News & Movement

ABB จัดงานสัมมนา Food & Beverage Day 2016

          บริษัท เอบีบี จำกัด ผู้นำด้านเทคโนโลยีไฟฟ้ากำลังและเทคโนโลยีอัตโนมัติ จัดงานสัมมนา ABB Food & Beverage Day 2016 เมื่อวันพุธที่ 25 พฤษภาคม 2559 ณ โพธาลัย เลเชอร์ ปาร์ค โดยนำนวัตกรรมทางด้านไฟฟ้า อุปกรณ์และระบบออโตเมชั่น มาสาธิตให้ลูกค้าในกลุ่ม Food & Beverage ในประเทศไทยและเมียนมา ทั้งนี้ผู้เข้าร่วมงานจะได้สัมผัสกับอุปกรณ์จริง พร้อมกับแลกเปลี่ยนความรู้ ซักถามข้อมูลจากวิศวกรจากเอบีบีโดยตรง ไม่ว่าจะเป็นส่วนของ Process Automation, Application, Power & Distribution และ Robot ได้ชมการทำงานของแผงโซลาร์ สำหรับการปฏิบัติงานภายในฟาร์ม หุ่นยนต์ Racerpack ที่ใช้สำหรับงาน Picking & Packing และอุปกรณ์อื่นๆ มากกว่า 30 บูธ นอกจากนี้ยังมีการสัมมนาให้ความรู้เกี่ยวกับอุปกรณ์และระบบออโตเมชั่นจากเอบีบีกว่า 10 หัวข้อตลอดทั้งวัน โดยงานนี้มีตัวแทนจากบริษัทชั้นนำต่างๆ ให้ความสนใจเข้าร่วมงานมากกว่า 200 คน

ถิรไทย เยี่ยมชมหม้อแปลงไฟฟ้าคุณภาพ

          นายอวยชัย ศิริวจนา ผู้จัดการฝ่ายขาย บริษัท ถิรไทย จำกัด (มหาชน) ผู้ผลิตและจำหน่ายหม้อแปลงไฟฟ้าอันดับ 1 ของประเทศ นำทีมผู้บริหาร และคณะกรรมการบริษัทฯ เยี่ยมชมหม้อแปลงแบบปรับแรงดันโดยอัตโนมัติ (AVR) ขนาด 300A 22KV (12,000KVA) ที่ติดตั้งอยู่ ณ บ้านห่วยโก๋น อำเภอเฉลิมพระเกียรติ จังหวัดน่าน ที่ให้บริการมากว่า 23 ปี ที่ยังมีคุณภาพให้บริการได้เป็นอย่างดี ณ บ้านห่วยโก๋น อำเภอเฉลิมพระเกียรติ จังหวัดน่าน เมื่อเร็ว ๆ นี้

ดิจิตอล โฟกัส และไฮค์วิชั่น ผนึกกำลัง มอบทุนวิจัยพัฒนาด้าน IoT และสมาร์ทคลาสรูม สนับสนุนคณะวิศวะ สจล.

          รศ.ดร.คมสัน มาลีสี คณบดีคณะวิศวกรรมศาสตร์ สถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหารลาดกระบัง พร้อมด้วยคุณสมชาย ประจักษ์สูตร์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท ดิจิตอล โฟกัส จำกัด และ มร.ไมเคิล กัว รองกรรมการผู้จัดการ บริษัท ไฮค์วิชั่น จำกัด ร่วมลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือทางวิชาการ (MOU) เพื่อพัฒนางานวิจัย และได้มอบทุนสำหรับการวิจัยอินเตอร์เน็ตออฟธิงส์ จากดิจิตอล โฟกัส 1 ล้านบาท และมอบทุนสมาร์ทคลาสรูมจากไฮค์วิชั่น 580,000 บาท แก่คณะวิศวกรรมศาสตร์ สจล. ซึ่งการทำ MOU ในครั้งนี้ นับเป็นการผนึกกำลังของภาคการศึกษาและภาคธุรกิจอุตสาหกรรมร่วมกันขับเคลื่อนในการพัฒนางานวิจัยนวัตกรรมและวิชาการที่จะเป็นประโยชน์ต่อคุณภาพชีวิต สังคมและเศรษฐกิจไทยและภูมิภาค โดยสอดคล้องกับการที่ประเทศไทยกำลังก้าวเข้าสู่เป้าหมายไทยแลนด์ 4.0 ในอนาคต

ผู้บริหารฮิตาชิ เอเชีย จับมือ คณะวิศวลาดกระบัง ส่งเสริมเยาวชนไทยไปฝึกงานญี่ปุ่น

          คุณทาคาฮิโกะ มิโนะ ผู้จัดการอาวุโส และผู้บริหารจาก บริษัท ฮิตาชิ เอเชีย (ประเทศไทย) จำกัด ซึ่งเป็นผู้นำเทคโนโลยีของโลก ร่วมประชุมความร่วมมือกับ รศ.ดร.คมสัน มาลีสี คณบดีคณะวิศวกรรมศาสตร์ สถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหารลาดกระบัง ให้การต้อนรับ เนื่องในโอกาสหารือแผนงานเสริมสร้างประสบการณ์แก่นักศึกษาคณะวิศวกรรมศาสตร์ ไปฝึกงานที่ บริษัท ฮิตาชิ ประเทศญี่ปุ่น เพื่อเปิดโอกาสให้เยาวชนคนรุ่นใหม่ของไทยได้เรียนรู้การทำงานร่วมกับคนต่างวัฒนธรรมและต่างภาษาในภูมิภาคเอเซีย และพัฒนาความรู้ทั้งด้านวิชาการ เทคโนโลยีและทักษะการปฎิบัติ มีวิสัยทัศน์ในการศึกษาที่ไม่หยุดนิ่ง และนำความรู้มาแบ่งปันและใช้ประโยชน์ในประเทศไทย

อัคราฯ มอบเงินกองทุนพัฒนาท้องถิ่น 45 ล้านบาท

          บมจ. อัครา รีซอร์สเซส ผู้ประกอบกิจการเหมืองแร่ทองคำชาตรี นำโดย นายสิโรจ ประเสริฐผล ประธานเจ้าหน้าที่บริหารการเงิน นำเงินสนับสนุน กองทุนพัฒนาท้องถิ่น โดยสำนักงานอุตสาหกรรมจังหวัดพิจิตร สมทบโดยบริษัท อัครา รีซอร์สเซส จำกัด (มหาชน) มูลค่า 45 ล้านบาท ให้ชาวบ้านรอบเหมืองฯ ในจังหวัดพิจิตร เพชรบูรณ์ และพิษณุโลกได้ใช้พัฒนาท้องถิ่น มามอบให้กับนายพิษณุ  เสนาวิน รองผู้ว่าราชการจัหวัดพิจิตร โดยมี นายเกียรติชัย ตุลาธรรมกุล อุตสาหกรรมจังหวัดพิจิตร และตัวแทนจากองค์การบริหารส่วนตำบล กำนัน ผู้ใหญ่บ้านรอบเหมืองแร่ทองคำชาตรี ร่วมเป็นสักขีพยาน

ซีพีพี มอบห้องสมุด คลังความรู้ของน้อง

          บริษัท ซีพีพี จำกัด ในเครือ บริษัท ชุมพร อุตสาหกรรมน้ำมันปาล์ม จำกัด (มหาชน) ทำพิธีมอบ อาคารห้องสมุด คลังความรู้ของน้อง ให้กับ โรงเรียนบ้านทุ่งสีเสียด อ.บางสะพานน้อย จ.ประจวบคีรีขันธ์ เพื่อส่งเสริม และพัฒนาโรงเรียน ให้มีแหล่งข้อมูลที่สามารถต่อยอดทางการเรียนรู้เพิ่มเติม สำหรับเด็กนักเรียน นอกเหนือจากที่ได้รับแล้วในห้องเรียน ซึ่งกิจกรรมนี้เป็นส่วนหนึ่งในนโยบายของบริษัท ด้านการสร้างความสัมพันธ์กับชุมชน เมื่อเร็ว ๆ นี้  

โฮมโปรส่งมอบ โครงการห้องน้ำเพื่อสังคม และผู้สูงวัย นำร่องต้นแบบ ยกระดับคุณภาพชีวิตกลุ่มผู้สูงวัย และประชาชน

          นายเกษม ปิ่นมณเฑียรทอง ผู้อำนวยการกลุ่มปฏิบัติการสาขา บริษัท โฮมโปรดักส์ เซ็นเตอร์ จำกัด (มหาชน) พร้อมด้วย นายแพทย์ดนัย ธีวันดา รองอธิบดีกรมอนามัย เป็นประธานในการส่งมอบห้องน้ำมาตรฐาน HAS ในโครงการ ห้องน้ำเพื่อสังคมและผู้สูงวัย โดยมี นายจุมพล สำเภาพล รองผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร รับมอบ จำนวนทั้งสิ้น 10 ห้อง โดยแบ่งเป็นห้องน้ำผู้สูงวัย/ผู้พิการ จำนวน 2 ห้อง, ห้องน้ำสาธารณะ จำนวน 8 ห้อง ไว้เพื่อเป็นต้นแบบ ยกระดับคุณภาพชีวิตกลุ่มผู้สูงวัย รวมถึงความปลอดภัยในการใช้ห้องน้ำ ณ สวนสาธารณะเฉลิมพระเกียรติ 6 รอบพระชนมพรรษา ถ.พระราม 3 เมื่อเร็ว ๆ นี้

เมโทรซิสเต็มส์ฯ หรือ MSC รับมอบประกาศนียบัตรรับรองการเป็นสมาชิกแนวร่วมปฎิบัติของภาคเอกชนไทยในการต่อต้านทุจริต

          นายสรรพิชญ์ เศรษฐพรพงศ์ (ขวา) ประธานกรรมการ บริษัท เมโทรซิสเต็มส์คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) รับมอบประกาศนียบัตรรับรองการเป็นสมาชิกแนวร่วมปฏิบัติของภาคเอกชนไทยในการต่อต้านทุจริต จากสมาคมส่งเสริมสถาบันกรรมการบริษัทไทย เมื่อวันที่ 30 พฤษภาคม 2559 ณ โรงแรมแกรนด์ ไฮแอท เอราวัณ

งาน Forbes Thailand Forum 2016: A Self Made Success

          สุทธิเกียรติ จิราธิวัฒน์ กรรมการผู้จัดการใหญ่ และ ภัสสรกรณ์ จิราธิวัฒน์ หัวหน้าเจ้าหน้าที่ฝ่ายปฏิบัติการ บ.โพสต์ พับลิชชิ่ง, วิกรม กรมดิษฐ์ ประธานกรรมการบริหาร บ.อมตะ คอร์ปอเรชั่น, เสถียร เศรษฐสิทธิ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บ.คาราบาว กรุ๊ป, สนั่น อังอุบลกุล ประธานกรรมการบริหาร บ.ศรีไทย ซุปเปอร์แวร์, สุพันธ์ มงคลสุธี ประธานกรรมการ บ.ที.เค.เอส เทคโนโลยี, จรีพร จารุกรสกุล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บ. ดับบลิวเอชเอ คอร์ปอเรชั่น และ สมัย ลี้สกุล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บ.ทีอาร์ซี คอนสตรัคชั่น ถ่ายรูปร่วมกันในงานเสวนา Forbes Thailand Forum 2016 ที่ โรงแรมเซ็นทารา แกรนด์ แอท เซ็นทรัล เวิลด์ เมื่อเร็ว ๆ นี้

ยิบอินซอย มอบทุนการศึกษาแก่บุตรกองทัพอากาศ ประจำปี 2559

          นางมรกต ยิบอินซอย กรรมการผู้จัดการใหญ่ และประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ยิบอินซอย จำกัด ในฐานะตัวแทนมูลนิธิเลนำคิน ร่วมงานมอบทุนการศึกษาแก่บุตรข้าราชการกองทัพอากาศ ที่เสียชีวิตจากเฮลิคอปเตอร์ตกที่ อ.เบตง จ.ยะลา โดยมี พลอากาศเอก จอม รุ่งสว่าง เสนาธิการทหารอากาศ เป็นประธานในพิธี งานนี้จัดขึ้น ณ ห้องเบญจมาศ อาคารอเนกประสงค์ สมส.ทอ. ชั้นสัญญาบัตร ดอนเมือง โดยมีบุตรข้าราชการกองทัพอากาศรับทุนการศึกษาทั้งสิ้น 9 คน โดยทุนการศึกษาที่มูลนิธิเลนำคินมอบให้จะมอบให้ทุกปีจนผู้ได้รับทุนจบการศึกษาในระดับปริญญาตรี งานนี้ได้รับเกียรติจากนายทหารชั้นผู้ใหญ่และผู้ปกครองร่วมงานกันอย่างพร้อมเพียง

พิธีเปิดโรงงานผลิตผ้าเบรคเบนดิกซ์แห่งใหม่ที่นิคมฯ ของเหมราช

          คุณอภิศักดิ์ คามวัลย์ ผู้ช่วยผู้อำนวยการฝ่ายลูกค้าสัมพันธ์ที่ดินอุตสาหกรรม บริษัท เหมราชพัฒนาที่ดิน จำกัด (มหาชน) มอบภาพพระบรมฉายาลักษณ์ของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวให้แก่ คุณกฤษณกร ไตรวัฒนธงไชย กรรมการบริหาร บริษัท เอฟเอ็มพี กรุ๊ป (ประเทศไทย) จำกัด และ บริษัท เอฟเอ็มพี ดิสทริบิวชัน จำกัด ผู้ผลิตและผู้จัดจำหน่ายผ้าเบรกเบ็นดิกซ์ จัดพิธีเปิดโรงงานเฟสที่สองขึ้น ที่นิคมอุตสาหกรรมอีสเทิร์นซีบอร์ด (ระยอง) ซึ่งโรงงานอันทันสมัยแห่งนี้ได้รับงบสนับสนุนจากสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน ช่วยให้บริษัทสามารถเพิ่มกำลังการผลิตเพื่อตอบสนองความต้องการและรองรับการขยายตัวทางธุรกิจของลูกค้าในวงการอุตสาหกรรมยานยนต์ทั้งในและต่างประเทศได้อย่างมีประสิทธิภาพ

เอบีบี ลงนามความร่วมมือทางวิชาการด้านระบบส่งกับ กฟผ.

          บริษัท เอบีบี จำกัด ผู้นำด้านเทคโนโลยีไฟฟ้ากำลังและเทคโนโลยีอัติโนมัติ และการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย ลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือทางวิชาการด้านระบบส่ง เพื่อถ่ายทอด แลกเปลี่ยนความรู้ด้านเทคโนโลยีและประสบการณ์ ตลอดจนเสริมสร้างความร่วมมือกันทางด้านวิชาการของหน่วยงานทั้งสองในอนาคต ทั้งนี้บันทึกข้อตกลงความร่วมมือได้รับการลงนามโดย นายชัยยศ ปิยะวรรณรัตน์, Managing Director Thailand, Myanmar, Cambodia and Laos, ABB Limited (กลางขวา) และ นายสุเทพ ฉิมคล้าย ผู้ช่วยผู้ว่าการบำรุงรักษาระบบส่ง การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กลางซ้าย)

เอสเอ็มอี มาร์เก็ตเพลส -ไทยช่วยไทย บาย ประชารัฐ

          ปรีชา เอกคุณากูล และ ชยาวุธ จันทร เปิดงาน เอสเอ็มอี มาร์เก็ตเพลส-ไทยช่วยไทย บาย ประชารัฐ เพื่อเพิ่มช่องทางการเติบโตของสินค้าเอสเอ็มอีและสินค้าท้องถิ่นประจำจังหวัด ณ ศูนย์การค้าในเครือเซ็นทรัลพัฒนาโดยมี อลิสเตอร์ เทย์เลอร์, สุรพล ว่องวัฒนโรจน์, สวาท ธีระรัตนนุกูลชัย, ดร.ณัฐกิตติ์ ตั้งพูลสินธนา และ เกศมณี เลิศกิจจา ร่วมงาน ณ ลานกิจกรรม ชั้น 1 ศูนย์การค้าเซ็นทรัลพลาซา อุดรธานี เมื่อเร็ว ๆ นี้

ฟูจิ ซีร็อกซ์ (ประเทศไทย) ได้รับสิทธิ์ใช้เครื่องหมายฉลากเขียว บนผลิตภัณฑ์เครื่องถ่ายเอกสาร

          นายโคจิ เทสึกะ ประธาน บริษัท ฟูจิ ซีร็อกซ์ (ประเทศไทย) จำกัด (คนกลาง) เข้ารับมอบเกียรติบัตรสำหรับผู้ได้รับสิทธิ์ให้ใช้เครื่องหมายรับรองฉลากเขียว ประเภทผลิตภัณฑ์เครื่องถ่ายเอกสาร จาก คุณประเสริฐ บุญสัมพันธ์ ประธานองค์กรธุรกิจเพื่อการพัฒนาอย่างยั่งยืน (TBCSD) และ .ดร.ธนวัฒน์ จารุพงษ์สกุล ประธานสถาบันสิ่งแวดล้อมไทย สำหรับเครื่องหมายรับรองฉลากเขียวนั้น จะมอบให้กับผลิตภัณฑ์ที่ส่งผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมน้อยกว่าเมื่อเปรียบเทียบกับผลิตภัณฑ์ชนิดเดียวกัน และเพื่อเป็นการยืนยันว่าฟูจิ ซีร็อกซ์ ฯ เป็นองค์กรที่ใส่ใจและมุ่งมั่นที่จะผลักดันเพื่อลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก และช่วยลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม พร้อมการดำเนินธุรกิจที่ส่งเสริมการพัฒนาอย่างยั่งยืน งานรับมอบเกียรติบัตรจัดขึ้น ณ ห้องวิภาวดีบอลรูม A โรงแรม เซ็นทาราแกรนด์ เซ็นทรัล พลาซ่า ลาดพร้าว กรุงเทพฯ

พิธีลงนามความร่วมมือเทคโนโลยีสารสนเทศ ระหว่าง MFEC และคณะวิศวกรรมศาสตร์ สจล.

          บริษัท เอ็ม เอฟ อี ซี จำกัด (มหาชน) โดย คุณอาร์ม ศิวะดิตถ์ ผู้อำนวยการฝ่ายธุรกิจที่ปรึกษาและพัฒนาผลิตภัณฑ์ และ คุณอุราภรณ์ เอียดการ ผู้อำนวยการฝ่ายทรัพยากรบุคคล ร่วมลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือทางวิชาการ (MOU) กับ คณะวิศวกรรมศาสตร์ สถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหารลาดกระบัง โดย รศ.ดร.คมสัน มาลีสี คณบดี และ อาจารย์ศิริพันธ์ มุรธาธัญลักษณ์ ประธานโครงการสหกิจศึกษา โดยมีวัตถุประสงค์พัฒนาวิชาการและบ่มเพาะธุรกิจซอฟต์แวร์เพื่อสร้างความพร้อมในการทำงานด้านเทคโนโลยีสารสนเทศให้แก่นักศึกษาคณะวิศวกรรมศาสตร์ สถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหารลาดกระบัง

ไอพีพีเอส แนะนำระบบอีเพย์เมนท์ในงาน e-Biz expo 2016

          นางเกศกัญญา ทวีวงศ์ ณ อยุธยา รองประธานบริหาร บริษัท ไอพีเพย์เมนท์ โซลูชั่น จำกัด (ที่ 2 จากซ้าย) ร่วมกับพนักงานบริษัทไอพี เพย์เมนท์ โซลูชั่น จำกัด หรือ IPPS ผู้ให้บริการอีวอลเล็ท PayforU และบัตรเติมเงินสด Pay4Cash ได้จัดกิจกรรมในงาน e-Biz expo 2016 งานจัดแสดงเทคโนโลยีด้านออนไลน์แบบครบวงจร โดยภายในบูธ PayforU ได้แนะนำสินค้าและการให้บริการในด้านการทำธุรกิจอีคอมเมิร์ช และตอบโจทย์ธุรกิจที่เปลี่ยนแปลงไป ให้สามารถตอบสนองความต้องการกับลูกค้าที่มีไลฟ์สไตล์ในการจับจ่ายซื้อสินค้าผ่านช่องทางการจ่ายเงินใหม่ ๆ ผ่านระบบอีเพย์เมนท์ ในการชำระค่าสินค้าออนไลน์ ณ ศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์

คณะผู้บริหาร ITE ตรวจสอบความก้าวหน้า โครงการชัยภูมิ วินด์ฟาร์ม

          นายยุทธชัย จรณะจิตต์ Group CEO กลุ่มบริษัทอิตัลไทย พร้อมด้วย นายสกล เหล่าสุวรรณ กรรมการผู้จัดการ นายณัษฐา ประโมจนีย์ และ นายเกษม มาไกรเลิศ รองกรรมการผู้จัดการ นายชาญชัย ยุทธณรงค์ ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ ฝ่ายธุรกิจพลังงาน และนายบดินทร์ เสนานนท์ ผู้จัดการโครงการ บริษัท อิตัลไทยวิศวกรรม จำกัด (ITALTHAI Engineering: ITE) ในฐานะผู้รับเหมางานก่อสร้างแบบเบ็ดเสร็จ (Turnkey) โรงไฟฟ้าพลังงานลมชัยภูมิ วินด์ฟาร์ม ของบมจ.เอ็กโก ขนาดกำลังการผลิต 80 เมกะวัตต์ เข้าเยี่ยมชมและตรวจสอบความก้าวหน้าโครงการ ซึ่งได้ติดตั้งกังหันลมขนาด 2.5 เมกะวัตต์ครบ 32 ต้นแล้ว ก่อนเริ่มเดินเครื่องเชิงพาณิชย์ ในเดือนธันวาคม 2559 ณ โรงไฟฟ้าพลังงานลมชัยภูมิ วินด์ฟาร์ม อ.ซับใหญ่ จ.ชัยภูมิ เมื่อเร็ว ๆ นี้

ซีเกทมอบเงินสนับสนุนโครงการสร้างฝายชะลอน้ำ ตามแนวพระราชดำริ ต่อเนื่องเป็นปีที่ 5

          เพียงฤทัย ศิวารัตน์ รองประธานฝ่ายปฏิบัติการโรงงานโคราช บริษัท ซีเกท เทคโนโลยี (ประเทศไทย) จำกัด (ขวา) มอบงบประมาณจำนวน 250,000 บาท เพื่อสนับสนุนการสร้างฝายชะลอน้ำ ตามแนวพระราชดำริ ประจำปี 2559 ใน โครงการฟื้นฟูป่าต้นน้ำเฉลิมพระเกียรติสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ แก่ พันโทสุพจน์ เจิมเกตุ ผู้บังคับกองพันทหารปืนใหญ่ต่อสู้อากาศยานที่ 2 (ซ้าย) ซึ่งซีเกทโคราชสนับสนุนโครงการสร้างฝายชะลอน้ำตามแนวพระราชดำริอย่างต่อเนื่องเป็นปีที่ 5 เพื่อถวายเป็นพระราชกุศลแด่สมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ เนื่องในโอกาสทรงเจริญพระชนมพรรษา

กรมโรงงานฯ รุกยกระดับโรงงานฟอกย้อม

          นายสมคิด วงศ์ไชยสุวรรณ รองอธิบดีกรมโรงงานอุตสาหกรรม เป็นประธานเปิดงาน สัมมนาให้ความรู้ด้านกฎหมายและการเตรียมความพร้อมในสถานการณ์ภัยแล้งของกลุ่มโรงงานฟอกย้อม พิมพ์ผ้า โดยมีเป้าหมายเพื่อลดปัญหามลพิษทางน้ำอันอาจเกิดจากโรงงานอุตสาหกรรม โดยกิจกรรมดังกล่าวจัดขึ้น ณ โรงแรมเซ็นทรัลเพลส จังหวัดสมุทรสาคร เมื่อเร็ว ๆ นี้

ฮีโน่มอเตอร์ ผู้นำอุตสาหกรรมยานยนต์ ผสานความร่วมมือทางวิชาการกับวิศวลาดกระบัง สจล.

          บริษัท ฮีโน่มอเตอร์ แมนูแฟคเจอริ่ง (ประเทศไทย) จำกัด โดย มร.คุนิฮารุ ซาซากิ ผู้ประสานงานอาวุโส และ คุณมนทิรา สุขุมานนท์ ผู้จัดการส่วนวางแผนงานทรัพยากรบุคคล ผสานความร่วมมือทางวิชาการกับ รศ.ดร.คมสัน มาลีสี คณบดีคณะวิศวกรรมศาสตร์ สถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหารลาดกระบัง (สจล.) โดยมี ผศ.ดร.เกียรติศักดิ์ รุ่นพระแสง รองคณบดีและฝ่ายกิจการนักศึกษา โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อเป็นการพัฒนาความก้าวหน้าของบุคคลากรและเทคโนโลยีของไทย ส่งเสริมทักษะประสบการณ์และความเป็นผู้นำของเยาวชนคนรุ่นใหม่ในโครงการฝึกงาน เสริมสร้างความสัมพันธ์อันดีระหว่างภาคอุตสาหกรรมกับภาคการศึกษาในการร่วมพัฒนาสังคมและเศรษฐกิจ

สจล. นำร่องจัดอบรมการใช้โปรแกรมแซสให้กับนักศึกษา ภาควิชาสถิติ คณะวิชาวิทยาศาสตร์ เพื่อเสริมทักษะการใช้โปรแกรม SAS รองรับโลกของบิ๊กดาต้า

          ผศ.ดร.มนัส ไพฑูรย์เจริญลาภ หัวหน้าภาควิชาสถิติ คณะวิทยาศาสตร์ สถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหารลาดกระบัง (คนกลาง) ให้เกียรติกล่าวต้อนรับทีมงาน บริษัท แซส ซอฟท์แวร์ (ไทยแลนด์) จำกัด ในโอกาสจัดอบรม Work Shop : Basic SAS, Programming and Statistics and Data Mining ให้กับนักศึกษาภาควิชาสถิติ คณะวิชาวิทยาศาสตร์ โดยมีจุดประสงค์เพื่อเพิ่มทักษะการเรียนรู้การใช้โปรแกรม SAS ก่อนจบการศึกษาและออกไปทำงานจริง รองรับความต้องการของตลาดในโลกของบิ๊กดาต้าซึ่งต้องอาศัยการวิเคราะห์ข้อมูลเชิงลึก โดยการอบรมได้รับความสนใจจากอาจารย์ และนักศึกษาภาควิชาสถิติ คณะวิทยาศาสตร์เข้าอบรมในแบบบรรยากาศเป็นกันเอง ณ คณะวิทยาศาสตร์ สถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหารลาดกระบัง

เอ็นฟอร์ซ ซีเคียว จับมือบลูโค้ท อัพเดทโซลูชั่นไอที ซีเคียวริตี้ใหม่

          บริษัท เอ็นฟอร์ซ ซีเคียว จำกัด ร่วมกับ บริษัท บลูโค้ท ซิสเต็มส์ จัดสัมมนาอัพเดทโซลูชั่น ๆ ของบลูโค้ทให้กับพาร์ทเนอร์ ซึ่งมีเนื้อหาเกี่ยวกับแนวโน้มเทคโนโลยีและภัยคุกคามใหม่ ๆ ที่มาแรง เพื่อให้รับมือทันต่อสถานการณ์ต่าง ๆ ที่เกิดขึ้น โดยภายในงานมีผู้บริหารจากทั้งสองบริษัทฯ เข้าร่วมคือ นางสาววิไลพร เตชวิสุทธิกุล ผู้จัดการดูแลลูกค้าและช่องทางการจัดจำหน่าย บริษัท บลูโค้ท ซิสเต็มส์ (ที่ 2 จากซ้าย) นายภาสกร คชพันธุ์สุนทร ผู้จัดการทั่วไป (ที่ 3 จากซ้าย) นางสาวแพรไพลิน เกิดผล ผู้จัดการฝ่ายดูแลลูกค้า (ขวาสุด) และ นายชนาธิป อิ่มทองคำ ผู้ช่วยผู้จัดการฝ่ายผลิตภัณฑ์ บริษัท เอ็นฟอร์ซ ซีเคียว จำกัด

กรมโรงงานฯ จัดสัมมนา “อุตสาหกรรมปลอดภัย ก้าวไกลและยั่งยืน”

          ดร.พสุ โลหารชุน อธิบดีกรมโรงงานอุตสาหกรรมและรองโฆษกกระทรวงอุตสาหกรรม (คนที่ 3 จากซ้าย) นายอนันต์ชัย อุทัยพัฒนาชีพ รองอธิบดีกรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน (คนที่ 4 จากซ้าย) และ นางสาวกฤตยาพร ทัพภะทัต รองผู้ว่าการการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (คนที่ 5 จากซ้าย) ร่วมเปิดงานสัมมนาวิชาการ “อุตสาหกรรมปลอดภัย ก้าวไกลและยั่งยืน” เพื่อให้ความรู้แก่ผู้ประกอบกิจการโรงงานด้านกฎหมายความปลอดภัยในการลดปัญหาอัคคีภัยในโรงงานและพัฒนาความปลอดภัยสู่อุตสาหกรรมอย่างยั่งยืน กิจกรรมดังกล่าวจัดขึ้น เมื่อเร็วๆ นี้ในงาน ASEAN Sustainable Energy Week 2016 ณ ศูนย์นิทรรศการและการประชุมไบเทค บางนา

ยิบอินซอย ผู้นำการผลักดันบุคคลากรสู่ ระบบคุณวุฒิวิชาชีพ สาขา ICT

          คุณเทียนชัย ลายเลิศ ประธานกรรมการ บริษัท ยิบอินซอย จำกัด ให้สัมภาษณ์พิเศษพร้อมถ่ายทำวีดิทัศน์กับสถาบันคุณวุฒิวิชาชีพ (องค์การมหาชน) ในฐานะองค์การภาคเอกชนที่มีประสบการณ์ มีความเชี่ยวชาญ และเป็นผู้นำในธุรกิจเทคโนโลยีสารสนเทศแห่งแรกที่ร่วมผลักดันบุคลากรเข้าสู่ระบบคุณวุฒิวิชาชีพ สาขา วิชาชีพเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร และดิจิตอลคอนเทนต์ (ICT) เพื่อนำเสนอมาตรฐานอาชีพและคุณวุฒิวิชาชีพ พร้อมกับเชิญชวนบุคลากรในสาขา ICT เข้าร่วมการประเมินสมรรถนะตนเองกับสถาบันคุณวุฒิวิชาชีพ การสัมภาษณ์พิเศษพร้อมถ่ายทำวีดิทัศน์ครั้งนี้จะถูกนำไปเผยแพร่ตามสื่อต่าง ๆ เพื่อเป็นประโยชน์ต่อสาธารณะชนต่อไป โดยถ่ายทำ ณ บริษัท ยิบอินซอย จำกัด ถนนมหาพฤฒาราม บางรัก 

เหมราชฯ ร่วมสนับสนุนงานพัฒนาไตรกีฬาประจำปี 2559

          คุณรุจิรพรรณ  จึงรุ่งเรืองกิจ (ที่ 4 จากขวา) รองประธานกรรมการพัฒนา กอล์ฟ คลับ แอนด์ รีสอร์ท และ คุณศิญาภัสร์ จันทไชยโรจน์ (ที่ 3 จากขวา) ผู้อำนวยการฝ่ายการตลาดและฝ่ายลูกค้าสัมพันธ์โครงการอสังหาริมทรัพย์ บริษัท เหมราชพัฒนาที่ดิน จำกัด (มหาชน) ร่วมสนับสนุนและให้การต้อนรับนักกีฬาไตรกีฬา ในงานแถลงข่าวการแข่งขันพัฒนาไตรกีฬา 2559 ครั้งที่ 2 ณ อาคารไทยซัมมิท ซึ่งการสนับสนุนการแข่งขันในครั้งนี้เน้นให้เห็นถึงนโยบายของบริษัทฯ ที่จะส่งเสริมกิจกรรมกีฬากลางแจ้ง การท่องเที่ยวเชิงนิเวศ และการมีสุขภาพร่างกายที่แข็งแรง

ITE ต้อนรับ EGCO เข้าตรวจสอบความก้าวหน้า โครงการชัยภูมิ วินด์ฟาร์ม

          นายชาญชัย ยุทธณรงค์ ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ ฝ่ายธุรกิจพลังงาน และ นายบดินทร์ เสนานนท์ ผู้จัดการโครงการ บริษัท อิตัลไทยวิศวกรรม จำกัด (ITALTHAI Engineering: ITE) ในฐานะผู้รับเหมางานก่อสร้าง โรงไฟฟ้าพลังงานลมชัยภูมิ วินด์ฟาร์ม (CWF) ซึ่งเป็นโรงไฟฟ้าขนาดกำลังการผลิต 80 MW ให้การต้อนรับ นายชนินทร์ เชาวน์นิรัติศัย กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ผลิตไฟฟ้า จำกัด (มหาชน) หรือ EGCO ในโอกาสเข้าเยี่ยมชมและตรวจสอบความก้าวหน้าโครงการ ก่อนเริ่มเดินเครื่องเชิงพาณิชย์ ในเดือนธันวาคม 2559

เหม่ยซูและดีแทค ร่วมเปิดตัว M3 note dtac edition

          นายคริส หวง ผู้อำนวยการ บริษัท เหม่ยซู เทคโนโลยี ประจำภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ และ นายอรรคพงศ์ ลินพิศาล ผู้อำนวยการอาวุโสสายงานบริหารอุปกรณ์สื่อสาร บริษัท โทเทิ่ล แอ็คเซ็ส คอมมูนิเคชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ ดีแทค ประกาศเปิดตัว Meizu M3 note dtac edition สมาร์ทโฟน 4G รุ่นใหม่ล่าสุด สู่ตลาดประเทศไทย โดยมีฟังก์ชั่นจัดเต็ม ในราคาสุดคุ้ม รองรับทุกเครือข่าย วางขายในรุ่น 32 GB สีเงิน และสีทอง ในราคาพิเศษเพียง 5,490 บาท (จากราคาปกติ 7,490 บาท) เมื่อซื้อพร้อมสมัครหรือมีแพ็กเกจมูลค่าตั้งแต่ 599 บาทขึ้นไป ไม่ต้องชำระค่าบริการล่วงหน้า พร้อมผ่อน 0% นานสูงสุด 20 เดือน รับประกัน 15 เดือนจากดีแทค เริ่มวางจำหน่ายในเดือนมิถุนายน ที่ดีแทคฮอลล์และศูนย์บริการดีแทคทั่วประเทศ

เต็ดตรา แพ้ค ร่วมสนับสนุนการจัดงาน THAIFEX 2016 มอบน้ำดื่มในกล่องบรรจุภัณฑ์เต็ดตรา พริสม่า® อะเซ็ปติค 330 พร้อมด้วยดรีมแค็ป™

          นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ (ซ้าย) รองนายกรัฐมนตรี ประธานในพิธีเปิดงานแสดงสินค้า THAIFEX–World of Food 2016 พร้อมด้วยคณะผู้จัดงาน ร่วมรับมอบน้ำดื่มในกล่องบรรจุภัณฑ์เต็ดตรา พริสม่า® อะเซ็ปติค 330 พร้อมด้วยดรีมแค็ป™ (Tetra Prisma® Aseptic 330 with DreamCap™) จำนวน 60,000 กล่อง สำหรับผู้เข้าชมงานภาคธุรกิจ จากเต็ดตรา แพ้ค (ประเทศไทย) จำกัด โดย นางสาวรัตนศิริ ติลกสกุลชัย (ขวา) ผู้อำนวยการฝ่ายการตลาด เพื่อตอกย้ำความเป็นผู้นำในอุตสาหกรรมแปรรูปและบรรจุภัณฑ์อาหารด้วยโซลูชั่นครบวงจรทั้งระบบหนึ่งเดียวในไทย ด้วยการนำเสนอบรรจุภัณฑ์กลุ่มนวัตกรรมก้าวหน้าที่ตอบสนองความต้องการของลูกค้าในวงการเครื่องดื่มและอาหาร รวมถึงผู้บริโภคใน ทั้งในด้านดีไซน์ที่เป็นเอกลักษณ์ ฟังก์ชันการใช้งานที่สะดวก และความเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม ผ่านแนวความคิด “THE DIFFERENCE” หรือ ความแตกต่างอย่างสร้างสรรค์ ภายในงาน THAIFEX–World of Food Asia 2016 ซึ่งจัดขึ้น ณ อิมแพค เมืองทองธานี เมื่อไม่นานมานี้

แคนนอน จัดงาน Canon EXPO 2016 ที่เซี่ยงไฮ้

          นายฟุจิโอะ มิทาไร (กลาง) ประธานกรรมการสูงสุด และประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท แคนนอน อิงค์ พร้อมด้วย นายฮิเดกิ โอซาวะ (ที่ 2 จากขวา) ประธาน บริษัท แคนนอน เอเชีย มาร์เก็ตติ้ง กรุ๊ป ร่วมกันเปิดงาน แคนนอน เอ็กซ์โป 2016 ภายใต้แนวคิด Unlimited Delight at Canon Expo 2016 โดยเป็นงานแสดงผลิตภัณฑ์ และนวัตกรรมแห่งอนาคตครั้งใหญ่ที่สุดของแคนนอน โดยจัดขึ้นเป็นประจำทุกๆ 5 ปีในทุกภูมิภาคสำคัญของโลกทั้งอเมริกา ยุโรป และเอเซีย  และล่าสุดจัดขึ้นที่ศูนย์การประชุมนานาชาติเซี่ยงไฮ้ สาธารณรัฐประชาชนจีน เมื่อเร็ว ๆ นี้

กฟผ. และจีอี ลงนามสัญญาบริการอะไหล่และซ่อมบำรุงระยะยาว

          นายโกวิท คันธาภัสระ (ซ้าย) ประธานและหัวหน้าเจ้าหน้าที่บริหาร จีอี ประเทศไทย ลาวและเมียนมา และ นายสุนชัย คำนูญเศรษฐ์ ผู้ว่าการการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) ในพิธีลงนามสัญญาเพื่อให้บริการอะไหล่และซ่อมบำรุงเครื่องกังหันก๊าซรุ่น 9F และอุปกรณ์ที่เกี่ยวข้องในโรงไฟฟ้าพลังงานความร้อนร่วมพระนครเหนือ  ชุดที่ 1 และโรงไฟฟ้าพลังงานความร้อนร่วมพระนครใต้ ชุดที่ 2 ของ กฟผ. เป็นระยะเวลา 6 ปี คิดเป็นมูลค่ากว่า 60 ล้านเหรียญสหรั

บิ๊กซีมอบรางวัลให้ 10 ผู้โชคดีที่คว้ารางวัลใหญ่ แพ็คเกจทัวร์ พร้อมชมฟุตบอล ยูโร 2016 รอบชิงชนะเลิศ ณ ประเทศฝรั่งเศส

          บิ๊กซี ซูเปอร์เซ็นเตอร์ จับมือแบรนด์สินค้าชั้นนำ ร่วมส่งความสุขแก่ลูกค้าทั่วประเทศ มอบรางวัลให้ 10 ผู้โชคดีที่คว้ารางวัลใหญ่ แพ็คเกจทัวร์ พร้อมชมฟุตบอล  ยูโร 2016 รอบชิงชนะเลิศ ณ ประเทศฝรั่งเศส (รางวัลละ 2 ที่นั่ง) จากแคมเปญ “ช้อปสนุกรับสงกรานต์ ลุ้นบินลัดฟ้าไปดูยูโร” รวมรางวัลมูลค่ากว่า 10 ล้านบาท โดยมี นางสาวชุติพร คงเจริญสุข ผู้อำนวยการวางแผนกิจกรรมโปรโมชั่นการตลาด บมจ.บิ๊กซี ซูเปอร์เซ็นเตอร์ และนายกวินทร์ ธรรมสัจจานันท์ ผู้รักษาประตูทีมชาติไทยร่วมเป็นผู้มอบรางวัลเมื่อเร็วๆนี้ สามารถพาติดตามกิจกรรมดีๆแบบนี้อีกมากมายได้ทาง www.BigC.co.th หรือ โทร.1756

ILINK จัดประชุมผู้ถือหุ้น ประจำปี 59

          สมบัติ อนันตรัมพร ประธานกรรมการและกรรมการผู้จัดการใหญ่ กลุ่มบริษัท อินเตอร์ลิ้งค์ คอมมิวนิเคชั่น จำกัด (มหาชน) เป็นประธานในการประชุมสามัญผู้ถือหุ้น ประจำปี 2559 โดยมี ปกรณ์ มาลากุล ณ อยุธยา ประธานกรรมการ บริษัท อินเตอร์ลิ้งค์ เทเลคอม จำกัด (มหาชน), ชูศักดิ์ ดิเรกวัฒนชัย กรรมการอิสระและประธานกรรมการตรวจสอบ, เสาวนีย์ กมลบุตร กรรมการอิสระและกรรมการตรวจสอบ พร้อมด้วยคณะกรรมการบริษัท ชลิดา อนันตรัมพร, ณัฐนัย อนันตรัมพร, ธัญญรัตน์ เทียมอุดมฤกษ์ เข้าร่วมประชุม ณ โรงแรมเจ้าพระยาปาร์ค รัชดา

ซัมมิท แคปปิตอล เปิดสาขาจังหวัดนครปฐมต่อยอดธุรกิจ

          นายวิชิต พยุหนาวีชัย (กลาง) ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ซัมมิท แคปปิตอล ลีสซิ่ง จำกัด เดินหน้าเปิดศูนย์บริการสินเชื่อเช่าซื้อรถจักรยานยนต์แห่งใหม่ ที่ ต.ห้วยจรเข้ อ.เมืองนครปฐม จ.นครปฐม หลังการสำรวจตลาดตั้งแต่เดือนพฤศจิกายน 2556 พบว่าเป็นแหล่งรวมสถาบันการเงินและมีโรงงานอุตสาหกรรมหลายแห่ง ทั้งยังมีพื้นที่เชื่อมต่อกับกรุงเทพมหานคร ทำให้มีการติดต่อธุรกิจการค้าอย่างต่อเนื่อง ซัมมิท แคปปิตอล ได้ทดลองเปิดให้บริการสินเชื่อเช่าซื้อรถมอเตอร์ไซค์ที่ จ.นครปฐม ตั้งแต่ต้นปี 2557 จนถึงปัจจุบัน พบว่ามียอดสินเชื่อรวม 74 ล้านบาท สูงเป็นอันดับที่ 4 ในเขตพื้นที่ภาคกลางด้านตะวันตกและตอนล่าง

กฟผ. เริ่มเดินเครื่องโรงไฟฟ้าพระนครเหนือ ชุดที่ 2 ที่ใช้เทคโนโลยีของจีอี

          การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) จัดพิธีเปิดโรงไฟฟ้า พระนครเหนือ ชุดที่ 2 (NBCC2) อย่างเป็นทางการ โดยโรงไฟฟ้าแห่งนี้ใช้เครื่องกังหันไอน้ำ เครื่องกำเนิดไฟฟ้า หม้อกำเนิดไอน้ำ (Heat Recovery Steam Generators: HRSG) และเครื่องควบแน่น (Condenser) ประสิทธิภาพสูงของจีอี เทคโนโลยีระบบผลิตไฟฟ้าพลังความร้อนร่วมของจีอีที่ติดตั้งที่ โรงไฟฟ้าแห่งนี้มีกำลังการผลิต 850 เมกะวัตต์ ซึ่งเพียงพอที่จะรองรับการใช้งานของครัวเรือนมากกว่า 2.8 ล้านครัวเรือน โครงการนี้ดำเนินงานโดยทีมงานประจำภูมิภาคของจีอี ซึ่งประจำการอยู่ที่กรุงกัวลาลัมเปอร์ ประเทศมาเลเซีย ที่สามารถส่งมอบเทคโนโลยีที่มีกำลังการผลิต 425 เมกะวัตต์ จำนวนสองชุดให้กับ โรงไฟฟ้าพระนครเหนือ ชุดที่ 2 ได้ก่อนกำหนดเวลาส่งมอบที่กำหนดไว้

 

          เทคโนโลยีของจีอี มีส่วนช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตกระแสไฟฟ้าระบบพลังความร้อนร่วมของโรงไฟฟ้า พระนครเหนือ ชุดที่ 2 โดยการนำก๊าซไอเสียจากเครื่องผลิตไฟฟ้าระบบกังหันก๊าซของโรงไฟฟ้านี้ มาแปลงเป็นไอน้ำ และนำไปใช้ในการขับเคลื่อนเครื่องผลิตไฟฟ้าระบบกังหันไอน้ำ (Steam Turbine-generators) ซึ่งทำให้โรงไฟฟ้าสามารถผลิตกระแสไฟฟ้าเพิ่มขึ้นโดยไม่ต้องใช้เชื้อเพลิงเพิ่ม การที่เทคโนโลยีพลังความร้อนร่วมช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการใช้เชื้อเพลิง ยังมีผลต่อเนื่องถึงการลดการเกิดก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ต่อเมกะวัตต์จากการผลิตกระแสไฟฟ้าอีกด้วย จึงช่วยลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมได้

 

          นายวอลเตอร์ แวน เวิร์ช ประธานและหัวหน้าเจ้าหน้าที่บริหารของจีอี อาเซียน กล่าวว่า "จีอีภูมิใจที่ได้มีส่วนร่วมในโรงไฟฟ้าพระนครเหนือ ชุดที่ 2 ซึ่งเป็นการยืนยันความมุ่งมั่นของเราที่จะนำเทคโนโลยีและโซลูชั่นด้านพลังงานที่ทันสมัยมาให้กับประเทศไทย เรารู้สึกเป็นเกียรติที่ได้ร่วมงานและเป็นพันธมิตรอันยาวนานกับ กฟผ. และจะยังคงเดินหน้าสานต่อความเป็นพันธมิตรที่ประสบความสำเร็จเช่นนี้ต่อไป เพื่อตอบสนองความต้องการด้านพลังงานของประเทศไทยให้ได้อย่างแท้จริง"

 

          จีอีร่วมมือกับ กฟผ. มานานกว่า 30 ปี และได้ตอบสนองความต้องการด้านสาธารณูปโภคด้านการผลิต กระแสไฟฟ้า ผ่านการจัดหาเครื่องกังหันก๊าซ อะไหล่ การให้บริการซ่อมแซม การอัพเกรดอุปกรณ์และเครื่องกำเนิดไฟฟ้าต่าง ๆ และบริการอื่น ๆ โดยเมื่อวันที่ 4 พฤษภาคม 2559 กลุ่มธุรกิจ จีอี พาวเวอร์ เซอร์วิส ได้ลงนามสัญญาระยะเวลา 6 ปีกับ กฟผ. เพื่อให้บริการอะไหล่และซ่อมบำรุงเครื่องกังหันก๊าซรุ่น 9F และอุปกรณ์ที่เกี่ยวข้อง ที่ติดตั้งอยู่ที่โรงไฟฟ้าพลังความร้อนร่วมพระนครเหนือ ชุดที่ 1 และโรงไฟฟ้า พลังความร้อนร่วมพระนครใต้ ชุดที่ 2

ฟูจิตสึ โชว์นวัตกรรมสนับสนุนสิ่งแวดล้อมอย่างยั่งยืน ภายใต้แนวคิด “The Power of ICT for Green Future”

          มร.อิจิ ฟูรูคาวา กรรมการผู้จัดการ บริษัท ฟูจิตสึ ซีสเต็ม บีสซีเนส (ประเทศไทย) จำกัด (ที่ 4 จากซ้าย) และ มร.ไซย่า ยามาซากิ Director, Corporate Environmental Strategy Unit บริษัท ฟูจิตสึ ลิมิเต็ด (ที่ 3 จากซ้าย) ร่วมเปิดบูธแสดง นวัตกรรมเพื่อสิ่งแวดล้อมภายใต้แนวคิด “The Power of ICT for Green Future” โซลูชั่นการจัดการสิ่งแวดล้อมเพื่อการพัฒนาที่ยั่งยืน ในงาน Eco-products International Fair 2016 International Conference มหกรรมแสดงนวัตกรรม สินค้าและบริการที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมนานาชาติ โดยนำเสนอ โซลูชั่นการจัดการพลังงานเพื่อสิ่งแวดล้อม(Environmental Dashboard Solution) ที่จะเข้ามาช่วยสนับสนุนและบริหารการจัดการสิ่งแวดล้อมอย่างยั่งยืน และจำลองห้องเรียนอัจฉริยะ Learning Repository ระบบการศึกษาแบบโต้ตอบระหว่างครูผู้สอนและนักเรียนทำได้ด้วยการใช้แพลตฟอร์มนวัตกรรมการเรียนรู้ผ่านแท็บเล็ตในชั้นเรียน ได้รับความสนใจจากนักเรียนอย่างมาก พร้อมกับนำเสนอผลิตภัณฑ์ประหยัดพลังงาน FDK  Primary Lithium Battery ถ่านชาร์จพร้อมใช้เพื่อสิ่งแวดล้อม ณ ศูนย์นิทรรศการและการประชุมไบเทคบางนา

ยิปรอคสนับสนุนงานประกาศผลรางวัล BCI Asia Awards 2016 ร่วมยกย่องนักออกแบบและผู้พัฒนาโครงการชั้นเลิศในเอเชีย

          บรรยายภาพ: ณัฐวุฒิ จิตติชัย (ที่ 1 จากขวา) ผู้จัดการงานขายโครงการ บริษัท ไทยผลิตภัณฑ์ยิบซั่ม จำกัด (มหาชน) ในฐานะผู้สนับสนุนการจัดงาน ถ่ายภาพเป็นที่ระลึกร่วมกับ แอนนา ครัปส์ (ที่ 2 จากขวา) Chief Human Resources Development Officer BCI Academy Director อัศวิน เลิศโสภา (ที่ 1 จากซ้าย) Country Manager of BCI Asia Construction Information Co Ltd. และผู้ที่ได้รับรางวัล มานิจ บรรจงธนกิจ (ที่ 2 จากซ้าย) ผู้อำนวยการอาวุโสฝ่ายพัฒนาธุรกิจ บริษัท เอสซี แอสเสท คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) ในงาน BCI Asia Awards 2016 ณ โรงแรมพูลแมน กรุงเทพฯ แกรนด์ สุขุมวิท

 

          บริษัท ไทยผลิตภัณฑ์ยิบซั่ม จำกัด (มหาชน) ผู้ผลิตนวัตกรรมยิปซัมคุณภาพสูงแบรนด์ ยิปรอค และผู้ให้บริการโซลูชั่นส์ระบบผนังและฝ้าครบวงจรมากว่า 45 ปี ร่วมเป็นผู้สนับสนุนการจัดงานประกาศผลรางวัล BCI Asia Awards 2016 ซึ่งนับเป็นการสนับสนุนงานนี้เป็นปีที่ 2 ติดต่อกัน โดยงาน BCI Asia Awards จัดขึ้นเพื่อแสดงให้เห็นถึงความก้าวหน้าของวงการสถาปัตยกรรมและก่อสร้าง ผ่านการยกย่องนักออกแบบและบริษัทผู้พัฒนาโครงการที่มีผลงานยอดเยี่ยมและส่งผลกระทบเชิงบวกต่อวงการก่อสร้างในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ โดยงานในปีนี้ได้รับเกียรติจากนักออกแบบชั้นนำและมืออาชีพด้านการก่อสร้างจากทั่วภูมิภาคเข้าร่วมงานอย่างคับคั่ง

 

          BCI Asia Awards จัดขึ้นเป็นประจำทุกปีใน 7 เมืองหลักทั่วภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ในรูปแบบของงานประกาศผลรางวัลระดับเอ็กซ์คลูซีฟซึ่งเชิญเฉพาะแขกผู้มีเกียรติและบุคคลสำคัญในวงการเท่านั้น และถือเป็นหนึ่งในกิจกรรมไฮไลท์ประจำปีของวงการก่อสร้างในระดับภูมิภาค นอกเหนือจากการประกาศผลรางวัลบริษัทผู้ออกแบบและผู้พัฒนาโครงการที่มีผลงานยอดเยี่ยมจำนวน 10 ราย (Top 10 Awards) ภายในงานยังมีการจัดแสดงบูทนวัตกรรมการก่อสร้างจากผู้ผลิตและผู้จัดจำหน่ายผลิตภัณฑ์ชั้นนำมากมาย งานนี้ยังเป็นเวทีสำคัญในการสร้างเครือข่ายทางธุรกิจในหมู่ผู้พัฒนาโครงการระดับสูง บริษัทนักออกแบบ วิศวกร ผู้ผลิตและผู้ให้บริการด้านการก่อสร้างจากทั่วเอเชีย โดยยิปรอคได้ร่วมจัดแสดงบูทเพื่อนำเสนอผลิตภัณฑ์ยิปซัมคุณภาพสูงและโซลูชั่นส์เพื่อการสร้างสรรค์ไลฟ์สไตล์แห่งการพักอาศัยแบบครบวงจร

 

          ผลิตภัณฑ์ใหม่ที่ยิปรอคภูมิใจนำเสนอในงานครั้งนี้ ได้แก่ ปูนยิปรอค แม็กเนติค (Gyproc® Magnetic Plaster) ปูนฉาบตกแต่งภายในสูตรพิเศษที่ทำให้ผนังทั่วไปสามารถยึดเกาะกับแถบแม่เหล็กได้ พร้อมคุณสมบัติการปกปิดรอยแตกร้าวได้เนียนสนิท แผ่นยิปซัม ยิปรอค ฮาบิโต้  (Gyproc® HabitoTM) ผนังยิปซัมบอร์ดที่ตอบสนองไลฟ์สไตล์ของผู้อยู่อาศัยได้อย่างสมบูรณ์แบบด้วย 3 คุณสมบัติเด่น ทั้งการป้องกันแรงกระแทกที่ดีเยี่ยม การป้องกันเสียงอย่างมีประสิทธิภาพ และการติดตั้งที่รวดเร็วคุ้มค่า และ แผ่นยิปซัม กลาสรอค เอช โอเชียน (Glasroc H Ocean) แผ่นยิปซัมสำหรับใช้ในพื้นที่เปียก ด้วยคุณสมบัติป้องกันความชื้นและเชื้อรามากกว่าแผ่นยิปซัมทั่วไป ผลิตภัณฑ์ใหม่ของยิปรอคทั้ง 3 ชนิดนี้สามารถตอบสนองความต้องการทั้งของผู้บริโภคและช่างก่อสร้างได้อย่างสมบูรณ์แบบ ซึ่งตอบโจทย์การทำงานของผู้ที่เข้าร่วมงาน BCI Awards ได้อย่างตรงจุด

มร.ริชาร์ด จูเชรี กรรมการผู้จัดการ บริษัท ไทยผลิตภัณฑ์ยิบซั่ม จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า “ยิปรอคคือแบรนด์ผู้ผลิตแผ่นยิปซัมและปูนปลาสเตอร์ชั้นนำในประเทศไทย ผลิตภัณฑ์ของเราได้รับความนิยมและแพร่หลายไปทั่วภูมิภาค ทั้งยังได้รับความเชื่อถือทั้งจากหุ้นส่วนและผู้บริโภคมาอย่างยาวนาน และด้วยเหตุผลดังกล่าว ผมจึงรู้สึกยินดีอย่างยิ่งที่ได้ร่วมสนับสนุนและทำงานร่วมกับงาน BCI Awards ในปีนี้ ซึ่งผมขอถือโอกาสนี้ขอบคุณงาน BCI Awards 2016 ที่ทำให้เราได้ร่วมเป็นส่วนหนึ่งของงานระดับภูมิภาคอีกครั้ง เพื่อมาร่วมเฉลิมฉลองอีกหนึ่งปีแห่งความสำเร็จและยกย่องผู้ปฏิบัติงานชั้นเลิศในอุตสาหกรรมการก่อสร้างของเรา เรายินดีที่ได้ร่วมเป็นพันธมิตรและนำเสนอผลิตภัณฑ์และโซลูชั่นส์ของยิปรอคแก่ผู้บริโภครายใหม่ผ่านช่องทางธุรกิจในงานครั้งสำคัญนี้” 

หากต้องการข้อมูลเพิ่มเติม กรุณาติดต่อ 02-640-8600 หรือเยี่ยมชมเว็บไซต์ได้ที่ http://www.gyproc.co.th/

สวทช. มอบต้นแบบรถยนต์ไฟฟ้าดัดแปลง แก่ กฟผ. เพื่อพัฒนาต่อยอดยานยนต์ประหยัดพลังงาน และเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม

          ดร.ทวีศักดิ์ กออนันตกูล ผู้อำนวยการสำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) ได้ส่งมอบต้นแบบรถยนต์ไฟฟ้า จากการดัดแปลงรถยนต์ใช้แล้ว จำนวน 1 คัน โดยมี นายสุนชัย คำนูณเศรษฐ์ ผู้ว่าการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) เป็นผู้รับมอบ เพื่อนำไปใช้งาน และจะเก็บผลทดสอบสำหรับนำไปปรับปรุงและพัฒนาเทคโนโลยียานยนต์ไฟฟ้าในอนาคต ย้ำความสำเร็จครั้งนี้จะช่วยกระตุ้นการใช้งานรถยนต์ไฟฟ้าที่ลดมลภาวะ และสร้างความเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมให้กับประเทศต่อไป

 

          ดร.ทวีศักดิ์ กออนันตกูล ผู้อำนวยการสำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) กล่าวว่า “ยานยนต์ไฟฟ้า เป็นหนึ่งในอุตสาหกรรมเป้าหมายของรัฐบาล โดยได้รับการบรรจุในอุตสาหกรรมเดิมที่มีศักยภาพ คือ กลุ่มอุตสาหกรรมยานยนต์สมัยใหม่ ซึ่งรัฐบาลมีนโยบายสนับสนุนให้ประเทศไทยเป็นศูนย์กลางการผลิตยานยนต์ไฟฟ้าในภูมิภาค โดยเมื่อปี พ.ศ.2553 การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย ได้มีแนวคิดริเริ่มในการพัฒนารถยนต์นั่งเป็นยานยนต์ไฟฟ้า ซึ่งขณะนั้นยานยนต์ไฟฟ้ายังไม่เป็นที่นิยมแพร่หลาย แต่ด้วยเล็งเห็นถึงบทบาทของเทคโนโลยียานยนต์ไฟฟ้าที่น่าจะก้าวเข้ามาในอนาคต จึงได้ร่วมสนับสนุนทุนวิจัยแก่ สวทช. และ สวทช. สมทบอีกส่วนหนึ่ง เพื่อดำเนินการวิจัยพัฒนาดัดแปลง และออกแบบชิ้นส่วนภายในรถยนต์จากเครื่องยนต์สันดาป เป็นรถยนต์ไฟฟ้า จำนวน 2 คัน”

 

          “สวทช. ได้ดำเนินการพัฒนาและดัดแปลงชิ้นส่วนสำคัญต่าง ๆ อาทิ มอเตอร์และไดร์ฟ การวางแบตเตอรี่พร้อมระบบระบายอากาศ ระบบบริหารจัดการแบตเตอรี่ Inverter การออกแบบอีซียู ระบบ Drive by Wire การดัดแปลงตัวถังและการจัดวางอุปกรณ์ และติดตั้งอุปกรณ์ติดตามเก็บข้อมูล จนกลายเป็นรถยนต์ไฟฟ้าที่สมบูรณ์แบบและสามารถใช้ในการขับเคลื่อนได้จริง รวมทั้งดำเนินการจดทะเบียนเป็นรถยนต์ไฟฟ้าเสร็จเรียบร้อยแล้ว ในวันนี้จึงได้ส่งมอบรถยนต์ไฟฟ้าดังกล่าวให้แก่ กฟผ. เพื่อนำไปใช้งาน และจะได้นำผลการทดสอบเก็บข้อมูลมาใช้ในการปรับปรุงและพัฒนาเทคโนโลยีในอนาคตต่อไป โดยผมเชื่อมั่นว่า ความสำเร็จจากความร่วมมือในครั้งนี้จะเป็นประโยชน์แก่ประเทศในการสร้างและแสดงให้เห็นถึงศักยภาพของนักวิจัยไทยที่มีต่ออุตสาหกรรมยานยนต์ไฟฟ้า ซึ่งจะกระตุ้นการใช้งานรถยนต์ไฟฟ้าที่ช่วยลดมลภาวะ และสร้างความเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมให้กับประเทศต่อไป”

 

          ด้าน นายสุนชัย คำนูณเศรษฐ์ ผู้ว่าการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) กล่าวว่า “กฟผ. ได้ร่วมกับ สวทช. พัฒนาต้นแบบรถยนต์ไฟฟ้าจากการดัดแปลงรถยนต์ใช้แล้ว ภายใต้ “โครงการร่วมสนับสนุนทุนวิจัยและพัฒนา กฟผ.-สวทช.” โดยออกแบบชิ้นส่วนหลักของรถยนต์ให้สามารถขับเคลื่อนด้วยไฟฟ้าจากพลังงานแบตเตอรี่ (Battery Electrical Vehicle: BEV) นับเป็นรถยนต์พลังงานทางเลือกที่ประหยัดพลังงาน และลดการเกิดก๊าซเรือนกระจก ซึ่งเป็นสาเหตุการเกิดภาวะโลกร้อน ตั้งแต่ปี 2553 ทั้งนี้ ต้นแบบรถยนต์ไฟฟ้าดัดแปลงคันดังกล่าว จะถูกดำเนินการทดสอบและเก็บข้อมูลการใช้งานจริงในเขตกรุงเทพมหานครและปริมณฑล เพื่อนำผลการทดสอบที่ได้มาต่อยอดในการพัฒนาและขยายผลรถยนต์ไฟฟ้าอื่น ๆ ต่อไป”

คณะวิศวลาดกระบัง สจล. ร่วมกับ สวทน. จัดค่ายเทคโนโลยีระบบราง

          คณะวิศวกรรมศาสตร์ หลักสูตรวิศวกรรมขนส่งทางราง สถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหารลาดกระบัง (สจล.) โดย รศ.ดร.คมสัน มาลีสี คณบดี และ ผศ.ดร.มนต์ศักดิ์ พิมสาร ประธานหลักสูตรวิศวกรรมขนส่งทางราง (Rail Transportation Engineering) ร่วมกับสำนักงานคณะกรรมการนโยบายวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีและนวัตกรรมแห่งชาติ (สวทน.) จัดค่ายเทคโนโลยีระบบราง 3d Interactive Rail Summer Camp 2016 เพื่อเสริมสร้างองค์ความรู้ด้านระบบรางซึ่งกำลังมีบทบาทในการขนส่งที่มีประสิทธิภาพและประหยัดพลังงานและพัฒนาเมืองที่ยั่งยืน ส่งเสริมความเป็นผู้นำในการบริหารบุคคลากรในทีม การวางแผนการเดินรถไฟอย่างมีประสิทธิภาพและปลอดภัย เสริมทักษะประสบการณ์แก่นักศึกษาหลักสูตรวิศวกรรมขนส่งทางรางกับเทคโนโลยีใหม่ ๆ อีกด้วย 

 

ดาคอนครบรอบ 20 ปี ตอกย้ำความสำเร็จ

          บริษัท ดาคอน อินสเป็คชั่น เซอร์วิสเซส จำกัด จัดงานฉลองครบรอบ 20 ปีในการดำเนินธุรกิจ ณ พื้นที่ลานกิจกรรมของบริษัท โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อตอกย้ำความสำเร็จในการเป็นผู้นำทางด้านการตรวจสอบทางวิศวกรรมแบบไม่ทำลาย อีกทั้งทางบริษัท ดาคอน ยังคงมุ่งมั่นในการพัฒนาธุรกิจอย่างต่อเนื่องเพื่อรองรับการขยายตัวและผลักดันองค์กรสู่ประชาคมอาเซียนและตลาดโลกในอนาคตต่อไป งานฉลองครบรอบ 20 ปีของบริษัท ดาคอน ได้เริ่มต้นจากการกล่าวเปิดงานอย่างเป็นทางการของ ของ มร.มาร์ติน สตูวิค ผู้อำนวยการบริหาร บริษัท ดาคอนฯ ซึ่งได้กล่าวถึงวิวัฒนาการของบริษัท ดาคอนจากอดีตจวบจนถึงปัจจุบัน จากนั้นคุณมัลลิกา แก่กล้า ประธานกรรมการฝ่ายบริหาร, มร.จาร์โน เดอจอง ผู้จัดการทั่วไป, คุณวีระพงษ์ จำปาแดง ผู้จัดการฝ่ายวางแผนปฏิบัติการ, คุณจรูญ สมอฝาก ผู้จัดการกลุ่มลูกค้าหลัก, คุณสุนันทา เมฆมนต์ ผู้บริหารฝ่ายการจัดการสำนักงาน และ มร.ทิมโมธี นีล ชอร์ ผู้บริหารฝ่ายการตลาด ร่วมกันเป่าเค้กเนื่องในวาระครบรอบ 20 ปีของบริษัท

สวทช. ก.วิทย์ หนุนนักวิจัยจัดประชุมทุนนักวิจัยแกนนำ และ NSTDA Chair Professor ประจำปี 2559

          ดร.ทวีศักดิ์ กออนันตกูล ผู้อำนวยการสำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) กล่าวว่า “สวทช. ได้จัดตั้ง "โครงการทุนนักวิจัยแกนนำ และ โครงการ NSTDA Chair Professor” ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2552 เป็นต้นมา สำหรับการจัดประชุมนักวิจัยแกนนำ และ โครงการ “NSTDA Chair Professor" ประจำปี 2559 : การพัฒนางานวิจัยคุณภาพสู่การพัฒนาประเทศ มีวัตถุประสงค์เพื่อเป็นเวทีแสดงความคิดเห็นเรื่องการพัฒนาระบบการสนับสนุนงานวิจัยโดยรวมของประเทศ เพื่อประโยชน์ต่อประชาคมวิจัย เปิดโอกาสให้นักวิจัยร่วมแสดงความคิดเห็น แลกเปลี่ยนประสบการณ์ และให้ข้อเสนอแนะในด้านต่าง ๆ ที่เป็นประโยชน์แก่การวิจัยและพัฒนา พร้อมทั้งทำให้เกิดการประสานเชื่อมโยงระหว่างกลุ่มนักวิจัย ปัจจุบันจะเห็นได้ว่าความต้องการด้านการวิจัย พัฒนา ออกแบบ และวิศวกรรมในประเทศไทยเพิ่มสูงขึ้นมาก ดังจะเห็นได้จากตัวเลขการลงทุนด้านการวิจัยที่ปรากฏออกมาเป็นค่าใช้จ่ายด้านวิจัยและพัฒนาเทียบกับผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศที่เพิ่มขึ้นในช่วงสี่ปีที่ผ่านมา จากค่าที่อยู่กับที่ประมาณ 0.22% ในช่วงสิบปีก่อน พ.ศ. 2555 ขึ้นมาเป็นประมาณ 0.47% ในปี พ.ศ. 2557

 

          นอกจากนี้ ในช่วงปี พ.ศ. 2558 ที่ผ่านมา รัฐบาลได้ประกาศนโยบายที่เปรียบเสมือนกลไกสนับสนุนการวิจัย พัฒนา และนวัตกรรม ทั้งในภาครัฐและเอกชน เช่น การเพิ่มการลดหย่อนภาษีแก่บริษัทที่ทำวิจัยจากเดิม 200% เป็น 300%  การประกาศบัญชีนวัตกรรม เพื่อสนับสนุนสินค้าที่คิดค้นและพัฒนาโดยคนไทยให้ขายกับภาครัฐด้วยวิธีกรณีพิเศษ การส่งเสริมผู้ประกอบการประเภท Tech Startup ไปจนถึงการเพิ่มแรงจูงใจในการลงทุนในอุตสาหกรรมที่ใช้ความรู้สูงขึ้น นอกจากกลไกที่กล่าวมาแล้ว ในส่วนของการวิจัยและพัฒนาจึงต้องให้ความสำคัญของการตั้งโจทย์วิจัยให้มีคุณภาพ ตอบโจทย์ความต้องการระดับประเทศ และตอบสนองผู้ใช้ ยิ่งไปกว่านั้นก็ต้องก้าวให้ทันกับเทคโนโลยีโลกที่รุดหน้าไปอย่างรวดเร็ว เพื่อเพิ่มขีดความสามารถทางการแข่งขันของประเทศอย่างมีประสิทธิภาพและประสิทธิผลต่อไป”

 

          ด้าน ศ.นพ.ประสิทธิ์ ผลิตผลการพิมพ์ เลขานุการโครงการนักวิจัยแกนนำ และ NSTDA Chair Professor กล่าวว่า โครงการ NSTDA Chair Professor เป็นความร่วมมือระหว่าง สวทช. และสำนักงานทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์ และในปี 2558 ที่ผ่านมา ได้ขยายความร่วมมือกับ บริษัท ปตท. (มหาชน) จำกัด จัดตั้งโครงการ PTT NSTDA Chair Professor ขึ้นอีกด้วย ซึ่ง สวทช. ได้ให้การสนับสนุนโครงการวิจัยไปแล้วทั้งสิ้น 18 โครงการ แบ่งเป็นทุนนักวิจัยแกนนำ จำนวน 13 โครงการ, NSTDA Chair Professor จำนวน 4 โครงการ และ PTT NSTDA Chair Professor จำนวน 1 โครงการ ผลของการดำเนินงานของโครงการแต่ละโครงการมีผลการดำเนินงานที่ดีเยี่ยม สามารถผลิตผลงานที่มีคุณภาพในระดับสูง ไม่ว่าจะเป็นผลิตภัณฑ์ต้นแบบ 101 ต้นแบบ ผลงานตีพิมพ์ในวารสารวิชาการระดับนานาชาติ 585 เรื่อง และอนุสิทธิบัตร 29 เรื่อง การผลิตบุคลากรในระดับ ปริญญาโท ปริญญาเอก และหลังปริญญาเอก รวม 404 คน อีกทั้งยังมีการนำผลงานวิจัยจำนวนหนึ่งได้นำไปเผยแพร่ใช้ประโยชน์เชิงสาธารณะแล้ว

แอลจี รวมพลังสร้างสรรค์รักษาความสะอาด ใส่ใจสิ่งแวดล้อม เนื่องในวัน World Environment Day รวมพลจิตอาสารักษาความสะอาดให้แก่มรดกโลกของไทย

          พนักงาน บริษัท แอลจีอีเลคทรอนิคส์ (ประเทศไทย) จำกัด ผู้นำทางด้านเทคโนโลยีมุ่งมั่นยกระดับคุณภาพชีวิตของผู้บริโภคด้วยนวัตกรรมสุดล้ำสมัย กว่า 40 คน ตอกย้ำความมุ่งมั่นในการสร้างสรรค์สังคมเพื่อชีวิตที่ดีกว่า เนื่องในโอกาส World Environment Day 2016 ภายใต้หัวข้อกิจกรรม “World Heritage Environmental Cleanup Campaign 2016” ณ อุทยานประวัติศาสตร์ศรีสัชนาลัยและอุทยานประวัติศาสตร์สุโขทัย จ.สุโขทัย โดยเหล่าพนักงานพร้อมใจกันทำความสะอาดและปรับภูมิทัศน์โดยรอบอุทยาน เพื่อรักษาความสวยงามอันล้ำค่าทางประวัติศาสตร์ไทย

 

          กิจกรรมดังกล่าวเป็นส่วนหนึ่งของความร่วมมือระหว่างแอลจีสำนักงานใหญ่กับโครงการสิ่งแวดล้อมแห่งสหประชาชาติ(United Nations Environment Programme) ในการรณรงค์สร้างการรับรู้และกระตุ้นให้เกิดการลงมือในการร่วมปกป้องสิ่งแวดล้อมโลกโดยกำหนดให้ทุกวันที่ 5 มิถุนายน เป็นวันอาสาสมัครประจำปีของแอลจีทั่วโลก ซึ่งแอลจีทั่วโลกได้มีการจัดกิจกรรมที่แสดงความรับผิดชอบด้านสิ่งแวดล้อมอย่างต่อเนื่องเป็นปีที่ 7 โดยในส่วนของแอลจี ประเทศไทย ได้ดำเนินกิจกรรมอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมในรูปแบบที่แตกต่างกันในทุกๆ ปีอย่างต่อเนื่อง

                            

          นางสาวปาริชาติ วุฒิสมบัติ ผู้จัดการฝ่ายสื่อสารองค์กร บริษัท แอลจี อีเลคทรอนิคส์ (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวว่า “แอลจีมีวิสัยทัศน์ในการพัฒนาเทคโนโลยีควบคู่กับการใส่ใจสิ่งแวดล้อมอย่างยั่งยืน เราจึงได้จัดโครงการนี้ขึ้นทุกปี เพื่อแสดงถึงความมุ่งมั่นของแบรนด์และพนักงานในการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม มรดกอันล้ำค่าที่เราทุกคนต้องทำนุบำรุงและรักษาไว้ให้ลูกหลานของเราสืบต่อไป โดยในปีนี้ แอลจี ประเทศไทย ได้พาผู้บริหารและพนักงานไปร่วมทำกิจกรรมที่อุทยานประวัติศาสตร์ศรีสัชนาลัยและอุทยานประวัติศาสตร์สุโขทัย เพื่อเปิดโอกาสให้พนักงานได้ร่วมลงมือฟื้นฟูรักษาสิ่งแวดล้อมด้วยตนเอง นอกจากนี้เรายังจัดให้มีการประกวดภาพถ่ายหัวข้อ ‘มรดกไทย มรดกโลก’เพื่อส่งเสริมการปลูกจิตสำนึกและสร้างความตระหนักในการมีส่วนร่วมอนุรักษ์มรดกไทยอีกด้วย”

 

          “นอกเหนือจากการแสดงเจตนารมณ์ในการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมแล้ว การจัดกิจกรรมเช่นนี้ขึ้นทุกปียังเป็นการกระชับความสัมพันธ์ที่ดีทั้งระหว่างพนักงานด้วยกันเองและระหว่างพนักงานกับผู้บริหาร รวมทั้งยังทำให้พนักงานเกิดความภาคภูมิใจที่ได้มีส่วนร่วมในการทำสิ่งดี ๆ กลับคืนสู่สังคมอีกด้วย นับเป็นอีกหนึ่งกิจกรรมเพื่อสังคมที่แอลจีภาคภูมิใจ” นายนิพนธ์ กล่าวปิดท้าย

นักศึกษาวิศวกรรมโยธา สจล. คว้า 2 รางวัล การแข่งขันสะพานเหล็กจำลอง ครั้งที่ 9 ที่ประเทศญี่ปุ่น

          นักศึกษาวิศวกรรมโยธา คณะวิศวกรรมศาสตร์ สถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหารลาดกระบัง คว้าสองรางวัล ได้แก่ รางวัลความสวยงาม และรางวัล presentation จากงาน ASIA BRICOM 2016 หรือ การแข่งขันสะพานเหล็กจำลอง ครั้งที่ 9 ณ โตเกียว ประเทศญี่ปุ่น จัดโดย สถาบันเทคโนโลยีโตเกียว (Tokyo institute of Technology) ประเทศญี่ปุ่น การแข่งขันสะพานเหล็กจำลองแห่งเอเชียนี้ เป็นการแข่งขันระดับนานาชาติ สืบเนื่องมาจากสถาบัน Tokyo institute of Technology ได้มีการริเริ่มจัดการแข่งขันสร้างสะพานจำลองแห่งประเทศญี่ปุ่น (BRICOM JAPAN) ขึ้น และต้องการเผยแพร่กิจกรรมการแข่งขันนี้ให้เป็นสากลในระดับภูมิภาคทวีปเอเชีย จึงได้จัดทำความร่วมมือกับประเทศไทย และไต้หวัน ในการจัดการแข่งขันสะพานเหล็กจำลองแห่งเอเชียขึ้นในระดับนานาชาติ นับตั้งแต่ปี พ.ศ.2549 โดยให้มีตัวแทนจากสถาบันการศึกษาในระดับปริญญาตรีทั่วทั้งภูมิภาคเอเชียที่มีการเรียนการสอนในสาขาวิศวกรรมโยธาเข้าร่วมการแข่งขัน โดยให้แต่ละสถาบันการศึกษาเวียนกันเป็นเจ้าภาพจัดการแข่งขัน

 

          วัตถุประสงค์ในการจัดการแข่งขันในครั้งนี้ เพื่อเปิดเวทีให้เยาวชนในภูมิภาคเอเชียมีความตื่นตัวในเทคโนโลยี และองค์ความรู้ด้านการออกแบบก่อสร้างสะพานเหล็กจำลอง แลกเปลี่ยนปะสบการณ์และเสริมสร้างความสัมพันธ์อันดีระหว่างเครือข่ายมหาวิทยาลัยและเยาวชนคนรุ่นใหม่

เอปสัน ร่วมโชว์นวัตกรรมเพื่อการศึกษาร่วมงาน Education ICT Forum 2016

          เอปสัน ร่วมขนทัพนวัตกรรมเพื่อการศึกษาไปจัดแสดงในงาน Education ICT Forum 2016  ที่กระทรวงไอซีที จับมือร่วมกับสมาคมอุตสาหกรรมเทคโนโลยีสารสนเทศไทย (ATCI) ภายใต้แนวคิด Digital Technology for 21st Century, The Future of Higher Education ซึ่งภายในงานเหล่าบุคลากรวงการการศึกษาได้เปิดประสบการณ์กับ 5 โซลูชั่นของเอปสัน ได้แก่ Interactive Projector Solution ที่อาจารย์สามารถสร้างสื่อการเรียนแบบอินเตอร์แอ็คทีฟด้วยโปรแกรมของเอปสัน และโปรแกรม Smart Notebook ที่มาพร้อมกับเอปสัน โปรเจ็คเตอร์ ต่อด้วยโซน Digital Document Solution ช่วยประหยัดเวลาของอาจารย์ในเรื่องการเตรียมเอกสารทดสอบการเรียนหรือการตรวจข้อสอบ (Pre และ Post Test) ผ่านเครื่องเอปสันสแกนเนอร์ ที่มาพร้อมซอฟต์แวร์ Optical Mark Recognition (OMR) สำหรับโซน Eco-Printing Room นำเสนอการพิมพ์หรือถ่ายเอกสารที่ได้คุณภาพการพิมพ์ที่ดีพร้อมต้นทุนการพิมพ์ที่คุ้มค่า นอกจากนั้นยังมี Photo Printing Solution รองรับหลักสูตรการเรียนการสอนที่มีความต้องการพิมพ์ภาพผลงานจำนวนมากในราคาสุดประหยัด ปิดท้ายด้วยโซน Innovation Device for Educations อุปกรณ์ที่จะมาช่วยให้การเรียนน่าสนุกและน่าสนใจมากขึ้น ผ่านแว่นตาอัจฉริยะแสดงผลเสมือนจริง โดยตลอดการจัดงานมีผู้ให้ความสนใจทดสอบสินค้าในแต่ละโซนของเอปสันเป็นอย่างมาก

 

PEA ENCOM จับมือ “จีโนลกรุ๊ป” ขยายตลาด ENCOM LED

          นายพัลลภ ภิญโญวิวัฒน์ รักษาการ กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท พีอีเอ เอ็นคอม อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด เป็นบริษัทในเครือแห่งแรกของ การไฟฟ้าส่วนภูมิภาค (กฟภ.) และ มร.เจ๊า จิง หยี่ ประธาน บริษัท จีโนล กรุ๊ป ซีที อิเล็คทริคฟิเคชั่น จำกัด ร่วมกันลงนามในสัญญาเพื่อส่งเสริมการจำหน่ายหลอด LED ยี่ห้อ ENCOM LED (เอ็นคอม แอลอีดี) ภายหลังจากที่จีโนลกรุ๊ปฯ ได้รับความไว้วางใจให้เป็นผู้ผลิตหลอดไฟ ENCOM LED เพื่อจัดจำหน่ายไปยังภูมิภาคต่าง ๆ ทั่วประเทศ โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อให้ประชาชนได้ใช้หลอดไฟ LED คุณภาพสูงในราคาเหมาะสม พร้อมการส่งเสริมความรู้ในการเลือกใช้หลอดไฟ LED ให้เหมาะกับประเภทการใช้งาน พิธีนี้จัดขึ้นท่ามกลางความยินดีของผู้บริหารทั้ง 2 ฝ่ายที่ร่วมเป็นสักขีพยาน ณ ห้องประชุมชั้น 4 อาคาร LED สำนักงานใหญ่ การไฟฟ้าส่วนภูมิภาค 

 

          นาย คมกฤช อภิธารานนท์ ผู้จัดการฝ่ายโครงการ บริษัท จีโนล กรุ๊ป ซีที อิเล็คทริคฟิเคชั่น จำกัด เปิดเผยว่า จีโนลกรุ๊ปฯ เป็นผู้ผลิตและจัดจำหน่ายผลิตภัณฑ์หลอด LED และอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ที่เกี่ยวกับระบบไฟฟ้าและแสงสว่างมานานกว่า15 ปี และเป็นที่รู้จักรับรู้ในฐานะผู้ผลิตผลิตภัณฑ์คุณภาพสูงด้วยเทคโนโลยี อันทันสมัย โดยมีแบรนด์ GINOLR ภายใต้สโลแกน Open Saving Time วางจำหน่ายในห้างสรรพสินค้า โมเดิร์นเทรดเพื่อบ้านและอาคาร รวมทั้งร้านวัสดุก่อสร้างชั้นนำทั่วประเทศ ความร่วมมือของทั้ง 2 หน่วยงานในครั้งนี้จะส่งผลให้เกิดความรู้ความเข้าใจที่ถูกต้องถึง ประโยชน์ของการใช้หลอด LED ในภาคครัวเรือนเพิ่มมากขึ้น โดยคาดว่าจะสามารถจำหน่ายหลอด ENCOM LED ได้มากกว่า 1 ล้านหลอดจากการจำหน่ายในปีแรก สำหรับผู้สนใจสามารถสอบถามรายละเอียดหรือศึกษาข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับบริษัท จีโนล กรุ๊ป ซีที อิเล็คทริคฟิเคชั่น จำกัด ได้ที่ www.ginolr.com หรือที่ฝ่ายข้อมูลการตลาด โทรศัพท์ 034-496-686 ทุกวันในเวลาทำการ

บีเอ็มดับเบิลยู กรุ๊ป ประเทศไทย เปิดตัวคลังอะไหล่แห่งใหม่บนถนนบางนา-ตราด มุ่งเสริมการบริการลูกค้าให้รวดเร็ว ครบครัน เต็มประสิทธิภาพ

          บีเอ็มดับเบิลยู กรุ๊ป ประเทศไทย นำโดย มร. แมทธิอัส พฟาลซ์ ประธาน (ขวาสุด) พร้อมด้วย มร.วูล์ฟแกง บาวแมนน์ รองประธานฝ่ายการจัดการโลจิสติกส์อะไหล่ บีเอ็มดับเบิลยู กรุ๊ป (ที่ 4 จากซ้าย) และ มร. ซีซาร์ บาดิลย่า ผู้อำนวยการฝ่ายบริการหลังการขาย บีเอ็มดับเบิลยู ประเทศไทย (ที่ 2 จากซ้าย) ร่วมเปิดตัวคลังอะไหล่แห่งใหม่ของบีเอ็มดับเบิลยู กรุ๊ป ประเทศไทย โดยมี คุณพรชัย ตระกูลวรานนท์ ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำกระทรวงอุตสาหกรรม (กลาง) และ คุณวิชัย จิราธิยุต ผู้อำนวยการสถาบันยานยนต์ (ซ้ายสุด) ให้เกียรติเข้าร่วมงาน ณ โครงการบางกอกฟรีเทรดโซน ถนนบางนา-ตราด กม.23

 

          บีเอ็มดับเบิลยู กรุ๊ป ประเทศไทย เปิดตัวคลังอะไหล่แห่งใหม่ใน โครงการบางกอกฟรีเทรดโซน  ถนนบางนา-ตราด กม. 23 อย่างเป็นทางการ ครอบคลุมพื้นที่กว่า 14,000 ตารางเมตร ด้วย เม็ดเงินลงทุนกว่า 220 ล้านบาท โดยได้รับเกียรติจาก นายพรชัย ตระกูลวรานนท์ ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำกระทรวงอุตสาหกรรม เป็นประธานในงาน พร้อมด้วยผู้บริหารระดับสูงจากบีเอ็มดับเบิลยู กรุ๊ป และพันธมิตรในภาคโลจิสติกส์ ร่วมฉลอง อีกหนึ่งความสำเร็จของการดำเนินธุรกิจในประเทศไทย ตอกย้ำความมุ่งมั่นของบีเอ็มดับเบิลยู กรุ๊ป ที่มีต่อประเทศไทยในฐานะที่เป็นหนึ่งในตลาดที่สำคัญ

 

          มร.วูล์ฟกัง เบาว์แมน รองประธานกรรมการบริหาร ฝ่ายการจัดการอะไหล่ โลจิสติกส์ จากสำนักงานใหญ่ของ บีเอ็มดับเบิลยู กรุ๊ป ในนครมิวนิค ประเทศเยอรมนี เผยว่า “ประเทศไทยมีบทบาทสำคัญในกลยุทธ์การทำตลาดของบีเอ็มดับเบิลยู ทั้งในระดับประเทศและระดับภูมิภาค การเปิดตัวคลังอะไหล่แห่งใหม่ของบีเอ็มดับเบิลยู กรุ๊ป ประเทศไทยนี้ จะมีบทบาทสำคัญในการช่วยเพิ่มศักยภาพและประสิทธิภาพในการให้บริการด้านโลจิสติกส์ พร้อมรองรับความต้องการด้านบริการของลูกค้าทั้งในรถยนต์บีเอ็มดับเบิลยู มินิ และบีเอ็มดับเบิลยู มอเตอร์ราดที่เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วและต่อเนื่อง”

 

          “ผมยินดีเป็นอย่างยิ่งที่ได้มีส่วนร่วมของการฉลองความสำเร็จของเราในครั้งนี้ ซึ่งนับเป็นอีกหนึ่งความสำเร็จของการดำเนินธุรกิจครบรอบ 100 ปีของบีเอ็มดับเบิลยู กรุ๊ป ทั่วโลก ด้วยแรงสนับสนุนที่ยอดเยี่ยม ทั้งในด้านความเชี่ยวชาญของการบริหารธุรกิจ ความสามารถของบุคลากรของพันธมิตร และความมุ่งมั่นของทีมงานของเรา ผมเชื่อมั่นว่าเราสามารถร่วมกันสร้างความเติบโตที่แข็งแกร่ง และนำไปสู่ความสำเร็จอย่างต่อเนื่องของบีเอ็มดับเบิลยู กรุ๊ป ประเทศไทย ในอนาคต”

 

          คลังอะไหล่แห่งใหม่ของบีเอ็มดับเบิลยู กรุ๊ป ประเทศไทย ครอบคลุมพื้นที่รวมกว่า 14,000 ตารางเมตร กว้างขวางกว่าคลังอะไหล่เดิมถึงเกือบ 3 เท่าตัว รองรับการจัดเก็บอะไหล่ถึง 40,000 รายการ และจัดเก็บชิ้นส่วนอะไหล่แบ่งตามโซน และแยกตามขนาดของอะไหล่ที่แตกต่างกัน นอกจากนี้ ด้วยการสนับสนุนจาก  คู่ค้าอย่างทีแอลเอ็ม ลอจิสติกส์ แมเนจเม้นท์ ยูเซ็น โลจิสติกส์ และ ดีเอชแอล ซัพพลายเชน คลังอะไหล่แห่งนี้จึงสามารถรองรับการส่งอะไหล่เพิ่มเติมได้กว่า 2,000 ไลน์ต่อวัน

 

          มร.แมทธิอัส พฟาลซ์ ประธาน บีเอ็มดับเบิลยู กรุ๊ป ประเทศไทย กล่าวเสริมอีกว่า “หนึ่งในองค์ประกอบที่สำคัญที่สุด และเป็นเบื้องหลังความสำเร็จของบีเอ็มดับเบิลยูในฐานะผู้นำด้านนวัตกรรมยานยนต์ระดับพรีเมี่ยม คือการมอบบริการด้วยมาตรฐานสูงสุดให้กับลูกค้า เราจึงเดินหน้ายกระดับการบริการอย่างต่อเนื่อง เพื่อความพึงพอใจของลูกค้าทุกท่าน การเปิดตัวคลังอะไหล่แห่งใหม่นี้สามารถร่นเวลาการจัดส่งชิ้นส่วนรถยนต์บีเอ็มดับเบิลยูและมินิได้อย่างมาก ทั้งยังยกระดับความยืดหยุ่นในการปฏิบัติงาน เพิ่มความคล่องตัวในการให้บริการ และเพิ่มความสะดวกสบายในการเข้ารับบริการของลูกค้า คลังอะไหล่แห่งนี้จะเสริมให้เราทำผลงานตามดัชนีความพึงพอใจของลูกค้า (Customer Satisfaction Index: CSI) ได้ดียิ่งขึ้น จึงถือเป็นการต่อยอดความสำเร็จของบีเอ็มดับเบิลยู กรุ๊ป ในประเทศไทยได้เป็นอย่างดี หลังจากที่สามารถทำยอดขายได้สูงเป็นประวัติการณ์ในปีที่ผ่านมา”

 

          นายพรชัย ตระกูลวรานนท์ ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำกระทรวงอุตสาหกรรม ได้ร่วมแสดงความยินดีและกล่าวถึงความสำเร็จในครั้งนี้ว่า “ตลอดระยะเวลาของการดำเนินธุรกิจในประเทศไทยที่ผ่านมา บีเอ็มดับเบิลยู กรุ๊ป ได้แสดงถึงความมุ่งมั่นด้านการลงทุนในประเทศไทยที่มีอย่างต่อเนื่อง  กระทรวงอุตสาหกรรมก็ได้ให้การสนับสนุนในหลากหลายด้าน ทั้งการขยายการดำเนินงาน และการแสวงหาโอกาสเพื่อพัฒนาธุรกิจ ความร่วมมือเหล่านี้เป็นเครื่องสะท้อนถึงความร่วมมือที่แน่นแฟ้นระหว่างประเทศไทยและบีเอ็มดับเบิลยู และการเปิดตัวคลังอะไหล่แห่งใหม่ในโอกาสนี้ ก็ถือเป็นอีกหนึ่งก้าวสำคัญของทั้งสองฝ่ายในการพัฒนาอุตสาหกรรมยานยนต์ไทยให้รุดหน้าบนเวทีโลก”

 

          ทั้งนี้ บริษัท ทีแอลเอ็ม ลอจิสติกส์ แมเนจเม้นท์, ยูเซ็น โลจิสติกส์ ประเทศไทย และดีเอชแอล ซัพพลายเชน ประเทศไทย ได้ร่วมมือกับบีเอ็มดับเบิลยู กรุ๊ป ประเทศไทย ในการพัฒนาขยายคลังอะไหล่แห่งใหม่ครั้งนี้ โดย ทีแอลเอ็ม ลอจิสติกส์ แมเนจเม้นท์ เป็นผู้สนับสนุนด้านการบริหารจัดการคลังสินค้าและการจัดเก็บผลิตภัณฑ์ ส่วนยูเซ็น โลจิสติกส์ ประเทศไทย สนับสนุนด้านการบริหารโลจิสติกส์ และระบบขนส่ง ในขณะที่ดีเอชแอล ซัพพลายเชน ประเทศไทยเป็นผู้ดูแลบริหารจัดการพื้นที่ในการขยายคลังอะไหล่

สศอ.เร่งแผนพัฒนาระบบไฟฟ้ารองรับ Super Cluster

          นายศิริรุจ จุลกะรัตน์ ผู้อำนวยการสำนักงานเศรษฐกิจอุตสาหกรรม (สศอ.) ในฐานะเลขานุการคณะอนุกรรมการคลัสเตอร์เครื่องใช้ไฟฟ้า อิเล็กทรอนิกส์ และอุปกรณ์โทรคมนาคม เปิดเผยว่า ขณะนี้คณะอนุกรรมการคลัสเตอร์เครื่องใช้ไฟฟ้าฯ โดย สำนักงานเศรษฐกิจอุตสาหกรรม (สศอ.) กรมโรงงานอุตสาหกรรม (กรอ.) สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (BOI) ได้ร่วมกับการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค (กฟภ.) จัดทำแผนพัฒนาระบบไฟฟ้าเชิงรุกเพื่อรองรับการขยายตัวการลงทุนของอุตสาหกรรมเครื่องใช้ไฟฟ้า อิเล็กทรอนิกส์และอุปกรณ์โทรคมนาคม และสร้างจุดแข็งให้กับประเทศไทยในการดึงการลงทุนจากต่างประเทศ

 ทั้งนี้ สศอ. ได้กำหนดกรอบรายชื่อโรงงานขนาดใหญ่ในพื้นที่เป้าหมายเรียบร้อยแล้วสำหรับใช้ในการสำรวจข้อมูลปัญหาระบบไฟฟ้าขัดข้องประมาณ 100 โรงงาน และจะเริ่มทำการสำรวจในช่วงเดือนมิถุนายน 2559 นี้ เพื่อเป็นข้อมูลให้ กฟภ.ใช้ในการจัดทำแผนพัฒนาระบบไฟฟ้าต่อไป  โดยคาดว่าจะสามารถจัดทำแผนพัฒนาระบบไฟฟ้าในพื้นที่เป้าหมายทั้ง 7 จังหวัดให้แล้วเสร็จภายในเดือนกรกฎาคม 2559 และในเบื้องต้น กฟภ. ได้ส่งทีมงานเข้าไปตรวจสอบระบบไฟฟ้าและให้คำแนะนำด้านคุณภาพไฟฟ้ากับโรงงานในพื้นที่เป้าหมายบ้างแล้ว

 

          นายศิริรุจ กล่าวว่าอุตสาหกรรมเครื่องใช้ไฟฟ้า อิเล็กทรอนิกส์ และอุปกรณ์โทรคมนาคมเป็นคลัสเตอร์เป้าหมายในระยะแรกและได้ถูกกำหนดให้เป็น Super Cluster เนื่องจากเป็นกิจการที่ใช้เทคโนโลยีขั้นสูง และเป็นอุตสาหกรรมแห่งอนาคต ซึ่งได้รับสิทธิประโยชน์การลงทุนสูงสุด โดยมีพื้นที่เป้าหมายครอบคลุม 7 จังหวัด ได้แก่ พระนครศรีอยุธยา ปทุมธานี ชลบุรี ระยอง ฉะเชิงเทรา ปราจีนบุรี นครราชสีมา

 

          ที่ผ่านมาการดำเนินนโยบายของคณะอนุกรรมการคลัสเตอร์เครื่องใช้ไฟฟ้า อิเล็กทรอนิกส์ และอุปกรณ์โทรคมนาคม ได้เร่งผลักดันมาตรการสนับสนุนการพัฒนาคลัสเตอร์ให้เกิดผลอย่างเป็นรูปธรรม โดยเฉพาะการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านระบบไฟฟ้า ซึ่งมีความสำคัญสำหรับอุตสาหกรรมเครื่องใช้ไฟฟ้า อิเล็กทรอนิกส์ และอุปกรณ์โทรคมนาคมที่มีความต้องการระบบไฟฟ้าที่มีความเสถียรอย่างมาก เนื่องจากกระบวนการผลิตอิเล็กทรอนิกส์ต้องมีการควบคุมปริมาณอนุภาคและสิ่งปนเปื้อนต่าง ๆ ไม่ให้เกินระดับที่กำหนดไว้ ทั้งยังรวมไปถึงการควบคุมปัจจัยเสริมต่าง ๆ ได้แก่ คุณลักษณะและความเร็วของลม อุณหภูมิ แรงดัน และระดับความชื้นสัมพัทธ์ด้วย คุณภาพการผลิตที่ต้องใช้เครื่องจักร High Precision มีระบบควบคุมการผลิตด้วยคอมพิวเตอร์

               

          ฉะนั้นการที่ไฟฟ้าตกหรือกระพริบเพียงเล็กน้อย ก็อาจจะส่งผลกระทบต่อกระบวนการผลิตโดยเฉพาะสินค้าที่อยู่ในขั้นตอนการผลิตอาจจะได้รับความเสียหายทั้งหมด และอาจต้องเริ่มการผลิตสินค้านั้นใหม่ทั้งล็อต และการเปิดเครื่องจักรใหม่อีกครั้งจะต้องใช้เวลา Setup Time ไม่น้อยกว่า 2-3 ชั่วโมงถึงจะสามารถเริ่มทำงานได้ เมื่อเป็นเช่นนี้ย่อมส่งผลกระทบต่อต้นทุนการผลิต และการส่งมอบสินค้าให้กับลูกค้าได้ ดังนั้นการจัดทำแผนพัฒนาระบบไฟฟ้าเพื่อรองรับการขยายตัวของอุตสาหกรรมดังกล่าวจึงมีความจำเป็นและมีความสำคัญเป็นอย่างมาก

โครงการส่วนขยายไบเทค ภาพรวมคืบหน้ากว่า 80% เพียบพร้อมด้วยระบบสาธารณูปโภคที่สมบูรณ์แบบตอบรับทุกความต้องการ

 

นางสาวปนิษฐา บุรี กรรมการผู้จัดการ ศูนย์นิทรรศการและการประชุมไบเทค

 

          นางสาวปนิษฐา บุรี กรรมการผู้จัดการ ศูนย์นิทรรศการและการประชุมไบเทค เปิดเผยถึงความคืบหน้าการก่อสร้างโครงการส่วนขยายไบเทค ประจำไตรมาสที่ 2 ของปี 2559 ว่า “ภาพรวมการก่อสร้างโครงการคืบหน้าไปแล้ว 80% โดยที่การก่อสร้างชั้นที่ 1 ซึ่งเป็นส่วนพื้นที่จัดแสดงสินค้าเสร็จไปแล้วกว่า 99% พื้นที่ชั้น 2 เสร็จไปแล้วกว่า 98% และกำลังดำเนินการก่อสร้างอย่างต่อเนื่องจนถึงชั้นที่ 3 เสร็จไปแล้วกว่า 60% ซึ่งในส่วนของพื้นที่โถงแสดงสินค้าและนิทรรศการใหม่ (อีเว้นท์ฮอลล์ 100) กำลังเริ่มดำเนินการติดตั้งโครงสร้างเหล็ก (Super Truss) ที่มีความแข็งแรงและทนทานต่อการรับน้ำหนัก มีความยาวเป็นพิเศษมากกว่า 108 เมตร และสูงถึง 25 เมตร โถงนิทรรศการแห่งนี้ยังมีพื้นที่ใช้สอยอเนกประสงค์ กว้างขวางสามารถจัดงานเพื่อตอบสนองความต้องการของผู้จัดงานได้หลายหลายรูปแบบ ในขณะที่โครงสร้างหลังคาเหล็กบริเวณอีเว้นท์ฮอลล์ 98 และ อีเว้นท์ฮอลล์ 99 กำลังดำเนินการติดตั้งเสร็จไปแล้วกว่า 45%

 

 

          สำหรับงานระบบสาธารณูปโภคได้ติดตั้งเสร็จสมบูรณ์ตามแผน โดยเริ่มจากห้องควบคุมระบบไฟฟ้าที่ ศูนย์นิทรรศการและการประชุมไบเทคใช้งบประมาณลงทุน 150 ล้านบาท ในการจัดทำสถานีไฟฟ้าย่อย ขนาด 40 เมกะวัตต์ ซึ่งมีขนาดแรงดันไฟฟ้าสูงกว่าเดิมมากถึง 115 กิโลโวลต์ โดยที่โครงการส่วนขยายไบเทคมีขนาดกำลังไฟฟ้าเพื่อให้บริการแก่ลูกค้าภายในศูนย์ 9,780 กิโลวัตต์ ส่งผลทำให้ระบบไฟฟ้าของไบเทคมีเสถียรภาพมากยิ่งขึ้น 

 

 

          นอกจากนี้ภายในอาคารยังได้ติดตั้งระบบไฟฟ้าสำรองฉุกเฉินเพื่อรองรับระบบ ความปลอดภัยที่สำคัญต่าง ๆ อาทิ ระบบแจ้งเหตุเพลิงไหม้  ระบบป้องกันอัคคีภัย  ระบบลิฟต์ดับเพลิง ระบบไฟฟ้าแสงสว่างทางหนีไฟ รวมถึงรองรับการใช้งานในส่วนพื้นที่จัดแสดงงานและบริเวณห้องประชุม พร้อมให้บริการระบบปรับอากาศและไฟฟ้าแสงสว่าง ในส่วนของระบบทำความเย็น เป็นระบบทำน้ำเย็นจากส่วนกลาง Central Chiller มีขนาดปริมาณการทำความเย็น 11,000 ตัน สามารถรองรับการจัดแสดงงานได้พร้อมกันทุกพื้นที่ในเวลาเดียวกัน

 

 

          โครงการส่วนขยายไบเทค ได้มุ่งเน้นความสำคัญกับการพัฒนาระบบสาธารณูปโภคให้มีประสิทธิภาพมากที่สุด เพื่อรองรับการขยายตัวของธุรกิจการจัดแสดงสินค้าและการประชุม รวมถึงการสร้างประสบการณ์ใหม่ ๆ ให้กับลูกค้าทุกกลุ่มทั้งผู้จัดงาน ผู้แสดงงาน และผู้เข้าชมงาน ได้เข้ามาใช้บริการภายในไบเทคให้เป็นไปอย่างราบรื่น

 

มจธ. ขอเชิญผู้สนในร่วมโครงการอบรม Mini Food Engineering Program หลักสูตรความรู้เบื้องต้นวิศวกรรมอาหาร สำหรับบุคคลทั่วไป

          มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรี (มจธ.) ภาควิชาวิศวกรรมอาหาร คณะวิศวกรรมศาสตร์ จัดโครงการอบรม Mini Food Engineering Program หลักสูตร 60 ชั่วโมง ระหว่างวันที่ 20 สิงหาคม-22 ตุลาคม 2559 (เฉพาะวันเสาร์) เวลา 09.00-16.00 น. ณ คณะวิศวกรรมศาสตร์ มจธ. โดยวิทยากรผู้เชี่ยวชาญในแต่ละสาขาวิชาของมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรี เพื่อให้ความรู้เบื้องต้นที่เกี่ยวข้องกับวิศวกรรมอาหารให้กับผู้ที่ไม่ได้สำเร็จการศึกษาด้านดังกล่าว รับชมการสาธิตกระบวนการและการใช้เครื่องมือ อุปกรณ์ต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องกับหัวข้อการบรรยาย ผู้เข้ารับการอบรมจะได้รับประกาศนียบัตรจากภาควิชา เปิดรับสมัครได้ตั้งแต่วันนี้จนถึงวันที่ 30 กรกฎาคม 2559 ค่าลงทะเบียน 30,000 บาท (เอกสาร อาหารว่างเช้า-บ่าย และอาหารกลางวัน)สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ ธุรการภาควิชาวิศวกรรมอาหาร คณะวิศวกรรมศาสตร์ มจธ. 126 ถนนประชาอุทิศ แขวงบางมด เขตทุ่งครุ กรุงเทพฯ โทรศัพท์ 0-2470-9244 โทรสาร 0-2470-9240 (วันและเวลาราชการ) หรือดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ http://www.kmutt.ac.th/foodeng/index.php/news/32

ยิบอินซอย หนุนพัฒนาคุณภาพชีวิตผู้พิการ

          นางนวลพรรณ ล่ำซำ ประธานคณะอนุกรรมการส่งเสริมอาชีพคนพิการ คณะกรรมการพัฒนาสังคม หอการค้าไทย พร้อมด้วยนางมรกต ยิบอินซอย กรรมการผู้จัดการใหญ่ และประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ยิบอินซอย จำกัด ในฐานะกรรมการคณะอนุกรรมการส่งเสริมอาชีพคนพิการ  ร่วมงานสัมมนา มิติใหม่ของภาคธุรกิจกับการจ้างงานคนพิการในสถานประกอบการ ปี 2559 ซึ่งจัดขึ้นโดยกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ ร่วมกับหอการค้าไทย งานสัมมนานี้มีวัตถุประสงค์เพื่อสร้างความรู้ความเข้าใจ พร้อมแลกเปลี่ยนแนวทางการดำเนินกิจกรรม ที่สอดคล้องกับแนวทางภาครัฐ เพื่อส่งเสริมอาชีพให้ผู้พิการไทย ได้มีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น ทั้งนี้บริษัท ยิบอินซอย จำกัด ผู้ดำเนินธุรกิจอย่างมีประสิทธิภาพมานานกว่า 90 ปี ได้ให้การสนับสนุนการพัฒนาคุณภาพชีวิตและจ้างงานแก่ผู้พิการมาอย่างต่อเนื่อง  การร่วมงานสัมมนาครั้งนี้จึงเป็นเสมือนการตอกย้ำแนวทางในการดำเนินธุรกิจที่ถูกวางไว้อย่างเหมาะสมนับตั้งแต่เริ่มก่อตั้งบริษัท งานสัมมนาจัดขึ้น ณ ห้องปริ๊นส์บอลรูม 3 โรงแรมปริ๊นพาเลส มหานาค กรุงเทพฯ

               

          ทั้งนี้การจัดงานสัมมนามิติใหม่ของภาคธุรกิจกับการจ้างงานคนพิการในสถานประกอบการ ปี 2559 นับเป็นการสร้างความตระหนักให้แก่ภาคส่วนต่าง ๆ ให้เห็นถึงความสำคัญของการช่วยเหลือคนพิการ ด้วยการสนับสนุนด้านอาชีพ ซึ่งนับเป็นการพัฒนาคุณภาพชีวิตให้แก่ผู้พิการได้อย่างดีที่สุด โดยหน่วยงานต่าง ๆ ทั้งภาครัฐและเอกชน จำต้องปฏิบัติตามกฎหมายการจ้างงานผู้พิการ และสามารถทำได้ทั้งในรูปแบบการจ้างงานในองค์กร การส่งเงินเข้ากองทุนฯ และการให้ความช่วยเหลืออื่นใดแก่คนพิการ ซึ่งได้รับการเลือกนำไปปฏิบัติมากขึ้นในปัจจุบัน เนื่องจากเป็นสิ่งที่จะสามารถเข้าถึงและให้ความช่วยเหลือผู้คนพิการได้โดยตรง

ไอพีพีเอสหนุนภาครัฐใช้ไอทีเต็มรูปแบบเผยทิศทางตลาดอีเพย์เมนต์เติบโตสูงขึ้น

          ดร.กนกวรรณ ว่องวัฒนะสิน ประธานกรรมการบริหาร บริษัท ไอพี เพย์เมนท์ โซลูชั่น จำกัด หรือ IPPS เปิดเผยว่า จากการที่ภาครัฐสนับสนุนในการพัฒนามาตรฐานสมรรถนะสำหรับผู้ใช้ไอที (Digital Literacy) เพื่อพัฒนาศักยภาพของกำลังคนในการรองรับเศรษฐกิจดิจิทัลนั้น คาดว่าจะทำให้ตลาดอีเพย์เมนต์เติบโตสูงขึ้น โดยไอพีพีเอสจะเน้นการทำตลาดไปที่โมบายเพย์เมนต์แอพพลิเคชัน ที่จะนำไปสู่กลุ่มการตลาดที่กว้างขึ้น ซึ่งประเทศไทยมีโครงสร้างพื้นฐานทางด้านเครือข่ายโทรศัพท์มือถือที่พร้อมอยู่แล้ว โดยเฉพาะการมาของ 4G จะช่วยให้ผู้ใช้งานสามารถเข้าถึงแอพพลิเคชันต่าง ๆ ได้ง่ายและรวดเร็วมากขึ้น ซึ่งจะทำให้ลูกค้าสามารถใช้ช่องทางดิจิตอลในการชำระเงินได้ง่ายขึ้น โดยปัจจุบันคนไทยนิยมใช้การชำระเงินผ่านอินเทอร์เน็ตแบงก์กิ้งเป็นอันดับ 1 รองลงมา เป็นบัตรเครดิต และโมบายล์เพย์เมนต์ ตามลำดับ ส่วนในอนาคตคาดว่าการใช้งานโมบายล์เพย์เมนต์จะได้รับความนิยมเพิ่มมากขึ้นเรื่อย ๆ โดยเฉพาะจากการที่มีการเปิดเสรีอาเซียนในปีนี้ ทำให้ตลาดแรงงานต่าง ๆ เพิ่มมากขึ้น ทั้งแรงงานกัมพูชา เมียนมาร์ ลาว และเวียดนาม ที่เข้ามาอาศัยอยู่ในเมืองไทย ทำให้รูปแบบของการโอนเงินระหว่างประเทศในรูปแบบอีเพย์เมนต์เป็นทางเลือกใหม่ ที่เหมาะสำหรับแรงงานที่ไม่มีบัญชีเงินฝากในประเทศไทย รวมไปถึงกลุ่มนักท่องเที่ยวที่มาเที่ยวในไทยด้วย

               

          ขณะนี้ไอพีพีเอส มีการลงทุนวางระบบโครงสร้างพื้นฐานไปแล้วประมาณ 200 ล้านบาท และเตรียมใช้เงินลงทุนอีกประมาณ 100 ล้านบาท ในช่วง 2 ปีนับจากนี้ ในการเพิ่มประสิทธิภาพของฮาร์ดแวร์และซอฟต์แวร์ รวมไปถึงการวางระบบรักษาความปลอดภัยข้อมูลของผู้ใช้งาน โดยตั้งเป้าหมายจะมีลูกค้าเพิ่มมากกว่า 100 เปอร์เซ็นต์ หรือประมาณ 2 ล้านราย และสร้างรายได้ประมาณ 350-450 ล้านบาท และคาดว่าจะมียอดการใช้บริการผ่านกระเป๋าเงินอิเล็กทรอนิกส์ ประมาณ 100,000-200,000 ครั้งต่อวัน และมีลูกค้าใช้บริการประมาณ 1 ล้านราย ผ่านธุรกรรมทางการเงินในรูปแบบต่าง ๆ เช่น การเติมเงินผ่านตู้เติมเงินโทรศัพท์มือถือ, ATM, ธนาคาร, เคาน์เตอร์เซอร์วิส, บิ๊กซี, เทสโก้โลตัส เป็นต้น 

               

          “ปัจจุบันมีโอเปอเรเตอร์ให้บริการกระเป๋าเงินอิเล็กทรอนิกส์เป็นจำนวนมาก สำหรับกลยุทธ์ของไอพีพีเอส นั้นจะเข้าไปเจาะช่องทางที่คู่แข่งยังไม่ได้ไป โดยจะชูจุดเด่นตรงที่สามารถเติมเงินได้หลากหลายช่องทางกว่า เติมเงินขั้นต่ำได้ต่ำกว่า ที่สำคัญคือ ไอพีพีเอสเป็นผู้ให้บริการด้านนี้โดยตรง เป็นกลาง ทุกบริษัทสามารถเข้ามาใช้ระบบของไอพีพีเอสได้ และเป็นพันธมิตรได้กับผู้ประกอบการทุกราย โดยการแข่งขันทางตลาดของธุรกิจนี้ มีการแข่งขันกันค่อนข้างรุนแรง แต่จะไม่แข่งขันกันทางด้านค่าธรรมเนียม แต่จะอยู่ที่การแข่งขันกันทางด้านโปรโมชั่นมากกว่า” ดร.กนกวรรณ กล่าวทิ้งท้าย

อีริค อีเดลแมน ได้รับการแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งประธาน บริษัท เฮงเค็ล ประเทศไทย

          อีริค อีเดลแมน ได้รับการแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งประธานของ บริษัท เฮงเค็ล (ประเทศไทย) จำกัด ตั้งแต่เดือนพฤษภาคม พ.ศ.2559 ภายใต้ตำแหน่งนี้ อีริคจะเป็นตัวแทนตามกฎหมาย ตลอดจนเป็นผู้แถลงถึงการดำเนินงานของกิจการต่าง ๆ ในเครือเฮงเค็ล ประเทศไทย อีริคประจำอยู่ที่สำนักงานใหญ่ของเฮงเค็ล ประเทศไทย ในกรุงเทพฯ ตั้งแต่เดือนมีนาคม พ.ศ.2557 นอกเหนือจากตำแหน่งประธานประจำประเทศไทย อีริคยังดำรงตำแหน่งผู้จัดการธุรกิจเทคโนโลยีกาว ในประเทศไทย และรับผิดชอบงานเพื่อการดำเนินงานอย่างราบรื่นของ 5 หน่วยธุรกิจกลยุทธ์ อีริคยังดำรงตำแหน่งผู้จัดการหน่วยธุรกิจกลยุทธ์อุตสาหกรรมทั่วไป ซึ่งอยู่ภายใต้ธุรกิจเทคโนโลยีกาวในประเทศไทย

 

          ก่อนหน้านั้น อีริคประจำอยู่ที่สำนักงานใหญ่ของเฮงเค็ล เอเชีย-แปซิฟิก ในเซียงไฮ้ ระหว่างปี พ.ศ.2553-2556 ระหว่างนั้น อีริคดำรงตำแหน่งผู้จัดการพัฒนาตลาดระดับโลกและผู้จัดการตลาดเอเชีย-แปซิฟิก ในหน่วยธุรกิจกลยุทธ์อุตสาหกรรมทั่วไป ของธุรกิจเทคโนโลยีกาว

 

          อีริคมีประสบการณ์ความชำนาญในภาคการผลิต ตลอดจนตลาดการบำรุงรักษาอุตสาหกรรมในยุโรปและเอเชีย เขาเริ่มต้นชีวิตการทำงานในปีพ.ศ. 2547 ในตำแหน่งวิศวกรประจำโครงการอยู่ที่สำนักงานใหญ่ของเฮงเค็ลในเมืองดุสเซลดอล์ฟของเยอรมนี หลังจากนั้นอีริคเข้าร่วมในทีมบริหารผลิตภัณฑ์กาวอุตสาหกรรมยุโรป ก่อนที่จะไปทำงานยังต่างประเทศที่เซี่ยงไฮ้

 

          อีริคสำเร็จการศึกษาระดับปริญญาโทด้านวิศวกรรมเคมี จากมหาวิทยาลัยเอฟเอยู (FAU University Erlangen-Nürnberg) ในเยอรมนี

 

          “เฮงเค็ล ประเทศไทย มีบทบาทสำคัญในฐานะเป็นศูนย์กลางของภูมิภาค ในด้านการพัฒนาธุรกิจ การผลิต และการสนับสนุนการใช้งานผลิตภัณฑ์ ผมรู้สึกเป็นเกียรติที่ได้นำทีมที่ประสบความสำเร็จของเรา และรู้สึกตื่นเต้นที่จะได้เสริมสร้างความแข็งแกร่งให้กับความสามารถของเราต่อไปในอนาคต การทำงานร่วมกับลูกค้าและพาร์ทเนอร์ของเราในห่วงโซ่คุณค่า เราตั้งเป้าที่จะสร้างเกณฑ์มาตรฐานให้แก่ความยอดเยี่ยมของธุรกิจ นวัตกรรม และความยั่งยืน” อีริค กล่าว

 

          เฮงเค็ลดำเนินธุรกิจในประเทศไทย มาตั้งแต่ปี พ.ศ.2515 นับเป็นเวลากว่า 44 ปี ด้วยพนักงานกว่า 600 คน เฮงเค็ลประเทศไทยเปิดสำนักงานใหญ่ 1 แห่งในกรุงเทพฯ โรงงานกาว 2 แห่ง ศูนย์ฝึกอบรมให้ความรู้และให้บริการบำรุงรักษา ซ่อมแซม อุปกรณ์เครื่องจักรในงานอุตสาหกรรม สำหรับภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ 1 แห่ง โรงงานผลิตภัณฑ์ความงามสำหรับผลิตผลิตภัณฑ์เปลี่ยนสีผม 1 แห่ง และสถาบันดูแลเส้นผมระดับมืออาชีพ ชวาร์สคอฟ อาสค์ อคาเดมี สำหรับฝึกอบรมช่างทำผม 1 แห่ง

 

ยิปรอค แต่งตั้ง สหัทยา ทองปรีชา ดำรงตำแหน่งผู้อำนวยการฝ่ายการตลาด

         บริษัท ไทยผลิตภัณฑ์ยิบซั่ม จำกัด (มหาชน) ผู้ผลิตนวัตกรรมยิปซัมคุณภาพสูงภายใต้แบรนด์ “ยิปรอค” และผู้ให้บริการโซลูชั่นส์ระบบผนังและฝ้าครบวงจรมากว่า 45 ปี ประกาศแต่งตั้ง คุณสหัทยา ทองปรีชา ขึ้นดำรงตำแหน่งผู้อำนวยการฝ่ายการตลาด โดยคุณสหัทยามีประสบการณ์มากกว่า 20 ปีในการบริหารงานฝ่ายขายและการตลาดของบริษัทระดับสากล ซึ่งรวมถึงบริษัทในธุรกิจด้านการศึกษา ไปจนถึงผลิตภัณฑ์ไลฟ์สไตล์และวัสดุก่อสร้างชั้นนำหลายแห่ง ทำให้คุณสหัทยามีความรู้ความเชี่ยวชาญในงานของฝ่ายการตลาดเป็นอย่างดี โดยเฉพาะด้านการวิเคราะห์ธุรกิจ การวางแผนเชิงกลยุทธ์ กลยุทธ์และแผนงานการตลาด ตลอดจนการจัดการการตลาดระหว่างประเทศ

 

          มร.ริชาร์ด จูเชรี กรรมการผู้จัดการ บริษัท ไทยผลิตภัณฑ์ยิบซั่ม จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า “เรารู้สึกยินดีเป็นอย่างยิ่งที่ได้ต้อนรับคุณสหัทยาเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งในทีมผู้บริหารของยิปรอค ด้วยประสบการณ์การทำงานอันยาวนานในฝ่ายขายและการตลาด ทำให้เราเชื่อมั่นว่าคุณสหัทยาจะเป็นอีกหนึ่งกำลังสำคัญในการพัฒนาธุรกิจและเสริมสร้างความเติบโตให้แก่บริษัทของเราต่อไป ซึ่งในการสรรหาบุคลากรระดับคุณภาพเช่นนี้ เราต้องขอแสดงความชื่นชมต่อฝ่ายสรรหาบุคลากรและฝ่ายทรัพยากรบุคคลของเรา ซึ่งปฏิบัติงานได้อย่างยอดเยี่ยมจนได้รับรางวัล Top Employer Asia-Pacific 2016 (บริษัทผู้ว่าจ้างยอดเยี่ยมแห่งเอเชียแปซิฟิกประจำปี 2016) ไปเมื่อเร็ว ๆ นี้”

 

          สำหรับประสบการณ์การทำงานในอดีต คุณสหัทยาเคยดำรงตำแหน่งผู้จัดการแผนกการพัฒนากลยุทธ์ธุรกิจ บริษัท คอนวูด จำกัด (หนึ่งในกลุ่มบริษัทปูนซีเมนต์ นครหลวง จำกัด (มหาชน) มีผลงานที่โดดเด่นคือการพัฒนาและปฏิบัติงานตามแผนธุรกิจและกลยุทธ์การตลาดจนประสบผลสำเร็จ รวมถึงบริหารการสื่อสารการตลาดอย่างมีประสิทธิภาพ และการนำเสนอสินค้าสู่ตลาดใหม่ทั้งภายในและต่างประเทศ

 

          ในฐานะผู้อำนวยการฝ่ายการตลาดของยิปรอค คุณสหัทยามีหน้าที่กำหนดทิศทางการตลาดเชิงกลยุทธ์โดยรวมของแบรนด์เพื่อการสร้างผลกำไรและการเติบโตของแบรนด์ รวมถึงการนำทีมงานฝ่ายการตลาดในการปฏิบัติงานให้บรรลุตามเป้าหมายที่กำหนดไว้ และการพัฒนาผลิตภัณฑ์และโซลูชั่นส์ให้เหมาะสมกับตลาดที่กำหนด เพื่อยกระดับให้บริษัทก้าวขึ้นสู่สถานะผู้นำในธุรกิจก่อสร้างทั้งในประเทศไทยและในตลาดสากล

 

กรุงศรีเปิดมิติใหม่ของประสบการณ์ทางการเงิน สำหรับลูกค้าในยุค Mobile-first ด้วยเทคโนโลยีจากอวาย่า

          กรุงศรี (ธนาคารกรุงศรีอยุธยา จำกัด (มหาชน)) หนึ่งในสถาบันการเงินในไทยที่เติบโตเร็วที่สุด ได้วางระบบการสื่อสารทางธุรกิจรุ่นที่ดีที่สุดของอวาย่าพร้อมด้วยเทคโนโลยี IVR ขั้นสูงหรือระบบตอบรับอัตโนมัติสำหรับศูนย์ลูกค้าสัมพันธ์ (Contact Center) เพื่อเปิดสู่มิติใหม่ในการให้บริการแก่ลูกค้า 

 

          การให้บริการทางการเงินผ่านช่องทางดิจิตอลแบงกิ้งมีอัตราการเติบโตแบบทวีคูณ ลูกค้าในยุค Mobile First ต้องการสื่อสารและรับบริการต่าง ๆ จากสถาบันการเงินผ่านโทรศัพท์มือถือ เพื่อให้ได้รับประสบการณ์ หรือบริการทางการเงินในรูปแบบเดียวกับที่ติดต่อผ่านช่องทางสาขาของธนาคาร จากรายงานผลการวิจัยระดับโลก โดยบริติชเทเลคอมและอวาย่าในปี 2558 พบว่า 82% ของผู้บริโภคระบุว่าการติดต่อสื่อสารกับองค์กรใด ๆ ก็ตามควรจะทำได้ง่ายไม่ว่าจะผ่านช่องทางใด ๆ ก็ตาม

 

          "โซลูชั่นของอวาย่านั้นมีความสมบูรณ์แบบสำหรับธุรกิจของเรา ซึ่งช่วยให้ธนาคารสามารถดำเนินงานได้อย่างมีเสถียรภาพ คุ้มค่าการลงทุน และทำให้เราสามารถบูรณาการระบบบริหารงานลูกค้าให้เข้ากับระบบอื่น ๆ ของเราได้" คุณชาญชัย เลิศทวีเดช ผู้อำนวยการอาวุโส ฝ่ายบริหารจัดการช่องทางสื่อสารทางสารสนเทศ ธนาคารกรุงศรีอยุธยา กล่าว

 

          โซลูชั่นของอวาย่าช่วยสนับสนุนให้กรุงศรี สามารถรองรับและจัดการสายโทรเข้าของลูกค้าที่มีมากกว่า 12 ล้านสายในแต่ละปี ด้วยประสบการณ์ในการให้บริการลูกค้าได้ในระดับเฟิร์สคลาส ด้วยคุณสมบัติ ดังต่อไปนี้

  • ความสามารถในการจัดการปริมาณสายเรียกเข้าที่เพิ่มสูงขึ้น: ระบบIVR ขั้นสูงของ อวาย่า ช่วยบริหารจัดการต้นทุนในการให้บริการลูกค้าได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยสามารถจัดการสายเรียกเข้าของศูนย์บริการลูกค้าที่มีปริมาณสูงมาก สอดคล้องกับปรากฏการณ์การเติบโตของธนาคาร
  • ตอบสนองความต้องการของลูกค้าได้รวดเร็วขึ้น: ลูกค้าสามารถทำธุรกรรมเพิ่มขึ้นได้อย่างสะดวกง่ายดาย–ซึ่งหมายถึงความพึงพอใจในบริการที่เพิ่มขึ้น
  • สร้างมาตรฐานเดียวกันสำหรับทุกหน่วยงาน: หน่วยธุรกิจที่แตกต่างกัน เช่น แผนกธุรกรรมธนาคารและบัตรเครดิตสามารถทำงานร่วมกันได้อย่างราบรื่น ขจัดขั้นตอนการทำงานที่ซับซ้อนให้ลดลง
  • สร้างการเติบโตผ่านการเปลี่ยนผ่านทางด้านไอที: การลงทุนในเทคโนโลยีใหม่ ๆ เช่น ระบบการจดจำเสียงและการพิสูจน์ตัวตน สิ่งเหล่านี้เป็นเรื่องง่ายมากเมื่อทำงานบนแพลตฟอร์มของอวาย่า ซึ่งจะช่วยให้กรุงศรีมอบประสบการณ์ที่ดียิ่งขึ้นให้แก่ลูกค้า

          "เศรษฐกิจดิจิตอลกำลังจะเปลี่ยนแปลงวิถีชีวิตที่เราดำรงอยู่รวมทั้งวิถีการทำงาน และธุรกิจการธนาคารก็มักจะเป็นที่รู้กันว่าจะต้องเป็นผู้ริเริ่มนำมาใช้ก่อนเสมอ เป็นเวลากว่าทศวรรษที่เราได้ทำงานร่วมกับ กรุงศรี เพื่อนำเสนอโซลูชั่นและบริการที่เร่งการเปลี่ยนผ่านไปสู่ยุคใหม่ของการให้บริการลูกค้าของพวกเขา และโดยเฉพาะคนรุ่นใหม่ซึ่งเป็นยุคที่ใช้เทคโนโลยีมากขึ้นและมีการเชื่อมต่อถึงกันอยู่ตลอดเวลา เราจัดหาโซลูชั่นที่เหมาะสมสำหรับกรุงศรี เพื่อให้เขาบรรลุเป้าหมายที่สูงขึ้นและไต่ขึ้นสู่ระดับใหม่ของการมีส่วนร่วมกับลูกค้าของพวกเขา" กล่าวโดย ริชาร์ด สเปนซ์ กรรมการผู้จัดการ ภูมิภาคอาเซียน อวาย่า

 

          หัวใจหลักในการดำเนินธุรกิจของกรุงศรีคือ การใช้ความคาดหวังและประสบการณ์ของลูกค้าเป็นหลักในการทำงาน ขณะที่นวัตกรรมเป็นอีกหนึ่งในพื้นฐานสำคัญที่ทำให้ผลิตภัณฑ์และบริการของเรามีความโดดเด่นและแตกต่างจากคู่แข่ง ด้วยการประยุกต์ใช้นวัตกรรมดิจิตอลและเทคโนโลยีที่ล้ำสมัย ทำให้ธนาคารสามารถสร้างและรักษาความสัมพันธ์กับลูกค้าในทุกกลุ่มได้อย่างยั่งยืน ซึ่งรวมถึงกลุ่มลูกค้าในยุค Mobile-first" กล่าวโดย คุณวรนุช เดชะไกศยะ รองประธานกลุ่มสนับสนุนธุรกิจด้านเทคโนโลยีสารสนเทศและปฏิบัติการ ธนาคารกรุงศรีอยุธยา

เจเจ-มันทันส์ (ประเทศไทย) ฉลองเปิดโรงงานแห่งใหม่ ในนิคมฯ เหมราชชลบุรี

          บริษัท เจเจ-มันทันส์ (ประเทศไทย) จำกัด บริษัทร่วมทุนระหว่าง บริษัท มันทันส์ อินกรีเดียนส์ จากสหราชอาณาจักร และ บริษัท เจ๊บเซ่นส์ แอนด์ เจ๊สเซ่น อินกรีเดียนส์ จำกัด จัดพิธีฉลองเปิดโรงงานแห่งใหม่ที่นิคมอุตสาหกรรมเหมราชชลบุรี การเปิดโรงงานครั้งนี้ ถือเป็นการตอกย้ำตำแหน่งซัพพลายเออร์ชั้นนำในด้านผลิตภัณฑ์อาหารที่ทำจากมอลต์ชนิดพิเศษ เพื่อจัดจำหน่ายให้แก่อุตสาหกรรมอาหารและเครื่องดื่มในภูมิภาคอาเซียนได้เป็นอย่างดี โดยโรงงานแห่งใหม่นี้จะช่วยให้บริษัทขยายธุรกิจสู่ตลาดระดับโลกได้กว้างขวางยิ่งขึ้น

 

เอสโซ่ ประเทศไทย เปิดตัวน้ำมันเครื่องโมบิล ปีกาซัส™ 605 อัลตร้า 40 พร้อมแสดงผลิตภัณฑ์ที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมในงาน Sustainable Energy Week 2016

          บริษัท เอสโซ่ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) บริษัทชั้นนำด้านปิโตรเลียมและปิโตรเคมี แสดงนวัตกรรมเพื่อความยั่งยืนทางพลังงานและสิ่งแวดล้อมล่าสุดที่งาน Asean Sustainable Energy Week 2016 พร้อมเปิดตัว “โมบิล ปีกาซัส™ 605 อัลตร้า 40(Mobil Pegasus™ 605 Ultra 40) น้ำมันเครื่องสูตรที่คิดค้นมาเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพของเครื่องยนต์ประเภทที่ใช้พลังงานจากก๊าซชีวมวลและก๊าซฝังกลบ พร้อมทั้งแนะนำ “โมบิล เอสเอชซี ปีกาซัส™ 30” (Mobil SHC PegasusTM 30) และ “โมบิล เซิร์ฟSM(Mobil Serv SM) ที่เป็นระบบวิเคราะห์เครื่องยนต์อัจฉริยะล่าสุด

 

          โมบิล ปีกาซัส™ 605 อัลตร้า 40 มีสมรรถนะที่อาจช่วยยืดระยะเวลาในการเปลี่ยนถ่ายเป็นสองเท่า และได้รับการออกแบบมาเพื่อให้สอดคล้องกับการเพิ่มขึ้นขององค์กรที่เลือกผลิตพลังงานจากเชื้อเพลิงประเภทก๊าซฝังกลบและก๊าซชีวมวล โดยน้ำมันเครื่องชนิดใหม่นี้ช่วยควบคุมการเกิดคราบเขม่าและคาร์บอนภายในเครื่องยนต์ พร้อมพัฒนาให้สามารถแก้ไขข้อจำกัดของเครื่องยนต์ที่ต้องใช้พลังงานจากก๊าซฝังกลบและก๊าซชีวมวล รวมถึงมีสมรรถนะในการป้องกันการสึกกร่อนและการครูดกร่อนได้เป็นอย่างดี นอกจากนี้โมบิล ปีกาซัส™ 605 อัลตร้า 40 ยังได้รับอนุญาตให้ใช้กับเครื่องยนต์มาตรฐานแบรนด์ Jenbacher และ Waukesha จาก GE ด้วย

 

          นางสาวคัม-ฟ่ง ซิว ผู้จัดการฝ่ายขายผลิตภัณฑ์หล่อลื่น ประจำภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ กล่าวว่า “เอสโซ่ ประเทศไทย มุ่งมั่นที่จะเสนอผลิตภัณฑ์ที่ดีและครบถ้วนเพื่อสนับสนุนการดำเนินงานอย่างยั่งยืน ซึ่งรวมถึงผลิตภัณฑ์น้ำมันหล่อลื่นที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมและผลิตภัณฑ์อื่น ๆ สำหรับผู้ผลิตไฟฟ้าที่ใช้พลังงานทางเลือก นอกจากนี้ผลิตภัณฑ์ของเรายังสอดคล้องกับแผนพัฒนาพลังงานทดแทนและพลังงานทางเลือกของรัฐบาลด้วย”

 

          “เรานำเสนอผลิตภัณฑ์คุณภาพสูงที่มีประสิทธิภาพในการเพิ่มสมรรถนะของเครื่องยนต์ ซึ่งรวมถึงโมบิล ปีกาซัส™ 605 อัลตร้า 40 และโมบิล เอสเอชซี ปีกาซัส™ 30 โดยเราเพิ่งฉลองการครบรอบ 50 ปีของกลุ่มผลิตภัณฑ์โมบิล  ปีกาซัสไปเมื่อเร็ว ๆ นี้” นายดอง โจ ลี ผู้จัดการวิศวกรรมสำรวจประจำภูมิภาคเอเชีย-แปซิฟิก กล่าว พร้อมทั้งเพิ่มเติมว่า “โมบิล เอสเอชซี ปีกาซัส™ 30  สามารถช่วยลดการใช้เชื้อเพลิงลงได้ถึง 1.5% ให้การปกป้องเครื่องยนต์โดยเฉพาะในช่วงที่มีสัดส่วนความอัดสูง รวมถึงความดันขณะปฏิบัติงานและอุณหภูมิจากการเดินเครื่องยนต์ก๊าซ เรียกได้ว่าโมบิล เอสเอชซี ปีกาซัส ช่วยให้เครื่องยนต์ทำงานอย่างมีประสิทธิภาพ ในขณะเดียวกันยังช่วยคงความ-สมดุลของประสิทธิผลของสารเติมแต่งน้ำมันพื้นฐาน โดยปราศจากการมีผลกระทบต่อสมรรถนะด้านอื่น ๆ ภายในส่วนประกอบของตัวน้ำมันเครื่องเอง”

 

          นายดอง โจ ลี ยังได้แนะนำนวัตกรรมการบริการใหม่อีกแบบว่า “ในปีนี้ เรายังได้นำการบริการรูปแบบใหม่ ในชื่อว่า โมบิลเซิร์ฟ (Mobil ServSM) ซึ่งเป็นการบริการวิเคราะห์น้ำมันเครื่องแบบก้าวหน้าให้กับลูกค้า ซึ่งการตรวจวิเคราะห์นี้จัดได้ว่าเป็นหนึ่งในสุดยอดการแปลค่าอัลกอริธึ่มที่เสถียรมากที่สุดในขณะนี้ รวมถึงการวิเคราะห์ค่า จากฐานข้อมูลที่เก็บจากประวัติการใช้น้ำมัน เพื่อตรวจจับเหตุเบื้องต้นก่อนที่จะกลายเป็นปัญหา ระบบตรวจซ่อมและบำรุงนี้จะสามารถช่วยเพิ่มประสิทธิผล ลดการใช้เวลาที่เกินความจำเป็น เสริมอายุการใช้งานของเครื่องมือ รวมถึงลดการใช้น้ำมันหล่อลื่นด้วย”

 

          สำหรับข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับกลุ่มเทคโนโลยีผลิตภัณฑ์และบริการของเอ็กซอนโมบิล สามารถเข้าชมเว็บไซต์ mobilindustrial.com

 

บุคคลในภาพ (จากซ้ายไปขวา): นางสาวคัม-ฟง ซิว ผู้จัดการฝ่ายขายผลิตภัณฑ์หล่อลื่น ประจำภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้, นายดอง โจ ลี ผู้จัดการฝ่ายวิศวกรรมผลิตภัณฑ์หล่อลื่นประจำภูมิภาคเอเชีย-แปซิฟิก, นางปาจรีย์ มีกังวาล ผู้จัดการแบรนด์ผลิตภัณฑ์หล่อลื่นยานยนต์ประจำภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก

เชลล์ เดินหน้าลดต้นทุนผู้ประกอบการขนส่ง เปิดตัว เชลล์ ริมูล่า R6 LM สูตรใหม่ พร้อมปรับโฉมทุกรุ่น รองรับตลาดโต

          มร.ทรอย แช็ปแมน กรรมการบริหาร ธุรกิจน้ำมันหล่อลื่น ภูมิภาคเอเชียตะวันออก ภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ บริษัท เชลล์ แห่งประเทศไทย จำกัด กล่าวว่า “เชลล์ ริมูล่า ในฐานะผู้นำตลาดน้ำมันเครื่องสำหรับรถบรรทุกของโลกมองว่า การเปิดเสรีประชาคมอาเซียนทำให้ประเทศไทยได้เปรียบมาก เพราะว่าตั้งอยู่ในจุดที่เรียกว่าเป็นศูนย์กลางของการขนส่งในพื้นที่ที่ประกอบด้วยประชากรกว่า 600 ล้านคน เราเชื่อว่าภาคการขนส่งยังจะเติบโตขึ้นอย่างต่อเนื่อง แต่นั่นก็มาพร้อมกับความท้าทายใหม่ ๆ ที่ผู้ประกอบการขนส่งจะต้องเจอ เพราะจะมีผู้ประกอบการรายใหม่เข้ามาในตลาดมากขึ้น ส่งผลให้การแข่งขันสูงขึ้นตามไปด้วย ธุรกิจจึงต้องปรับตัวเพื่อจัดการกับต้นทุนอย่างมีประสิทธิภาพ โดยเฉพาะต้นทุนด้านการขนส่ง เชลล์ต้องการที่จะช่วยตอบโจทย์นี้ให้กับธุรกิจ จึงได้ทำการพัฒนาสูตรใหม่ของผลิตภัณฑ์น้ำมันเครื่องที่ดีที่สุดของเรา เพื่อช่วยสนับสนุนเคียงข้างธุรกิจของลูกค้าให้ไปสู่ความสำเร็จ โดยเชลล์ ริมูล่า R6 LM สูตรใหม่นี้ เป็นอีกหนึ่งความสำเร็จที่เกิดจากการทำงานร่วมกันระหว่างเชลล์และผู้ผลิตรถบรรทุกชั้นนำของโลก เพื่อออกแบบผลิตภัณฑ์ที่สามารถมอบสมรรถนะขั้นสูง ช่วยปกป้องเครื่องยนต์ และลดค่าใช้จ่ายในการดูแลรักษา รวมถึงประหยัดรายจ่ายสำหรับน้ำมันเครื่อง เนื่องจากเชลล์เข้าใจดีว่าทุกรายละเอียดสามารถส่งผลต่อต้นทุนในธุรกิจขนส่งได้เราจึงมีความยินดีอย่างยิ่งที่จะนำเสนอผลิตภัณฑ์นี้ให้กับลูกค้าในประเทศไทยของเรา”

 

          เชลล์ ริมูล่า R6 LM ใหม่ ซึ่งเป็นน้ำมันเครื่องกลุ่มสังเคราะห์แท้นี้ มาพร้อมกับเทคโนโลยี ไดนามิก โพรเทคชั่น พลัส ซึ่งผลิตโดยใช้เทคโนโลยี เพียวพลัส (PurePlus Technology) สิทธิ์เฉพาะของเชลล์ โดยเป็นการเปลี่ยนก๊าซธรรมชาติให้เป็นน้ำมันพื้นฐานที่มีความบริสุทธิ์สูง (Gas-to-Liquid or GTL) ต่างจากน้ำมันพื้นฐานอื่น ๆ ทั่วไป และผสมกับสารเพิ่มคุณภาพทรงประสิทธิภาพ ที่ช่วยป้องกันการสึกหรอได้สูงสุด 53%ช่วยลดการสูญเสียของน้ำมันเครื่องระหว่างการใช้งานสูงสุดถึง 45% และสามารถใช้งานได้ดีในทุกสภาพอากาศรวมถึงอากาศร้อนจัดในประเทศไทย สามารถยืดอายุการเปลี่ยนถ่ายได้ถึง 150,000 กม. จากการทดสอบกับเครื่องยนต์เดมเลอร์ MB 228.5 หรือ 225.51 ผลสำรวจจากผู้ประกอบการขนส่งทั่วโลกจำนวน 49 ราย ระหว่างปี 2551 ถึง 2558 พบว่า เชลล์ ริมูล่า R6 LM และช่วยให้ธุรกิจของลูกค้าเหล่านี้ประหยัดรายจ่ายได้มากกว่า 120 ล้านบาท

 

          นอกจากไดนามิก โพรเทคชั่น พลัส ในเชลล์ ริมูล่า R6 LM แล้ว เชลล์ยังนำเสนอ ไดนามิก โพรเทคชั่น (Dynamic Protection Technology) เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงานของผลิตภัณฑ์รุ่นอื่นในตระกูล ริมูล่า โดยเฉพาะ เชลล์ ริมูล่า R4 X ซึ่งเป็นผลิตภัณฑ์เด่นที่มียอดจำหน่ายสูงสุดของเรา ซึ่งมาพร้อมกับ 3 พลังปกป้อง โดยเมื่อเทียบกับเกณฑ์มาตรฐาน API และ ACEA สามารถป้องกันการสึกหรอได้ดีกว่าสูงสุดถึง 30% ปกป้องการกัดกร่อนดีกว่าสูงสุดถึง 50% และช่วยให้เครื่องยนต์สะอาดขึ้นได้ดีกว่าสูงสุดถึง 50% จากประสบการณ์ใช้งานจริงของลูกค้าในประเทศไทย แสดงให้เห็นว่าเชลล์ ริมูล่า R4 X สามารถช่วยยืดอายุการเปลี่ยนถ่ายและช่วยให้ธุรกิจประหยัดได้จริง

 

          พร้อมกันนี้ เชลล์ ริมูล่า ยังทำการปรับโฉมผลิตภัณฑ์ครั้งใหญ่ด้วยการออกแบบแพ็คเกจใหม่ผลิตภัณฑ์ทุกรุ่น โดยใช้เทคโนโลยีการออกแบบขั้นสูงจาก 3เอ็ม™ (3M™) ที่ชื่อว่า 3M™ Visual Attention Service (VAS) เพื่อเน้นรูปลักษณ์ความเป็นพรีเมี่ยมของผลิตภัณฑ์ให้ดูโดดเด่นยิ่งขึ้น และยังช่วยให้ลูกค้าสังเกตและเลือกซื้อผลิตภัณฑ์รุ่นที่ต้องการได้ง่ายขึ้นอีกด้วย ทั้งนี้ ในการปรับโฉมผลิตภัณฑ์ดังกล่าว เป็นผลจากการศึกษาพฤติกรรมการเลือกซื้อผลิตภัณฑ์ของลูกค้า ซึ่งศึกษาว่าลูกค้าจะกวาดสายตามองไปที่บริเวณใดของตัวผลิตภัณฑ์มากที่สุด โดยจุดที่ลูกค้ามองสามอันดับแรก คือ แบรนด์ สี และดีไซน์ของผลิตภัณฑ์ สำหรับผลิตภัณฑ์น้ำมันเครื่องนั้น สิ่งถัดไปที่ลูกค้าจะมองหา คือ สิ่งที่ระบุว่าผลิตภัณฑ์นี้ได้รับการออกแบบมาเพื่อใช้กับเครื่องยนต์รุ่นของตนเอง เช่น ค่าความหนืด เป็นต้น

 

          “บรรจุภัณฑ์ รูปลักษณ์ รวมถึงฉลากของผลิตภัณฑ์นั้น เรียกได้ว่าทำหน้าที่เป็นคนขายหน้าร้านให้เราได้เป็นอย่างดี เพราะเป็นตัวแทนในการบอกเล่าคุณสมบัติและเรื่องราวของแบรนด์ในเวลาเดียวกัน เราได้เรียนรู้ว่า ลูกค้าจะรักในแบรนด์ที่มีความเข้าใจและสามารถตอบโจทย์ของพวกเขาได้ ดังนั้นโฉมใหม่ของ เชลล์ ริมูล่า จึงถูกออกแบบมาเพื่อสะท้อนสิ่งที่ลูกค้ามองหาโดยเฉพาะ ทำให้ลูกค้าได้รับข้อมูลที่ต้องการในเวลาอันสั้น ทั้งยังมีความโดดเด่น สะท้อนภาพลักษณ์ความเป็นผลิตภัณฑ์ระดับโลกที่ลูกค้าวางใจว่าจะสามารถทำงานหนักเคียงข้าง เพื่อมอบสมรรถนะที่เหนือกว่าบนท้องถนนอีกด้วย” มร.แช็ปแมน กล่าวสรุป

 

สำหรับข้อมูลเพิ่มเติม ดูได้ที่ www.shell.co.th

 

สิทธิผล วีแคร์ รวมพลัง อนุรักษ์ป่าชายเลน ปี 2

 

          อนุรักษ์น้ำและพิทักษ์สัตว์ป่า เป็นอีกหนึ่งโครงการทำความดีเพื่อสังคมและตอบแทนคุณแผ่นดินไทยซึ่งดำเนินการต่อเนื่องมาเป็นปีที่ 4 นำโดย วิชัย กิ่งชา ผู้อำนวยการ โครงการกลุ่มสิทธิผล วีแคร์ รวมพลคนจิตอาสาจากเหล่าแฟนเพจกลุ่มสิทธิผล วีแคร์ และพนักงานในกลุ่มสิทธิผลผู้มีใจรักษ์ธรรมชาติ ผนึกกำลังร่วมกัน ปลูกป่าชายเลน ปีที่ 2 ณ ศูนย์อนุรักษ์ป่าชายเลนคลองโคน ต.คลองโคน อ.เมือง จ.สมุทรสงคราม เพื่อช่วยกันฟื้นฟู คืนความสมดุลให้กับระบบนิเวศน์ อันมีความสำคัญต่อการดำรงอยู่ของสิ่งมีชีวิตทั้งพืช สัตว์และมนุษย์ เมื่อวันเสาร์ที่ 14 พฤษภาคม ที่ผ่านมา

 

          กิจกรรมปลูกป่าชายเลนกับสิทธิผล วีแคร์ในครั้งนี้มีผู้สนใจร่วมกิจกรรมกว่า 60 คน รวมตัวกันนำต้นกล้าลงปลูกในดินโคลนกว่า 300 ต้น ด้วยความสนุกสนานที่ได้คลุกโคลนและลุยน้ำในช่วงอากาศร้อน ๆ แบบนี้ จนเนื้อตัวเปรอะเปื้อนเป็นเรื่องปกติ เพราะเหล่าจิตอาสาต่างลงความเห็นและพูดเป็นเสียงเดียวกันว่าพวกเขาไม่ได้มีโอกาสบ่อยครั้งนักที่จะมารวมตัวกันเพื่อทำกิจกรรมที่เป็นประโยชน์ช่วยเหลือสังคมและสิ่งแวดล้อมแบบนี้ มีช่วงเวลาดี ๆ ร่วมกัน ได้ออกกำลังกาย สัมผัสธรรมชาติอย่างแท้จริง ก็ถือเป็นการพักผ่อนและได้เที่ยวด้วยกันไปในตัว เพราะการใช้ชีวิตส่วนใหญ่จะหมดไปกับการทำงานและใช้ทรัพยากร เมื่อได้กลับมาเป็นผู้สร้าง ทดแทนจากสิ่งที่ได้ใช้ไปบ้างก็รู้สึกอิ่มใจไม่น้อย นอกจากการปลูกต้นแสมและต้นลำภูในครั้งนี้แล้ว ทุกคนยังได้ทราบถึงวิธีการปลูกและคุณค่าของป่าชายเลนกันอย่างลึกซึ้งจากวิทยากรกิตติมศักดิ์ คุณพีร์นิธิ รัตนพงษ์ธระ ประธานศูนย์อนุรักษ์ป่าชายเลนคลองโคน ได้เรียนรู้วิถีชีวิตชาวบ้านตามป่าชายเลน เก็บหอยแครง เล่นสกี รวมเป็นโบนัสก้อนโตก่อนนั่งเรือกลับเข้าสู่ฝั่งเพื่อล้างเนื้อล้างตัวและเดินทางกลับบ้านโดยสวัสดิภาพ พร้อมกับวางแผนนัดแนะสานต่อมิตรภาพดี ๆ ร่วมกันกับกิจกรรมถัดไปที่ทางโครงการกลุ่มสิทธิผล วีแคร์จะจัดขึ้นอีกในเร็ว ๆ นี้

 

          คุณวิชัย กล่าวว่า “โครงการและกิจกรรมช่วยเหลือสังคมภายใต้โครงการกลุ่มสิทธิผล วีแคร์ (Sittipol We Care) นั้นมีนับกว่า 10 โครงการ ตลอดระยะเวลาที่ก่อตั้งมากว่า 8 ปี เน้นดำเนินกิจกรรมมุ่งคืนกำไรสู่สังคมโดยตรง (Direct Social Return: DSR) ซึ่งโครงการอนุรักษ์น้ำและพิทักษ์สัตว์ป่าก็เป็นหนึ่งในนั้นที่สานต่อมาเป็นปีที่ 4 ด้วยเล็งเห็นความสำคัญของการทำประโยชน์เพื่อสังคม ตระหนักถึงการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมและทรัพยากรทางธรรมชาติ จึงพยายามสรรค์สร้างกิจกรรมที่สามารถตอบโจทย์และให้มีความหลากหลายมากยิ่งขึ้น อาทิ ปลูกป่าบก ปลูกป่าชายเลน ปลูกปะการัง ปล่อยสัตว์ที่ได้รับการอนุบาลกลับลงสู่ท้องทะเล ฯลฯ ทั้งหมดนี้ล้วนถูกขับเคลื่อนโดยสมาชิกแฟนเพจของกลุ่มสิทธิผล วีแคร์ และพนักงานในกลุ่มสิทธิผลที่มีอุดมการณ์เดียวกัน ซึ่งผลลัพธ์ที่ได้หลังทำกิจกรรมทุกครั้งคือ “ความสุข” ของผู้รับและผู้เข้าร่วมกิจกรรม และด้านธรรมชาติที่ได้รับ “การฟื้นฟู” ซึ่งทั้งหมดที่เกิดขึ้นถือเป็นผลสำเร็จที่สร้างขวัญและกำลังใจให้กับกลุ่มสิทธิผล วีแคร์ สานต่อทุกกิจกรรมต่อ ๆ ไป”

 

          คุณวิชัยให้สัมภาษณ์ต่อว่า "ประโยชน์ของป่าชายเลนนั้นมากมายมหาศาล ซึ่งไม่เพียงแต่เป็นแหล่งพลังงาน แหล่งวัตถุดิบไม้ใช้สอยสำหรับก่อสร้างและที่อยู่อาศัยของพืชผักและสัตว์น้ำอย่างที่เห็นได้ทางกายภาพเท่านั้น ด้านชีวภาพยังช่วยรักษาความสมดุลของระบบนิเวศที่ส่งผลต่อความอุดมสมบูรณ์ของธาตุอาหารและน้ำอันเป็นทรัพยากรทางประมง ป้องกันการพังทลายของดินชายฝั่งทะเลจากการถูกกัดเซาะ บรรเทาความเร็วของกระแสน้ำลงทำให้ช่วยขยายพื้นที่ชายเลนเพิ่มขึ้นจากตะกอนที่ลอยมากับน้ำเกิดการทับถมขึ้นเป็นแผ่นดินใหม่ บรรเทาความรุนแรงของคลื่นลมแรงที่พัดเข้าสู่ฝั่งให้ลดลง ดูดซับสิ่งปฏิกูล มลพิษต่าง ๆ จากบนบกไม่ให้ลงสู่ทะเล คัดกรองขยะ คราบน้ำมัน ช่วยลดปริมาณก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ในอากาศจากกระบวนการสังเคราะห์แสงตามธรรมชาติ ช่วยเพิ่มปริมาณก๊าซออกซิเจนในอากาศให้สดชื่นขึ้น กลายเป็นแหล่งพักผ่อนหย่อนใจ ฟื้นฟูร่างกาย และยังเป็นแหล่งความรู้ให้กับผู้ที่ต้องการศึกษาธรรมชาติที่ครบวงจรโดยไม่ต้องลงทุนใด ๆ เลยอีกด้วย"

 

สามารถติดตามข่าวสารความเคลื่อนไหวและร่วมกิจกรรมเพื่อสังคมกับโครงการกลุ่มสิทธิผล วีแคร์ ได้ที่ https://www.facebook.com/sittipolwecare/

 

เชฟรอน จับมือ อพวช. เปิดตัว “Enjoy Science Careers: สนุกกับอาชีพวิทย์” นิทรรศการแบบอินเทอร์แอคทีฟ เพื่อสร้างแรงบันดาลใจเยาวชนสู่ 10 อาชีพสะเต็ม

          บริษัท เชฟรอนประเทศไทยสำรวจและผลิต จำกัด และ องค์การพิพิธภัณฑ์วิทยาศาสตร์แห่งชาติ (อพวช.) ร่วมด้วย สถาบันคีนันแห่งเอเซีย เปิดตัวโครงการ “Enjoy Science Careers: สนุกกับอาชีพวิทย์” กิจกรรมสร้างความสนใจและแรงบันดาลใจแก่เยาวชนในการศึกษาต่อและประกอบอาชีพในสาขาวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี วิศวกรรม และคณิตศาสตร์ หรือ สะเต็ม โดยเปิดโอกาสให้เยาวชนได้เรียนรู้และทดลองสวมบทบาทเป็นผู้เชี่ยวชาญใน 10 อาชีพสาขาสะเต็ม ซึ่งยังไม่ค่อยเป็นที่รู้จักในสังคมไทย แต่เป็นที่ต้องการของตลาดและมีบทบาทสำคัญต่อการพัฒนานวัตกรรมและเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันให้กับประเทศ  โดยมีนักเรียนและผู้ปกครองกว่า 1,000 คน เข้าร่วมกิจกรรมตลอด 3 วันของการจัดกิจกรรม

 

          ดร.พิเชฐ ดุรงคเวโรจน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี กล่าวว่า การพัฒนากำลังคนด้านสะเต็มเป็นหนึ่งในโครงการเชิงยุทธศาสตร์ของกระทรวงฯ เพื่อสนับสนุนการดำเนินงานของรัฐบาลด้านการพัฒนากำลังคนให้มีความสามารถเชิงเทคโนโลยีและนวัตกรรมเพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศไปสู่ประเทศที่พัฒนาแล้ว ที่ขับเคลื่อนเศรษฐกิจด้วยวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี เปลี่ยนจากฐานการผลิตแบบตามสั่ง ไปสู่การเป็นผู้ผลิตสินค้าเทคโนโลยีสูงและผู้ประดิษฐ์คิดค้นนวัตกรรม โดยเชื่อว่าโครงการ ‘Enjoy Science Careers: สนุกกับอาชีพวิทย์’ จะมีส่วนช่วยให้เราสามารถบรรลุเป้าหมายนี้ได้ เพราะการพัฒนากำลังคนในสาขาสะเต็มนั้นจะต้องวางรากฐานตั้งแต่วัยเด็กให้พวกเขาเห็นว่าอาชีพด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีมีความสนุกน่าสนใจ จนเกิดแรงบันดาลใจที่จะประกอบอาชีพในสาขานี้ต่อไปในอนาคต

 

          นางกรรณิการ์ วงศ์ทองศิริ รองผู้อำนวยการ ปฏิบัติการแทนผู้อำนวยการองค์การพิพิธภัณฑ์วิทยาศาสตร์แห่งชาติ (อพวช.) เปิดเผยว่า ความต้องการบุคลากรที่มีความรู้และทักษะด้านสะเต็มมีเพิ่มสูงขึ้นเรื่อยๆ และเป็นพื้นฐานสำคัญของการเพิ่มขีดความสามารถของประเทศในอนาคตอย่างเข้มแข็งและยั่งยืน โดยโครงการนี้ได้คัดเลือก 10 อาชีพที่มีบทบาทสำคัญในอนาคต และเป็นที่ต้องการของสังคมไทย ประกอบด้วย 1. นักธรณีวิทยาปิโตรเลียม 2. นักคิดค้นยา 3. นักวิทยาศาสตร์การอาหาร 4. วิศวกรชีวการแพทย์ 5. นักวิทยาศาสตร์เครื่องสำอาง 6. นักนิติวิทยาศาสตร์ 7. นักปรับปรุงพันธุ์พืช 8. นักออกแบบผลิตภัณฑ์ 9. นักพัฒนาซอฟต์แวร์ และ 10. นักออกแบบและสร้างภาพเคลื่อนไหว มาให้เยาวชนได้ทดลองสวมบทบาทเป็นผู้เชี่ยวชาญ และได้สนุกกับการใช้อุปกรณ์และเครื่องมือจริงในการประกอบอาชีพ ทั้งยังได้พบปะกับบุคคลต้นแบบที่จะมาแนะแนวเส้นทางสู่การประกอบ 10 อาชีพสะเต็ม เพื่อให้เยาวชนสามารถเดินไปถูกทางว่า หากอยากประกอบอาชีพนั้นๆ ในอนาคตจะต้องทำอย่างไรบ้าง

 

          นางสาวพรสุรีย์ กอนันทา ผู้จัดการฝ่ายสื่อสารและภาพลักษณ์องค์กร บริษัท เชฟรอนประเทศไทยสำรวจและผลิต จำกัด กล่าวว่า โครงการ ‘Enjoy Science Careers: สนุกกับอาชีพวิทย์’ เป็นส่วนหนึ่งของโครงการ ‘Enjoy Science: สนุกวิทย์ พลังคิด เพื่ออนาคต ที่เชฟรอนร่วมกับพันธมิตรทั้งจากภาครัฐและเอกชน ริเริ่มขึ้นในปี 2558 โดยเป็นโครงการระยะยาว 5 ปี ที่มุ่งพัฒนาการศึกษาในสาขาสะเต็มทั้งในระบบการศึกษาในสายสามัญและสายอาชีพ ตลอดจนสร้างการรับรู้ กระตุ้น และส่งเสริมให้เยาวชนคนรุ่นใหม่เห็นว่าวิทยาศาสตร์เป็นเรื่องสนุก ใกล้ตัว เกิดแรงบันดาลใจและความสนใจที่จะศึกษาต่อและประกอบอาชีพในสาขาสะเต็มต่อไปในอนาคต ซึ่งแหล่งเรียนรู้ที่เปิดโอกาสให้เด็ก ๆ สามารถทดลองสวมบทบาทอาชีพ สวมเครื่องแบบ และลงมือทดลองทำกิจกรรมนั้นเป็นที่นิยมในหลายประเทศ ในประเทศไทยเองก็เริ่มมีกิจกรรมเช่นนี้ ให้เด็ก ๆ ได้ไปร่วมสนุกและเรียนรู้แบบ Edutainment แต่ยังจำกัดอยู่ที่กรุงเทพฯ และเป็นกิจกรรมที่ต้องเสียค่าเข้าชม เชฟรอนจึงเห็นว่า โครงการ ‘Enjoy Science Careers: สนุกกับอาชีพวิทย์ ที่ริเริ่มโดย อพวช. นี้ จะเป็นประโยชน์ให้กับทั้งเยาวชนในกรุงเทพฯ และในจังหวัดอื่น ๆ ที่จะได้สนุกกับการสวมบทบาทอาชีพเช่นเดียวกัน โดยไม่มีค่าใช้จ่าย และทั้ง 10 อาชีพ ที่คัดเลือกมาล้วนมีความสำคัญต่อการพัฒนานวัตกรรมและเพิ่มขีดความสามารถของประเทศในอนาคต

 

          นิทรรศการ “Enjoy Science Careers: สนุกกับอาชีพวิทย์” จะนำไปจัดแสดงร่วมกับ “คาราวานวิทยาศาสตร์” ของ อพวช. ที่จะเดินทางไปจัดกิจกรรมทั่วประเทศ ตั้งแต่เดือนมิถุนายน 2559 เป็นต้นไป และคาดว่าจะมีเยาวชนที่ได้รับประโยชน์จากโครงการนี้กว่า 100,000 คน โดยผู้ที่สนใจร่วมกิจกรรม สามารถตรวจสอบตารางกิจกรรมหรือหาข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ www.nsm.or.th, www.chevronthailand.com และเพจ

เฟซบุ๊ก คาราวานวิทยาศาสตร์ อพวช.

กลุ่มธุรกิจน้ำดื่มเนสท์เล่ ประกาศแผนการลงทุน 1,800 ล้านบาท สร้างโรงงานน้ำดื่มล้ำสมัยแห่งใหม่ในประเทศไทย

 

          กลุ่มธุรกิจน้ำดื่มเนสท์เล่ ภายใต้บริษัท เนสท์เล่ (ไทย) จำกัด ประกาศแผนการลงทุนมูลค่า 1,800 ล้านบาท เดินหน้าสร้างโรงงานผลิตน้ำดื่มเนสท์เล่ เพียวไลฟ์ที่จังหวัดสุราษฎร์ธานี โรงงานผลิตน้ำดื่มแห่งใหม่จะใช้นวัตกรรมที่ล้ำสมัยที่สุดด้วยเทคโนโลยี VSEP (Vibratory Shear Enhanced Membrane Processing) ในกระบวนการผลิตเพื่อทำให้เกิดการใช้น้ำอย่างมีประสิทธิภาพที่สุด พร้อมเป็นศูนย์การผลิตและจัดจำหน่ายสินค้าเพื่อคืนความสดชื่นให้แก่ร่างกายของผู้บริโภคใน 14 จังหวัดภาคใต้ภายใต้มาตรฐานคุณภาพของเนสท์เล่

               

          ทั้งนี้ โรงงานผลิตน้ำดื่มแห่งใหม่นี้ มีพื้นที่ 170,000 ตารางเมตร ประกอบด้วยโรงงานผลิต คลังสินค้า สำนักงาน และสิ่งอำนวยความสะดวกอื่น ๆ โดยจะทำการบรรจุขวดน้ำดื่มเนสท์เล่ เพียวไลฟ์ด้วยเทคโนโลยีขั้นสูงที่ได้รับการยอมรับในระดับโลกเพื่อให้ผู้บริโภคมั่นใจในคุณภาพของน้ำทุกหยดของเนสท์เล่ เพียวไลฟ์

 

          นายลูก้า คิโอด้า ผู้อำนวยการบริหารธุรกิจน้ำดื่ม บริษัท เนสท์เล่ (ไทย) จำกัด เปิดเผยว่า “การลงทุนสร้างโรงงานผลิตน้ำดื่มที่ล้ำสมัยที่สุดของเนสท์เล่ เพียวไลฟ์ในประเทศไทย ณ อำเภอพุนพิน จังหวัดสุราษฎร์ธานี มูลค่า 1,800 ล้านบาทเป็นการเปิดศูนย์การผลิตและจัดจำหน่ายผลิตภัณฑ์น้ำดื่มเนสท์เล่ เพียวไลฟ์เพื่อให้ผู้บริโภคกว่า 10 ล้านคนใน 14 จังหวัดภาคใต้ได้ดื่มน้ำที่มีคุณภาพเพื่อคืนความสดชื่นให้แก่ร่างกาย พร้อมทั้งยังเป็นการรองรับความต้องการของตลาดที่จะเติบโตเพิ่มขึ้นในอนาคต ทั้งนี้การนำเทคโนโลยีชั้นนำระดับโลกมาใช้ในโรงงานอันทันสมัยแห่งใหม่นี้จะช่วยให้กระบวนการผลิตน้ำดื่มมีประสิทธิภาพ รวมทั้งยังสามารถลดการใช้ทรัพยากรน้ำ และพลังงาน ซึ่งเป็นการสะท้อนเจตนารมณ์ระยะยาวของเนสท์เล่ในการดูแลสิ่งแวดล้อมอย่างยั่งยืน"

 

โรงงานผลิตน้ำดื่มเนสท์เล่ เพียวไลฟ์อันล้ำสมัยในประเทศไทย

 

  • ล้ำสมัยด้วยเทคโนโลยี VSEP ที่ได้สิทธิบัตรจากประเทศสหรัฐอเมริกา ซึ่งเป็นหนึ่งในเทคโนโลยีขั้นสูงที่ใช้ในกระบวนการผลิตน้ำดื่ม สามารถบริหารจัดการการใช้น้ำและลดปริมาณการใช้น้ำในกระบวนการผลิต จึงทำให้โรงงานแห่งนี้เป็นโรงงานที่มีประสิทธิภาพมากที่สุดแห่งหนึ่งของกลุ่มธุรกิจน้ำดื่มเนสท์เล่
  • ประสิทธิภาพด้านระบบการขนส่ง โดยโรงงานแห่งใหม่ของน้ำดื่มเนสท์เล่ เพียวไลฟ์ ในจังหวัดสุราษฎร์ธานีนี้จะช่วยย่นระยะทางในการจัดส่ง จึงช่วยในการลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม

 

          “เราพร้อมมุ่งมั่นผลิตน้ำดื่มคุณภาพเพื่อสุขภาพที่ดีที่คนไทยให้ความไว้วางใจ โดยที่ผ่านมากลุ่มผลิตภัณฑ์น้ำดื่มเนสท์เล่ ได้รับการรับรองมาตรฐานคุณภาพด้วยรางวัล อย. ควอลิตี้ อวอร์ด 3 ปีซ้อน จากสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา” นายลูก้า กล่าวทิ้งท้าย

 

เกี่ยวกับเนสท์เล่

 

          เนสท์เล่อยู่เคียงข้างคนไทยมายาวนานกว่า 120 ปี โดยเริ่มวางจำหน่ายผลิตภัณฑ์เป็นครั้งแรกในประเทศไทยเมื่อ พ.ศ.2436 เราได้นำเสนอและพัฒนาผลิตภัณฑ์อาหารและเครื่องดื่มที่อร่อยและมีคุณค่าทางโภชนาการสู่ผู้บริโภค ควบคู่ไปกับการสร้างความรู้และความเข้าใจด้านโภชนาการอย่างต่อเนื่อง เพื่อช่วยให้ผู้บริโภคมีข้อมูลประกอบการตัดสินใจในการเลือกผลิตภัณฑ์ให้ตรงตามความต้องการของผู้บริโภคแต่ละคน เนสท์เล่ลงทุนอย่างต่อเนื่องในการสร้างเครือข่ายศูนย์วิจัยและพัฒนาอาหารและโภชนาการที่ใหญ่ที่สุดในโลก เพื่อพัฒนาผลิตภัณฑ์และคิดค้นนวัตกรรมอาหารและเครื่องดื่มให้มีรสชาติอร่อยถูกปาก พร้อมให้คุณค่าทางโภชนาการที่ดีต่อสุขภาพของผู้บริโภคยิ่งขึ้น

ปัจจุบัน บริษัท เนสท์เล่ (ไทย) จำกัด ได้ผลิตและจำหน่ายผลิตภัณฑ์อาหารและเครื่องดื่ม กว่า 40 ตราสินค้าที่ได้รับการยอมรับและชื่นชอบในหมู่ผู้บริโภคชาวไทยทุกช่วงวัย เจตนารมณ์ของเนสท์เล่ที่ส่งผ่านคำว่า “Nestlé Good Food, Good Life” ได้ถ่ายทอดให้เห็นถึงคำมั่นสัญญาที่เราจะมุ่งมั่นพัฒนาเพื่อยกระดับสุขภาพ และคุณภาพชีวิตที่ดีให้ผู้บริโภคชาวไทยตลอดไป

 

          สำหรับผลิตภัณฑ์กลุ่มน้ำดื่มของเนสท์เล่ในประเทศไทย ได้แก่ น้ำแร่ธรรมชาติมิเนเร่ น้ำดื่มเนสท์เล่ เพียวไลฟ์ น้ำแร่ธรรมชาติชนิดมีฟองและเครื่องดื่มน้ำแร่ธรรมชาติชนิดมีฟองแต่งกลิ่นธรรมชาติเปอริเอ้ น้ำแร่ธรรมชาติวิทเทล น้ำแร่ธรรมชาติชนิดมีฟองและเครื่องดื่มรสผลไม้ซานเปอริกาโน่ และน้ำแร่ธรรมชาติอะควาพันนา

 

ไซเบอร์ตรอน ชี้ภัยไซเบอร์มุ่งโครงสร้างพื้นฐานสำคัญของประเทศ แนะแนวทาง 3 ขั้นตอนในการเตรียมองค์กรให้พร้อมกับภัยคุกคามในอนาคต พร้อมจับมือเอสน็อคผู้ให้บริการการป้องกันดีดอสผ่านระบบคลาวด์

          ไซเบอร์ตรอน เผยภัยคุกคามทางไซเบอร์มุ่งโจมตีโครงสร้างพื้นฐานของประเทศ ระบุเว็บไซต์ของหน่วยงานรัฐในไทยต้องเผชิญการลักลอบเปลี่ยนหน้าเว็บเพจเกือบสองหมื่นครั้ง  แนะทุกองค์กรต้องดำเนินการให้ครบ 3 ขั้นตอนเพื่อป้องกันภัยคุกคามทางไซเบอร์ในอนาคต พร้อมกับ จับมือเอสน็อค ผู้ให้บริการการป้องกันการโจมตีแบบดีดอสผ่านระบบคลาวด์

 

          นายปริญญา หอมเอนก ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ไซเบอร์ตรอน จำกัด ผู้ให้บริการเฝ้าระวังภัยทางไซเบอร์ กล่าวว่า ปัจจุบันภัยคุกคามทางไซเบอร์มีมากขึ้นทุกวัน และมุ่งเน้นการโจมตีไปยังระบบคอมพิวเตอร์ที่ควบคุมโครงสร้างพื้นฐานที่สำคัญของประเทศ  ระบบการเงินการธนาคาร รวมถึงระบบงานต่าง ๆ ของภาครัฐที่ให้บริการประชาชน  โดยการโจมตีผ่านช่องโหว่ของระบบปฏิบัติการช่องโหว่ของบราวเซอร์ และ แอพพลิเคชั่นต่าง ๆ หรือ โจมตีโดยโปรแกรมไม่ประสงค์ดีที่รู้จักกันในนาม “มัลแวร์” (MalWare) ที่ถูกพัฒนาขึ้นมาใหม่อย่างต่อเนื่องและมีรูปแบบการโจมตีที่เปลี่ยนแปลงไปตลอดเวลา 

 

          สำหรับประเทศไทยภัยคุกคามด้านไซเบอร์เพิ่มสูงขึ้นมาก ทั้งจากการที่ระบบคอมพิวเตอร์ของไทยถูกใช้เป็นฐานในการโจมตีไปยังหน่วยงานอื่น หรือประเทศอื่น และทำให้เกิดความเสียหายต่อทั้งทรัพยากร ภาพลักษณ์ และความเชื่อมั่นต่อประเทศ ตัวอย่างที่แสดงได้อย่างชัดเจนก็คือ การเปลี่ยนแปลงหน้าเว็บเพจ (Web Defacement) โดยจากการรวบรวมข้อมูลพบว่า  เว็บไซต์ของหน่วยงานภาครัฐต้องเผชิญการลักลอบเปลี่ยนแปลงหน้าเว็บเพจเกือบสองหมื่นครั้งหรือเกือบครึ่งของการเปลี่ยนแปลงหน้าเว็บเพจทั้งหมดของเว็บไซต์ที่จดทะเบียนในประเทศไทย 

 

          นอกจากความเสี่ยงจากการอาจถูกลักลอบเปลี่ยนแปลงหน้าเว็บเพจแล้ว ภัยคุกคามทางไซเบอร์ยังประกอบด้วย การติด “แรนซัมแวร์” (Ransomware) ซึ่งเป็นไวรัสเรียกค่าไถ่ โดยใช้ข้อมูลเป็นตัวประกัน  ทำให้ไม่สามารถเข้าถึงข้อมูลภายในเครื่องคอมพิวเตอร์ได้ ก่อให้เกิดความเสียหายได้ตั้งแต่ขัดขวางรบกวนการทำงาน จนถึง ลักลอบส่งข้อมูลส่วนบุคคลออกไปให้ผู้ไม่ประสงค์ดี เกิดการจารกรรมข้อมูลซึ่งเป็นความลับทางคอมพิวเตอร์ หรือ แม้กระทั่งการรบกวนการทำงานของระบบคอมพิวเตอร์เป้าหมาย  อันเป็นเหตุให้ไม่สามารถให้บริการได้ด้วยเทคนิคการโจมตีแบบดีดอส (DDoS: Distributed Denial of Service)

 

          “จะเห็นได้ว่า เราไม่อาจเลี่ยงการโจมตีทางไซเบอร์ได้อีกต่อไปแล้ว โดยเฉพาะเมื่อเรากำลังเข้าสู่เศรษฐกิจดิจิทัล องค์กรทั้งหลายต้องมีการเตรียมความพร้อม ป้องกัน และรับมือกับภัยคุกคามเหล่านั้นอย่างจริงจัง” นายปริญญา กล่าว

 

          สำหรับการบริการของ ไซเบอร์ตรอน ซึ่งมุ่งเน้นการให้บริการเฝ้าระวังภัยคุกคามทางไซเบอร์ภายใต้แนวความคิด เรสปอนซีพ ซิเคียวริตี้ (Responsive Security) ซึ่งมี “เวลา” เข้ามาเป็นตัวแปรเกี่ยวข้องกับการให้บริการ ทั้งในขั้นตอนของการป้องกัน การตรวจจับ  และการตอบสนอง โดยจะสามารถเติมเต็มความพร้อมในการรับมือต่อภัยคุกคามทางไซเบอร์ในอนาคตได้ด้วยบริการ “ไซเบอร์ 911” (Cyber 911)  ตั้งแต่การจัดเก็บข้อมูลการจราจรทางคอมพิวเตอร์ (Traffic Log) จนถึงขั้นตอนของการวิเคราะห์และเฝ้าระวังภัยคุกคาม ตลอดจนการตอบสนองต่อภัยคุกคามตามขั้นตอนที่ได้วางแผนไว้ก่อนล่วงหน้า (Incident Response Plan)

นายปริญญา กล่าวต่อว่า บริษัท ไซเบอร์ตรอน ยังได้ร่วมมือกับบริษัท เอสน็อค เพื่อนำเสนอการบริการรักษาความปลอดภัยทางไซเบอร์อย่างครบวงจร โดยเอสน็อค เป็นผู้ที่ความเชี่ยวชาญในการป้องกันภัยคุกคามแบบดีดอสที่กำลังเป็นภัยคุกคามที่สร้างความเสียหายให้องค์กรธุรกิจค่อนข้างสูง และมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง

 

          ด้าน นายวิศรุต มานูญพล ผู้อำนวยการฝ่ายเทคโนโลยี บริษัท ซีเคียว เน็ตเวิร์ค โอเปอเรชั่น เซ็นเตอร์ จํากัด หรือ เอสน็อค ผู้ให้บริการป้องกันภัยคุกคามไซเบอร์รูปแบบดีดอส (Distributed Denial of Service: DDoS) บนเทคโนโลยีคลาวด์ เปิดเผยว่า ดีดอส เป็นภัยการคุกคามอีกรูปแบบหนึ่งที่ก่อความเสียหายต่อระบบคอมพิวเตอร์สูง เป็นการโจมตีที่ทำให้เครื่องแม่ข่ายหรือเครือข่ายที่ให้บริการไม่สามารถให้บริการได้ตามปกติ หรือทำให้เส้นทางการเชื่อมต่อเต็ม ซึ่งเกิดจากเป็นการโจมตีจากหลายจุดพร้อมกัน โดยจากผลการสำรวจของการ์ทเนอร์ในปี 2557  พบว่า มูลค่าความเสียหายที่เกิดจากระบบเครือข่ายล่ม เฉลี่ยนาทีละ 5,600 ดอลลาร์สหรัฐ หรือประมาณ 200,000 บาท และจากผลการสำรวจของสถาบันโพเนมอน (Ponemon Institute) พบว่า สาเหตุการหยุดทำงานของระบบไอที (Unplanned Outage) ที่เกิดจาก ดีดอส นั้นเป็นอันดับ 2 นอกจากนั้นบริษัทฯ ยังพบว่า องค์กรต่าง ๆ กว่าจะทราบว่าระบบไม่สามารถใช้งานได้เนื่องจากถูกโจมตีด้วยดีดอส ต้องใช้เวลาเฉลี่ยถึง 2 ชั่วโมง ซึ่งองค์กรในประเทศไทยกว่าร้อยละ 80 ยังไม่มีการป้องกันดีดอส

               

          “บริษัทฯ จึงเปิดให้บริการการป้องกันภัยไซเบอร์ดีดอสสำหรับทุกองค์กร ทุกธุรกิจ ทุกบริษัท ทั้งหน่วยงานราชการและเอกชนทุกแห่งในประเทศไทยให้มีความปลอดภัยจากการโจมตีชนิดนี้ และบริษัทฯ ยังได้เปิดตัวเอสน็อค เวอร์ชั่น 3.0 (Snoc version 3.0) ที่ทำให้บริษัทฯ เป็นผู้ให้บริการการป้องกันดีดอสรายแรกในประเทศไทยที่สามารถป้องกันได้ทุกระบบ ไม่ว่าระบบนั้นจะเป็นเว็บ ดีเอ็นเอส หรือแอพพลิเคชั่นใด ๆ ก็ตาม” นายวิศรุต กล่าว 

นายวิศรุต กล่าวต่อว่า จากการที่ภัยคุกคามทางไซเบอร์มีหลากหลายรูปแบบมากขึ้น ทางบริษัทฯ จึงได้จับมือกับบริษัท ไซเบอร์ตรอน ซึ่งเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านการรักษาความปลอดภัยทางไซเบอร์ ในการให้บริการลูกค้าอย่างครบวงจรใน 3 ขั้นตอน คือ การเฝ้าระวังหรือการตรวจจับ การตอบสนอง และการป้องกัน และยังครอบคลุมภัยคุกคามอื่น ๆ อีกด้วย

Dassault Systèmes และ Airbus Group ขยายการทำงานร่วมกัน ในส่วนเพิ่มเติมการผลิต

          Dassault Systèmes, 3DEXPERIENCE Company ผู้นำของโลกในด้านซอฟต์แวร์การออกแบบ 3D, การสร้างโมเดลจำลอง 3D แบบดิจิทัล (3D Digital Mock Up) และโซลูชั่นด้านการจัดการวงจรชีวิตผลิตภัณฑ์ (Product Lifecycle Management; PLM) ได้ประกาศในวันนี้ว่า Airbus Group หลังจากสองปีที่ได้ดำเนินการเทียบเกณฑ์มาตรฐาน (Benchmarking) จนเสร็จสิ้นครอบคลุมในทุกด้าน Airbus Group ได้ต่อขยายการใช้แพลตฟอร์ม 3DEXPERIENCE ของ Dassault Systèmes เพิ่มอีก โดยใช้เป็นส่วนเพิ่มเติมการผลิต (Additive Manufacturing) ที่ผสมผสานทั้งการออกแบบ, การจำลองแบบ และกระบวนการผลิต

 

          Airbus Group จะดำเนินการร่วมกันในการใช้แอพพลิเคชั่นสำหรับออกแบบและจำลองแบบของ Dassault Systèmes โดยให้เป็นส่วนหนึ่งของ "การออกแบบร่วมเพื่อมุ่งสู่เป้าหมาย" (Co-Design to Target) ด้วยประสบการณ์แก้ปัญหาทางอุตสาหกรรม เพื่อนำมาใช้เป็นส่วนเพิ่มเติมการผลิต ด้วยการเป็นเครื่องมือ, การเป็นต้นแบบ และเป็นชิ้นส่วนสำหรับทดสอบการบิน และใช้สำหรับการผลิตอากาศยานเชิงพาณิชย์ ซึ่งจะทำให้ Airbus Group มีความพร้อมสำหรับความต่อเนื่องทางดิจิทัล ซึ่งจะทำให้ผลลัพธ์ออกมาดีที่สุดตามแบบในแนวคิด ด้วยการทำให้ถูกต้องอย่างแท้จริงในแต่ละช่วงของกระบวนการที่เป็นส่วนเพิ่มเติมการผลิต ซึ่งพลังขับจากแอพพลิเคชั่นของ Dassault Systèmes และความสามารถในการเป็นผู้นำ และทักษะความเชี่ยวชาญทางวิศวกรรมที่มีอยู่แล้วในตัว ได้ถูกนำมารวมไว้ในส่วนเพิ่มเติมการผลิต จึงทำให้ Airbus Group ค้นพบความเป็นไปได้อันยิ่งใหญ่ของการออกแบบและการผลิต ที่จะทำให้บรรลุผลได้ตามข้อกำหนดทางวิศวกรรม และการผลิต จากการเป็นส่วนเพิ่มเติมการผลิตในลักษณะของการเป็นเครื่องมือและชิ้นส่วน

 

          สำหรับส่วนเพิ่มเติมการผลิต ตามที่รับรู้กันมาว่า การพิมพ์แบบ 3 มิติ (3D Printing) นั้น ถูกนำมาใช้เป็นทางเลือกหนึ่งในกระบวนการผลิต เช่น งานกัดโลหะ, การหลอม, การหล่อ และการหลอมขึ้นรูปแบบประณีต โดยมีการนำมาใช้แล้วในอุตสาหกรรมอวกาศ ทั้งในการสร้างสรรค์งานออกแบบผลิตภัณฑ์ และการทำต้นแบบ ซึ่งการใช้เป็นส่วนเพิ่มเติมการผลิตนั้น มีทั้งเป็นการต่อขยายเพิ่มทีละน้อย ไปจนถึงการผลิตขนาดใหญ่ แอพพลิเคชั่นที่เป็นพลังขับ "การออกแบบร่วมเพื่อมุ่งสู่เป้าหมาย" ด้วยประสบการณ์แก้ปัญหาทางอุตสาหกรรม ที่อยู่ในส่วนเพิ่มเติมการผลิตนั้น ทำให้เกิดความยืดหยุ่นสูงต่อการออกแบบชิ้นส่วน, การผลิต และการทดสอบ และด้วยความสามารถที่เกื้อหนุนเหล่านี้ จึงสามารถลดความสูญเปล่าและต้นทุนที่เกิดขึ้นจากการผลิตชิ้นส่วนอากาศยานที่มีความซับซ้อน โดยไม่ทำให้ความแข็งแรงหรือสมรรถนะถดถอยลง

 

          "มีหลายโครงการ ไปจนถึงโครงการของ Airbus ต่างก็เร่งใช้ส่วนเพิ่มเติมการผลิตให้เร็วขึ้น เพื่อการสร้างต้นแบบ รวมทั้งเป็นองค์ประกอบการผลิตที่มีศักยภาพในการส่งมอบชิ้นส่วนที่เบากว่า และไม่แพง จึงทำให้บรรลุผลทั้งด้านเทคโนโลยี, สมรรถนะ, ความปลอดภัย และมาตรฐานด้านต้นทุน" กล่าวโดย Robert Nardini, Senior Vice President Engineering Airframe, Airbus "Airbus ได้ใช้แอพพลิเคชั่นการจำลองแบบของ Dassault Systèmes มาอย่างยาวนาน เพื่อเร่งงานวิเคราะห์โครงสร้าง และการทดสอบอากาศยานแบบเสมือนจริง และตอนนี้ เราสามารถกำหนดเส้นทางใหม่ในการออกแบบชิ้นส่วนได้จากพลังการออกแบบที่อยู่บนพื้นฐานของการจำลองแบบ เพื่อตอบโจทย์ความต้องการของตลาดในทางการบินได้ดีกว่า"

 

          "ส่วนเพิ่มเติมการผลิต ได้สร้างโอกาสใหม่ในหลายๆ ด้านที่แตกต่างกันอย่างมาก อย่างเช่น การสร้างข้อมูลเทียมจากระยะไกลเพื่อขอการสนับสนุนและการบำรุงรักษา, การสร้างต้นแบบอย่างรวดเร็วเพื่อทำให้แนวความคิดใหม่กลายเป็นจริงและเป็นประสบการณ์ และบางที อาจจะมีความสำคัญที่สุดก็ได้ หากงานออกแบบที่พัฒนาขึ้นจากข้อมูลเทียมในตอนนั้นก้าวมาถึงจุดที่เป็นไปไม่ได้" กล่าวเสริมโดย Dominique Florack, Senior Executive Vice President, Research & Development, Dassault Systèmes "การเข้าใกล้จุดนี้ จะทำให้ Airbus Group สามารถสร้างโอกาสที่ดีได้จากแพลตฟอร์ม 3DEXPERIENCE ในยุคต่อไปจากการเป็นผู้ช่วยออกแบบชิ้นส่วนโดยอัตโนมัติ โดยไม่ได้คำนึงว่าพวกเขาจะสร้างขึ้นจากการพิมพ์แบบ 3 มิติหรือไม่ก็ตาม ดังนั้นจึงเป็นการเร่งความเร็วคลื่นลูกใหม่ของการเปลี่ยนแปลงด้านอุตสาหกรรมอวกาศ ด้วยแพลตฟอร์ม 3DEXPERIENCE พวกเราได้ส่งมอบโซลูชั่นแบบ End to End รวมทั้งตัวแปรทางวิศวกรรมทั้งหมดที่ใช้สำหรับการทำชิ้นส่วนของส่วนเพิ่มเติมการผลิต รวมถึงวิทยาศาสตร์ด้านวัสดุ, ฟังก์ชั่นที่กำหนดไว้เฉพาะ, แบบต้นกำเนิด, การพิมพ์แบบ 3 มิติให้ดีที่สุด, การผลิต และการออกเอกสารรับรอง"

 

“อ้วยอันโอสถ” แบรนด์ดังสมุนไพร ตั้งเป้าโต 30% พร้อมเปิดตัวผลิตภัณฑ์ใหม่ภายใต้แบรนด์ MR.HERB

          นางนิชา สมบูรณ์เวชชการ กรรมการผู้จัดการ บริษัท อ้วยอันโอสถ จำกัด เปิดเผยว่า ปี 2559 บริษัทฯตั้งเป้าโต 30 % จากปีที่ผ่านมายอดขายอยู่ที่ประมาณ 384 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 42% จากปี 2557 สำหรับการขยายตลาดของบริษัทฯในปีนี้ จะแบ่งเป็นสองกลุ่มคือกลุ่มลูกค้าเดิมของอ้วยอันโอสถ ซึ่งบริษัทฯ ได้ขยายช่องทางการจัดจำหน่ายให้เพิ่มมากขึ้น เนื่องจากสินค้าของบริษัทฯ บางส่วนเป็นยาสามัญประจำบ้าน เช่นยาแคปซูลขมิ้นชัน ยาแคปซูลฟ้าทะลายโจร ยาอมสมุนไพรตรามังกรทอง ดังนั้นการวางจำหน่ายจึงไม่ได้จำกัดเฉพาะร้านขายยา สามารถวางจำหน่ายได้ทุกที่ ไม่ว่าจะเป็นร้านสะดวกซื้อต่าง ๆ ในห้างสรรพสินค้า หรือในไฮเปอร์มาร์เกต นอกจากนี้ยังได้ออกแพคไซส์ใหม่เพื่อเพิ่มความสะดวกสบายให้กับผู้บริโภค กลุ่มที่สองคือกลุ่มคนที่ไม่เคยลองใช้สมุนไพรให้หันมาลองใช้สมุนไพร โดยการให้ความรู้และประโยชน์เกี่ยวกับสมุนไพร ผ่านสื่อต่าง ๆ สำหรับปีนี้เปิดตัวผลิตภัณฑ์ใหม่ คือ ยาคอส COZZ สมุนไพรช่วยให้นอนหลับ, ยาอมตรามิสเตอร์เฮิร์บ Mr.Herb Lozenges เป็นยาอมสมุนไพรแก้ไอขับเสมหะ ในแพคเกจและรูปแบบที่ทันสมัย พร้อมสองรสชาติใหม่ รสทับทิมและ จินเจอร์ไลม์, ยาน้ำแก้ไอเด็กตรามิสเตอร์เฮิร์บ ยาน้ำแก้ไอสำหรับเด็กที่ผลิตจากสมุนไพรแท้ 100% เพื่อขยายฐานลูกค้าใหม่ 

 

          นอกจากนี้บริษัท อ้วยอันโอสถ มีนโยบายการพัฒนาสินค้าด้วยการใช้นวัตกรรมทั้งทางด้าน เทคโนโลยี และองค์ความรู้ ในการพัฒนาสินค้าของบริษัทฯ เพื่อเพิ่มความสะดวกให้ผู้บริโภค เช่น การปรับปรุงแพคเกจจิ้งให้ทันสมัยและง่ายต่อการใช้งาน  รวมถึงการคิดค้นยาสมุนไพรสูตรใหม่ ๆ ที่ยังไม่มีในตลาดเพื่อคนไทยจะได้มีทางเลือกในการใช้สมุนไพร “ส่วนภาพรวมของตลาดสมุนไพร ข้อมูลจาก มูลค่าการตลาดผลิตภัณฑ์จากสมุนไพร ด้านยาสมุนไพร จากข้อมูลสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (กลุ่มสมุนไพร) รายงานว่า มูลค่าการตลาดยาจากสมุนไพรในประเทศประมาณการ 10,000 ล้านบาท กลุ่มผลิตภัณฑ์เสริมอาหารมีมูลค่าถึง 80,000 ล้านบาท ซึ่งกลุ่มยาสมุนไพรและอาหารเสริมมีแนวโน้มที่จะยังเติบโตอย่างต่อเนื่อง เพราะเรากำลังก้าวเข้าสู่สังคมผู้สูงวัยและผู้คนให้ความสนใจดูแลสุขภาพตัวเองมากยิ่งขึ้น

 

          สำหรับช่องทางจัดจำหน่ายของทางบริษัท แบ่งเป็น 2 ช่องทางคือ ร้านขายยาทั่วประเทศ ซึ่งรวมถึงร้านยา Chain Store และร้านยาย่อย กับโมเดิร์นเทรด สัดส่วนของทั้งสองช่องทางอยู่ที่ 60%-40% ส่วนกลยุทธ์ทางการตลาดได้ทุ่มงบ การตลาด โฆษณา ประชาสัมพันธ์ ทั้ง Traditional Media ควบคู่ไปกับ Digital Marketing โดยเน้นไปที่การทำสื่อและสร้างคอนเทนต์ที่เข้าถึงกลุ่มผู้บริโภคกลุ่มต่าง ๆ เพื่อตอกย้ำแบรนด์ให้เป็นที่รู้จัก รวมถึงการสร้างความน่าเชื่อถือของทางบริษัทฯ ผ่านสื่อต่าง ๆ รวมถึงให้ความรู้เรื่องการรักษาและบรรเทาโรคด้วยสมุนไพรให้กับกลุ่มคนที่ยังไม่เคยใช้ยาสมุนไพร”

 

          ด้าน นายชนรรค์ สมบูรณ์เวชชการ กรรมการผู้จัดการ บริษัท อ้วยอันโอสถ จำกัด กล่าวเสริมว่า จุดแข็งของอ้วยอันโอสถที่แตกต่างจากคู่แข่งคือ อ้วยอันโอสถเติบโตมาเกือบ 70 ปี ปัจจุบันเป็นทายาทรุ่น 3 ที่เข้ามาบริหารงาน ซึ่งองค์ความรู้ ในการผลิตยาจากสมุนไพรยาแผนโบราณนั้นได้ถูกสืบทอดมาและพัฒนาโดยใช้เทคโนโลยีสมัยใหม่ ผสมผสานกับองค์ความรู้ที่ถูกสืบทอดมา  บริษัทฯ ให้ความสำคัญตั้งแต่ 1.การคัดเลือกวัตถุดิบโดยเลือกจากแหล่งที่ได้รับมาตรฐาน การเกษตรที่ดี หรือ GAP Good Agricultural Practice และมีการตรวจสอบคุณภาพ (โดยมีการตรวจสอบทางกายภาพ และสารสำคัญ) ก่อนรับเข้ามาผลิต 2.กระบวนการผลิต ซึ่งบริษัทฯ ใช้ระบบ GMP PIC/S เข้ามาช่วยในการควบคุมสุขลักษณะ ของอาคาร พนักงาน ตลอดจนเอกสารที่สามารถทวนสอบกลับได้ 3.มาตรฐานคุณภาพ บริษัทฯให้ความสำคัญกับด้านคุณภาพเป็นอย่างมาก โดยบริษัทฯมีการตรวจวิเคราะห์ยาด้วยเครื่องมือที่ทันสมัย เช่น HPLC, Spectrophotomter โดยสารสำคัญที่ทางบริษัทฯทำการตรวจสอบ เช่นสาร Andrographolide ในฟ้าทะลายโจร เป็นต้น 4. บริษัทฯ มีการเปลี่ยนแปลง บรรจุภัณฑ์ให้มีความทันสมัยภายใต้คอนเซ็ปต์ สมุนไพรยุคใหม่สำหรับคนรุ่นใหม่ รวมถึงการชี้แจ้งบนฉลากอย่างถูกต้อง  รวมถึงการที่บริษัทฯได้รับรางวัลจากสถาบันต่าง ๆ เช่น รางวัล อ.ย.ควอลิตี้อวอร์ดถึง 4 สมัย จากคณะกรรมการอาหารและยา กระทรวงสาธารณสุข และรางวัลใบโพธิ์ อวอร์ด จากศศินทร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และธนาคารไทยพาณิชย์

 

          ปัจจุบันการผลิตบริษัทฯได้รับรองมาตรฐานการผลิต GMP PIC/S (Good Manufacturing Practice: Pharmaceutical Inspection Cooperation Scheme) ซึ่งเทียบเท่ากับการผลิตยาแผนปัจจุบันเป็นระบบประกันคุณภาพที่มีการปฏิบัติและพิสูจน์แล้วจากนักวิชาการด้านอาหารและยาทั่วโลกว่าสามารถทำให้อาหารและยาปลอดภัย เป็นที่เชื่อถือ ได้การรับรองมาตรฐาน GMP PIC/S ซึ่งเป็นมาตรฐานสูงสุดของหมวดสมุนไพรรายที่สองแห่งประเทศไทย

               

          นายชนรรค์ กล่าวปิดท้ายว่า “เรามีเครื่องจักรอัตโนมัติ เช่น เครื่องบรรจุ แคปซูล เครื่องสเปรย์ดายผลิตสารสกัดแบบผง เป็นต้น ทำให้มีกำลังการผลิตยาลูกกลอน 300 ตันต่อปี, ยาแคปซูล 1,200 ล้าน แคปซูลต่อปี, ยาเม็ด 1,000 Tablets ต่อชั่วโมง, ยาน้ำ 4 ล้านขวดต่อปี โดยบริษัทฯ มีแผนที่จะขยายตลาดสู่ประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน และกลุ่มยุโรปตะวันออกที่ให้ความสนใจสมุนไพร ในปัจจุบันบริษัทมีการส่งออกสมุนไพรไปประเทศ ออสเตรีย อิสราเอล โรมาเนีย มูลค่าประมาณ 3 ล้านบาทต่อปี โดยทางบริษัทมีระบบเอกสารที่ชัดเจนและสามารถสนับสนุนทางผู้จัดจำหน่ายในต่างประเทศในการขึ้นทะเบียนสินค้าอย่างถูกกฎหมาย สินค้าที่มีการส่งออกไปต่างประเทศคือ ขมิ้นชัน ฟ้าทะลายโจร สไปรูลิน่า และ มะรุม ในอนาคตจะมีแผนการขยายตลาดในประเทศในกลุ่ม AEC”