการให้บริการผู้ประกอบการทางเทคโนโลยี และการให้ประโยชน์ต่อสาธารณชน โดยมี นางศันสนีย์ ฮวบสมบูรณ์ รองผู้อำนวยการศูนย์บ่มเพาะฯ (ที่ 2 จากขวา) เป็นตัวแทนรับมอบ ในงานประชุมประจำปี The AABI Annual Conference ครั้งที่ 21 ณ Shanghai International Conference Center เมืองเชี่ยงไฮ้ สาธารณรัฐประชาชนจีน
นางเนาวนิจ หลิมประเสริฐศิริ (ที่ 3 จากซ้าย) ผู้ช่วยผู้อำนวยการกลุ่มผลิตภัณฑ์วัสดุสิ้นเปลือง บริษัท เมโทรซิสเต็มส์คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) ให้การต้อนรับ นายชัยวุธิ คหกิจไพศาล (ที่ 4 จากซ้าย) ผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อ และ นายณรงกต วัฒนดำรงวงศ์ (ที่ 4 จากขวา) ผู้จัดการฝ่ายปฏิบัติการเทคโนโลยีสารสนเทศ พร้อมทีมงานจาก บริษัท เคอรี่ เอ็กซ์เพรส (ประเทศไทย) จำกัด ซึ่งเป็นบริษัทจัดส่งพัสดุชั้นนำของประเทศไทย ในโอกาสเข้าเยี่ยมชม PageWide Technology Center ศูนย์สาธิตเทคโนโลยีเครื่องพิมพ์เอชพีใหม่ล่าสุดของบริษัทฯ และทดสอบประสิทธิภาพเครื่องพิมพ์ HP PageWide เมื่อวันที่ 4 ตุลาคม 2559 ณ สำนักงานใหญ่
คุณกุลประภา นาวานุเคราะห์ (ที่ 4 จากซ้าย) ผู้ช่วยผู้อำนวยการ สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) คุณหทัยรัตน์ อติชาติ (ที่ 3 จากซ้าย) ผู้จัดการฝ่ายนโยบายด้านรัฐกิจและกิจการสัมพันธ์ บริษัท เชฟรอนประเทศไทยสำรวจและผลิต จำกัด ดร. อารา บาแซม (ซ้าย) ผู้อำนวยการโครงการ "Chevron Enjoy Science: สนุกวิทย์ พลังคิด เพื่ออนาคต" สถาบันคีนันแห่งเอเซีย พร้อมด้วยตัวแทนกลุ่มเมกเกอร์ในประเทศไทย ประกอบด้วย คุณกัลยา โกวิทวิสิทธิ์ (ที่ 5 จากซ้าย) คุณธณพล กิจมุติ (ขวา) และเด็กชายฟังธรรม ศิลปภักดี (ที่ 2 จากซ้าย) ร่วมแถลงข่าวการจัดงาน Bangkok Mini Maker Faire มหกรรมแสดงผลงานและสิ่งประดิษฐ์ของเหล่าเมกเกอร์ ต่อเนื่องเป็นปีที่สอง ซึ่งจะจัดขึ้นในระหว่างวันที่ 5-6 พฤศจิกายน 2559 ณ ลานหน้าศูนย์การค้าเดอะสตรีท รัชดา ตั้งแต่เวลา14.00–21.00 น. โดยเปิดให้ผู้สนใจเข้าชมฟรีตลอดงาน
ผศ.ดร.จิรเดช คงทน และ ดร.โรเบิร์ต ฟาร์เรล นำนักศึกษา คณะวิศวกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยอัสสัมชัญ ฟังบรรยายความรู้ และเยี่ยมชมกระบวนการทำงานของเครื่องฉีดพลาสติก ยี่ห้อ ไห่เทียน โดยมี โจ จันทร์ล้วน ผู้อำนวยการฝ่ายขาย บริษัท เอสพี อินเตอร์แมค จำกัด เป็นวิทยากร ให้การต้อนรับและนำชม ณ โชว์รูมไห่เทียน ถนนมอเตอร์เวย์ เมื่อเร็ว ๆ นี้
ชไนเดอร์ อิเล็คทริค โดย นายสุรเชษฏ์ บุญยศักดิ์เสรี (ซ้าย) ผู้อำนวยการธุรกิจค้าปลีก ชไนเดอร์ อิเล็คทริค ประเทศไทย เข้ารับโล่ประกาศเกียรติคุณ ในฐานะตัวแทนองค์กรที่ทำคุณประโยชน์ในด้านแรงงาน ในวันคล้ายวันสถาปนากระทรวงแรงงาน ประจำปี 2559 จาก พลเอกศิริชัย ดิษฐกุล (ขวา) รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน ณ อาคารกระทรวงแรงงาน เมื่อเร็ว ๆ นี้
บริษัท นิวแม็ก จำกัด แผนก Vacuum Pump ได้จัดสัมมนาให้กับลูกค้า ในหัวข้อ Vacuum Technology ใน Vacuum Day@Songkhla 09/09/59 ณ โรงแรมลีการ์เด้นส์ อ.หาดใหญ่ จ.สงขลา โดยหลักสูตรการอบรม จะเน้นอธิบายเฉพาะระบบสุญญากาศ ความหมายของสุญญากาศ คืออะไร หน่วยวัดที่ใช้กับสุญญากาศ มีอะไรบ้าง ความเป็นมาของเครื่องจักรที่ใช้สร้างสุญญากาศ ตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบันมีอะไรบ้าง แต่ละรุ่นได้มีการพัฒนาอย่างไร ทำงานอย่างไร โดยจะเน้นที่การทำงานของ Vacuum Pump ที่เป็นแบบ Rotary Vane ซึ่งเป็น Vacuum Pump ที่ได้รับความนิยมมากที่สุดในปัจจุบันนี้ และเทคโนโลยีสุญญากาศทุกแบบ (พิเศษ) ตลอดจนการบำรุงรักษา Vacuum Pump ที่เป็นแบบ Rotary Vane รวมถึงได้สัมผัสของจริง ชิ้นงานจริง และชิ้นส่วนต่าง ๆ ของ Vacuum Pump แบบ Rotary Vane การวิเคราะห์ปัญหาและการตรวจเช็คประสิทธิภาพ Vacuum Pump ในหลักสูตรการอบรมจะใช้เวลาทั้งหมด ประมาณ 4 ชั่วโมง และจะมีช่วงระยะเวลาในการตอบคำถามที่สงสัยหลังการอบรม
ซึ่งทางบริษัท นิวแม็ก จำกัด ได้มีการจัดแสดงสินค้าในส่วนของแผนก Vacuum Pump ทั้งในส่วนของปั๊มสุญญากาศ Leybold ซึ่งเป็นปั๊มสัญชาติเยอรมัน และในส่วนของงาน Spare Parts สำหรับปั๊มสุญญากาศ รวมถึงงานซ่อมสำหรับปั๊มสุญญากาศ และมีบริการหลังการขาย ในงานนี้ มีแสดงสินค้าในแผนกอื่น ๆ อีกรวมทั้งสิ้น 8 แผนก ซึ่งได้รับความสนใจ และได้รับความเชื่อมั่นจากลูกค้าเป็นอย่างมาก
กรมโรงงานอุตสาหกรรม กระทรวงอุตสาหกรรม เร่งศึกษาและจัดทำแผนแม่บทพร้อมแผนปฏิบัติการการพัฒนาเมืองอุตสาหกรรมเชิงนิเวศของเขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษใน 4 จังหวัด ได้แก่ มุกดาหาร สระแก้ว ตาก และตราด ตามแนวทางการพัฒนาเมืองอุตสาหกรรมเชิงนิเวศ 5 มิติ ได้แก่ กายภาพ เศรษฐกิจ สิ่งแวดล้อม สังคม และการบริหารจัดการ มุ่งเน้นให้เขตพัฒนาเศรษฐกิจเป็นประตูเชื่อมโยงภูมิภาค สร้างเครือข่ายระบบการผลิต เพื่อประโยชน์ร่วมกันของประเทศสมาชิก ทั้งด้านเศรษฐกิจ สังคม และความมั่นคง เติบโตควบคู่ไปกับการอนุรักษ์และส่งเสริมสิ่งแวดล้อม โดยปัจจุบันอยู่ระหว่างการประชุมจัดทำแผนปฏิบัติการให้สอดคล้องกับแผนแม่บทฯ ของ 4 จังหวัดดังกล่าว เพื่อเป้าหมายของการเป็น “เมืองน่าอยู่คู่อุตสาหกรรม”
นายมงคล พฤกษ์วัฒนา อธิบดีกรมโรงงานอุตสาหกรรม กล่าวว่า กรมโรงงานอุตสาหกรรมได้ดำเนินโครงการศึกษาเพื่อจัดทำแผนแม่บทพร้อมแผนปฏิบัติการการพัฒนาเมืองอุตสาหกรรมเชิงนิเวศของเขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษใน 4 จังหวัด ได้แก่ จังหวัดมุกดาหาร สระแก้ว ตาก และตราด ปัจจุบันมีโรงงานในพื้นที่เป้าหมายเขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษในจังหวัดมุกดาหาร 237 โรงงาน จังหวัดสระแก้ว 23 โรงงาน จังหวัดตาก 426 โรงงาน และจังหวัดตราด 58 โรงงาน และปัจจุบันอยู่ในขั้นตอนประชุมเพื่อจัดทำแผนปฏิบัติการ โดยความเห็นชอบของคณะกรรมการพัฒนาเมืองอุตสาหกรรมเชิงนิเวศระดับจังหวัด และคณะทำงานการขับเคลื่อนการพัฒนาเมืองอุตสาหกรรมเชิงนิเวศในระดับพื้นที่ ของทั้ง 4 จังหวัด เพื่อให้ได้แนวทางครอบคลุมทั้ง 5 มิติ ทั้งมิติกายภาพ เศรษฐกิจ สิ่งแวดล้อม สังคม และการบริหารจัดการ ผลักดันให้สถานประกอบกิจการพัฒนาอุตสาหกรรมควบคู่กับการดูแลสิ่งแวดล้อม เพื่อลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมให้น้อยที่สุด และเชื่อมโยงความร่วมมือจากทุกภาคส่วนให้เกิดการพัฒนาด้านเศรษฐกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อม อย่างสมดุล และเติบโตไปด้วยกัน จนกลายเป็นเมืองน่าอยู่คู่อุตสาหกรรมในอนาคต
ทั้งนี้ รัฐบาลมุ่งเน้นในการพัฒนาประเทศทั้งในด้านเศรษฐกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อม พร้อมต้อนรับการเปิดประชาคมอาเซียน ซึ่งหนึ่งในยุทธศาสตร์หลัก คือ การพัฒนา ที่จะพัฒนาเศรษฐกิจควบคู่ไปกับการอนุรักษ์และส่งเสริมความยั่งยืน เกิดความเชื่อมั่นต่อการพัฒนาประเทศในทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้องและยังลดปัญหาความขัดแย้งระหว่างโรงงานอุตสาหกรรมและชุมชน สามารถอยู่ด้วยกันอย่าง “มั่นคง มั่งคั่ง และยั่งยืน” โดยแผนแม่บทและแผนปฏิบัติการดังกล่าวแล้วเสร็จภายในปลายปี 2559 นี้ นายมงคล กล่าวสรุป
สำหรับผู้ที่สนใจสามารถสอบถามข้อมูลเพิ่มเติม ได้ที่ สำนักส่งเสริมการมีส่วนร่วมของประชาชน กรมโรงงานอุตสาหกรรมโทรศัพท์ 0-2202-4093 หรือสอบถามข้อมูลโครงการอื่น ๆ ของกรมโรงงานอุตสาหกรรม โทรศัพท์ 0-2202-4014 หรือเข้าไปที่ www.diw.go.th
การขยายตัวของภาคอุตสาหกรรม นับเป็นปัจจัยสำคัญที่ช่วยขับเคลื่อนให้เศรษฐกิจของประเทศเติบโตขึ้น และสร้างรายได้อย่างมหาศาล ดังนั้น ภาครัฐและภาคเอกชนในหลายประเทศทั่วโลก รวมถึงประเทศไทย เล็งเห็นถึงความจำเป็นในการออกนโยบายเพื่อสร้างระบบอุตสาหกรรมที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม ซึ่งหนึ่งในนั้นคือการรณรงค์ให้ลดการผลิตและการใช้สารที่ทำลายชั้นบรรยากาศโอโซน รวมถึงการคิดค้นนวัตกรรมผลิตภัณฑ์ที่ไม่มีผลกระทบต่อชั้นบรรยากาศของโลก
ดาว โพลิยูรีเทน หน่วยธุรกิจหนึ่งของบริษัท ดาว เคมิคอล บริษัทด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีชั้นนำของโลก ได้นำเสนอ โพลิออลสูตรผสมสำเร็จ สำหรับอุตสาหกรรมในประเทศไทยและประเทศในแถบเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ โดยนวัตกรรมใหม่นี้เกิดจากการผสานเทคโนโลยีขั้นสูงของ โพลิอีเทอร์ โพลิออล จากดาว และสารที่ทำให้เกิดโฟม (Blowing Agent) เอชเอฟซี (ไฮโดรฟลูออโรคาร์บอน) 245เอฟเอ (HFC245fa) จากฮันนี่เวลล์ โดยผลิตภัณฑ์ดังกล่าวสอดคล้องกับนโยบายด้านสิ่งแวดล้อมของรัฐบาลเป็นอย่างดี เพราะมีคุณสมบัติพิเศษ คือ Zero Ozone Depletion Potential (ODP) หรือเป็นสารที่ไม่ทำลายโอโซนในชั้นบรรยากาศนั่นเอง
ผู้ผลิตฉนวนโฟมโพลิยูรีเทนสำหรับคลังสินค้า ห้องเย็น ตู้เย็น ตู้แช่ ถังเก็บความเย็น หรือผู้ประกอบการในธุรกิจการเก็บรักษาอาหารทะเล หรืออุตสาหกรรมรถยนต์ ในประเทศไทย สามารถใช้โพลิออลสูตรใหม่นี้แทนที่ผลิตภัณฑ์เดิมที่มีส่วนประกอบของสาร เอชซีเอฟซี (สารไฮโดรคลอโรฟลูโอโรคาร์บอน) 141บี (HCFC141b) ที่จะถูกห้ามใช้ในประเทศไทยและประเทศในแถบเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ในอนาคตอันใกล้
นายวิชาญ ตั้งเคียงศิริสิน ผู้ช่วยผู้อำนวยการฝ่ายการตลาดของหน่วยธุรกิจดาว โพลิยูรีเทนประจำภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก กล่าวว่า “หน่วยธุรกิจดาว โพลิยูรีเทนมีความมุ่งมั่นในการร่วมมือกับพันธมิตรทางธุรกิจและลูกค้า เพื่อส่งเสริมการเติบโตของอุตสาหกรรมอย่างยั่งยืน ดาวสนับสนุนนโยบายของรัฐบาลในการผลักดันอุตสาหกรรมของประเทศไทยไปในทิศทางความยั่งยืนด้วยการคิดค้นผลิตภัณฑ์ที่ช่วยส่งเสริมการใช้ทรัพยากรอย่างคุ้มค่าและเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม โดยเทคโนโลยีโพลิออลรูปแบบใหม่นี้ เป็นหนึ่งในผลิตภัณฑ์ที่ดาวที่คิดค้นขึ้นเพื่อตอบโจทย์ด้านสิ่งแวดล้อม”
นวัตกรรมโพลิออลแบบใหม่ช่วยลดการทำลายชั้นบรรยากาศ (โอโซน) สามารถผลิตโฟมที่มีคุณภาพสูงกว่าเดิม และตอบโจทย์ผู้ประกอบการในประเทศไทย โดยเฉพาะผู้ประกอบการรายย่อยที่มีงบประมาณจำกัด นอกจากนี้ ดาวมีโรงงานผลิตโพลิออลในประเทศไทย ทำให้สามารถตอบสนองความต้องการและให้บริการลูกค้าได้อย่างรวดเร็ว และลูกค้าสามารถปรับสูตรได้ตามความเหมาะสมของการใช้งาน โพลิออลสูตรผสมสำเร็จนี้จะช่วยลดเงินลงทุนในการซื้อหรือติดตั้งเครื่องจักรใหม่ ประหยัดพื้นที่ใช้สอย และไม่จำเป็นต้องปรับปรุงโรงงานเพื่อเพิ่มมาตรฐานด้านการป้องกันอุบัติเหตุภัยเพิ่มเติม เพราะสารดังกล่าวมีคุณสมบัติไม่ติดไฟ ง่ายต่อการจัดการ ไม่กัดกร่อนเครื่องจักร นวัตกรรมโพลิออลแบบใหม่สามารถทดแทนโพลิออลแบบเดิมได้ทันที สามารถจัดเก็บในโกดังที่อุณหภูมิห้อง (ไม่ต้องเก็บในห้องเย็น) และยังสามารถใช้กับเครื่องจักรเดิม โดยโรงงานไม่ต้องปรับเปลี่ยนหรือเรียนรู้กระบวนการทำงานใหม่ใด ๆ ทั้งสิ้น
นอกจากนี้ ดาว ยังมีผลิตภัณฑ์โพลิยูรีเทนที่ใช้กับโบลวิ่ง เอเจ้นท์ ชนิดอื่น ๆ เช่น ไฮโดรคาร์บอน (Pentane) น้ำ (Water Blown) หรือ สุญญากาศ (PASCAL™ Technology) เพื่อตอบโจทย์ทุกกระบวนการผลิตของลูกค้าและเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมด้วยเช่นกัน
โพลิยูรีเทนโฟม ถูกนำไปใช้เป็นฉนวนกันความร้อนในอุตสาหกรรมห้องเย็นและอุตสาหกรรมก่อสร้าง
ธุรกิจ ดาว โพลิยูรีเทน ดำเนินธุรกิจโดยมีเครือข่ายทั่วโลก ทั้งในด้านฐานการผลิต ศูนย์ควบคุมระบบ ตลอดจนถึงศูนย์นวัตกรรมและการบริการ โดยธุรกิจนี้ยังมีแผนการที่จะตอกย้ำสถานะความเป็นผู้นำด้วยการพัฒนาผลิตภัณฑ์ประสิทธิภาพสูง ที่สามารถตอบสนองความต้องการที่ซับซ้อนของตลาด และเพื่อเป็นส่วนหนึ่งของการสร้างสังคมที่สะดวกสบาย มีสุขภาพดี และสามารถปรับตัวได้ง่าย สามารถดูข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ www.dowpolyurethanes.com
เมื่อวันพฤหัสบดีที่ 15 กันยายน 2559 ที่ผ่านมา คณะผู้บริหารและเจ้าหน้าที่จาก Ministry of Water Irrigation and Electricity สหพันธ์สาธารณรัฐประชาธิปไตยเอธิโอเปีย เดินทางมาเยี่ยมชมห้องปฏิบัติการ ภาควิชาวิศวกรรมสิ่งแวดล้อม คณะวิศวกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรี (มจธ.) เพื่อแลกเปลี่ยนข้อมูลเกี่ยวกับกระบวนการแยกเกลือออกจากน้ำ และลดความเค็มในดิน พร้อมชมการสาธิตการทำงานของเครื่องแยกเกลือออกจากน้ำ (Sorp Soft) และดินไบโอ ผลงานวิจัยของ ผศ.ดร.ธิดารัตน์ บุญศรี อาจารย์ประจำภาควิชาวิศวกรรมสิ่งแวดล้อม คณะวิศวกรรมศาสตร์ ซึ่งทางคณะผู้บริหารและเจ้าหน้าที่จากเอธิโอเปียให้ความสนใจเรื่องการบำบัดดินเค็มและการบำบัดน้ำเค็มเป็นพิเศษ เนื่องจากเอธิโอเปียประสบปัญหาแหล่งน้ำในประเทศส่วนใหญ่มีเกลือปนอยู่ในน้ำและดินมีความเค็มไม่เหมาะสมต่อเกษตรกรรม ซึ่ง มจธ.ถือเป็นแห่งเดียวในไทยที่ทำการวิจัยเกี่ยวกับเรื่องการลดเกลือในน้ำและดิน ในโอกาสที่คณะฯ ได้เดินทางมาศึกษาดูงานด้านการใช้ประโยชน์จากพลังงานแสงอาทิตย์และพลังงานทดแทนในพื้นที่ภาคการเกษตรของประเทศไทย ซึ่งจัดโดยสถาบันเทคโนโลยีแห่งเอเชีย (AIT) ระหว่างวันที่ 4–16 กันยายน 2559
บริษัท เสริมสุข จำกัด (มหาชน) โดย นายพีรพงศ์ กรินชัย (ที่สองจากซ้าย) ผู้อำนวยการฝ่ายปฏิบัติการ และ นางปรางณี ไชยพิเดช (ซ้ายสุด) ผู้ช่วยผู้อำนวยการฝ่ายการตลาด เข้ารับประกาศนียบัตร คาร์บอนฟุตพริ้นต์ขององค์กร ในการเป็นตัวอย่างบริหารจัดการและลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกของประเทศไทย รวมทั้งรับ ฉลากคาร์บอนฟุตพริ้นต์ ให้ใช้เป็นเครื่องหมายลดโลกร้อน บนฉลากผลิตภัณฑ์ น้ำดื่มคริสตัล และ เครื่องดื่มเอส จาก พลเอกสุรศักดิ์ กาญจนรัตน์ (กลาง) รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ซึ่งจัดขึ้นโดยองค์การบริหารจัดการก๊าซเรือนกระจก และสถาบันสิ่งแวดล้อมอุตสาหกรรม สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย ตอกย้ำความมุ่งมั่นในการดำเนินงานด้วยความรับผิดชอบต่อสังคมและการพัฒนาอย่างยั่งยืนของเสริมสุข รวมทั้งขานรับนโยบายขับเคลื่อนประเทศไทยสู่ สังคมคาร์บอนต่ำ ของนายกรัฐมนตรี
บริษัท เสริมสุข จำกัด (มหาชน) ได้เข้าร่วมโครงการคาร์บอนฟุตพริ้นต์ ขององค์การบริหารจัดการก๊าซเรือนกระจก และผ่านการทวนสอบจากศูนย์ความเป็นเลิศทางด้านพลังงานเชิงนิเวศเศรษฐกิจ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ โดยได้รับการขึ้นทะเบียนฉลากคาร์บอนใน 2 โครงการ ได้แก่ โครงการ เครื่องหมายคาร์บอนฟุตพริ้นต์ขององค์กร ของโรงงานปทุมธานี ซึ่งสามารถลดการใช้พลังงานและลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกที่เกิดจากกิจกรรมขององค์กรในรูปคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่าได้อย่างมีประสิทธิภาพ รวมทั้ง โครงการ เครื่องหมายคาร์บอนฟุตพริ้นต์ของผลิตภัณฑ์ และ ฉลากลดโลกร้อน ของผลิตภัณฑ์น้ำดื่มคริสตัล และเครื่องดื่มเอส ซึ่งสามารถนำเครื่องหมายลดโลกร้อนไปใช้บนฉลากผลิตภัณฑ์ เพื่อให้ผู้บริโภคใช้เป็นข้อมูลในการประกอบการตัดสินใจเลือกผลิตภัณฑ์ที่มีการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก ซึ่งเป็นสาเหตุของการเพิ่มอุณหภูมิโลก ทำให้เกิดภาวะโลกร้อน
นอกจากนี้ เสริมสุข ยังมีเป้าหมายในการขยายผลโครงการคาร์บอนฟุตพริ้นต์ ด้วยการปรับปรุงกระบวนการทำงานเพื่อลดปริมาณการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ และการอนุรักษ์พลังงานขององค์กรให้ครบทั้ง 6 โรงงานทั่วประเทศ รวมทั้งต่อยอดโครงการฉลากลดโลกร้อนกับผลิตภัณฑ์อื่น ๆ ของเสริมสุขในอนาคต ซึ่งถือเป็นส่วนหนึ่งในการร่วมขับเคลื่อนประเทศไทยไปสู่สังคมคาร์บอนต่ำ และบรรลุเป้าหมายลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกลงร้อยละ 20-25 ภายในปี พ.ศ.2573 ตามที่ พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ได้ประกาศไว้ในที่ประชุมสมัชชารัฐภาคีของอนุสัญญาสหประชาชาติว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ สมัยที่ 21 เมื่อเดือนธันวาคม พ.ศ.2558
ทั้งนี้ น้ำดื่มคริสตัล เป็นน้ำดื่มที่ได้รับรางวัลและมาตรฐานการผลิตต่าง ๆ มากมาย ได้แก่ การรับรองมาตรฐาน NSF เป็นรายแรกของประเทศไทยตั้งแต่ปี 2002 รางวัล อย. Quality Award ถึง 3 ปีซ้อน มาตรฐาน ISO 22000 Food Safety รวมทั้งล่าสุดได้รับการขึ้นทะเบียน "ฉลากลดโลกร้อน" ซึ่งแสดงให้เห็นถึงความตระหนักใส่ใจทั้งทางด้านคุณภาพ และการรักษาสิ่งแวดล้อมของผลิตภัณฑ์น้ำดื่มคริสตัลของเสริมสุขอีกด้วย
บอร์ดไทคอน อนุมัติเพิ่มทุน และจัดสรรหุ้นเพิ่มทุนจำนวน 735 ล้านหุ้น ในราคาหุ้นละ 18 บาท มูลค่ารวม 1.32 หมื่นล้านบาทให้แก่ บริษัท เฟรเซอร์ส พร็อพเพอร์ตี้ โฮลดิ้งส์ (ประเทศไทย) จำกัด บริษัทในเครือ Frasers Centrepoint Limited (FCL) หนึ่งในบริษัทผู้นำแห่งวงการอสังหาริมทรัพย์จากสิงคโปร์ เพื่อสร้างความแข็งแกร่งทางการเงิน และประสานความร่วมมือเพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันในธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ สู่การเป็นผู้นำในธุรกิจอสังหาริมทรัพย์เพื่อการอุตสาหกรรมแถวหน้าของอาเซียน
นายวีรพันธ์ พูลเกษ กรรมการผู้จัดการ บริษัท ไทคอน อินดัสเทรียล คอนเน็คชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ TICON เปิดเผยว่า เมื่อวันที่ 7 ตุลาคม 2559 คณะกรรมการบริษัทฯ ได้มีมติอนุมัติการเพิ่มทุน และจัดสรรหุ้นสามัญเพิ่มทุน โดยเสนอขายต่อบุคคลในวงจำกัดให้แก่ บริษัท เฟรเซอร์ส พร็อพเพอร์ตี้ โฮลดิ้งส์ (ประเทศไทย) จำกัด จำนวน 735 ล้านหุ้น ในราคาหุ้นละ 18 บาท มูลค่ารวม 13,230 ล้านบาท โดยราคาที่เสนอขายดังกล่าวเป็นราคาที่สูงกว่าราคาปิดล่าสุดในวันที่ 3 ตุลาคม 2559 คิดเป็นร้อยละ 5.9 สูงกว่าราคาถ่วงน้ำหนักถัวเฉลี่ย 15 วันย้อนหลัง และ 30 วันย้อนหลังของหุ้นไทคอนในตลาด คิดเป็นร้อยละ 11.2 และร้อยละ 13.6 ตามลำดับ โดยธุรกรรมดังกล่าวจะต้องได้รับการอนุมัติจากสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (กลต.) และจากผู้ถือหุ้นของไทคอน บริษัทฯ จึงได้กำหนดให้จัดประชุมวิสามัญผู้ถือหุ้นขึ้นในวันที่ 19 ธันวาคม 2559 เพื่อขออนุมัติเพิ่มทุน หลังจากการเข้าซื้อหุ้นเพิ่มทุนจะทำให้ บริษัท เฟรเซอร์ส พร็อพเพอร์ตี้ โฮลดิ้งส์ (ประเทศไทย) จำกัด เข้าถือหุ้นในไทคอนคิดเป็นสัดส่วนประมาณร้อยละ 40 ของจำนวนหุ้นที่ออกและชำระแล้วทั้งหมด โดยบริษัทจะได้ขอให้ผู้ถือหุ้นอนุมัติให้ไม่ต้องทำคำเสนอซื้อภายใต้กฎหมายการเข้าครอบงำกิจการ (Whitewash)
สำหรับการเพิ่มทุนของไทคอนครั้งนี้จะช่วยสร้างความแข็งแกร่งทางการเงินให้แก่กลุ่มไทคอนเป็นอย่างมาก โดยเพิ่มขีดความสามารถทางการเงินของบริษัทฯ ให้มีสภาพคล่องเพื่อขยายการลงทุนได้มากขึ้น รวมถึงการที่จะนำเงินที่ได้รับจากการเพิ่มทุนดังกล่าวไปชำระคืนหนี้เงินกู้บางส่วน ซึ่งจะทำให้อัตราส่วนหนี้สินต่อทุนของไทคอนลดลงอย่างมีนัยสำคัญ นอกจากนี้ การร่วมลงทุนระหว่างไทคอน และ FCL ในครั้งนี้ จะเป็นการเสริมพันธมิตรที่แข็งแกร่งในการขยายการลงทุนพัฒนาโรงงานและคลังสินค้าให้เช่าเพิ่มขึ้นทั้งในประเทศและต่างประเทศโดยเฉพาะอย่างยิ่งในแถบภูมิภาคอาเซียน อาทิ ประเทศอินโดนีเซีย ประเทศเวียดนาม และเมียนมาร์ เป็นต้น โดยอาศัยความสัมพันธ์ที่ดีที่มีต่อกัน ซึ่งจะส่งผลดีทั้งต่อบริษัทฯ และต่อผู้ถือหุ้นในระยะยาว
ทั้งนี้ บริษัท เฟรเซอร์ส พร็อพเพอร์ตี้ โฮลดิ้งส์ (ประเทศไทย) จำกัด เป็นบริษัทในเครือบริษัท Frasers Centrepoint Limited (FCL) ซึ่งเป็นบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์สิงคโปร์ และเป็นหนึ่งในบริษัทชั้นนำด้านการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ของสิงคโปร์ มีมูลค่าสินทรัพย์รวม 2.3 หมื่นล้านดอลลาร์สิงคโปร์ (ข้อมูล ณ วันที่ 30 มิถุนายน 2559) โดยมีธุรกิจหลักในการพัฒนาและบริหารอสังหาริมทรัพย์หลากหลายประเภท อาทิ เซอร์วิสอพาร์ทเมนต์ โรงแรม ที่อยู่อาศัย อาคารสำนักงาน ศูนย์การค้า และอสังหาริมทรัพย์เพื่อการอุตสาหกรรม โดยมีธุรกิจหลักในประเทศสิงคโปร์ ออสเตรเลีย และเซอร์วิสอพาร์ทเมนต์และโรงแรม ครอบคลุมกว่า 80 หัวเมืองทั่วโลก ในเอเชียเหนือ เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ออสเตรเลีย ทวีปยุโรป และภูมิภาคตะวันออกกลาง ซึ่งวัตถุประสงค์ในการลงทุนครั้งนี้นับเป็นยุทธศาสตร์สำคัญในการสร้างการเติบโตในต่างประเทศและสร้างรายได้ของกลุ่ม FCL อย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะประเทศไทยถือเป็นเป้าหมายที่ FCL พิจารณาเลือกในการสร้างตลาดรอง เนื่องจากปัจจุบันประเทศไทยมีอัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจมากเป็นอันดับที่ 2 ของอาเซียน และยังมีปัจจัยหนุนให้เกิดการเติบโตด้านอุตสาหกรรมและโลจิสติกส์ในเชิงบวกได้ในระยะยาว ซึ่งการลงทุนในกลุ่มไทคอนครั้งนี้จะช่วยเปิดโอกาสให้ไทคอน และ FCL สามารถต่อยอดการขยายธุรกิจ ไปสู่ผู้นำในธุรกิจการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์เพื่อการอุตสาหกรรมให้เติบโตในประเทศไทยและตลาดอาเซียนได้เป็นอย่างดี
เมื่อวันที่ 6 กันยายน 2559 คณะผู้บริหารจากเอบีบีนำโดย คุณชัยยศ ปิยะวรรณรัตน์ Managing Director ได้เข้าเยี่ยมและร่วมแสดงความยินดีกับ คุณชัยยงค์ พัวพงศกร ในโอกาสได้รับแต่งตั้งเป็นผู้ว่าการการไฟฟ้านครหลวง ที่อาคารสำนักงานใหญ่การไฟฟ้านครหลวง ปทุมวัน
บริษัท ไทยโอซูก้า จำกัด กลุ่มผู้นำบริษัทยาชั้นนำในประเทศไทย ทุ่มงบ 650 ล้านบาท สร้างโรงงานผลิตอาหารทางการแพทย์แห่งใหม่ และแห่งเดียวในประเทศไทย เพื่อรองรับตลาดที่ขยายตัวต่อเนื่องทั้งในและต่างประเทศ จัดเปิดตัวโรงงานอย่างยิ่งใหญ่ มั่นใจสิ้นปีนี้สร้างรายได้เพิ่มมากกว่า 20% หรือราว 300 ล้านบาท ลั่นตั้งเป้าอีก 5 ปี แชร์ในตลาดเพิ่มแตะ 32% ล่าสุดได้ฤกษ์ทำพิธีเปิดอย่างเป็นทางการ โดยมี ดร.อรรชกา สีบุญเรือง รมต.ว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม ให้เกียรติเป็นประธานในพิธีเปิด ร่วมด้วย นายชินซึเกะ ยุอาสะ ประธานบริษัท นายธนัญ สันตโยดม ประธานกรรมการ ตัวแทนบริหารฝ่ายกรรมการบริษัท ไทยโอซูก้า จำกัด ให้การต้อนรับ พร้อมกันนี้ยังได้นำคณะสื่อมวลชน เข้าเยี่ยมชมโรงงาน ณ บริษัท ไทยโอซูก้า จำกัด (อ.กระทุ่มแบน จ.สมุทรสาคร)
นายชินซึเกะ ยุอาสะ ประธาน บริษัท ไทยโอซูก้า จำกัด กล่าวว่า เราเป็นหนึ่งในกลุ่มผู้นำบริษัทยา ที่มุ่งเน้นสินค้าและบริการที่มีคุณภาพจนสามารถสร้างยอดขายเป็นติด 1 ใน 10 ของบริษัทยาชั้นนำในประเทศไทย โดยการผลิตน้ำเกลือภายใต้เทคโนโลยีที่มีประสิทธิภาพของโอซูกะ ประเทศญี่ปุ่น และได้ขยายการผลิตอาหารทางการแพทย์ขึ้นเป็นแห่งเดียวในไทย ภายใต้แบรนด์ของคนไทยซึ่งมียอดขายทั้งในและต่างประเทศราว 2,000 กว่าล้านบาท และมีอัตราการเติบโตเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องทุกปี โดยเฉพาะในผลิตภัณฑ์ด้านอาหารทางการแพทย์เติบโตอย่างรวดเร็วเพิ่มขึ้นในอัตรา 10% ทุก ๆ ปี เพราะกำลังเป็นที่ต้องการของตลาดอย่างมากเนื่องจากอาหารทางการแพทย์คืออาหารที่ได้มีการทดลอง ศึกษาถึงประสิทธิภาพที่ใช้ได้ในคนปกติและผู้ป่วยโรคต่าง ๆ มีผลการศึกษาและทดลองที่ชัดเจน ซึ่งยืนยันได้ว่ามีผลดี ปลอดภัย และเหมาะสมต่อผู้ป่วยมากกว่าอาหารเสริม และก่อนที่จะขึ้นทะเบียนอาหารทางการแพทย์ได้นั้น ต้องมีหลักฐานทางการแพทย์ว่าใช้ได้ผลและปลอดภัย ผู้บริโภคจึงเกิดความมั่นใจ ได้ผลลัพธ์ที่พึงพอใจ ความต้องการผลิตภัณฑ์จึงมีอย่างต่อเนื่อง
ทั้งนี้จากที่บริษัทเรามีโรงงานผลิตอาหารทางการแพทย์แห่งเดียวในประเทศไทย โดยได้มีการพัฒนาผลิตภัณฑ์ร่วมกับแพทย์ไทย เพื่อให้ได้ผลิตภัณฑ์ที่มีคุณภาพและสนองตอบลูกค้าเป็นอย่างดี จึงส่งผลให้ขณะนี้กำลังการผลิตของบริษัทไม่เพียงพอต่อความต้องการของตลาดที่เพิ่มมากขึ้น ล่าสุด บริษัทจึงได้ทุ่มงบราว 650 ล้านบาท ในการลงทุนสร้างโรงงานแห่งใหม่ที่มีกำลังการผลิตเพิ่มขึ้นเป็น 4 เท่า แบ่งเป็นสร้างอาคาร 250 ล้านบาท และการพัฒนา เครื่องจักร และการค้นคว้าวิจัยอีก 400 ล้านบาท เพื่อให้สามารถตอบสนองความต้องการของลูกค้าทั้งในและต่างประเทศได้ครอบคลุมมากยิ่งขึ้น โดยโรงงานแห่งใหม่นี้เราใช้เทคโนโลยีที่ทันสมัย ได้มาตรฐาน โดยใช้ระบบบริหารจัดการแบบญี่ปุ่น ฉะนั้นจึงมั่นใจได้ว่า มาตรฐานในการผลิตนั้นเทียบเท่ากับการผลิตยารักษาโรคและน้ำเกลือ
“อาหารทางการแพทย์สามารถตอบสนองความต้องการของลูกค้าได้หลายกลุ่ม โดยไม่จำเป็นเฉพาะกลุ่มหลัก ได้แก่ ผู้ป่วยโดยเฉพาะ เช่นโรคเบาหวาน โรคมะเร็ง โรคตับ หรือแม้แต่ผู้ป่วยเด็กที่มีระบบการดูดซึมบกพร่อง และกลุ่มรองของอาหารทางการแพทย์ยังสามารถใช้ได้กับบุคคลทั่วไป ซึ่งมีการยืนยันว่าได้ผลดี มีองค์ประกอบและสารอาหารที่ครบถ้วน เหมาะกับไลฟ์สไตล์การใช้ชีวิตของคนยุคปัจจุบันที่เร่งรีบในแต่วันอาจรับประทานอาหารไม่ครบ 5 หมู่ ซึ่งอาหารทางการแพทย์นี้ สามารถเข้าไปช่วยทดแทนสารอาหารที่ขาดหายไปและสะดวกต่อผู้บริโภคในแต่ละรายให้ได้รับสารอาหารที่ครบถ้วนในละวันได้เป็นอย่างดี” นาย ชินซึเกะ กล่าว
ด้าน นายธนัญ สันตโยดม ประธานกรรมการ ตัวแทนผู้บริหารฝ่ายกรรมการบริษัทไทย โอซูก้า จำกัด กล่าวเพิ่มเติมว่า การที่บริษัทเราได้สร้างโรงงานผลิตอาหารทางการแพทย์ในประเทศไทยนั้น ถือว่าเป็นส่วนหนึ่งที่จะช่วยพัฒนาทางด้านเศรษฐกิจไทยให้ดีขึ้นในการลดการนำเข้าสินค้าจากต่างประเทศ ส่งผลให้มีการจ้างงานในประเทศมากขึ้น และในอนาคตเราจะส่งเสริมในการใช้วัตถุดิบในไทยมากขึ้น เพื่อเป็นการเพิ่มศักยภาพของ Supply Chain ด้วย ในช่วงไตรมาสสุดท้าย ของปีนี้ บริษัทได้ใช้งบประมาณการตลาดราว 50 ล้านบาท ในการออกผลิตภัณฑ์ใหม่ภายใต้แบรนด์ Once Pro โดยส่งเสริมการตลาดทั้งการโฆษณา และประชาสัมพันธ์ อย่างครบวงจร เพื่อให้ผู้บริโภคได้รู้จักอย่างแพร่หลายหรือในวงกว้างมากขึ้น โดยจะเน้นการสร้างการรับรู้ให้เข้าถึงบุคคลากรทางการแพทย์มากขึ้นพร้อมเพิ่มการวิจัย และพัฒนา ในการคิดค้นผลิตภัณฑ์ใหม่ ๆ ที่มีคุณภาพ ออกมาตอบสนองต่อความต้องการของผู้ป่วยและผู้บริโภคทั่วไปให้เพิ่มมากยิ่งขึ้นด้วย
ปัจจุบันผลิตภัณฑ์อาหารทางการแพทย์มีอัตราการเติบโตต่อเนื่องมากกว่า 10% ในทุกปี โดยบริษัทตั้งเป้าไว้ว่าหลังจากสร้างโรงงานใหม่เรียบร้อยแล้วจะสามารถเพิ่มยอดขายได้มากกว่า 20% หรือ ราว 300 ล้านบาท ภายในสิ้นปีนี้และจะทำให้บริษัทมีส่วนแบ่งการตลาดเพิ่มขึ้นเป็น 32% จากปัจจุบัน 22% ภายในระยะเวลา 5 ปี ได้อย่างแน่นอน
สมาคมเทคโนโลยีป้องกันประเทศ ร่วมกับ บริษัท เน็ตแอพ ประเทศไทย (จำกัด) จัดงานเสวนา “กลยุทธ์และการจัดการความมั่นคงปลอดภัยทางไซเบอร์ (National Cyber Security)” แก่เจ้าหน้าที่ระดับสูงในสายงานเทคโนโลยีสารสนเทศ เพื่อเผยแพร่ความรู้และตอกย้ำถึงความสำคัญของการป้องกันภัยคุกคามทางไซเบอร์ ด้วยแนวทางในการจัดการข้อมูลให้มีความปลอดภัยและสามารถแก้ไขปัญหาเมื่อข้อมูลโดนคุกคามในยุคดิจิตัล โดยงานนี้จัดขึ้น ณ โรงแรมเดอะ เซนต์ รีจิส กรุงเทพฯ
จากภาพ: พลอากาศเอก พงศธร บัวทรัพย์ (กลาง) นายกสมาคมเทคโนโลยีป้องกันประเทศ, พลเอก บรรเจิด เทียนทองดี (ที่ 3 จากซ้าย) ที่ปรึกษาพิเศษสถาบันเทคโนโลยีป้องกันประเทศ, นายวีระ อารีรัตนศักดิ์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท เน็ตแอพ ประจำภูมิภาคอาเซียน (ที่ 3 จากขวา), (จากซ้ายไปขวา) นาวาอากาศเอก รศ.ดร.ประสงค์ ปราณีตพลกรัง รองศาสตราจารย์ กองการศึกษาโรงเรียนนายเรืออากาศนวมินทกษัตริยาธิราช, พลโท สุทธิศักดิ์ สลักคำ ที่ปรึกษาสำนักงานปลัดกระทรวงกลาโหม, อาจารย์ ปริญญา หอมอเนก ผู้ก่อตั้งและประธานบริษัท ACIS Professional Center และ พันเอก ธวัช ธัญญชาติกุล ผู้อำนวยการกองรักษาความปลอดภัยและสารสนเทศ กรมการสื่อสารทหาร กองบัญชาการกองทัพไทย
นายธีระชาติ นุมานิต (ที่ 3 จากซ้าย) ประธานเจ้าหน้าที่บริหารด้านออกแบบและก่อสร้าง และ นายณัฐวุฒิ มัธยมจันทร์ (ที่ 2 จากซ้าย) ประธานเจ้าหน้าที่บริหารการพัฒนาธุรกิจพักอาศัย บริษัท สิงห์ เอสเตท จำกัด (มหาชน) ผู้ดำเนินธุรกิจด้านการลงทุนและพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ ร่วมลงนามสัญญากับ นายสมชาย ศิริเลิศพานิช (ที่ 3 จากขวา) กรรมการผู้จัดการ บริษัท ซินเท็ค คอนสตรัคชั่น จำกัด (มหาชน) ผู้เชี่ยวชาญด้านการก่อสร้างชั้นนำของประเทศไทย เพื่อแต่งตั้งให้เป็นผู้ดำเนินการก่อสร้าง โครงการ ดิ เอส อโศก คอนโดมิเนียม โครงการที่อยู่อาศัยโครงการแรกแรกที่พัฒนาโดย บริษัทสิงห์ เอสเตท จำกัด (มหาชน) โดยโครงการ ดิ เอส อโศก เป็นคอนโดมิเนียมระดับ Luxury มูลค่าโครงการกว่า 4,500 ล้านบาท ความสูง 55 ชั้น บนพื้นที่เกือบ 3 ไร่ โดยเมื่อโครงการแล้วเสร็จ จะเป็นอาคารที่สูงที่สุดบนถนนอโศก ปัจจุบัน มียอดขายแล้วกว่า 70% การก่อสร้างมีกำหนดแล้วเสร็จกลางปี พ.ศ.2562
ดร.สมชาย หาญหิรัญ ปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม (ที่ 3 จากซ้าย) และ นายเดชา เกื้อกูล รองอธิบดีกรมอุตสาหกรรมพื้นฐานและการเหมืองแร่ (ที่ 4 จากซ้าย) นายอภิรักษ์ โกษะโยธิน (ซ้ายสุด) ร่วมงานสัมมนา Northern Industrial Supply Chain & Logistics Forum 2016 เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพโลจิสติกส์ภาคอุตสาหกรรมในภูมิภาค สำหรับกิจกรรมดังกล่าวจัดโดยกรมอุตสาหกรรมพื้นฐานและการเหมืองแร่ เมื่อเร็ว ๆ นี้ ณ ห้องประชุมนานาชาติ โรงแรมเชียงใหม่แกรนด์วิว จังหวัดเชียงใหม่
บริษัท ฟูจิ ซีร็อกซ์ (ประเทศไทย) จำกัด เปิดเผยว่า ฟูจิ ซีร็อกซ์จัดงาน Fuji Xerox Smart Business Forum 2016 สัมมนาสัญจรพบลูกค้าทั่วประเทศ เจาะกลุ่มลูกค้าในพื้นที่แถบนิคมอุตสาหกรรมและตามหัวเมืองใหญ่ เช่น นิคมอุตสาหกรรมอิสเทิร์นซีบอร์ด, นิคมอุตสาหกรรมอมตะนคร, นิคมอุตสาหกรรม 304 จ.ปราจีนบุรี, จ.นครราชสีมา, จ.พระศรีอยุธยา เป็นต้น ซึ่งในการจัดงานครั้งนี้ได้รับการตอบรับจากลูกค้าเป็นอย่างดี
โดยในงานนี้ได้จัดแสดงนวัตกรรมและเทคโนโลยีด้านการบริหารจัดการเอกสารที่หลากหลาย ออกแบบมาให้เหมาะสมและยืดหยุ่นกับทุกประเภทธุรกิจ ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการทำงาน ให้สามารถประหยัดเวลาและค่าใช้จ่าย สร้างศักยภาพในการแข่งขันทางธุรกิจ ช่วยให้ธุรกิจประสบความสำเร็จมากขึ้น อาทิ ระบบ Workflow ที่จะมาช่วยจัดการงานเอกสาร และการแบ่งปันข้อมูลภายในองค์กร, ระบบบริหารค่าใช้จ่ายงานพิมพ์เครื่องมัลติฟังก์ชั่น, ระบบจัดการเอกสารด้วย ISO/HACCP แบบ e-paper ตามแบบมาตรฐานสากล, โซลูชั่นควบคุมค่าใช้จ่าย เป็นต้น พร้อมด้วยการสัมมนา “การปรับเปลี่ยนกระบวนการ จัดการงานเอกสาร เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพทางธุรกิจ ความสะดวกสบายและลดค่าใช้จ่าย” เพื่อนำเสนอแนวทางและเทคโนโลยีใหม่ ๆ ให้ตอบสนองความต้องการของลูกค้าแต่ละอุตสาหกรรม และลูกค้าได้รับประโยชน์สูงสุดจากการเลือกใช้โซลูชั่นการทำงานที่เหมาะสมจากทีมผู้เชี่ยวชาญจากฟูจิ ซีร็อกซ์
กลุ่มบริษัท ดาว ประเทศไทย ประสานความร่วมมือกับ บริษัท เอสซีจี เพอร์ฟอร์มานซ์ เคมิคอลส์ จำกัด และ มูลนิธิขาเทียมในสมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนี โดยลงนามในพิธีบันทึกข้อตกลงความร่วมมือโครงการพัฒนาเท้าเทียมแบบใหม่เพื่อผู้พิการ เพื่อช่วยลดอาการบาดเจ็บจากแรงกระแทกของเท้าเทียมขณะก้าวเดิน นับเป็นการยกระดับคุณภาพชีวิตและอำนวยความสะดวกแก่ผู้พิการให้สามารถใช้ชีวิตประจำวันได้ดียิ่งขึ้น ซึ่งความร่วมมือในครั้งนี้ นับเป็นการผนวกความเชี่ยวชาญด้านนวัตกรรมผลิตภัณฑ์จากดาว ด้วยผลิตภัณฑ์อีลาสโตเมอร์ชนิดพิเศษที่มีความเหนียว ยืดหยุ่น ทนทาน กับความเชี่ยวชาญด้านการออกแบบผลิตภัณฑ์นวัตกรรมพลาสติกจาก เอสซีจี เพอร์ฟอร์มานซ์ เคมิคอลส์ สำหรับโครงการในระยะแรกนี้ ได้เริ่มพัฒนาแกนของเท้าเทียมรุ่นเดิมให้มีความทนทานและรองรับน้ำหนักจากการเดินได้มากขึ้น และได้นำส่งให้แก่มูลนิธิขาเทียมฯ เพื่อทดสอบประสิทธิภาพการใช้งานจริงแล้ว ตั้งแต่เดือนกรกฎาคมที่ผ่านมา เพื่อรวบรวมผลการทดสอบและข้อเสนอแนะต่าง ๆ มาใช้ในการพัฒนาสร้างเท้าเทียมแบบใหม่อย่างเต็มรูปแบบในระยะต่อไป
กลุ่มบริษัท ดาว ประเทศไทย ได้ให้การสนับสนุนมูลนิธิขาเทียมฯ มาตั้งแต่ปี พ.ศ.2539 ทั้งในด้านเงินสนับสนุนและผลิตภัณฑ์โพลิยูรีเทนเพื่อใช้ในการผลิตขาเทียม รวมทั้งมีความตั้งใจในการยกระดับคุณภาพชีวิตและความปลอดภัยของเจ้าหน้าที่มูลนิธิฯ เพื่อสานต่อเป้าหมายในการสร้างสังคมน่าอยู่ ตรงตามแนวทางการดำเนินธุรกิจของ ดาว ที่มุ่งมั่นให้พนักงานทุกคนมีส่วนในการสร้างผลกระทบในเชิงบวกให้แก่ส่วนรวม
บุคคลในภาพ (จากซ้ายไปขวา)
Priceza (ไพรซ์ซ่า) หนึ่งในผู้นำการให้บริการเครื่องมือค้นหาสินค้าและเปรียบเทียบราคาแก่นักช้อปออนไลน์ในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ประกาศปิดดีลการลงทุนซีรี่ย์บีเป็นที่เรียบร้อยแล้ว โดยได้พันธมิตรที่แข็งแกร่งอย่าง Hubert Burda Media หรือ HBM (ฮูเบิร์ต เบอร์ด้า มีเดีย) บริษัทผลิตสื่อระดับโลกในประเทศเยอรมนี เพื่อมุ่งเป็น Shopping Search Engine อันดับ 1 ในอาเซียน ในตลาดอีคอมเมิร์ซที่มีการเติบโตแบบก้าวกระโดด
Priceza ได้ให้บริการครอบคลุมมากถึง 6 ประเทศในภูมิภาค โดยมีตลาดหลักอยู่ในประเทศไทย อินโดนีเซีย และมาเลเซีย รวมจำนวนผู้ใช้บริการกว่า 13 ล้านคนต่อเดือน โดยในประเทศไทย มีจำนวนผู้ใช้ 7.5 ล้านคนต่อเดือน ส่วนอินโดนีเซียมีจำนวนผู้ใช้ 4.5 ล้านคนต่อเดือน มาเลเซียประมาณ 6 แสนคนต่อเดือน ส่วนที่เหลือมาจากเวียดนาม สิงคโปร์และฟิลิปปินส์ โดยที่ผ่านมามีอัตราการเติบโตจากจำนวนผู้ใช้งานสูงถึง 100% จากปี 2558-2559 โดยมีจำนวนสินค้ารวมทุกประเทศในฐานข้อมูลกว่า 59 ล้านรายการ และสามารถสร้างการขายได้ถึง 130,000 รายการต่อเดือน หรือประมาณ 300 ล้านบาทต่อเดือน
นายธนาวัฒน์ มาลาบุปผา (คนกลาง) ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและหนึ่งในผู้ก่อตั้ง Priceza กล่าวว่า การลงทุนครั้งนี้ คือจุดเปลี่ยนที่สำคัญของไพรซ์ซ่า จากบริษัทสตาร์ทอัพสัญชาติไทยมาเป็นบริษัทในระดับสากล ในขณะที่เรากำลังก้าวเข้าสู่ปีที่ 7 ของการดำเนินธุรกิจ
“สำหรับ Priceza แล้ว การปิดดีลครั้งนี้จะเป็นก้าวที่สำคัญ ในการสร้างภาพลักษณ์ที่ดีแก่ผู้บริโภคในฐานะที่เราเป็นบริษัทดิจิทัลที่แข็งแกร่งในระดับสากล ซึ่งได้รับการสนับสนุนจากนักลงทุนระดับโลกอย่าง HBM ที่สามารถนำประสบการณ์ความเชี่ยวชาญด้านสื่อดิจิทัลในภูมิภาค มายกระดับบริการของ Priceza ให้เป็นเครื่องมืออันดับ 1 สำหรับนักช้อปออนไลน์”
จากรายงานด้านธุรกิจอีคอมเมิร์ซโดย BofaMerill Lynch ของ Euromonitor เผยถึงตัวเลขสัดส่วนยอดขายปลีกธุรกิจอีคอมเมิร์ซในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ตอนนี้อยู่ที่ 1-2% เท่านั้น เมื่อเทียบกับ 16% ในเกาหลีใต้, 9% ในสหรัฐอเมริกา และ 8% ในยอดขายปลีกเฉลี่ยจากทั่วโลก ซึ่งคุณธนาวัฒน์ มองว่า จากตัวเลขดังกล่าว ชี้ให้เห็นถึงช่องทางที่สามารถขยายตัวไปได้อีกมากของธุรกิจอีคอมเมิร์ซ นอกจากนี้ Priceza และ HBM ยังเล็งเห็นตรงกันถึงความต้องการที่จะให้ธุรกิจอีคอมเมิร์ซในภูมิภาค เกิดความเป็น Ecosystem ให้การค้ามีความเสรี และเอื้อประโยชน์ให้ได้ทั้งผู้ขายและผู้ซื้ออย่างแท้จริง
สำหรับเงินลงทุนซีรี่ย์ B ครั้งนี้ ทางคุณธนาวัฒน์ เผยคร่าว ๆ ว่าเป็นเงินจำนวนเจ็ดหลัก (สกุลดอลลาร์สหรัฐ) ซึ่งมากกว่าซีรี่ย์ A ที่ปิดดีลไปเมื่อปี 2556 ค่อนข้างมาก โดย HBM นั้นได้เข้ามาถือครองหุ้นแทน CyberAgent Ventures (CAV) ทำให้ HBM มีสัดส่วนถือครองหุ้น Priceza อยู่ที่ 24.9% และ HBM ถือเป็นหนึ่งในนักลงทุนรายใหญ่ในธุรกิจที่เกี่ยวโยงกับอินเตอร์เน็ตในลักษณะ C2C นับเป็น 60% ของรายได้ทั้งหมดของบริษัทต่อปี
ในการลงทุนครั้งนี้เป็นการถือครองหุ้นโดย Burda Principal Investments (BPI) ซึ่งเป็นหน่วยงานหนึ่งภายใต้ HBM ก่อตั้งขึ้นเมื่อปี 2558 และจัดว่าเป็นการลงทุนระยะยาว โดยเน้นไปที่บริษัททางด้านเทคโนโลยีและสื่อที่มีการเติบโตสูง
นายฟรีด-ดริค ฟอน สแกนโชนี่ (คนขวาสุด) ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร Burda Asia เผยว่า เรามีแผนที่จะลงทุนเพิ่มในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ และ Priceza เป็นธุรกิจที่เรามองแล้วว่า เป็นบริษัทที่น่าสนใจมากต่อลงทุน อีกทั้ง Priceza นั้นยังมีการขยายธุรกิจไปภูมิภาค กว่า 6 ประเทศแล้ว
“การลงทุนในครั้งนี้ถือว่าตรงกับกลยุทธ์ที่เราวางไว้ เพราะเราตั้งใจว่าจะลงทุนในบริษัทที่น่าจับตามองของแวดวงอีคอมเมิร์ซ และต้องมีทีมงานที่ดี ตลอดระยะเวลากว่า 20 ปี ที่เราได้ลงทุนในบริษัทอีคอมเมิร์ซ เราจึงเข้าใจธุรกิจที่ให้บริการเปรียบเทียบราคาสินค้าเป็นอย่างดี ดังนั้นการที่เราได้ Priceza เข้ามาเป็นหนึ่งเป็นพันธมิตรด้วยนั้น จะทำให้เราได้เรียนรู้ถึงข้อมูลเชิงลึกของภูมิภาคนี้ และช่วยให้ Priceza เป็นผู้นำในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ที่มั่นคงยิ่งกว่าที่เคย” คุณฟรีด-ดริค กล่าว
นายปีเตอร์ เคนเนดี (คนซ้ายสุด) ประธานกรรมการบริหาร Burda Asia รู้สึกยินดีที่ได้สนับสนุน Priceza โดยกล่าวว่า “ทางเราชื่นชมการเติบโตทั้งในประเทศไทยและในต่างประเทศของ Priceza โดยการลงทุนในซีรี่ย์ B นี้มีเป้าหมายหลักคือ ให้ Priceza ได้ขยายและพัฒนาธุรกิจ และคงความเป็นผู้นำในธุรกิจสายอีคอมเมิร์ซ” นายปีเตอร์กล่าว
บริษัท เต็ดตรา แพ้ค (ประเทศไทย) จำกัด ร่วมเป็นส่วนหนึ่งในการเฉลิมฉลองวัน FSC Friday เพื่อเผยแพร่และสร้างการรับรู้ถึงประโยชน์ของฉลาก FSC บนกล่องเครื่องดื่มผลิตภัณฑ์ที่มีต่อสิ่งแวดล้อมและอนาคตของคนรุ่นต่อไป (จากซ้าย) นายธีระ พฤกษสุภชาติ ผู้จัดการฝ่ายสิ่งแวดล้อม บริษัท เต็ดตรา แพ้ค (ประเทศไทย) จำกัด นางสาวเยาวลักษณ์ เธียรเชาว์ ผู้อำนวยการใหญ่ WWF ประเทศไทย นางสาวปัณฑารีย์ ยอดศรี ผู้อำนวยการฝ่ายสื่อสารองค์กร บริษัท เต็ดตรา แพ้ค (ประเทศไทย) จำกัด นางสาวเพ็ญวรรณ กาญจน์ทวีกุล ผู้ช่วยผู้จัดการฝ่ายกิจการสาธารณะ บริษัท บิ๊กซี ซูเปอร์เซ็นเตอร์ จำกัด (มหาชน) และ นายนรบดี เรืองศรี ผู้จัดการสาขา ห้างบิ๊กซี เอ็กซ์ตร้า รัชดาภิเษก
บริษัท เต็ดตรา แพ้ค (ประเทศไทย) จำกัด บริษัทผู้นำของโลกในด้านกระบวนการผลิตและบรรจุอาหาร ร่วมกับ WWF ประเทศไทย และ บริษัท บิ๊กซี ซูเปอร์เซ็นเตอร์ จำกัด (มหาชน) เดินหน้าสานต่อสร้างการรับรู้ให้กับผู้บริโภคและร้านค้าปลีก ถึงประโยชน์ของฉลาก FSC บนกล่องเครื่องดื่มที่มีต่อสิ่งแวดล้อมและอนาคตของคนรุ่นต่อไป โดยจัดกิจกรรม FSC Friday เมื่อวันที่ 28-30 กันยายน ที่ผ่านมา ณ ห้างบิ๊กซี เอ็กซ์ตร้า รัชดาภิเษก เพื่อให้ความรู้เรื่องฉลาก FSC รวมถึงวางแสดงเครื่องดื่มจากแบรนด์ต่างๆในประเทศไทยที่ติดฉลาก FSC แล้วบนกล่องผลิตภัณฑ์ โดยกิจกรรมนี้เป็นการสานต่อจากงานเสวนา กล่องนี้…รักษ์ป่า (The Pack that Grows Back) ที่กล่าวถึงฉลาก FSC และการจัดหาวัตถุดิบอย่างมีความรับผิดชอบ ที่ เต็ดตรา แพ้ค ได้จัดขึ้นในเดือนพฤษภาคมที่ผ่านมา
เต็ดตรา แพ้ค ได้นำระบบการติดฉลาก FSC มาใช้บนกล่องเครื่องดื่มเป็นครั้งแรกในปี พ.ศ.2550 และได้รับการตอบรับเป็นอย่างดีจากลูกค้า ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา จำนวนกล่อง เต็ดตรา แพ้ค ติดฉลาก FSC ที่ออกสู่ตลาด จึงมีจำนวนเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง บริษัทฯ ได้สร้างประวัติศาสตร์หน้าสำคัญ ในการส่งมอบกล่องเครื่องดื่มที่ติดฉลาก FSC ไปแล้วเป็นจำนวนกว่า 2 แสนล้านกล่องทั่วโลกในเดือนเมษายน พ.ศ.2559 ที่ผ่านมา และสำหรับบริษัท เต็ดตรา แพ้ค ประเทศไทยได้ร่วมสนับสนุนให้ลูกค้าจาก ติดฉลาก FSC ไปแล้วกว่า 756 ล้านกล่องในปีนี้ จากเป้าหมาย 1,300 ล้านกล่อง โดยปัจจุบันได้รับความร่วมมือจากลูกค้าในประเทศรวม 16 แบรนด์ระบบการติดฉลาก FSC จากองค์การจัดการด้านป่าไม้ หรือ Forest Stewardship Council เป็นการรับรองมาตรฐานระดับสากล ซึ่งช่วยยืนยันว่าวัตถุดิบในการผลิตกล่องบรรจุภัณฑ์ หรือกระดาษนั้น ๆ ได้มาจากป่าที่ปลูกเชิงพาณิชย์ และผ่านการจัดการอย่างมีความรับผิดชอบ โดยบรรจุภัณฑ์กระดาษที่ติดฉลาก FSC จะต้องผ่านเกณฑ์ห่วงโซ่ผลิตภัณฑ์ FSC Chain of Custody ในทุกแหล่งผลิต อันเป็นการรับรองว่าผู้ผลิตได้เลือกใช้วัตถุดิบจากแหล่งที่มีการควบคุมและจัดการด้วยความรับผิดชอบ เพื่อเป็นอีกหนึ่งทางเลือกให้ผู้บริโภคได้เป็นส่วนหนึ่งในการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม
วัน FSC Friday เป็นกิจกรรมที่จัดขึ้นปีละครั้งทั่วโลก เพื่อสร้างการรับรู้ถึงความสำคัญของการจัดการป่าไม้อย่างรับผิดชอบ และการเลือกผลิตภัณฑ์ที่ผ่านการรับรองว่าไม่ทำลายธรรมชาติ โดยในปีนี้ตรงกับวันศุกร์ที่ 30 กันยายน พ.ศ.2559 เต็ดตรา แพ้ค จึงร่วมกระตุ้นการรณรงค์และการสร้างความตระหนักถึงประโยชน์ของฉลาก FSC บนกล่องเครื่องดื่มผลิตภัณฑ์ที่มีต่อสิ่งแวดล้อมและอนาคตของคนรุ่นต่อไป โดยการจัดบูธกิจกรรม ณ ห้างบิ๊กซี เอ็กซ์ตร้า รัชดาภิเษก เมื่อวันที่ 28–30 กันยายน ที่ผ่านมา พร้อมกับเผยแพร่คอนเทนท์และจัดกิจกรรมออนไลน์ที่เฟซบุ้กเพจของ WWF ประเทศไทยระหว่างวันที่ 28 กันยายน-7 ตุลาคม ให้ผู้บริโภคร่วมลุ้นชิงของรางวัล ด้วยการเลือกซื้อกล่องเครื่องดื่ม เต็ดตรา แพ้ค ที่มีฉลาก FSC โดยจะมีการประกาศผลกลางเดือนตุลาคมนี้ รายละเอียดเพิ่มเติมดูได้ที่ https://www.facebook.com/wwfthailand
บริษัท อินเตอร์ลิ้งค์ คอมมิวนิเคชั่น จำกัด (มหาชน) ผู้นำอันดับหนึ่งในธุรกิจจัดจำหน่ายสายสัญญาณคอมพิวเตอร์และสื่อสารโทรคมนาคมที่ใหญ่ที่สุดในแถบเอเชียแปซิฟิก เดินหน้าลุยตลาด CLMV ขยายฐานในพม่า จัด Road Show ตั้งเป้าขยายฐานลูกค้าเพิ่มเติม เน้นย้ำสินค้าคุณภาพ ราคาถูกกว่า และบริการที่ดีกว่า
นายสมบัติ อนันตรัมพร ประธานกรรมการและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท อินเตอร์ลิ้งค์ คอมมิวนิเคชั่น จำกัด (มหาชน)เปิดเผยว่า “จากการเปิดเสรีประชาคมเศรษฐกิจอาเซียนตั้งแต่ปี 2559 จึงเป็นโอกาสในการขยายช่องทางในต่างประเทศเพิ่มเติม หลังจากที่ประสบความสำเร็จในการดำเนินธุรกิจในประเทศไทยมาเป็นระยะเวลากว่า 30 ปี ซึ่งมีอัตราการขยายตัวของธุรกิจเพิ่มขึ้นทุกปี โดยในปีนี้บริษัทให้ความสำคัญกับการทำตลาดในกลุ่มประเทศ CLMV (กัมพูชา, ลาว, พม่า, เวียดนาม) โดยเฉพาะประเทศพม่า เนื่องจากกำลังอยู่ในช่วงของการพัฒนาระบบโทรคมนาคมให้ทันสมัย อีกทั้งมีภาพรวมเศรษฐกิจที่ขยายตัวต่อเนื่องอีกด้วย
ปัจจุบัน แบรนด์ LINK ผู้นำระบบสายสัญญาณ มาตรฐานอเมริกา ได้รับการตอบรับจากลูกค้าในประเทศพม่าเป็นอย่างดี โดยในวันนี้เราได้คัดเลือกผลิตภัณฑ์ ไม่ว่าจะเป็นสาย LAN (UTP), สาย FIBER OPTIC, สาย CCTV, สาย TELEPHONE, MEDIA & VIDEO CONVERTER และตู้ RACK มาจัดงาน Road Show พร้อมทั้งลดราคาที่ต่ำกว่าทุน เพื่อเป็นการขอบคุณตัวแทนจำหน่ายของเรา
นอกจากนี้ ภายในงานยังมีวิศวกรผู้เชี่ยวชาญของเราเดินทางมาบรรยายอัพเดตความรู้และความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีด้านสายสัญญาณ เพื่อการเลือกใช้ได้อย่างเหมาะสมและก้าวทันนวัตกรรมที่มีในปัจจุบันอีกด้วย”
นายนิสิต จันทร์สมวงศ์ (ขวา) ผู้ว่าราชการจังหวัดนนทบุรี มอบรางวัลสถานประกอบกิจการต้นแบบดีเด่น ด้านความปลอดภัย อาชีวอนามัย และสภาพแวดล้อมในการทำงานให้กับกลุ่มบริษัททีเอพี โดยมี นายกวี เมฆทรงฤกษ์ ผู้อำนวยการฝ่ายซัพพลายเชน เป็นตัวแทนรับมอบ
กลุ่มบริษัททีเอพี ผู้ผลิตเครื่องดื่มไฮเนเก้น ไทเกอร์ และเชียร์ ตอกย้ำคุณภาพ และมาตรฐานการผลิตระดับโลก หลังจากโรงงานผลิตในจังหวัดนนทบุรี คว้ารางวัล สถานประกอบกิจการต้นแบบดีเด่น ด้านความปลอดภัย อาชีวอนามัย และสภาพแวดล้อมในการทำงานระดับจังหวัด จากกรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน จังหวัดนนทบุรี
นายกวี เมฆทรงฤกษ์ ผู้อำนวยการฝ่ายซัพพลายเชน กลุ่มบริษัททีเอพี ได้เผยถึงความสำเร็จในครั้งนี้ว่า “ความปลอดภัย เป็นสิ่งที่บริษัทฯคำนึงถึง และให้ความสำคัญเป็นลำดับแรกนับตั้งแต่ก้าวผ่านประตูโรงงานเข้ามา โดยทางโรงงานฯ มีกฎทางด้านความปลอดภัยที่เรียกว่า 12 Life Saving Rules เพื่อความปลอดภัยทั้งต่อตนเอง และต่อผู้อื่นตลอดช่วงเวลาทำงาน โดยนอกจากจะเป็นการเตือนให้ทุกคนใส่ใจในมาตรฐานความปลอดภัยพื้นฐานทั้งในการทำงานและการใช้ชีวิตประจำวันแล้ว 12 Life Saving Rules ได้รวมถึงมาตรการความปลอดภัยที่เฉพาะเจาะจงกับแต่ละพื้นที่การทำงาน เพื่อให้ผู้ที่มีส่วนเกี่ยวข้องทุกคนเพิ่มความระมัดระวังในการทำงานมากขึ้นอีกด้วย”
รางวัล “สถานประกอบกิจการต้นแบบดีเด่น ด้านความปลอดภัย อาชีวอนามัย และสภาพแวดล้อมในการทำงาน” เป็นการตอกย้ำว่า โรงงานผลิตของกลุ่มบริษัททีเอพี เป็นโรงงานที่มีประสิทธิภาพในการทำงาน มีระบบการบริหารจัดการด้านความปลอดภัยที่ดีและได้มาตรฐานสากล โดย 12 Life Saving Rules หรือ 12 ข้อปลอดภัยไว้ก่อน ประกอบด้วย 1.เมาไม่ขับ 2.ขับไม่โทร 3.คาดเข็มขัดนิรภัย ใส่หมวกกันน็อก 4.ขับรถตามที่กฎหมายกำหนด 5.สตาร์ทเครื่องยนต์เมื่อได้รับมอบหมายเท่านั้น 6.ปลดล็อก ปลดป้ายก่อนการเดินเครื่อง 7.ปฏิบัติตามมาตรการก๊าซ CO2 8.ป้องกันตัวเอง เมื่อต้องทำงานเกี่ยวกับสารเคมี 9.ได้รับอนุญาตก่อนเข้าพื้นที่อับอากาศ 10.ป้องกันตัวเองจากการตกจากที่สูง 11.ได้รับอนุญาตก่อนทำงานที่เกี่ยวกับความร้อน และ 12.ขับรถยกอย่างปลอดภัย
ไอเอฟเอส เผยไตรมาสสี่มุ่งนำระบบอีอาร์พี หนุนกลุ่มโรงงานอุตสาหกรรมเตรียมความพร้อมสู่ดิจิทัล ทรานส์ฟอร์เมชั่น รองรับไทยแลนด์ 4.0 และก้าวสู่ยุคอุตสาหกรรม 4.0 พร้อมตั้งเป้าโตไม่ต่ำกว่า 10%
นายศรีดาราน อรูมูแกม รองประธาน ประจำภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ บริษัท ไอเอฟเอส ซึ่งเป็นผู้พัฒนาแอพพลิเคชั่นสำหรับองค์กรชั้นนำระดับโลก จากประเทศสวีเดน กล่าวถึงทิศทางการดำเนินธุรกิจในประเทศไทยช่วงไตรมาสที่สี่ของปี 2559 ว่า ไตรมาสที่สี่ของปีนี้ ไอเอฟเอสจะมุ่งลูกค้ากลุ่มโรงงานอุตสาหกรรมเป็นหลัก โดยคาดว่า กลุ่มนี้เป็นกลุ่มที่อยู่ในช่วงของการเปลี่ยนผ่านไปสู่ดิจิทัล ทรานส์ฟอร์เมชั่นมากที่สุดในประเทศไทย เนื่องจากเทคโนโลยีดิจิทัลและอินเทอร์เน็ตเป็นกุญแจสำคัญที่จะช่วยให้การทำงานในโรงงานอุตสาหกรรมมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้นและก้าวไปสู่อุตสาหกรรมยุคใหม่ โดยเน้นให้ความสำคัญใน 4 กลุ่มลูกค้าอุตสาหกรรมหลักได้แก่ อุตสาหกรรมยานยนต์ (Automotive), อุตสาหกรรมการผลิต (Industrial Manufacturing), อุตสาหกรรมด้านอากาศยาน และยุทโธปกรณ์การรบ (Aerospace & Defense) และอุตสาหกรรมด้านพลังงานและสาธารณูปโภค (Energy & Utilities) นอกจากนี้บริษัทฯ ยังให้ความสำคัญกับกลุ่มลูกค้าอื่น ๆ อาทิเช่น อุตสาหกรรมการให้บริการ (Service Provider) ค้าปลีก การจัดการสินทรัพย์ อุตสาหกรรมน้ำมันและก๊าซ รวมทั้งอุตสาหกรรมการก่อสร้าง โดยไอเอฟเอส มีแผนขยายพาร์ทเนอร์ที่มีความเชี่ยวชาญโซลูชั่นสำหรับลูกค้าญี่ปุ่นโดยเฉพาะกลุ่มยานยนต์ และการขยายตลาดในประเทศเมียนมาร์และกัมพูชา โดยคาดว่า บริษัท ไอเอฟเอสในประเทศไทย จะมีอัตราการเติบโตไม่ต่ำกว่า 10% ในปีนี้ โดยมีปัจจัยบวกจากความต้องการของลูกค้า ที่ต้องการระบบที่ช่วยให้การทำงานมีประสิทธิภาพ ใช้งานง่าย สะดวกสบาย มีความยืดหยุ่นและมีเสถียรภาพ
ทั้งนี้อุตสาหกรรมควรเตรียมความพร้อมสู่ยุคอุตสาหกรรม 4.0 โดยบริษัทฯ จะเข้าไปช่วยปรับปรุง และเสริมประสิทธิภาพด้วยการนำ ระบบการวางแผนทรัพยากรทางธุรกิจขององค์กร หรือ อีอาร์พี ที่ครอบคลุมการใช้งานอย่างครบวงจร และที่สำคัญมีความคล่องตัวในการใช้งานผ่านเดสก์ทอป แท็บเล็ต หรือสมาร์ทโฟน นอกจากนั้นยังสามารถวิเคราะห์ข้อมูลในเชิงแนวโน้มและเชื่อมโยงกับระบบคลาวด์ ซึ่งสามารถดูข้อมูลแบบเรียลไทม์ ด้วยโซลูชั่นของอินเทอร์เน็ต ออฟ ธิงส์ หรือ ไอโอที
สอดคล้องกับผลสำรวจจากไอดีซี ที่คาดการณ์ว่า จุดติดตั้งอุปกรณ์ปลายทางของไอโอที (IoT) จะขยายตัวเพิ่มขึ้นเป็นจำนวนไม่น้อยกว่า 13,000 ล้านชุดในปลายปี 2559 จนถึง 30,000 ล้านชุดในปี 2563 และอุตสาหกรรมที่ไอดีซีคาดการณ์ว่าจะมีการใช้จ่ายงบประมาณไปกับโซลูชันไอโอที (IoT) มากที่สุด คืออุตสาหกรรมด้านการผลิต การขนส่ง พลังงานและสาธารณูปโภค รวมถึงร้านค้าปลีกที่มีรูปแบบการใช้งาน ไอโอที (IoT) อย่างครอบคลุม
“เรากำลังก้าวสู่ยุคอุตสาหกรรม 4.0 คือ การนำเทคโนโลยีดิจิทัลและอินเทอร์เน็ต มาใช้ในกระบวนการผลิตสินค้า จะเป็นการบูรณาการโลกของการผลิตเข้ากับการเชื่อมต่อทางเครือข่ายในรูปแบบ อินเทอร์เน็ต ออฟ ธิงส์ หรือไอโอที ทุกหน่วยของระบบการผลิต ตั้งแต่วัตถุดิบ เครื่องจักร เครื่องมืออุปกรณ์ ระบบอัตโนมัติและหุ่นยนต์หน่วยต่าง ๆ เหล่านี้จะถูกติดตั้งระบบเครือข่ายเพื่อให้สามารถสื่อสารและแลกเปลี่ยนข้อมูลซึ่งกันและกันอย่างอิสระเพื่อการจัดการกระบวนการผลิตทั้งหมดจะสามารถผลิตของหลากหลายรูปแบบแตกต่างกันตามความต้องการเฉพาะของผู้บริโภคแต่ละรายเป็นจำนวนมากในเวลาพริบตาเดียว โดยใช้กระบวนการผลิตที่ประหยัดและมีประสิทธิภาพด้วยเทคโนโลยีดิจิทัลครบวงจร แบบสมาร์ท แฟคตอรี่”
ตลาดอีอาร์พีในประเทศไทยนั้นยังคงเติบโตอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะอย่างยิ่งรัฐบาลไทยกำลังผลักดันนโยบายไทยแลนด์ 4.0 ที่เศรษฐกิจอยู่บนพื้นฐานของความคิดสร้างสรรค์และนวัตกรรม ซึ่งต้องอาศัยการลงทุนด้านเทคโนโลยีอย่างต่อเนื่อง โดยการ์ทเนอร์ได้คาดการณ์การเติบโตของตลาดอีอาร์พีในประเทศไทย ว่าจะมีอัตราการเติบโตที่ 14.91 % ระหว่างปี 2559–2563
นายศรีดาราน กล่าวต่อไปว่า สำหรับกลุ่มการบินและอากาศยาน เป็นตลาดหลักของบริษัท ไอเอฟเอส ทั่วโลก โดยในเดือนตุลาคมนี้ ทางบริษัทฯ ได้เข้าร่วมงาน แอร์ไลน์ แอนด์ แอโรสเปซ เอ็มอาร์โอ แอนด์ ไฟลท์ โอเปอเรชั่นส์ ไอที คอนเฟอเรนซ์ (Airline & Aerospace MRO & Flight Operations IT Conference) ที่จัดขึ้นโดยแอร์คราฟท์ คอมเมิร์ซ (Aircraft Commerce) ที่จะจัดขึ้นเป็นครั้งแรกในประเทศไทย ซึ่งเป็นงานประชุมระดับโลกด้านไอทีของกลุ่มการบินและอากาศยานเพียงงานเดียว ที่เกี่ยวกับการพัฒนาด้านไอทีและการบริหารจัดการและการซ่อมบำรุงด้านการบิน
ไอเอฟเอส เป็นบริษัทผู้นำที่ได้รับการยอมรับในแวดวงอุตสาหกรรมไอทีในการผลิตและพัฒนาซอฟต์แวร์สำหรับธุรกิจชั้นนำระดับโลกด้านการวางแผนทรัพยากรองค์กร (ERP) การบริหารจัดการสินทรัพย์ขององค์กร (EAM) และ การบริหารจัดการงานบริการขององค์กร (ESM) ปัจจุบันไอเอฟเอสมีสำนักงานครอบคลุมอยู่ใน 50 ประเทศทั่วโลก มีจำนวนพนักงานมากกว่า 2,800 คน ลูกค้ามากกว่า 2,400 รายให้ความไว้วางใจ และมีผู้ใช้งานซอฟต์แวร์ไอเอฟเอสมากกว่า 1 ล้านคน โดยในปีที่ผ่านมา (2015) ไอเอฟเอสมีรายได้รวมจากทั่วโลกมูลค่า 3,400 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ส่วนกลุ่มลูกค้าของไอเอฟเอฟในประเทศไทยปัจจุบัน กระจายอยู่ในทุกกลุ่มอุตสาหกรรม โดยอุตสาหกรรมการผลิต มีสัดส่วนสูงสุดที่ประมาณ 60-70% ส่วนที่เหลือมาจากกลุ่มอุตสาหกรรมอื่น ๆ
บริษัท แดสซอลล์ ซิสเต็มส์ (Dassault Systèmes) บริษัท 3DEXPERIENCE ผู้นำของโลกด้านซอฟต์แวร์การออกแบบ 3 มิติ การสร้างโมเดลจำลอง 3 มิติแบบดิจิทัล และโซลูชั่นการจัดการวงจรชีวิตผลิตภัณฑ์ ประกาศเปิดตัว SOLIDWORKS 2017 ที่จะทำให้ธุรกิจสตาร์ตอัปขนาดเล็กจนถึงองค์กรใหญ่ที่ครอบคลุมอยู่ทั่วโลก ซึ่งมีผู้ใช้งานมากกว่า 1.3 ล้านราย สามารถสร้างสรรค์ประสบการณ์ที่หลากหลายความรู้สึกผ่านนวัตกรรมการออกแบบผลิตภัณฑ์ โดยมุ่งสู่การใช้ซอฟต์แวร์สำหรับการออกแบบและพัฒนางาน 3 มิติที่ทำได้ง่าย ทุกเวลา ทุกที่ และด้วยอุปกรณ์ใดก็ได้
คุณ เบนจามิน ตัน (ขวา) ผู้อำนวยการฝ่ายขายผ่านคู่ค้า ภาคพื้นเอเชียใต้รวมออสเตรเลียและนิวซีแลนด์
คุณบา ธง ฟาน (ซ้าย) ผู้อำนวยการอาวุโสฝ่ายเทคนิค ภาคพื้นเอเชียใต้รวมออสเตรเลียและนิวซีแลนด์
ด้วยความสามารถของแพลตฟอร์ม 3DEXPERIENCE ของ Dassault Systèmes ทำให้ SOLIDWORKS 2017 สามารถช่วยเหลือผู้สร้างนวัตกรรมได้ทั้งในการออกแบบ การตรวจสอบ การทำงานร่วมกัน การสร้างและการบริหารกระบวนการพัฒนาผลิตภัณฑ์ด้วยการใช้งานแบบผสมผสาน ด้วยจุดเด่นมากกว่าทั้งพลังความสามารถและสมรรถนะซึ่งเป็นแกนหลัก รวมทั้งความสามารถใหม่ ๆ สำหรับแก้ปัญหาการผลิตทางอุตสาหกรรมแบบไร้กระดาษจนถึงการสนับสนุน Model Based Definition การออกแบบแผงวงจรพิมพ์ทั้งผู้ใช้มือใหม่และที่มีประสบการณ์ สามารถเพิ่มผลิตภาพให้สูงขึ้นด้วยการจำลองแบบเพื่อการวิเคราะห์ การแก้ปัญหา การทำให้เห็นภาพ และการตรวจพิสูจน์การทำงานได้ตามที่ออกแบบไว้ก่อนที่จะสร้างต้นแบบขึ้นมา เครื่องมือใหม่ ๆ สามารถเปิดโมเดล 3 มิติต่าง ๆ ได้ จึงสามารถทำงานร่วมกับคู่ค้าและลูกค้าได้ดีกว่า และการจัดการข้อมูลผลิตภัณฑ์แบบพลวัต เริ่มตั้งแต่การสร้างแนวคิดไปจนถึงการผลิตทางอุตสาหกรรม โดยคำนึงถึงการสนับสนุนแก่ทีมงานที่กระจายกันอยู่หลาย ๆ แห่งและที่อยู่ห่างไกลได้อย่างน่าเชื่อถือ ตัวอย่างผลิตภัณฑ์ที่ออกสู่ตลาด ได้แก่ ผลิตภัณฑ์พยุงแขนโดยอาศัยการกระตุ้นด้วยไฟฟ้าจากกล้ามเนื้อ (Myoelectric Upper Limb Orthosis) เป็นอุปกรณ์ทางการแพทย์ที่ SOLIDWORKS ช่วยให้เกิดแรงขับในการออกแบบทางอุตสาหกรรมที่ล้ำสมัยทำให้งานสำเร็จลุล่วงได้เร็วกว่ากำหนด เพราะ SOLIDWORKS 2017 ทำให้กระบวนการออกแบบและการพัฒนาทำได้ง่ายขึ้น ทั้งจากประสบการณ์ของผู้ใช้ที่ดีกว่า ความสามารถใหม่ ๆ ที่เพิ่มเข้ามาเพื่อรองรับเทคโนโลยีที่กำลังจะเกิดขึ้น และฟังก์ชั่นการใช้งานที่เพิ่มขึ้นเพื่อรองรับการทำงานเป็นทีมและเครือข่ายได้อย่างไร้รอยต่อ
คุณลักษณะเด่น รวมทั้งความสามารถใหม่ ๆ และสิ่งที่ได้รับการปรับปรุงให้ดีขึ้นได้นำมารวมไว้ในชุด SOLIDWORKS 2017
ปรับเปลี่ยนใหม่เพื่อแก้ปัญหาการออกแบบแผ่นวงจรพิมพ์
เร่งกระบวนการออกแบบด้วยสมรรถนะหลักที่เพิ่มขึ้น
เข้าใจงานออกแบบได้อย่างถูกต้องจากแบบจำลอง
สำหรับข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับ SOLIDWORKS 2017 รวมทั้งการสาธิตผลิตภัณฑ์กรุณาเข้าเยี่ยมชมได้ที่ www.solidworks.com/launch/index.htm?scid=SW2017_SWCOM_Innovate
เฮงเค็ล เปิดตัวศูนย์ฝึกอบรมให้ความรู้และให้บริการซ่อมบำรุงรักษาอุปกรณ์เครื่องจักรในงานอุตสาหกรรม หรือ MRO Training and Application Center แห่งที่สอง ด้วยความร่วมมือกับ บริษัท แม็คคานิคส์ เอ็นจิเนียริ่ง เซอร์วิส จำกัด บริษัทผู้เชี่ยวชาญด้านการซ่อมบำรุงระบบท่อและบริการซ่อมแซมด้านวิศวกรรมพื้นผิว ศูนย์แห่งนี้ตั้งอยู่ใกล้นิคมอุตสาหกรรมหลายแห่งในจังหวัดระยอง ประกอบไปด้วยอุปกรณ์ครบครัน พร้อมให้บริการฝึกอบรมการใช้ผลิตภัณฑ์แก่ลูกค้า รวมไปถึงนำเสนอโซลูชั่นบริการด้านวิศวกรรมพื้นผิวครบวงจร ยิ่งไปกว่านั้น ศูนย์นี้ยังให้บริการตลอดทุกวันและเพื่อรองรับและสนับสนุนการปฏิบัติงานของบริษัทในอุตสาหกรรมหนักที่ดำเนินไปตลอด 24 ชั่วโมง โดยเฉพาะอย่างยิ่ง โรงงานอุตสาหกรรมที่ตั้งอยู่ในภาคตะวันออกของประเทศไทย
ในด้านการสนับสนุนทางเทคนิค ขอบเขตการให้บริการงานซ่อมบำรุงระบบท่อในหลากหลายอุตสาหกรรม อาทิ อุตสาหกรรมกลั่นน้ำมันและก๊าซ อุตสาหกรรมปิโตรเคมี อุตสาหกรรมบำบัดน้ำเสีย และอุตสาหกรรมอาหารและเครื่องดื่ม โดยนำโซลูชั่นเทคโนโลยีเคลือบพื้นผิวโลหะเชิงวิศวกรรม และเคมีภัณฑ์เพื่อการเตรียมพื้นผิวจากแบรนด์ล็อคไทท์ (Loctite®) มาใช้ในงานซ่อมบำรุงเครื่องจักรอุตสาหกรรม อาทิ ฮีทเอ็กซ์เชนเจอร์ (Heat Exchanger), แทงก์ (Storage Tanks) และเครื่องแลกเปลี่ยนความร้อน เป็นต้น บวกกับความเชี่ยวชาญอย่างมืออาชีพด้านการซ่อมบำรุงและบริการงานซ่อมแซมเชิงวิศวกรรมจากบริษัท แม็คคานิคส์ เอ็นจิเนียริ่ง เซอร์วิส จำกัด
เป็นที่น่าสังเกตว่า เทคโนโลยีเคลือบพื้นผิวโลหะเชิงวิศวกรรมภายใต้แบรนด์ล็อคไทท์ของเฮงเค็ลได้รับการรับรองมาตรฐานคุณภาพระดับโลก ISO/TS 24817 จากเยอร์มันนิชเชอร์ ลอยด์ หรือ Germanischer Lloyd (DNV-GL) ซึ่งเป็นองค์กรนานาชาติที่ให้บริการรับรองมาตรฐานแก่ลูกค้าในหลากหลายอุตสาหกรรม โดยการรับรองนี้มอบให้เพื่อเป็นการยอมรับในคุณภาพที่ได้มาตรฐานตามที่กำหนด มีความน่าเชื่อถือ และก่อให้เกิดความยั่งยืนกับนวัตกรรมเคลือบพื้นผิวของล็อคไทท์ ในอุตสาหกรรมโรงกลั่นน้ำมันและงานปิโตรเคมี
เอริค อีเดลแมน ประธานบริษัท เฮงเค็ล ประเทศไทย กล่าวว่า “ความต้องการงานให้บริการและโซลูชั่นบำรุงรักษา ซ่อมแซมอุปกรณ์เครื่องจักรในงานอุตสาหกรรม เพิ่มสูงขึ้นในนิคมอุตสาหกรรมต่าง ๆ ในประเทศไทย ความร่วมมือกับบริษัท แม็คคานิคส์ เอ็นจิเนียริ่ง เซอร์วิส มอบโซลูชั่นที่เป็นประโยชน์แก่ลูกค้า ด้วยการผสานผลิตภัณฑ์นวัตกรรมและประสบการณ์ในอุตสาหกรรมของเฮงเค็ล เข้ากับความสามารถทางเทคนิคอันยอดเยี่ยม และประสบการณ์ในการให้บริการงานซ่อมบำรุงแก่โรงงานอุตสาหกรรมในประเทศไทยมากว่า 11 ปี ของบริษัท แม็คคานิคส์ เอ็นจิเนียริ่ง เซอร์วิส”
มานนท์ อิงคนารถ ผู้จัดการธุรกิจบำรุงรักษา ซ่อมแซม อุปกรณ์เครื่องจักรในงานอุตสาหกรรม ประจำภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ของเฮงเค็ล กล่าวว่า “เทคโนโลยีเคลือบผิวด้วยวัสดุคอมโพสิตของล็อคไทท์ได้รับความนิยมจากลูกค้า ด้วยการใช้โซลูชั่นนี้ ลูกค้าของเราสามารถเพิ่มความเชื่อมั่นของการใช้งานอุปกรณ์เครื่องจักร ช่วยลดต้นทุนในการเปลี่ยนอุปกรณ์ใหม่ ลดการใช้พลังงาน และลดเวลาในการทำงานซ่อมบำรุง”
“ศูนย์ฝึกอบรมให้ความรู้และให้บริการบำรุงรักษา ซ่อมแซม อุปกรณ์เครื่องจักรในงานอุตสาหกรรม ทำหน้าที่เป็นเวทีฝึกอบรมให้แก่ลูกค้าเพื่อ หาวิธีการช่วยยืดอายุการทำงานของเครื่องจักรโดยเฉลี่ยก่อนการเสียหายแต่ละครั้ง (Mean Time Between Failure หรือ MTBF) ลดระยะเวลาโดยเฉลี่ยของอุปกรณ์ ตั้งแต่เกิดความเสียหายจนกลับมาใช้งานได้ในแต่ละครั้ง (Mean Time To Repair หรือ MTTR) และการเพิ่มประสิทธิผลโดยรวมของเครื่องจักรอุปกรณ์ (Overall Equipment Effectiveness หรือ OEE) ซึ่งจะช่วยพัฒนาการบำรุงรักษาเครื่องจักรอุปกรณ์และโรงงานในดีขึ้น” มานนท์ กล่าวเพิ่มเติม
ในปี พ.ศ.2558 เฮงเค็ลเปิดตัวศูนย์ฝึกอบรมให้ความรู้และให้บริการบำรุงรักษา ซ่อมแซม อุปกรณ์เครื่องจักรในงานอุตสาหกรรมแห่งแรกในประเทศไทย ด้วยความร่วมมือกับบริษัท พรีเมี่ยม อิควิปเม้นท์ แอนด์ เอ็นจิเนียริ่ง จำกัด ผู้เชี่ยวชาญมืออาชีพด้านการซ่อมบำรุงเครื่องสูบน้ำ เครื่องอัดอากาศ และอุปกรณ์ประหยัดพลังงานอื่น ๆ ในการนำเสนอโซลูชั่นด้านการให้บริการบำรุงรักษา ซ่อมแซม อุปกรณ์เครื่องจักรในงานอุตสาหกรรมสำหรับระบบเครื่องสูบน้ำและเครื่องจักรหมุนเวียน ให้แก่ลูกค้าในอุตสาหกรรมหนัก นอกจากนั้น เฮงเค็ลยังวางแผนขยายเครือข่ายการให้บริการบำรุงรักษา ซ่อมแซม อุปกรณ์เครื่องจักรในงานอุตสาหกรรมในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ด้วยการเปิดศูนย์บริการครบวงจรที่มีลักษณะใกล้เคียงกันในประเทศฟิลิปปินส์และอินโดนีเซียในปี พ.ศ.2560
นายอรุณ ต่อเอกบัณฑิต (ขวาสุด) ผู้อำนวยการกลุ่มผลิตภัณฑ์ซอฟต์แวร์โซลูชั่น บริษัท เมโทรซิสเต็มส์คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) จัดงาน The Journey-Moving Forward to Thailand 4.0 ที่สำนักงานใหญ่ เมื่อวันที่ 23 กันยายน 2559 เพื่อกระตุ้นให้เตรียมความพร้อมเพื่อรับมือกับการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง รวมถึงการปรับทิศทางธุรกิจให้สอดคล้องกับยุทธศาสตร์และนโยบายของรัฐ ซึ่งมุ่งเน้นการพัฒนาประเทศก้าวสู่โมเดล ประเทศไทย 4.0 หรือ ไทยแลนด์ 4.0 กล่าวคือ การปรับเปลี่ยนโครงสร้างเศรษฐกิจไปสู่ Value–Based Economy หรือ เศรษฐกิจที่ขับเคลื่อนด้วยนวัตกรรม และเพื่อให้องค์กรตระหนักถึงความสำคัญในการพัฒนาและผลักดันนวัตกรรมไปสู่ภาคธุรกิจ โดยเฉพาะอย่างยิ่งด้านเทคโนโลยีสารสนเทศ ซึ่งเป็นปัจจัยลำดับต้น ๆ ของการพัฒนาและขับเคลื่อนองค์กรด้วยนวัตกรรม และยังเป็นการสร้างความแข็งแกร่งให้กับภาคธุรกิจได้อย่างยั่งยืน โดยได้รับเกียรติจาก พันเอก ดร.นที ศุกลรัตน์ (ที่ 3 จากขวา) ประธานกรรมการกิจการกระจายเสียงและกิจการโทรทัศน์ สำนักงาน กสทช. บรรยายพิเศษในหัวข้อ การประยุกต์การใช้ Information Technology เพื่อการขับเคลื่อนประเทศไทยสู่ Digital Thailand และ อาจารย์ปริญญา หอมเอนก (ที่ 3 จากซ้าย) ประธานและผู้ก่อตั้ง ACIS Professional Center ร่วมบรรยายในหัวข้อ International Standards & Best Practices: Cybersecurity, Digital Transformation and Resiliency
TCCT บางนาดาต้าเซ็นเตอร์ ประเทศไทย: ตามที่ภาครัฐได้มีนโยบายดิจิตัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (Digital Economy) โดยนำเทคโนโลยีสารสนเทศมาประยุกต์ใช้ให้เข้ากับแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมนั้น ภาคธุรกิจมีการตื่นตัวในการนำดิจิตัลมาปรับใช้กันเพิ่มมากขึ้น เห็นจากการที่องค์กรชั้นนำด้านหลักทรัพย์และความปลอดภัยต่าง ๆ ของประเทศ อาทิ สมาคมบริษัทหลักทรัพย์ไทย ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย และสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) ได้มีการปรับตัวอย่างรวดเร็วให้สอดคล้องกับนโยบายดังกล่าว กล่าวคือมีแผนและดำเนินการขับเคลื่อนอุตสาหกรรมหลักทรัพย์เข้าสู่ความเป็นดิจิตัล เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการประกอบธุรกิจให้มากยิ่งขึ้น
เพื่อร่วมเป็นส่วนหนึ่งของการผลักดันธุรกิจประกอบการสู่เศรษฐกิจดิจิตัล บริษัท ที.ซี.ซี.เทคโนโลยี จำกัด (TCCT) นำโดย คุณวลีพร สายะสิต ผู้อำนวยการสื่อสารองค์กร ให้การต้อนรับผู้บริหารสู่ TCCT บางนาดาต้าเซ็นเตอร์ ประกอบด้วย (แถวแรก จากกลางไปขวา) คุณภัทธีรา ดิลกรุ่งธีระภพ นายกสมาคมบริษัทหลักทรัพย์ไทยและประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัทหลักทรัพย์ ดีบีเอส วิคเคอร์ส (ประเทศไทย) คุณชาญชัย กงทองลักษณ์ อุปนายกสมาคมบริษัทหลักทรัพย์ไทยและกรรมการอำนวยการ บริษัทหลักทรัพย์ ทรีนีตี้ จำกัด และ คุณพิเชษฐ สิทธิอำนวย กรรมการสมาคมบริษัทหลักทรัพย์ไทยและกรรมการผู้อำนวยการบริษัทหลักทรัพย์ บัวหลวง จำกัด (มหาชน) รวมถึงผู้บริหารระดับสูงด้านไอทีจากหลายองค์กร อาทิ ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย, สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์, บริษัทหลักทรัพย์ธนชาต, บริษัทหลักทรัพย์เมย์แบงก์, บริษัทหลักทรัพย์กิมเอ็ง, บริษัทหลักทรัพย์โกลเบล็ก เป็นต้น
การเยี่ยมชมดาต้าเซ็นเตอร์ครั้งนี้เพื่อแลกเปลี่ยนความรู้ และมุมมองด้านเทคโนโลยี โครงสร้างพื้นฐาน ดาต้าเซ็นเตอร์หลัก ศูนย์สำรอง โครงข่ายความเร็วสูง คลาวด์ กลยุทธสู่ภูมิภาค และปัจจัยต่าง ๆ ที่ควรพิจารณาเพื่อช่วยขับเคลื่อนธุรกิจ และเป็นสิ่งสืบเนื่องจากครั้งก่อนที่คณะได้เข้าศึกษาแลกเปลี่ยนความรู้และมุมมองด้านเทคโนโลยี กับ 1-NET Singapore พันธมิตรของ TCCT ณ ประเทศสิงคโปร์
ในโอกาสนี้ทางคณะได้สัมผัสกับดาต้าเซ็นเตอร์ที่รองรับบริการคลาวด์จากทั่วโลกสำหรับธุรกิจประกอบการ ด้วยเทคโนโลยีชั้นสูงประกอบกับการรับรองมาตรฐานระดับโลก บางนาดาต้าเซ็นเตอร์จึงเป็นที่ยอมรับจากองค์กรชั้นนำในการจัดเก็บข้อมูลอย่างปลอดภัยและง่ายต่อการบริหารจัดการระบบอย่างมีประสิทธิภาพ
บริษัท ไทยผลิตภัณฑ์ยิบซั่ม จำกัด (มหาชน) ผู้ผลิตนวัตกรรมยิปซัมคุณภาพสูงภายใต้แบรนด์ ยิปรอค นำโดย มร.ริชาร์ด จูเชรี (ที่ 2 จากซ้าย) กรรมการผู้จัดการ, คุณธงชัย กมลพัฒนะ (ที่ 3 จากซ้าย) ผู้อำนวยการฝ่ายขายภายในประเทศและต่างประเทศ, คุณสหัทยา ทองปรีชา (ที่ 1 จากซ้าย) ผู้อำนวยการฝ่ายการตลาด และ คุณกิตติชัย ฉ่ำจิตร (ที่ 4 จากซ้าย) ผู้อำนวยการฝ่ายเทคนิค เปิดตัว ยิปรอคโมบายแอพพลิเคชั่น เวอร์ชั่น 2 พร้อมเผยโฉมเว็บไซต์ใหม่ตอกย้ำความเป็นผู้นำเทคโนโลยีภายใต้กลยุทธ์ Gyproc Digital Evolution
บริษัท ไทยผลิตภัณฑ์ยิบซั่ม จำกัด (มหาชน) ผู้ผลิตนวัตกรรมยิปซัมคุณภาพสูงภายใต้แบรนด์ ยิปรอค และผู้ให้บริการโซลูชั่นส์ระบบผนังและฝ้าครบวงจรมากว่า 45 ปี เปิดตัวแอพพลิเคชั่นมือถือเวอร์ชั่น 2 พร้อมเผยโฉมเว็บไซต์ใหม่ที่พัฒนารูปแบบให้ดียิ่งขึ้น เน้นให้ความสำคัญในการติดต่อสื่อสารผ่านระบบดิจิตัลมากกว่าเดิม ตามกลยุทธ์ Gyproc Digital Evolution เพื่อตอบสนองความต้องการของผู้บริโภคในด้านเทรนด์การก่อสร้างรูปแบบใหม่ได้ดียิ่งขึ้นและก้าวสู่การเป็นผู้นำด้านระบบดิจิตัลและเทคโนโลยีแห่งวงการยิปซัมเมืองไทยอย่างแท้จริง ซึ่งการนำเสนอระบบดิจิตัลพร้อมเครื่องมือที่ใช้งานง่ายเพื่อการสื่อสารออนไลน์กับผู้บริโภคได้โดยตรง ทำให้ยิปรอคกลายเป็นผู้ประกอบการยิปซัมชั้นแนวหน้าที่ใช้เทคโนโลยีเพื่อให้บริการลูกค้าอย่างเต็มตัว
ยิปรอคคือผู้ผลิตยิปซัมรายแรกของประเทศไทยที่เปิดตัวแอพพลิเคชั่นประสิทธิภาพสูงสำหรับสมาร์ทโฟน เพื่อมอบบริการแบบอินเตอร์แอ็คทีฟแก่ผู้พัฒนาโครงการ ผู้ปฏิบัติงานในวงการก่อสร้าง ตลอดจนเจ้าของบ้านและอสังหาริมทรัพย์ ยิปรอคโมบายแอพพลิเคชั่นจะทำให้ผู้ใช้งานได้สัมผัสประสบการณ์ที่เหนือระดับ ความรวดเร็ว และความสะดวกสบายในการค้นหาข้อมูล พร้อมติดต่อพูดคุยกับทีมผู้เชี่ยวชาญของยิปรอคเพื่อรับคำปรึกษาในการวางแผนโครงการก่อสร้าง รับข่าวสารที่เป็นประโยชน์เกี่ยวกับโซลูชั่นส์การก่อสร้างใหม่ ๆ ทั้งยังสามารถเลือกชมแคตตาล็อกสินค้าและบริการทั้งหมดของยิปรอคได้อย่างง่ายดาย รวมถึงการตรวจสอบตำแหน่งของร้านจำหน่ายสินค้าของยิปรอคได้ทั่วประเทศ ทั้งนี้ยิปรอคโมบายแอพพลิเคชั่น เวอร์ชั่น 2 มีการเพิ่มฟังก์ชั่นการทำงานใหม่ของแอพพลิเคชั่นสำหรับสมาร์ทโฟนอีกมากมาย ซึ่งสามารถรองรับการใช้งานทั้งระบบไอโอเอสและแอนดรอยด์ โดยผู้ใช้สมาร์ทโฟนสามารถค้นหาแอพพลิเคชั่นด้วยการพิมพ์ค้นหา GyprocTH บนแอปเปิ้ลแอพสโตร์และกูเกิ้ลเพลย์เพื่อติดตั้งยิปรอคโมบายแอพพลิเคชั่นได้ฟรี ไม่มีค่าใช้จ่าย
มร.ริชาร์ด จูเชรี กรรมการผู้จัดการ บริษัท ไทยผลิตภัณฑ์ยิบซั่ม จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า “การเปิดตัวแอพพลิเคชั่นสำหรับสมาร์ทโฟนของยิปรอคในครั้งนี้ คืออีกหนึ่งข้อพิสูจน์ถึงความพยายามของเราในการเชื่อมโยงและเข้าถึงกลุ่มผู้บริโภค ไม่ว่าจะเป็นช่างรับเหมา หรือเจ้าของบ้าน เรารู้สึกตื่นเต้นอย่างยิ่งที่ได้เปิดตัวกลยุทธ์ด้านดิจิตัลรูปแบบใหม่ เพื่อมุ่งเน้นการนำเสนอเทคโนโลยีออนไลน์ที่ถูกออกแบบมาให้ง่ายต่อการใช้งานพร้อมกับการเข้าถึงโซลูชั่นส์ของยิปรอคได้อย่างรวดเร็ว ไม่ว่าจะเป็นการพัฒนาแอพพลิเคชั่นสำหรับสมาร์ทโฟนเวอร์ชั่น 2 ซึ่งสามารถใช้ได้บนอุปกรณ์มือถือทุกระบบ รวมถึงเว็บไซต์และโซเชียลมีเดียเพื่อรองรับการใช้งานของกลุ่มผู้บริโภคยุคใหม่ให้สามารถเข้าถึงสินค้าและบริการของเราได้อย่างง่ายดาย อาทิ กลุ่มนักศึกษามหาวิทยาลัยและผู้กำหนดรายการสินค้าสำหรับโครงการอสังหาริมทรัพย์ ซึ่งปัจจุบันผู้บริโภคกลุ่มนี้ล้วนใช้อุปกรณ์พกพาในการเข้าถึงรายการสินค้าทั่วโลก กล่าวได้ว่า นี่คือยุคแห่งการก่อสร้างในระบบดิจิตัลรูปแบบใหม่อย่างแท้จริง”
การพัฒนายิปรอคโมบายแอพพลิเคชั่น เวอร์ชั่น 2 มีทั้งการจัดระบบคำถามที่ถามบ่อย ความสามารถในการรองรับทั้งภาษาไทยและภาษาอังกฤษ การแจ้งเตือนอัพเดทเนื้อหา การเพิ่มประสิทธิภาพการคำนวณวัสดุก่อสร้าง และโหมดออฟไลน์เพื่อรองรับการใช้งานในพื้นที่ที่สัญญาณอินเทอร์เน็ตไม่เสถียร สำหรับเว็บไซต์หลักของยิปรอค www.gyproc.co.th จะมีการพัฒนาในส่วนที่สำคัญและเพิ่มความสามารถในการตอบสนองผู้ใช้งานให้ดียิ่งขึ้น และรูปลักษณ์ใหม่ของเว็บไซต์ที่มีความทันสมัย เรียบง่าย สบายตา เพื่อให้ผู้ใช้งานสามารถเข้าถึงข้อมูลได้มากขึ้นทั้งในเรื่องภาคการตลาด การใช้งานเมื่อทำงานข้ามอุปกรณ์ การแสดงรายการสินค้าได้มากขึ้น โครงการอ้างอิง รูปแบบการทำงานอย่างยั่งยืน และอื่นๆ อีกมากมาย
ผู้บริโภคและผู้ปฏิบัติงานที่ใช้ผลิตภัณฑ์และบริการของยิปรอคจะได้เรียนรู้การทำงานรูปแบบใหม่ที่มีประสิทธิภาพมากขึ้น ผ่านการใช้งานแอพพลิเคชั่นและเว็บไซต์ที่นำเสนอเนื้อหาการก่อสร้างที่ยั่งยืนและเป็นมิตรกับผู้ใช้งานบนช่องทางโซเชียลมีเดีย โดยผู้ใช้งานยังสามารถใช้แฮชแท็ก #GYPROCTHAILAND เพื่อรวบรวมข่าวสารและข้อมูลที่น่าสนใจบนโซเชียลได้อย่างรวดเร็ว สำหรับเฟซบุ๊คหลักได้มีการปรับเปลี่ยนโฉมใหม่ในทุกส่วน เพื่อเสริมการทำงานและให้บริการอย่างสะดวกสบายแม้ต้องทำงานข้ามอุปกรณ์
สมาพันธ์หุ่นยนต์นานาชาติ หรือ ไอเอฟอาร์ (International Federation of Robotics (IFR) เผยแพร่รายงานสถานการณ์ตลาดผลิตภัณฑ์หุ่นยนต์โลกประจำปี 2559 โดยคาดการณ์ว่า หุ่นยนต์ที่สามารถทำงานร่วมกับมนุษย์ (Collaborative Robots หรือ Cobots) ซึ่งมีขนาดเล็กกะทัดรัดและใช้งานง่าย จะกลายเป็นพลังขับเคลื่อนที่สำคัญในตลาดออโตเมชั่น รายงานระบุว่า ยอดขายหุ่นยนต์เพื่องานอุตสาหกรรมทั่วโลกต่อปี จะเติบโตอย่างน้อยเฉลี่ย 13 เปอร์เซ็นต์ ตั้งแต่ปี 2560 ถึง 2562 โดยหุ่นยนต์ประเภทที่ทำงานร่วมกับมนุษย์จะเป็นดาวเด่นเพราะสามารถทำงานร่วมกับมนุษย์ได้อย่างปลอดภัย ราบรื่น ปราศจากข้อจำกัดและยังช่วยเพิ่มกำลังการผลิตและคุณภาพของผลิตภัณฑ์อีกด้วย
นายแดเนียล ฟริส ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายพาณิชย์ของยูนิเวอร์ซอล โรบอตส์ กล่าวว่า “ในฐานะผู้นำตลาดผลิตภัณฑ์หุ่นยนต์ที่ทำงานร่วมกับมนุษย์ ยูนิเวอร์ซอล โรบอตส์ เห็นด้วยอย่างยิ่งกับข้อมูลในรายงานดังกล่าว เนื่องจากบริษัทมีเป้าหมายที่จะพัฒนาหุ่นยนต์ให้ทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น โดยเฉพาะการขจัดความยุ่งยากซับซ้อนในอดีตเมื่อต้องใช้งานหุ่นยนต์หรือการพัฒนาหุ่นยนต์ให้มีราคาถูกลง”
“ปัจจุบัน หุ่นยนต์ทำงานร่วมกับมนุษย์ ของยูนิเวอร์ซอล โรบอตส์ ถูกนำไปใช้งานทั่วโลกแล้วกว่า 10,000 ตัว ซึ่งแสดงให้เห็นศักยภาพการเติบโตอย่างก้าวกระโดดของหุ่นยนต์ประเภทนี้ที่กำลังเข้ามาพลิกโฉมเทคโนโลยีด้านออโตเมชั่น เราช่วยให้องค์กรขนาดเล็กและกลางเพิ่มขีดความสามารถการแข่งขันระดับโลกได้เนื่องจากหุ่นยนต์ของเรามีระยะเวลาการคืนทุนเร็วที่สุดในอุตสาหกรรม”
“สมาพันธ์หุ่นยนต์นานาชาติ (ไอเอฟอาร์) คาดการณ์ว่า อุตสาหกรรมที่จะนำหุ่นยนต์ที่สามารถทำงานร่วมกับมนุษย์มาใช้งานเพิ่มมากขึ้น ได้แก่ อุตสาหกรรมยานยนต์ อุตสาหกรรมพลาสติก อุตสาหกรรมชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ และอุตสาหกรรมเครื่องจักรกล ซึ่งล้วนเป็นภาคอุตสาหกรรมที่สำคัญของภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้และเป็นตลาดเป้าหมายสำคัญของยูนิเวอร์ซอล โรบอตส์”
นายฟริส กล่าวว่า “ปัจจุบัน หุ่นยนต์ของเราถูกนำไปใช้งานในสายการผลิตยานยนต์เพิ่มมากขึ้น โดยทำงานควบคู่กับพนักงานในโรงงาน และช่วยผ่อนแรงในสายงานหยิบจับสิ่งของซ้ำ ๆ ที่ก่อให้เกิดความเมื่อยล้าและก่อปัญหากับสรีระ เรามีตัวอย่างกรณีศึกษาว่าหุ่นยนต์ที่ทำงานร่วมกับมนุษย์สามารถเพิ่มความรวดเร็วในกระบวนการฉีดขึ้นรูปถึง 4 เท่า ได้อย่างไร และหุ่นยนต์แขนกลตั้งโต๊ะรุ่น UR3 สามารถใช้ในการประกอบชิ้นส่วนเล็ก ๆ ที่มีน้ำหนักเบา อาทิ การหยิบจับแผงวงจร ได้อย่างไร”
สมาพันธ์ ไอเอฟอาร์ ยังคาดการณ์ว่า ตลาดหุ่นยนต์จะเติบโตต่อเนื่องในภูมิภาคเอเชีย โดยรายงานล่าสุดระบุว่า ปริมาณซัพพลายของหุ่นยนต์เติบโตขึ้นถึง 18 เปอร์เซ็นต์ ในปีนี้ ในขณะที่ มีการคาดการณ์ว่า การติดตั้งหุ่นยนต์จะเพิ่มขึ้น 15 เปอร์เซ็นต์ โดยประเทศจีนจะเป็นตลาดหลักที่ผลักดันให้ตลาดหุ่นยนต์ของโลกเติบโต และคาดว่า จะมีปริมาณการติดตั้งหุ่นยนต์เพื่อใช้งานในประเทศจีนเป็นสัดส่วนถึง 40 เปอร์เซ็นต์ ภายในปี 2562
“เอเชียเป็นตลาดสำคัญของเรา เราเปิดบริษัทสาขาที่เซี่ยงไฮ้เมื่อปี 2556 และแต่งตั้งผู้แทนจำหน่ายในภูมิภาคต่าง ๆ ที่ลูกค้าใช้งานหุ่นยนต์ของเราอยู่ เพื่อเพิ่มคุณภาพของผลิตภัณฑ์และทดแทนการใช้แรงงานคนในการทำงานที่ต้องทำซ้ำ ๆ ซึ่งเป็นปัญหาด้านแรงงานประเภทหนึ่งที่หลาย ๆโรงงานประสบอยู่” นายฟริส ยังกล่าวว่า ความต้องการสินค้าประเภทอุปโภคบริโภคทั่วโลกผลักดันให้โรงงานอุตสาหกรรมต้องผลิตสินค้าที่มีนวัตกรรมและมีคุณภาพสูงให้ได้อย่างรวดเร็ว สม่ำเสมอและยั่งยืน
“เมื่อไม่นานมานี้ ยูนิเวอร์ซอล โรบอตส์ ได้เปิดตัวโชว์รูมออนไลน์เพื่อนำเสนออุปกรณ์ที่ใช้ต่อเข้ากับข้อมือหุ่นยนต์สำหรับงานประเภทต่าง ๆ รวมทั้ง ซอฟต์แวร์ อุปกรณ์ต่อพ่วงและอุปกรณ์เสริมจากกลุ่มนักพัฒนาจากภายนอกซึ่งพัฒนาอุปกรณ์ให้เข้ากับระบบนิเวศน์ของยูนิเวอร์ซอล โรบอตส์ และทำงานเข้ากันได้อย่างดีเยี่ยมกับหุ่นยนต์ของเรา เพื่อตอบสนองดีมานด์ที่สูงขึ้นในโซลูชั่นหุ่นยนต์ทำงานร่วมกับมนุษย์ โชว์รูมออนไลน์นี้ช่วยให้ นักวางระบบ ผู้แทนจำหน่ายและลูกค้าของบริษัทมีความเข้าใจในการทำงานของหุ่นยนต์เป็นอย่างดีและมีความพร้อมในการใช้งานหุ่นยนต์ได้ทันทีที่ติดตั้งหุ่นยนต์ตัวต่อไปแล้วเสร็จ” นายฟริส กล่าว
นอกจากนี้ ศูนย์การเรียนรู้ของยูนิเวอร์ซอล โรบอตส์ (UR Academy) แห่งใหม่ ยังช่วยส่งเสริมตลาดของ ยูนิเวอร์ซอล โรบอตส์ โดยศูนย์การเรียนรู้ดังกล่าวเปิดสอนผ่านระบบอีเลิร์นนิ่งเกี่ยวกับโปรแกรมพื้นฐานของหุ่นยนต์ ได้แก่ การต่ออุปกรณ์เข้ากับข้อมือหุ่นยนต์ การเชื่อมต่อระบบ I/Os เพื่อสื่อสารกับอุปกรณ์ภายนอกและการติดตั้งโซนเพื่อความปลอดภัย ซึ่งบริษัทฯ คาดหวังว่าการริเริ่มศูนย์การเรียนรู้ดังกล่าวจะช่วยสนับสนุนยุค อินดัสตรี 4.0
นายฟริส กล่าวว่า “โมดูลการสอนที่ให้ผู้เรียนลงมือปฏิบัติจริงและเป็นการเรียนแบบอินเตอร์แอคทีฟ โดยไม่คิดค่าใช้จ่ายและผู้เรียนไม่จำเป็นต้องมีไลเซนส์เพื่อสมัครเรียนนั้น นับเป็นประวัติการณ์ใหม่ ศูนย์การเรียนรู้ของเราเป็นเครื่องมือที่สำคัญซึ่งช่วยให้เราส่งผ่านความรู้เพื่อให้ตลาดได้รับรู้ว่าเทคโนโลยีสามารถรองรับความท้าทายทางธุรกิจได้อย่างไร ในขณะที่ภูมิภาคตะวันออกเฉียงใต้กำลังจะกลายเป็นศูนย์กลางด้านการผลิตของโลก ดังนั้นการให้ความรู้กับผู้ใช้งานหุ่นยนต์และโปรแกรมเมอร์เสียแต่ตอนนี้จะช่วยเชื่อมโยงช่องว่างต่าง ๆ และถือเป็นเรื่องที่สำคัญอย่างยิ่ง”
บริษัท แอลจีอีเลคทรอนิคส์ (ประเทศไทย) จำกัด ผู้นำทางด้านเทคโนโลยีเครื่องใช้ไฟฟ้าชั้นนำระดับโลก นำโดย คุณนิพนธ์ วงษ์แสงอรุณศรี (กลาง) ผู้อำนวยการฝ่ายการตลาด จัดกิจกรรมยกระดับคุณภาพชีวิตของผู้คนอย่างยั่งยืน ด้วยการแบ่งปันความสุขและความอบอุ่น ภายใต้โครงการ Life’s Good…Life’s Sharing แบ่งปันความสุขให้ทุกรอยยิ้ม ส่งมอบเสื้อผ้าชุดนักเรียน อุปกรณ์สื่อการเรียนการสอน และข้าวของเครื่องใช้ที่จำเป็นต่าง ๆ ให้แก่นักเรียนโรงเรียนบ้านไหล่น่าน และชาวบ้านในชุมชนอำเภอเวียงสา จังหวัดน่าน โดยมี คุณกมล เชียงวงค์ (ที่ 2 จากซ้าย) รองผู้ว่าราชการจังหวัดน่าน และ คุณนิวัฒน์ งามธุระ (ที่ 1 จากซ้าย) นายอำเภอเวียงสา ให้เกียรติเข้าร่วมงานในครั้งนี้ด้วย
กิจกรรมในครั้งนี้ถือเป็นการตอกย้ำพันธกิจในการมอบชีวิตความเป็นอยู่ที่ดีขึ้นของผู้บริโภคตามสโลแกน Life’s Good ของแอลจี ซึ่งนอกจากจะช่วยยกระดับคุณภาพของคนในชุมชนแล้วยังช่วยเสริมศักยภาพในการเรียนรู้ของนักเรียนผ่านสื่อการเรียนการสอนต่าง ๆ ได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยทางบริษัทฯ ได้เชิญชวนลูกค้าแอลจี บริจาคเสื้อผ้า เครื่องนุ่งห่มที่ยังอยู่ในสภาพดี ผ่านกิจกรรมโร้ดโชว์ทั่วประเทศ นอกจากนี้ตัวแทนพนักงานของแอลจียังได้จัดกิจกรรมสันทนาการ เพื่อสร้างรอยยิ้มและความสุขให้กับเด็ก ๆ และคนในชุมชนอีกด้วย
เอปสัน ผู้ผลิตและจัดจำหน่ายโปรเจ็กเตอร์อันดับหนึ่งของโลก 15 ปีซ้อน เผยความสำเร็จในการขยายตลาดสู่วงการแฟชั่นเอเชีย โดยโปรเจ็กเตอร์เอปสันได้รับเลือกให้เข้าร่วมในการจัดแสดงสินค้าแฟชั่นของเหล่าดีไซเนอร์ชื่อดังสิงคโปร์ ภายใต้โปรเจ็กต์ Zhuang หรือ บ้านแห่งดีไซเนอร์สิงคโปร์ ที่จัดขึ้นโดยสหพันธ์สิ่งทอและแฟชั่นแห่งสิงคโปร์, TANGS ห้างสรรพสินค้าชื่อดัง และคณะกรรมการการท่องเที่ยวสิงคโปร์
นายยรรยง มุนีมงคลทร ผู้จัดการทั่วไป บริษัท เอปสัน (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวว่า “โปรเจ็กเตอร์ของเอปสันได้รับความนิยมเพิ่มมากขึ้นในวงการแฟชั่น เนื่องจากเจ้าของแบรนด์สินค้าและดีไซเนอร์ต่างหันกลับมาให้ความสำคัญกับการพรีเซนต์สินค้าในรูปแบบใหม่ ๆ ที่ไม่ยึดติดกับจอภาพสี่เหลี่ยมเพราะต้องการถ่ายทอดถึงความคิดสร้างสรรค์ เอกลักษณ์ของแบรนด์และตัวดีไซเนอร์ได้อย่างเต็มที่ รวมถึงยังช่วยสร้างการจดจำต่อแบรนด์สินค้าได้ง่ายยิ่งขึ้น เช่นเดียวกับห้างสรรพสินค้าที่ได้เลือกใช้โปรเจ็กเตอร์ในการจัดแสดงสินค้าแฟชั่นและสินค้าที่เน้นขายไอเดีย เพื่อดึงดูดความสนใจและกระตุ้นความต้องการของผู้ซื้อสินค้าให้เพิ่มขึ้น การที่เอปสันได้เข้าไปมีส่วนร่วมในโปรเจ็กต์ “Zhuang” นี้ นับว่าเป็นอีกหนึ่งความสำเร็จของการเปิดตัวเอปสันในวงการแฟชั่นและวงการธุรกิจค้าปลีกในเอเชีย”
“โปรเจ็กต์ Zhuang หรือ “บ้านแห่งดีไซเนอร์สิงคโปร์” ถือว่าเป็นโปรเจ็กต์ใหม่ ที่จัดขึ้นโดยสหพันธ์สิ่งทอและแฟชั่นแห่งสิงคโปร์ และTANGS ห้างสรรพสินค้าชื่อดังของเกาะสิงคโปร์บนถนนออร์ชาร์ด โดยความร่วมมือของ คณะกรรมการการท่องเที่ยวสิงคโปร์ ที่ต้องการผสมผสานแฟชั่นเข้ากับงานศิลปะและเทคโนโลยี เพื่อสร้างสรรค์ รูปแบบการจัดแสดงและการนำเสนอขายสินค้าแฟชั่นที่แปลกใหม่ ไม่ซ้ำใคร และสามารถดึงดูดผู้ซื้อให้มีส่วนร่วมกับแบรนด์ได้”
“ผลงานของเหล่าดีไซเนอร์นั้น จะถูกจัดแสดงผ่านโปรเจ็กเตอร์ความสว่างสูงของเอปสัน ด้วยเทคนิค 3D Mapping โดยการเปลี่ยนคอลเล็กชั่นในแต่ละชุดของดีไซเนอร์ จะใช้การฉายภาพของชุดลงบนหุ่น รวมไปถึงการสร้างบรรยากาศใน Pop-up Shop ที่เป็นพื้นที่จัดแสดงผลงานของดีไซเนอร์ ซึ่งโปรเจ็กเตอร์เอปสันที่ใช้จะมีตั้งแต่รุ่น EB-G6970WU, EB-G6900, EB-585Wi Ultra Short throw และ EB-4650” นายยรรยง กล่าว
นายพงศ์ธร วงศ์บุศยรัตน์ ผู้จัดการฝ่ายผลิต Profile บริษัท นวพลาสติกอุตสาหกรรม จำกัด ผู้ผลิต และจัดจำหน่ายประตูหน้าต่างไวนิลชั้นแนวหน้าของไทย ภายใต้แบรนด์ WINDSOR เปิดเผยว่า ปัจจุบันผู้บริโภคหันมาเลือกใช้ผลิตภัณฑ์ประตูหน้าต่างไวนิล ทดแทนประตูหน้าต่างไม้และอะลูมิเนียมเพิ่มมากขึ้น สาเหตุหลักเพราะประตูหน้าต่างไวนิลมีความแข็งแรง คงทน สวยงาม และสามารถแก้ปัญหาเดิม ๆ เช่น น้ำ ฝุ่น อากาศรั่วไหล, อุปกรณ์ใช้งานมีปัญหา, ความสวยงามที่ไม่คงทน ได้เป็นอย่างดี ส่งผลให้ตลาดประตูหน้าต่างไวนิลเติบโตขึ้นมากจากอดีตที่ผ่านมา ในส่วนของ Windsor เองก็ได้มีการพัฒนาสินค้า คิดค้นสูตร หรือนวัตกรรมใหม่ ๆ ของประตูหน้าต่างเพื่อตอบสนองความต้องการของลูกค้า ได้ตรงกับความต้องการ ประกอบกับการมีสินค้าใหม่กลุ่ม Smart Series รวมทั้งมีการขยาย Fabricator (ตัวแทนประกอบและจำหน่ายประตูหน้าต่าง) ที่มาช่วยผลักดันยอดขายและรองรับกำลังซื้อที่เพิ่มขึ้นด้วย
สินค้ารุ่นใหม่ล่าสุดของ Windsor คือ ระบบประตูหน้าต่างไวนิล รุ่น Smart Series เป็นนวัตกรรมใหม่ที่มีความแตกต่างจากสินค้าตัวอื่น ๆ ที่วางขายในตลาด เพราะใช้ วัสดุไวนิลสูตรพิเศษ (WINDSOR Advance Vinyl) ที่คิดค้นเพื่อรองรับสภาพภูมิอากาศร้อนชื้นสูงของเมืองไทยโดยเฉพาะ จึงมีความทนทานต่อ ความร้อน แสงแดดและความชื้น ช่วยยืดอายุการใช้งานได้นานขึ้น นอกจากนี้ยังใช้ ระบบ Fast Frame Technology ระบบวงกบที่ติดตั้งด้วยวิธีครอบช่องปูน และมีคิ้วประดับวงกบเข้าชุด สามารถครอบช่องปูนได้ทุกด้าน ทำให้ติดตั้งได้อย่างรวดเร็ว สวยงามและแม่นยำขึ้น รวมถึง Z-Lock Technology ระบบหน้าต่างและประตูบานเลื่อนที่ออกแบบระบบการเกี่ยวบาน ที่สามารถขัดตัวเองกันจนแน่น เขย่าไม่สั่น อากาศและฝุ่นผ่านเข้าออกได้น้อยมาก ส่งผลให้กันเสียงดีขึ้น และ Smart Clip เป็นนวัตกรรมการติดตั้งที่ช่วยให้ติดหน้าต่างได้แข็งแรงขึ้น เร็วขึ้น โดยไม่เหลือรูเจาะสกรูอยู่บนวงกบ ซึ่งเป็นหนึ่งในจุดเสี่ยงน้ำรั่ว สำหรับวัสดุคลิปและสกรูที่ใช้เป็นเทคโนโลยีสูงระดับเดียวกับอากาศยาน
นายพงศ์ธร กล่าวต่อไปว่า โรงงานผลิตประตูหน้าต่างไวนิล ของ บริษัท นวพลาสติกอุตสาหกรรม จำกัด ถือว่า เป็นโรงงานขนาดใหญ่ครบวงจร และถือเป็นโรงเดียวในประเทศไทยที่สามารถผลิตสินค้าได้ตั้งแต่ต้นทางจนถึงปลายทาง เริ่มตั้งแต่การสั่งซื้อ ส่งมายังกระบวนการผลิต มาสู่การผสมที่พัฒนาสูตรเองของ Windsor ไปสู่กระบวนการรีดออกมาเป็นเส้นไวนิล ตัดและประกอบเป็นชิ้นงาน ทดสอบประสิทธิภาพของสินค้า เรียกได้ว่า กว่าจะเป็นสินค้าคุณภาพออกสู่สาธารณะนั้น นอกเหนือจากบริการและติดตั้งที่ได้มาตรฐานแล้ว โรงงานผลิตถือเป็นหัวใจสำคัญยิ่ง
สำหรับโรงงานผลิตประตูหน้าต่างของ Windsor ตั้งอยู่ที่เขตประกอบอุตสาหกรรมเหมราช อ.บ้านค่าย จ.ระยอง มีพื้นที่ประมาณ 70 ไร่ ประกอบด้วย 3 ส่วนหลัก ได้แก่ ออฟฟิศ ส่วนผลิต Profile และส่วนประกอบสินค้า โดยแยกส่วนการทำงานตามระบบ
นอกจาก 3 ส่วนของโรงงานผลิตประตูหน้าต่างของแบรนด์ Windsor ที่นี่ยังเป็นโรงงานผลิตสินค้าประเภทอื่น ๆ ภายใต้กลุ่มนวพลาสติกอุตสาหกรรม เช่น กลุ่มสินค้าประเภทท่อ กลุ่มสินค้าไวนิล เป็นต้น และด้านหน้าโรงงานได้สร้างบ้านที่ชื่อว่า “บ้านมั่นใจ” ซึ่งเป็นบ้านตัวอย่างที่ติดตั้งสินค้าของ Windsor เพื่อให้กลุ่มลูกค้า และกลุ่ม Fabricator เห็นรูปแบบของสินค้าที่มีการติดตั้งจริง รวมทั้งเป็นการทดสอบสินค้าหน้างานด้วย
นายพงศ์ธร กล่าวเพิ่มเติมว่า Windsor มีการพัฒนานวัตกรรมการผลิตประตูหน้าต่างอย่างต่อเนื่อง ด้วยความเชี่ยวชาญของทีมงาน และระบบเทคโนโลยีที่นำมาใช้ เราสามารถพัฒนาสูตรไวนิลได้เอง ทำให้สินค้าของเรามีความแข็งแรง คงทน ไวนิลไม่ดำแม้ผ่านการใช้งานในระยะยาว ทำให้กันเสียง กันน้ำ กันฝุ่น ได้ดีกว่า
กลุ่มบริษัทแชฟฟ์เลอร์ เปิดโรงงานแห่งแรกของบริษัทในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ด้วยพิธีเปิดงานครั้งยิ่งใหญ่ที่จังหวัดชลบุรี ประเทศไทย โดยได้รับเกียรติจาก ดร.อรรชกา สีบุญเรือง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรมให้เกียรติเป็นประธานเปิดงานในครั้งนี้ โดยมี นายจอร์จ แชฟฟ์เลอร์ ประธานคณะกรรมการกำกับดูแลและผู้ถือหุ้นในกลุ่มบริษัทแชฟฟ์เลอร์ร่วมให้การต้อนรับภายในพิธีเปิดโรงงานแห่งใหม่ด้วยแนวคิดการจัดงานแบบไทยดั้งเดิม
นอกจากนี้ยังมีแขกผู้ทรงเกียรติอีกมากที่เข้าร่วมงานในครั้งนี้ ได้แก่ รองผู้ว่าราชการจังหวัดชลบุรี ผู้อำนวยการสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุนจังหวัดชลบุรี ผู้อำนวยการสำนักงานการนิคมอุตสาหกรรมอีสเทิร์นซีบอร์ด กลุ่มลูกค้า เจ้าหน้าที่จากสถานเอกอัครราชทูตเยอรมันประจำประเทศไทย รวมถึงสมาชิกคณะกรรมการบริหารกลุ่มบริษัทแชฟฟ์เลอร์ ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายบริหาร (ซีอีโอ) บริษัท แชฟฟ์เลอร์ เอเชียแปซิฟิก และคณะบริหารของบริษัทในระดับภูมิภาค
โรงงานแห่งใหม่นี้ ตั้งอยู่ในนิคมอุตสาหกรรมเหมราชชลบุรี 2 จังหวัดชลบุรี โดยห่างจากกรุงเทพประมาณ 150 กิโลเมตร และจะใช้เป็นสถานที่สำหรับผลิตชิ้นส่วนยานยนต์ที่ใช้ในเครื่องยนต์ และระบบส่งกำลังในเฟส 1 โรงงานแห่งใหม่นี้ถือเป็นการขยายฐานการผลิตระดับท้องถิ่นที่ชัดเจนของบริษัท แชฟฟ์เลอร์ ในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก
นายนอร์เบิร์ต อินเดลโคเฟอร์ ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายบริหาร (ซีอีโอ) กลุ่มบริษัทแชฟฟ์เลอร์ด้านยานยนต์กล่าวว่า “กลุ่มบริษัทแชฟฟ์เลอร์มีความภูมิใจอย่างยิ่งที่ได้เปิดตัวโรงงานแห่งนี้ในประเทศไทยเพื่อช่วยในการขยายฐานการผลิตผลิตภัณฑ์สำหรับใช้ในอุตสาหกรรมการผลิตยานยนต์โดยเฉพาะ การผลิตในระดับท้องถิ่นจะช่วยให้เราใกล้ชิดกับลูกค้าได้มากขึ้นและยังสามารถเพิ่มช่องทางในการเข้าถึงผลิตภัณฑ์คุณภาพสูงจากเรา รวมถึงเทคโนโลยีการผลิตที่ทันสมัยได้”
โรงงานใหม่แห่งนี้ถือเป็นส่วนหนึ่งของแผนการลงทุนเชิงกลยุทธ์ที่บริษัทแชฟฟ์เลอร์ต้องการขยายฐานการผลิต รวมทั้งงานด้านการวิจัยและพัฒนาในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก
นายแอนเดรียส ชิค ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายบริหาร (ซีอีโอ) บริษัท แชฟฟ์เลอร์ ประจำภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกกล่าวว่า “โรงงานแห่งนี้เป็นส่วนหนึ่งในวิสัยทัศน์ของเราที่จะก้าวเป็นพันธมิตรชั้นนำด้านการพัฒนาให้กับลูกค้าของเราในภูมิภาคนี้ ซึ่งนับเป็นหนึ่งในตลาดสำคัญที่มีอัตราการเติบโตของอุตสาหกรรม ยานยนต์มากที่สุดในโลก และเนื่องจากเป็นส่วนหนึ่งในกลยุทธ์ ‘Mobility for Tomorrow’ (การขับเคลื่อนไปสู่อนาคต) บริษัท แชฟฟ์เลอร์มุ่งมั่นพัฒนาผลิตภัณฑ์และโซลูชั่นเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพให้กับเทคโนโลยีปัจจุบันและสร้างสรรค์นวัตกรรมใหม่ ๆ ที่พร้อมพลิกโฉมโลกแห่งอนาคต ตลาดยานยนต์ยังคงมีการพัฒนาอย่างต่อเนื่องและภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกกำลังได้รับความสนใจเพิ่มมากขึ้น ดังนั้น บริษัท แชฟฟ์เลอร์จึงพร้อมเดินหน้าร่วมเป็นพันธมิตรกับลูกค้าเพื่อผลักดันให้เกิดการเติบโตก้าวต่อไป”
นายจูนิชิ ชิมาดะ กรรมการผู้จัดการบริษัท แชฟฟ์เลอร์ แมนูแฟคเจอริ่ง (ประเทศไทย) จํากัด กล่าวว่า “การเปิดโรงงานแห่งใหม่นี้จะช่วยเสริมสร้างความแข็งแกร่งให้กับความสามารถด้านการดำเนินงานและวิศวกรรมของแชฟฟ์เลอร์ในภูมิภาคแห่งนี้ และยังช่วยให้เราสามารถตอบสนองต่อการเปลี่ยนแปลงในตลาดได้รวดเร็วขึ้นด้วย กลุ่มลูกค้าของเราจากทั่วโลกจำนวนมากมีฐานการผลิตอยู่ที่นี่ และบริษัทแชฟฟ์เลอร์ มีความมุ่งมั่นที่จะทำงานร่วมกับพวกเขาเพื่อยกระดับอุตสาหกรรมยานยนต์ในภูมิภาคนี้ให้ดียิ่งขึ้น”
สายผลิตภัณฑ์ที่ได้รับการเปิดตัวในเฟส 1 ของโรงงานที่ชลบุรี ได้เริ่มดำเนินงานในพื้นที่ส่วนหนึ่งจากทั้งหมด 55,000 ตารางเมตร ซึ่งประกอบด้วยการผลิตแผ่นผ้าคลัทช์ จานกดผ้าคลัทซ์แบบแห้ง ระบบปรับตั้งแรงดึงสายพานอัตโนมัติทางกลและทางแรงดันน้ำมัน ตัวปรับความตึงสายพานแบบกลไกและแบบไฮดรอลิก วงแหวนซิงโครไนเซอร์ ตลับลูกปืนจานกดคลัทซ์และระบบคลัทช์ โรงงานผลิตแห่งนี้สร้างขึ้นภายใต้แนวคิดแบบโมดูลที่สามารถเพิ่มสายการผลิตใหม่ ๆ สำหรับผลิตภัณฑ์และโซลูชั่นของแชฟฟ์เลอร์ให้ครอบคลุมห่วงโซ่คุณค่าด้านยานยนต์ได้อย่างครบวงจร สำหรับแผนงานขั้นสุดท้ายของผลิตภัณฑ์ในเฟส 2 กำลังอยู่ระหว่างดำเนินการ
เมื่อวันที่ 10 ตุลาคม 2559 ณ ศูนย์ประชุมนานาชาติฉลองสิริราชสมบัติครบ 60 ปี มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ วิทยาเขต หาดใหญ่ ดร.พิเชฐ ดุรงคเวโรจน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี (รมว.วท.) ร่วมบรรยายในหัวข้อ วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีเพื่อการขับเคลื่อน Thailand 4.0 ในงานแลกเปลี่ยนเรียนรู้ตาม MOU ระหว่างมหาวิทยาลัยขอนแก่น (มข.) มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ (มช.) และมหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ (มอ.) หรืองาน "3 พลังแผ่นดิน ครั้งที่ 2"
รมว.วท.ได้กล่าวถึง เส้นทางสู่ความสำเร็จในการเป็นประเทศที่เจริญแล้ว โดยเริ่มต้นจากการมีมหาวิทยาลัยเป็นผู้ริเริ่มพัฒนางานวิจัย ซึ่งประเทศไทยริเริ่มเมื่อ 57 ปีที่แล้ว จากนั้นเริ่มมีหน่วยงานสนับสนุนการวิจัยมารองรับ เช่น วช. สวทช. วว. เป็นต้น จนเข้าสู่ยุคเร่งรัดพัฒนาด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีในปัจจุบัน มีการตั้งหน่วยวิจัย หน่วยให้ทุนวิจัย จนมาถึงการดึงภาคเอกชนเข้ามามีบทบาทร่วมในการวิจัยพัฒนา มุ่งขับเคลื่อนประเทศด้วยวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ซึ่งหากประเทศไทยเดินได้ในลักษณะนี้ จะเป็นทางรอดการส่งเสริมให้มีการลงทุนวิจัย พัฒนา และใช้ประโยชน์จาก วทน. เพิ่มมากขึ้น
นอกจากนี้ รมว.วท. ได้กล่าวถึง การมุ่งเป้าหมายของอุตสาหกรรมในประเทศไทย ซึ่งได้เล็งเห็นถึงอุตสาหกรรมเดิม ที่ควรได้รับการต่อยอดและพัฒนาจำนวน 5 อุตสาหกรรมด้วยกัน อันได้แก่ อุตสาหกรรมยานยนต์ใหม่ อุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์อัจฉริยะ อุตสาหกรรมท่องเที่ยวกลุ่มรายได้ดีหรือเชิงสุขภาพ อุตสาหกรรมการเกษตรและเทคโนโลยีชีวภาพ และอุตสาหกรรมอาหารแปรรูป พร้อมกันนี้จะต้องดำเนินการควบคู่ไปกับการเติม5 อุตสาหกรรมใหม่ ได้แก่ หุ่นยนต์เพื่อสุขภาพ การแพทย์ครบวงจร คุณภาพการขนส่งและการบิน และเชื้อเพลิงชีวภาพ ทั้งนี้ อุตสาหกรรมมุ่งเป้าของไทยจะบรรลุวัตถุประสงค์ได้ จำเป็นต้องพัฒนาด้วยฐานเทคโนโลยีดิจิตัลอย่างครบวงจร
บริษัท ไดเมชั่น ดาต้า (ประเทศไทย) ร่วมกับ บริษัท เอ็นทีที คอมมิวนิเคชั่นส์ (ประเทศไทย) และ บริษัท เอ็นทีที ดาต้า (ประเทศไทย) จำกัด ซึ่งเป็นบริษัทในเครือของ เอ็นทีที กรุ๊ป ร่วมระดมทุนจัดซื้อจักรยาน เพื่อบริจาคในโครงการ Ride to School หรือ ปั่นไปเรียน โดยเป็นการบริจาคจักรยานใหม่ให้กับเด็ก ๆ ในถิ่นทุรกันดารให้มีจักรยานใช้ปั่นไปโรงเรียนและใช้ในชีวิตประจำวัน ตอกย้ำกิจกรรมทางสังคมในโครงการ Ride to School อย่างต่อเนื่อง และฉลองครบรอบ 25 ปี โดยล่าสุดบริษัทฯ บริจาคครั้งนี้เป็นครั้งที่ 5 ที่จังหวัดจันทบุรี จำนวน 51 โรงเรียน รวมทั้งหมด 250 คัน พร้อมทั้งจะทยอยมอบจักรยานอย่างต่อเนื่องทุกไตรมาสจนบรรลุตามเป้าหมาย จำนวน 2,000 คัน ภายในปี 2561
สำหรับผู้ที่สนใจเข้าร่วมบริจาคจักรยานให้กับเด็กๆ ในถิ่นทุรกันดาร สามารถสมทบทุนในโครงการ Ride to School ได้ที่บัญชีออมทรัพย์ ธนาคารกสิกรไทย สาขา ถนนรัชดาภิเษก (สุขุมวิท-พระราม4) ปั่นไปเรียน เลขที่บัญชี 006- 1-10502-6 หรือดูรายละเอียดเพิ่มเติม www.facebook.com/RidetoSchool.Bike
ในภาพผู้บริหารจากซ้ายไปขวา นาย จุน ซาทานิ ประธานบริษัท เอ็นทีที ดาต้า (ประเทศไทย) จำกัด นายสุทัศน์ คงดำรงเกียรติ กรรมการผู้จัดการ บริษัท ไดเมนชั่น ดาต้า (ประเทศไทย) นายมานาบุ คาฮาระ ประธานบริษัท เอ็นทีที คอมมิวนิเคชั่นส์ (ประเทศไทย)และ นายธีรวุฒิ ศุณะมาลัย รองประธานบริษัท เอ็นทีที คอมมิวนิเคชั่นส์ (ประเทศไทย)
บริษัท เชฟรอนประเทศไทยสำรวจและผลิต จำกัด และบริษัทร่วมทุน โดย นางสาวพรสุรีย์ กอนันทา ผู้จัดการฝ่ายสื่อสารองค์กรและกิจการสัมพันธ์ เชฟรอนประเทศไทย ได้เป็นตัวแทนมอบเงินบริจาคจำนวน 500,000 บาท แก่ ศาตราจารย์ นายแพทย์บุญชอบ พงษ์พาณิชย์ ประธานคณะกรรมการมูลนิธิเด็กโรคหัวใจในพระอุปถัมภ์ของสมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอ เจ้าฟ้ากัลยาณิวัฒนา กรมหลวงนราธิวาสราชนครินทร์ เพื่อสนับสนุนโครงการผ่าตัดเด็กโรคหัวใจ 1,800 ราย ในระหว่างปี พ.ศ.2558-2559 ซึ่งทางมูลนิธิฯ จัดขึ้นเพื่อเฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช โดยเงินบริจาคจำนวนนี้จะสามารถนำไปช่วยเหลือผู้ป่วยเด็กในมูลนิธิฯ ที่ขาดแคลนทุนทรัพย์ให้ได้รับการรักษา สามารถใช้ชีวิตได้ตามปกติ และเป็นอนาคตของครอบครัวและประเทศชาติต่อไป
บริษัท เชฟรอนประเทศไทยสำรวจและผลิต จำกัด ได้ให้การสนับสนุนมูลนิธิฯ ในโครงการผ่าตัดเด็กโรคหัวใจในประเทศไทยที่ขาดแคลนทุนทรัพย์ที่ใช้ในการผ่าตัดมาเป็นระยะเวลาต่อเนื่องถึง 5 ปี และได้ช่วยเหลือเด็กให้ได้รับการผ่าตัดไปแล้วทั้งสิ้นกว่า 335 ราย แต่ก็ยังคงมีเด็กที่ป่วยด้วยโรคหัวใจที่ขาดแคลนทุนทรัพย์และยังรอรับการผ่าตัดอยู่อีกเป็นจำนวนมาก ในปีนี้ บริษัท เชฟรอนประเทศไทยสำรวจและผลิต จำกัด จึงได้ร่วมกับบริษัทร่วมทุน อันได้แก่ บริษัท มิตซุย ออยล์ เอ็กซโปลเรชั่น จำกัด บริษัท ปตท สำรวจและผลิตปิโตรเลียม จำกัด (มหาชน) และบริษัท พลังโสภณ จำกัด ร่วมสานต่อการสนับสนุนเป็นปีที่ 5 โดยในปีหนึ่ง ๆ ประเทศไทยมีเด็กเกิดพร้อมโรคหัวใจพิการตั้งแต่กำเนิดราว 7,000-8,000 คน หากแต่ปัจจุบันสถาบันที่ผ่าตัดรักษาเด็กโรคหัวใจมีไม่เพียงพอ โดยทั้งประเทศสามารถผ่าตัดเด็กได้ปีละไม่เกิน 2,500 คน การมอบทุนแก่ทางมูลนิธิฯ อย่างต่อเนื่อง จึงถือเป็นหนึ่งแรงสนับสนุนเพื่อช่วยเหลือเด็กผู้ป่วยให้มีโอกาสได้รับการผ่าตัดเพิ่มมากขึ้น
รศ.ดร.สยาม เจริญเสียง ผู้อำนวยการสถาบันวิทยาการหุ่นยนต์ภาคสนาม (FIBO) มจธ. และ คุณศิริโชติ สิงห์ษา รองประธานบริหาร บริษัท เอบีบี จำกัด (ABB) ได้ร่วมลงนามความร่วมมือในโครงการส่งเสริมและพัฒนาการเรียนรู้ด้านวิทยาการหุ่นยนต์และระบบอัตโนมัติ ระหว่าง FIBO และ ABB ขึ้นเมื่อวันที่ 18 ตุลาคม 2559 ณ สถาบันวิทยาการหุ่นยนต์ภาคสนาม มจธ. ทั้งนี้ในความร่วมมือดังกล่าวทาง ABB ได้ส่งมอบหุ่นยนต์ YuMi ซึ่งเป็นหุ่นยนต์แขนกลให้แก่ FIBO เพื่อนำไปพัฒนาต่อให้เกิดประโยชน์ในด้านต่าง ๆ โดยเฉพาะงานวิจัย การพัฒนาเชิงอุตสาหกรรม การแพทย์ และการเรียนการสอนที่สอดคล้องกับการใช้งานหุ่นยนต์ในภาคอุตสาหกรรมเพื่อสร้างบุคลากรที่เป็นกำลังสำคัญด้านระบบอัตโนมัติของประเทศต่อไป
เอปสัน นำแว่นตาอัจฉริยะ Moverio สร้างมิติใหม่ในการชมการแข่งขันรถสูตรหนึ่ง หลังเปิดโอกาสให้ผู้เข้าชมศูนย์ควบคุมของทีมเมอร์ซิเดส เอเอ็มจี ปิโตรนาส ฟอร์มูล่าวัน ระหว่างการแข่งขันรายการ 2016 Fomular 1 Singapore Grand Prix ได้มีโอกาสสัมผัสประสบการณ์สุดพิเศษ โดยใช้ Moverio เพื่อดูข้อมูลในรูปแบบ AR (Augmented Reality) ทั้งสถิติการแข่งรถของนักแข่ง ข้อมูลรายละเอียดของรถแข่ง การปฏิบัติงานของเจ้าหน้าที่วิศวกร และเหตุการณ์ที่จุดพิตสต็อป ไปจนถึงข้อมูลต่าง ๆ เกี่ยวกับการแข่งขันที่ปรากฏบนโซเชียลมีเดีย ซึ่งสร้างความตื่นเต้นเหมือนได้เข้าไปชมในสนามการแข่งขันจริง