บริษัท KCE จำกัด ภายใต้ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรี (มจธ.) กับ บริษัท โอ๊คแลนด์ ยูนิเซอร์วิส จำกัด ภายใต้มหาวิทยาลัยโอ๊คแลนด์ ได้ลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือ เพื่อสร้างเครือข่ายการทำงานร่วมกันระหว่าง KCE และ ยูนิเซอร์วิส ในการให้บริการค้นคว้าวิจัย พัฒนา ปรับปรุง และสร้างนวัตกรรมทั้งในด้านกระบวนการและการคิดค้นผลิตภัณฑ์
ภายในงานได้รับเกียรติจาก รศ.ดร.ศักรินทร์ ภูมิรัตน อธิการบดี มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรี (มจธ.) ประธานคณะกรรมการที่ปรึกษา บริษัท เคเอ็กซ์ คอนซัลติ้ง เอนเตอร์ไพร์ซ จำกัด (KCE), มร.ไบรอัน เร็ด ผู้อำนวยการด้านการพัฒนาธุรกิจระหว่างประเทศ งานการศึกษา โอ๊คแลนด์ ยูนิเซอร์วิส, มิสคาเร็น แคมเบลล์ ทูตพาณิชย์ นิวซีแลนด์ประจำประเทศไทย สถานเอกอัครราชทูตนิวซีแลนด์ ประจำประเทศไทยในกรุงเทพฯ และ ดร.ลิสเบ็ท เจค็อปส ผู้จัดการทั่วไป งานระหว่างประเทศ โอ๊คแลนด์ ยูนิเซอร์วิส และคณะผู้บริหาร เข้าร่วมในพิธีลงนามครั้งนี้
รศ.ดร.ศักรินทร์ ภูมิรัตน อธิการบดี มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรี (มจธ.) ในฐานะประธานคณะกรรมการที่ปรึกษาบริษัท KCE กล่าวว่า “การลงนามในความร่วมมือนี้จะทำให้ KCE และยูนิเซอร์วิส เริ่มต้นความร่วมมือกันในหลาย ๆ ด้านเพื่อประโยชน์ในการสร้างสมรรถนะความสามารถของผู้ประกอบการ SME ไทย ซึ่งเป็นสมาชิก KCE และพันธมิตรทั้งหลายของ มจธ. โดยความร่วมมือนี้รวมถึงกิจกรรมที่ปรึกษาและวิจัย การอบรมเฉพาะตามความต้องการ การสร้างผลตอบแทนจากงานทางวิทยาศาสตร์สำหรับสมาชิก KCE และ SME อื่น ๆ โดยกิจกรรมทั้งหลายเหล่านี้จะเกิดขึ้น ณ อาคารเคเอกซ์ ซึ่งตั้งอยู่บนถนนกรุงธนบุรี-สาทร ใกล้กับสถานีรถไฟฟ้าบีทีเอสวงเวียนใหญ่ ไม่ไกลจากย่านธุรกิจใจกลางเมือง ด้วยการเดินทางที่สะดวกเชื่อว่าจะทำให้เกิดการเชื่อมโยงระหว่างภาคอุตสาหกรรมกับนวัตกรรม เพื่อความเข้มแข็งของผู้ประกอบการ SME และเพื่อให้การนำผลงานวิจัยสู่การพาณิชย์มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น”
“บันทึกข้อตกลงนี้จะเป็นสะพานเชื่อมระหว่างไทยและนิวซีแลนด์ที่สนับสนุนและพัฒนาความสัมพันธ์ที่นอกเหนือไปจากการค้าเพียงอย่างเดียว ซึ่งทางโอ๊คแลนด์ ยูนิเซอร์วิส ร่วมกับบริษัทเคซีอี เราจะสร้างผลงานที่สำคัญที่จะยกระดับความสัมพันธ์นิวซีแลนด์และไทยที่แสดงออกถึงความเป็นหนึ่งเดียวและการแบ่งปันความเชี่ยวชาญทางทรัพย์สินทางปัญญาและเทคโนโลยี ซึ่งจะเป็นประโยชน์ต่อทั้งสองประเทศ และช่วยให้ไทยเร่งพัฒนากลยุทธ์การค้าของตัวเอง” ดร.ลิสเบ็ท เจค็อปส ผู้จัดการทั่วไป งานระหว่างประเทศ โอ๊คแลนด์ ยูนิเซอร์วิส
ทั้งนี้ บริษัทเคเอ็กซ์ คอนซัลติ้ง เอนเตอร์ไพร์ซ จำกัด (KCE) ในฐานะ Marketing Arm ของมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรี (มจธ.) จะให้บริการที่ปรึกษาและแลกเปลี่ยนความรู้ ด้วยการเชื่อมโยงระหว่างมหาวิทยาลัย รัฐบาลไทยพันธมิตรและวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (SMEs) สำหรับบริษัท โอ๊คแลนด์ ยูนิเซอร์วิส จำกัด ในฐานะ Commercial Arm ของมหาวิทยาลัยโอ๊คแลนด์และเป็นบริษัทค้นคว้าวิจัย และพัฒนาที่ใหญ่ที่สุดในทวีปออสเตรเลีย ยูนิเซอร์วิสทำหน้าที่บริหารจัดการทรัพย์สินทางปัญญาของมหาวิทยาลัยโอ๊คแลนด์ และรับผิดชอบในกิจกรรมสร้างพันธมิตรและการพาณิชย์จากงานที่ปรึกษาบนฐานงานวิจัยและพัฒนาของมหาวิทยาลัย
คุณคาเรน แคมเบลล์ ทูตพาณิชย์นิวซีแลนด์ประจำประเทศไทย กล่าวว่า “นิวซีแลนด์ เป็นที่รู้จักในด้านนวัตกรรมและเทคโนโลยีซึ่งเรามีความรู้สึกยินดีเป็นอย่างยิ่งที่ได้เห็นความร่วมมือที่เริ่มต้นขึ้นในวันนี้”
บริษัท เชลล์แห่งประเทศไทย จำกัด จัดกิจกรรมวันแห่งความปลอดภัยประจำปี ครั้งที่ 10 โดยมีพนักงาน ชุมชนใกล้เคียง ผู้รับเหมา และผู้บริหารสถานีบริการ เข้าร่วมรับฟังหลักการปฏิบัติตนเพื่อความปลอดภัยและเยี่ยมชมนิทรรศการเพื่อความปลอดภัย โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อปลูกฝังวัฒนธรรมเพื่อความปลอดภัยทั้งในการดำเนินชีวิตประจำวัน และการทำงาน ตอกย้ำการเป็นองค์กรที่ให้ความสำคัญด้านความปลอดภัย
นายอัษฎา หะรินสุต ประธานกรรมการ บริษัท เชลล์แห่งประเทศไทย จำกัด กล่าวว่า “การจัดกิจกรรมวันแห่งความปลอดภัยประจำปีในปีนี้ สะท้อนถึงหลักการดำเนินธุรกิจของเรา ที่มุ่งเน้นด้านความปลอดภัย สำหรับธีมในการจัดงานปีนี้คือ การบรรลุเป้าหมายเป็นศูนย์…เพราะเราห่วงใย มุ่งเน้นการป้องกันก่อนจะเกิดอุบัติเหตุ เราจึงพยายามสร้างความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับการปฏิบัติตนให้ปลอดภัยทั้งในการดำเนินชีวิตประจำวัน การขับรถ และการปฏิบัติงาน รวมทั้งยังช่วยรณรงค์ให้ความรู้ จัดอบรมให้แก่ชุมชนรอบข้าง เช่น การจัดอบรมวิธีดับเพลิง วิธีสังเกตดูจุดที่อาจก่อให้เกิดเป็นความเสี่ยงต่ออุบัติเหตุภายในบ้าน เพราะเชลล์ห่วงใยความปลอดภัยของทุกคน ไม่ใช่แค่เพียงพนักงานของเชลล์เท่านั้น แต่ยังรวมไปถึงชุมชนและบริษัทใกล้เคียง คู่ค้าของเรา รวมถึงผู้ที่ทำธุรกิจร่วมกับเราด้วย” ภายในงานยังได้มีจัดการประกวดผลงานเชิงความคิดสร้างสรรค์ ในการปลูกจิตสำนึกด้านความปลอดภัย “Safety Awards 2016” โดยมีผู้ส่งผลงานเข้าร่วมโครงการจากพนักงาน คู่ค้า และพนักงานจากสถานีน้ำมันจากทั่วประเทศอีกด้วย
บริษัท บ้านปู จำกัด (มหาชน) ผู้นำด้านธุรกิจพลังงานแห่งเอเชียที่มุ่งมั่นพัฒนาสังคมอย่างยั่งยืน นำโดย นางอุดมลักษณ์ โอฬาร (ที่ 5 จากขวา) ผู้อำนวยการสายอาวุโส-องค์กรสัมพันธ์ ร่วมกับ คณะสิ่งแวดล้อมและทรัพยากรศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล นำโดย รศ.ดร.รัตนวัฒน์ ไชยรัตน์ (ขวาสุด) ประธานโครงการค่ายเพาเวอร์กรีน 10 นำเยาวชนที่ได้รับคัดเลือกจาก โครงการ “ค่ายเพาเวอร์กรีน” ปีที่ 10 จำนวน 3 คน เดินทางไปทัศนศึกษา ณ ประเทศอินโดนีเซีย ซึ่งนับเป็นแหล่งที่มีความหลากหลายทางชีวภาพอุดมสมบูรณ์มากที่สุดเป็นอันดับ 2 ของโลก เพื่อเรียนรู้อย่างเจาะลึกเกี่ยวกับความหลากหลายของพืชพันธุ์และสัตว์ป่าหายากในประเทศอินโดนีเซีย พร้อมเยี่ยมชมกระบวนการผลิตและการบริหารจัดการเหมืองของ บมจ.บ้านปู ที่ให้ความสำคัญกับการดูแลรักษาสิ่งแวดล้อมและชุมชน ตลอดจนการอนุรักษ์ความหลากหลายทางชีวภาพและฟื้นฟูพื้นที่เหมืองตามแนวทางการพัฒนาอย่างยั่งยืน
กิจกรรมนี้เป็นการต่อยอดประสบการณ์การเรียนรู้ด้านวิทยาศาสตร์สิ่งแวดล้อมของค่ายเพาเวอร์กรีนปีที่ 10 ซึ่งจัดขึ้นเมื่อเดือนตุลาคมปี 2558 ในหัวข้อ “ความหลากหลายทางชีวภาพ กับการพัฒนาสิ่งแวดล้อมและคุณภาพชีวิตที่ยั่งยืน” ภายใต้แนวคิด “เรียนรู้สู่การปฏิบัติจริง” อันจะเป็นการส่งเสริมให้เยาวชนมีความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับความหลากหลายทางชีวภาพ ซึ่งเป็นประเด็นที่ทั่วโลกให้ความสำคัญในฐานะกลไกที่จำเป็นต่อการสร้างสมดุลและการพัฒนาประเทศอย่างยั่งยืน เพื่อนำไปปรับใช้กับการเรียน การใช้ชีวิต และการทำงานต่อไปในอนาคต
บริษัท โรเบิร์ต บ๊อช ออโตโมทีฟ เทคโนโลยีส์ (ประเทศไทย) จำกัด เผยแผนการสร้างโรงงานผลิตหัวฉีดเชื้อเพลิงแห่งแรกในประเทศไทย ซึ่งโรงงานแห่งใหม่นี้มีประสิทธิภาพการผลิตสินค้าถึง 1 ล้านชิ้นต่อปี เพื่อตอบสนองความต้องการที่เพิ่มมากขึ้นของโรงงานประกอบรถยนต์ค่ายต่าง ๆ ที่มีฐานการผลิตในประเทศไทย
"โรงงานอัจฉริยะ" แห่งนี้เริ่มก่อสร้างขึ้นในนิคมอุตสาหกรรมเหมราช คาดว่าจะแล้วเสร็จในช่วงสิ้นปี 2559 โดยจะมีการนำเทคโนโลยีหัวฉีดเชื้อเพลิงที่ล้ำสมัยของบ๊อชเข้ามาใช้นอกจากนี้ โรงงานยังใช้ระบบอิเล็กทรอนิกส์ในการควบคุมการป้อนวัตถุดิบเข้าสายการผลิต การทดสอบขั้นสุดท้ายด้วยระบบอัตโนมัติ รวมไปถึงกระบวนการปรับแต่งชิ้นส่วนต่าง ๆ ให้ตรงตามมาตรฐาน
บ๊อชมุ่งมั่นพัฒนาอย่างไม่หยุดยั้ง เพื่อตอกย้ำความเป็นผู้นำระดับโลกในการผลิตหัวฉีดเชื้อเพลิง หัวฉีดทุกรุ่นของบ๊อชมีความแม่นยำสูงในรูปแบบการฉีดฝอย คงประสิทธิภาพการทำงานอย่างต่อเนื่อง และสามารถติดตั้งได้ง่าย
บ๊อชได้พัฒนาระบบหัวฉีดน้ำมันเชื้อเพลิงอิเล็กทรอนิกส์ แบบ D-Jetronic ออกจำหน่ายเป็นครั้งแรกเมื่อปี พ.ศ.2510 จากนั้นเรื่อยมา บ๊อชยังรักษาตำแหน่งผู้นำในการผลิตระบบฉีดน้ำมันเชื้อเพลิงอย่างต่อเนื่อง โดยมีการพัฒนาเพิ่มทั้งระบบ K-Jetronic, L-Jetronic and Motronic และหากสำรวจที่ตลาดอะไหล่แท้ จะพบว่าร้อยละ 85 ของรถยุโรปรุ่นต่าง ๆ ที่วิ่งอยู่ในปัจจุบัน ต่างเลือกใช้ระบบหัวฉีดน้ำมันเชื้อเพลิงของบ๊อชทั้งสิ้น
รูปภาพ (จากซ้ายไปขวา): นายแบรนด์ โอร์ซนาว รองประธานฝ่ายวิศวกรรมระบบน้ำมันแก๊สโซลีน บริษัท โรเบิร์ต บ๊อช ประเทศเยอรมนี จำกัด, ฯพณฯ นายเพเทอร์ พรือเกล เอกอัครราชทูตสหพันธ์สาธารณรัฐเยอรมนีประจำประเทศไทย, นายคริสต้อฟ เคียช รองประธานกรรมการบริหารระบบน้ำมันแก๊สโซลีน บริษัท บ๊อช อินเวสเม้นท์ ประเทศจีน จำกัด, นายมาร์ติน เฮย์ส ประธานภูมิภาคอาเซียน บริษัท โรเบิร์ต บ๊อช (เอเชียตะวันออกเฉียงใต้) ประเทศสิงคโปร์ จำกัด และ นายคาร์สเทิน ซัวร์ ชเตเกอ กรรมการผู้จัดการ บริษัท โรเบิร์ต บ๊อช ออโตโมทีฟ เทคโนโลยีส์ จำกัด (ประเทศไทย)
นายสุวิทย์ จินดาสงวน ประธานกรรมการ บริษัท อินเตอร์เนต โซลูชั่น แอนด์ เซอร์วิส โพรวายเดอร์ จำกัด หรือ ไอเอสเอสพี (คนกลาง) นายบัณฑิต ว่องวัฒนะสิน กรรมการผู้จัดการ บริษัท อินเตอร์เนต โซลูชั่น แอนด์ เซอร์วิส โพรวายเดอร์ จำกัด (ซ้ายมือ) และ นายธนพงษ์ อิทธิสกุลชัย ผู้อำนวยการฝ่ายส่งเสริมธุรกิจขนาดกลาง ขนาดย่อม และบริหารลูกค้า บริษัท ไมโครซอฟท์ (ประเทศไทย) จำกัด (ขวามือ) ผนึกความร่วมมือกันระหว่างไอเอสเอสพี และไมโครซอฟท์ ด้วยการให้ไอเอสเอสพีเป็นพาร์ทเนอร์ ตัวแทนจัดจำหน่าย Microsoft Cloud Solutions Provider หรือ Microsoft CSP ที่มี License หรือโซลูชั่นอื่น ๆ ตามข้อกำหนดของไมโครซอฟท์ ซึ่งลูกค้าสามารถสั่งซื้อสินค้าได้โดยตรงผ่านระบบของ CSP ซึ่งนอกจาก Microsoft CSP ทางไอเอสเอสพียังเปิดให้จำหน่าย Microsoft Office 365 และโซลูชั่นอื่น ๆ อาทิ Microsoft Azure, Enterprise Mobility Suite (EMS), Dynamic CRM Online ซึ่งทางไอเอสเอสพีพร้อมจะให้บริการ ให้ความช่วยเหลือและให้คำปรึกษาแก่ลูกค้าในการใช้งานตลอดเวลาแบบ 24x7 โดย CSP สามารถแก้ไขปัญหาเบื้องต้นให้ท่านได้อย่างรวดเร็ว เพื่อให้ธุรกิจดำเนินไปอย่างคล่องตัวและไม่สะดุดอีกต่อไป
เอสเอพี ประกาศแต่งตั้ง นายสก๊อต รัสเซล เป็นประธานและกรรมการผู้จัดการของเอสเอพี ตะวันออกเฉียงใต้ เพื่อเสริมความเข้มแข็งของทีมผู้บริหารระดับสูงของเอสเอพี เอเชียแปซิฟิก-ญี่ปุ่น อย่างต่อเนื่อง โดย นายสก๊อต รัสเซล จะดูแลขับเคลื่อนกลยุทธ์เพื่อการเติบโตอย่างยั่งยืน และการดำเนินงานของเอสเอพี เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ทั้งนี้นายสก๊อต รัสเซล จะประจำอยู่ที่ประเทศสิงค์โปร และ ขึ้นตรงกับ อะแดร์ ฟอกซ์-มาร์ติน ประธาน เอสเอพี ภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก-ญี่ปุ่น
“ในฐานะที่เป็นหนึ่งในภูมิภาคที่มีการแข่งขันสูง และเติบโตเร็วที่สุดในโลก ภูมิภาคตะวันออกเฉียงใต้คือตลาดที่สำคัญในเชิงกลยุทธ์สำหรับเอสเอพี เอเชียแปซิฟิก-ญี่ปุ่น” อะแดร์ ฟอกซ์-มาร์ติน, ประธาน เอสเอพี ภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก-ญี่ปุ่น กล่าว “ด้วยประสบการณ์การเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านการบริหารจัดการและธุรกิจในอุตสาหกรรมเทคโนโลยีของ สก๊อต เรามีความมั่นใจว่าเขาจะสร้างเส้นทางการเติบโตที่แข็งแกร่งและนำเอสเอพี เอเชียตะวันออกเฉียงใต้สู่ความสำเร็จอย่างต่อเนื่อง การแต่งตั้ง สก๊อต ครั้งนี้เป็นความมุ่งมั่นของเอสเอพีในการช่วยให้ลูกค้าเปลี่ยนผ่านเข้าสู่ธุรกิจดิจิตอลได้อย่างรวดเร็วขึ้น, ฟันฝ่าความซับซ้อน และเติบโตได้อย่างต่อเนื่องในยุคเศรษฐกิจดิจิตัล”
สก๊อต รัสเซล เป็นผู้บริหารที่มีประสบการณ์ช่ำชองมากกว่าสองทศวรรษในอุตสาหกรรมไอที ทั้งด้านซอฟท์แวร์ คลาวด์ และการบริการ โดยมีตำแหน่งล่าสุดเป็นประธานฝ่ายปฏิบัติการ (COO) ของเอสเอพี เอเชียแปซิฟิก-ญี่ปุ่น ซึ่งในขณะที่ดำรงตำแหน่งดังกล่าว สก็อต เป็นผู้นำและให้แนวทางการดำเนินงานกับหน่วยงานขาย และหน่วยงานปฏิบัติการต่าง ๆ ในภูมิภาค เอเชียแปซิฟิก-ญี่ปุ่น ซึ่งก่อให้เกิดการเพิ่มประสิทธิผลอย่างต่อเนื่อง และ เป็นส่วนสำคัญที่ช่วยให้บริษัทฯ บรรลุผลเป้าหมายทั้งทางด้านรายได้ และกำไร ยิ่งไปกว่านั้น สก็อต ยังเคยได้รับมอบหมายให้รักษาการในตำแหน่ง ประธานและกรรมการผู้จัดการของเอสเอพี ตะวันออกเฉียงใต้ ในช่วงไตรมาสที่ผ่านมา ซึ่งสก็อต สามารถช่วยให้ธุรกิจสามารถดำเนินงานต่อมาได้อย่างราบรื่น
“บริษัทต่าง ๆ ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ มีความเข้าใจดีอยู่แล้วว่า นวัตกรรมจะก้าวขึ้นมาเป็นสิ่งที่อยู่นำหน้าวิธีการดำเนินธุรกิจ ด้วยเหตุนี้เทคโนโลยี ในฐานะที่เป็นสิ่งที่ช่วยให้นวัตกรรมเกิดความเป็นไปได้ทางธุรกิจ จึงถูกมองเสมือนเป็นช่องทาง ในการขยายและผลักดันการเติบโตของธุรกิจหนึ่ง ๆ” นายสก๊อต รัสเซล กล่าว “โดยมี เอสเอพี ฮานา (SAP HANA) เป็นแกนกลาง (สามารถใช้งานได้บนคลาวด์) เอสเอพี อยู่ในตำแหน่งที่ดีในการนำเสนอประโยชน์ของ โครงร่างธุรกิจดิจิตัล (Digital Business Framework) ซึ่งประกอบด้วย นวัตกรรมทางด้านแอพพลิเคชั่นต่าง ๆ และ เน็ตเวิร์กที่น่าเชื่อถือ เพื่อขับเคลื่อนการเปลี่ยนแปลงไปสู่ “ดิจิตอลเอเชีย” และช่วยให้ลูกค้าของเราได้รับประโยชน์ในที่สุด”
“ผมรู้สึกเป็นเกียรติอย่างยิ่งที่เข้ามานำธุรกิจของ เอสเอพี และส่งมอบนวัตกรรมของโซลูชั่นที่ครบวงจรสำหรับอุตสาหกรรมต่างๆ แด่ลูกค้าของเราในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ นอกจากนั้น เมื่อเร็ว ๆ นี้ เอสเอพี ยังได้รับเกียรติให้เป็นสถานที่น่าทำงานมากที่สุดในสิงคโปร์ ซึ่งเป็นผลมาจากการลงทุนด้านบุคลากรอย่างต่อเนื่องทั้งด้านการพัฒนาความเป็นเลิศในด้านต่าง ๆ และความเป็นผู้นำ ผมตั้งใจที่จะทำงานร่วมกับทีมเอเชียตะวันออกเฉียงใต้เพื่อนำเอสเอพีก้าวสู่ระดับที่สูงขึ้นไปด้วยศักยภาพในการเติบโตของเราที่ไม่มีขีดจำกัด ซึ่งจะทำให้เราสามารถนำเอเชียดิจิตัลไปสู่ความสำเร็จต่อไป” นายสก๊อต กล่าวเพิ่มเติม
เอปสัน ต้อนรับเปิดเทอมส่งโปรโมชั่น Epson Back to School กับเครื่องพิมพ์แท็งก์แท้ราคาประหยัดหลากหลายรุ่นมาให้เลือกซื้อในราคาพิเศษ เหมาะสำหรับนักเรียน นักศึกษาที่ต้องการพิมพ์งานเอกสารตลอดปีการศึกษา ประกอบด้วยรุ่นยอดนิยม Epson L220 พิเศษเพียง 4,590 บาท จากปกติ 4,790 บาท และ Epson L365 พิเศษเพียง 5,550 บาท จากปกติ 6,050 บาท สุดพิเศษ! รับเพิ่มฟรีทันที หมึกดำ 1 ขวด มูลค่า 250 บาท และพบกับข้อเสนออื่น ๆ จาก Epson Back to School ได้ตั้งแต่วันที่ 1-31 พฤษภาคม 2559 ติดตามรายละเอียดและโปรโมชั่นเพิ่มเติมได้ที่ www.epson.co.th หรือ Fanpage: EpsonThailand *บริษัทขอสงวนสิทธิ์ในการเปลี่ยนแปลงเงื่อนไขโดยไม่แจ้งให้ทราบล่วงหน้า
นายสุริพงษ์ ตันติยานนท์ (ซ้าย) ผู้จัดการวีซ่า ประจำประเทศไทย พร้อมด้วย มร.วิพิน คาลร์รา (ขวา) ผู้อำนวยการ Merchant Sales and Solutions วีซ่าประจำภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก ได้ร่วมลงนามข้อตกลงกับ นายเฉลิมชัย ฉัตรชัยกนันท์ (กลาง) ประธานเจ้าหน้าที่ สายงานธุรกิจและปฏิบัติการ บริษัท ไทยสมาร์ทคาร์ด จำกัด ประกาศความร่วมมือกันครั้งแรกในการเปิดให้บริการรับบัตรวีซ่าในร้านเซเว่น อีเลฟเว่น ทั่วประเทศ
การประกาศความร่วมมือระหว่างวีซ่าและไทยสมาร์ทคาร์ดในครั้งนี้จะช่วยให้ผู้ถือบัตรวีซ่าสามารถใช้บัตรในการชำระเงินที่ร้านเซเว่น อีเลฟเว่น ทุกสาขาทั่วประเทศได้ โดยจะเริ่มต้นที่สาขาในเขตกรุงเทพมหานครและสาขาที่มีนักท่องเที่ยวใช้บริการสูงภายในไตรมาสสี่ปีนี้ และจะขยายไปทุกสาขาทั่วประเทศต่อไป การร่วมมือกันในครั้งนี้มีบทบาทสำคัญเพื่อกระตุ้นและขยายจุดรับบัตรให้กว้างขวางมากขึ้น ทั้งยังสอบรับนโยบายของภาครัฐในการผลักดันให้เป็นประเทศที่มีการใช้จ่ายในรูปแบบอีเพย์เมนท์ในวงกว้างมากขึ้น
“การลงนามเป็นพันธมิตรในครั้งนี้ถือได้ว่าเป็นอีกก้าวสำคัญของวีซ่าในประเทศไทย ด้วยสภาพแวดล้อมที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วในทุกวันนี้ทำให้ร้านค้าต้องมีการปรับตัวอย่างต่อเนื่อง เช่น การคำนึงถึงรูปแบบการซื้อและชำระเงินที่ลูกค้าต้องการ ร้านเซเว่น อีเลฟเว่น มีเครือข่ายที่กว้างขวางในขณะที่วีซ่ามีจำนวนผู้ถือบัตรมากที่สุดในประเทศไทย การเป็นพันธมิตรร่วมกับไทย สมาร์ท คาร์ด ในครั้งนี้ จะช่วยพัฒนาระบบการชำระเงินอิเล็กทรอนิกส์ในประเทศไทยให้กว้างไกลมากยิ่งขึ้น ทั้งยังสามารถช่วยให้ผู้คนจำนวนมากสามารถซื้อสินค้าในชีวิตประจำวันได้ผ่านบัตรได้สะดวกยิ่งขึ้น” นายสุริพงษ์ ตันติยานนท์ ผู้จัดการวีซ่า ประจำประเทศไทย กล่าว
บริษัท ฟูจิ ซีร็อกซ์ เอเชีย แปซิฟิค จำกัด แถลงข่าวการได้รับรางวัลชนะเลิศ Green Luminary Award 2016 สาขาสิ่งแวดล้อม จาก Channel NewsAsia ซึ่งเป็นสำนักข่าวที่อยู่ภายใต้เครือ MediaCorp องค์กรสื่อที่ใหญ่ที่สุดในประเทศสิงคโปร์ โดยรางวัลนี้คัดเลือกจาก 40 บริษัทใหญ่ในภูมิภาคเอเชีย ที่ดำเนินธุรกิจสนับสนุนเศรษฐกิจเอเชียอย่างโดดเด่น และสอดแทรกการกระทำเพื่อสิ่งแวดล้อมไปในห่วงโซ่ของธุรกิจได้อย่างดีเยี่ยม ด้วยการพัฒนาบริการและโซลูชั่นที่ประหยัดพลังงานและเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม
มร.ยาส คุโรฮะ ผู้จัดการทั่วไปฝ่ายการจัดการคุณภาพ บริษัท ฟูจิ ซีร็อกซ์ เอเชีย แปซิฟิค จำกัด เป็นตัวแทนจากบริษัทรับมอบรางวัลที่งาน Luminary Award 2016 ณ โรงแรมฟูลเลอร์ตัน ประเทศสิงคโปร์ โดยงานในครั้งนี้ได้รับเกียรติจาก มร. เอส อิสวาราน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการค้าและอุตสาหกรรม จากประเทศสิงคโปร์ และแขกรับเชิญพิเศษจากประเทศมาเลเซีย อินโดนีเซีย เวียดนาม และไต้หวัน เข้าร่วมงานกว่า 230 คน
“ความตระหนักถึงสิ่งแวดล้อมเป็นหนึ่งในคุณค่าที่ฟูจิ ซีร็อกซ์ บริษัทในเครือ และพนักงานต่างให้ความสำคัญ รางวัลอันทรงเกียรตินี้ ได้พิสูจน์ให้เห็นถึงความมุ่งมั่นและความพยายามของเราที่ปฏิบัติต่อธุรกิจ ในฐานะที่เป็นหนึ่งในสมาชิกของสังคม และเป็นบุคคลซึ่งเคารพสิทธิขั้นพื้นฐานของมนุษยชาติเป็นสำคัญ รางวัลนี้เป็นกำลังใจให้เราก้าวต่อไปอีกขั้นในการพัฒนาสิ่งแวดล้อมอย่างยั่งยืนเพื่อให้เป็นไปตามเป้าหมายในปี 2020 ที่ฟูจิ ซีร็อกซ์ต้องการลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ตลอดวงจรชีวิตทั้งหมดของสินค้าของเราลง 30 เปอร์เซ็นต์เมื่อเทียบกับปี 2005” มร.คุโรฮะ กล่าวเมื่อได้รับรางวัล
สกว. ร่วมลงนาม รับเบอร์ วัลเลย์ ยักษ์ใหญ่ยางพาราของจีน ทำวิจัยและพัฒนาพร้อมแลกเปลี่ยนนักวิจัย-นักศึกษาร่วมกัน 5 ปี เพื่อรองรับการเติบโตของอุตสาหกรรมยางพารา และสร้างนวัตกรรมเพิ่มมูลค่าสินค้ายางพารา
สำนักงานกองทุนสนับสนุนการวิจัย (สกว.) และคณะ นำโดย ดร.จันทรวิภา ธนะโสภณ รองผู้อำนวยการ สกว. และ รศ.ดร.วรัญญา ว่องวิทย์ ผู้ช่วยผู้อำนวยการด้านเครือข่ายวิจัยนานาชาติและวิเทศสัมพันธ์ ลงนามบันทึกความร่วมมือในการพัฒนางานวิจัยและนักวิจัยด้านยางพาราระหว่าง สกว.และ บริษัท รับเบอร์ วัลเลย์ จำกัด ณ เมืองชิงเตา สาธารณรัฐประชาชนจีน โดยมี นายจาง หยาน (Mr. Zhang Yan) ประธานกรรมการบริษัทฯ ให้การต้อนรับและนำเยี่ยมชมสถานที่ต่าง ๆ
ทั้งนี้ สกว.ได้ลงนามบันทึกความร่วมมือในการพัฒนาองค์ความรู้ด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีของทั้งสองประเทศ เพื่อพัฒนาอุตสาหกรรมยางพาราผ่านการแลกเปลี่ยนนักวิจัยและนักศึกษาทำวิจัยยางพาราทั้งระยะสั้นและระยะยาว การจัดประชุมสัมมนาเผยแพร่ผลงานวิจัยร่วมกันเป็นประจำทุกปี โดยมีระยะเวลาความร่วมมือ 5 ปี เพื่อสร้างองค์ความรู้ นวัตกรรม และเทคโนโลยีต่าง ๆ รวมถึงสร้างนักวิจัยรองรับการเติบโตของอุตสาหกรรมยางพารา ซึ่งจะเอื้อให้อุตสาหกรรมยางพาราของทั้งสองประเทศสามารถสร้างนวัตกรรมเพิ่มมูลค่าสินค้ายางพาราได้
ในโอกาสนี้คณะผู้บริหารและเจ้าหน้าที่ สกว. ได้เยี่ยมชมสถานที่ต่าง ๆ ที่สำคัญ เช่น EVE Rubber Institute ซึ่งเป็นสถาบันวิจัยด้านการพัฒนาผลิตภัณฑ์ยางพาราและสารเคมียางของประเทศจีน ที่มีความพร้อมทั้งด้านเครื่องมือวิจัยและทดสอบสมบัติต่าง ๆ เครื่องมือที่ใช้ในกระบวนการผลิตในอุตสาหกรรมครบวงจร ภาคเอกชนสามารถเข้ามาใช้บริการทดสอบและทำวิจัยร่วมกันได้ ส่วนมหาวิทยาลัยชิงเตา (Qingdao University of Science and Technology) ซึ่งทำการวิจัยและผลิตบุคลากรด้านยางพารา ปัจจุบันมีนักศึกษาประมาณ 30,000 คน และมีนักวิจัยหลังปริญญาเอกประมาณ 3,000 คน มีการตั้งกลุ่มวิจัยขนาดใหญ่ตามความสนใจประมาณ 6 กลุ่ม มีความร่วมมือกับบริษัทเอกชนทั้งในและต่างประเทศในการสนับสนุนทุนวิจัยร่วมกัน เกิดการถ่ายทอดเทคโนโลยีให้กับบริษัทต่าง ๆ นักศึกษาสามารถตั้งบริษัทสตาร์ทอัพใหม่ปีละประมาณ 10 คน ซึ่งบริษัท รับเบอร์ วัลเลย์ จำกัด มีกระบวนการสนับสนุนอย่างต่อเนื่องจนสามารถตั้งโรงงานผลิตในนิคมอุตสาหกรรมยางพาราของจีนได้ นอกจากนี้ยังเยี่ยมชมศูนย์วิจัย National Engineering Research Center for Rubber and Tyre (NERCRAT) ซึ่งทำวิจัยทุกอย่างที่เกี่ยวข้องกับอุตสาหกรรมยางล้อโดยเฉพาะ ทำให้ปัจจุบันสามารถผลิตยางล้อป้อนเครื่องบินแอร์บัส A320 ได้
ผู้บริหาร สกว. ระบุว่าการเดินทางเข้าร่วมลงนามบันทึกความร่วมมือในครั้งนี้ ก่อให้เกิดความสัมพันธ์ที่ดีระหว่างสองหน่วยงาน รวมถึงได้แลกเปลี่ยนความรู้และงานวิจัยระหว่างนักวิจัยของไทยกับจีนในอนาคต ทั้งงานวิจัยทางด้านเทคโนโลยีที่จะเพิ่มมูลค่าของผลิตภัณฑ์ยางพารา นอกจากนี้ สกว.ในฐานะหน่วยงานที่รับผิดชอบยุทธศาสตร์วิจัยมุ่งเป้าด้านยางพารา จะดำเนินการส่งเสริมให้เกิดการวิจัยด้านการตลาดของยางพารา อันเป็นความสนใจร่วมกันระหว่างสองหน่วยงาน เพื่อทำให้ราคาของยางพาราเป็นไปตามกลไกอุปสงค์ อุปทาน ไม่ขึ้นอยู่กับการเก็งกำไรในตลาดซื้อขายล่วงหน้าดังเช่นปัจจุบัน ซึ่งจะส่งผลดีต่อภาพรวมของยางพาราไทย ตั้งแต่เกษตรกรจนถึงผู้ผลิตสินค้าที่ใช้ยางพาราเป็นวัตถุดิบ ความร่วมมือกันของทั้งสองประเทศจะส่งผลกระทบสูง เนื่องจากไทยเป็นประเทศที่ส่งออกยางพาราดิบมากที่สุดในโลก ในขณะเดียวกันจีนเป็นประเทศที่รับซื้อยางพาราดิบสูงสุดของโลก ทั้งนี้นายจาง หยาน จะเดินทางมาหารือเรื่องการสนับสนุนการวิจัยและแผนการดำเนินงานร่วมกับ สกว. ที่ประเทศไทยในวันที่ 7 มิถุนายนนี้ด้วย
อนึ่ง บริษัท รับเบอร์ วัลเลย์ จำกัด ก่อตั้งโดยสมาคมอุตสาหกรรมยางพาราแห่งสาธารณรัฐประชาชนจีน รัฐบาลท้องถิ่นชิงเตา บริษัทเอกชน MESNAC และมหาวิทยาลัยชิงเตา ซึ่งเป็นรูปแบบความร่วมมือทั้งภาครัฐ ภาคเอกชน ภาคการศึกษา อย่างเป็นรูปธรรมชัดเจน เพื่อสร้างระบบนิเวศต่าง ๆ ให้เอื้อต่อการดำเนินธุรกิจยางพารา ทั้งในแง่การทำวิจัยและพัฒนา การตลาด การเงิน การพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ และการขนส่ง เป็นต้น ทำให้อุตสาหกรรมยางพาราของประเทศจีนก้าวกระโดดอย่างรวดเร็ว จนกลายเป็นประเทศคู่ค้ายางพาราอันดับหนึ่งของไทย
วิศวกรรมสถานแห่งประเทศไทย ในพระบรมราชูปถัมภ์ (วสท.) โดย รศ.สิริวัฒน์ ไชยชนะ เลขาธิการและคณะกรรมการสาขาวิศวกรรมโยธา ร่วมกับ บจก.เหล็กสยามยามาโตะ โดย คุณไพฑูรย์ จิรานันตรัตน์ กรรมการผู้จัดการ ร่วมเป็นประธานเปิดงานสัมมนา เรื่อง เหล็กโครงสร้างรูปพรรณรีดร้อนกำลังสูง...ทางเลือกใหม่ของการก่อสร้าง โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อเสริมสร้างองค์ความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับคุณลักษณะของเหล็กรูปพรรณรีดร้อน เกรด SM 520 ตามมาตรฐานใหม่ผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม การออกแบบโครงสร้างเหล็กรูปพรรณรีดร้อนที่มีคุณภาพสูงตามมาตรฐานและหลักวิชาการ และประโยชน์ในการช่วยลดต้นทุนด้านต่าง ๆ ในงานมีวิศวกรทั้งผู้ออกแบบและผู้รับเหมา ตลอดจนเจ้าของโครงการและบุคคลากรด้านต่าง ๆ เข้าร่วมงานและแลกเปลี่ยนประสบการณ์กับผู้เชี่ยวชาญในการใช้ผลิตภัณฑ์เหล็กโครงสร้างรูปพรรณรีดร้อนอย่างมีประสิทธิภาพ ณ โรงแรมพูลแมน แกรนด์สุขุมวิท (อโศก) นับเป็นอีกหนึ่งทางเลือกสำหรับวิศวกรและงานรับเหมาก่อสร้างในปัจจุบันและอนาคต
ในงานสัมมนาครั้งนี้ รศ.เอนก ศิริพานิชกร ประธานคณะกรรมการสาขาวิศวกรรมโยธา วิศวกรรมสถานแห่งประเทศไทยฯ ได้นำเสนอข้อมูลภาพรวมของการใช้โครงสร้างเหล็กในงานก่อสร้างในประเทศไทย รศ.ดร.สุทัศน์ ลีลาทวีวัฒน์ หัวหน้าภาควิชาวิศวกรรมโยธา คณะวิศวกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรี ให้สาระความรู้เกี่ยวกับหลักการออกแบบโครงสร้างเหล็ก SM520 ส่วน คุณธาร บุรณศิริ ได้บรรยายถึง การนำเหล็ก SM520 มาใช้ในการออกแบบโครงการหอศิลป์ศูนย์วัฒนธรรม และโครงการ D’Luck Theatre จากนั้นได้เปิดเวทีเสวนา หัวข้อ การใช้งานโครงสร้างเหล็ก SM520 ดำเนินรายการโดย ศ.ดร.ปิติ สุคนธสุขกุล มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าพระนครเหนือ
ที่ผ่านมาในวงการอุตสาหกรรมก่อสร้างมีการใช้เหล็กรูปพรรณหลายประเภท รวมทั้ง เหล็กโครงสร้างรูปพรรณรีดร้อน (Hot Rolled Structural Steel) ได้เข้ามามีบทบาทในการนำมาเป็นวัสดุสำหรับการก่อสร้างเป็นจำนวนมากและมีส่วนสำคัญในการพัฒนาวงการก่อสร้างของประเทศไทยให้ก้าวหน้าไปอย่างรวดเร็ว ผลิตภัณฑ์ประเภทนี้มีหลากหลายรูปแบบ ได้แก่ เหล็กปีกกว้าง(Wide Flange) และเหล็ก I-Beam เป็นต้น เหล็กประเภทนี้มีคุณสมบัติสามารถรับแรงดัด (Bending) การตัดบิด (Twisting) แรงอัด (Compression) และแรงดึง (Tension) ได้ดี จึงมักนิยมใช้เป็นเสา (Columns) คาน (Beams) และตงพื้น (Foist) ในงานก่อสร้างและงานสถาปัตยกรรมต่าง ๆ
เมื่อมีความต้องการใช้เหล็กรูปพรรณในอุตสาหกรรมการก่อสร้างมากขึ้น ผู้ประกอบการยังได้พัฒนาการผลิตเหล็กโครงสร้างรูปพรรณที่มีคุณภาพสูง เพื่อตอบสนองความต้องการใช้งานได้มากยิ่งขึ้น หนึ่งในนั้นคือ เหล็กโครงสร้างรูปพรรณรีดร้อนกำลังสูง (High Strength Structural Steel) เกรด SM520 ตามมาตรฐานใหม่ผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม ซึ่งมีคุณสมบัติการรับแรงดึงที่สูงขึ้น (High Yield Strength) ทำให้การออกแบบโครงสร้างเหล็กสามารถดำเนินการได้อย่างมีประสิทธภาพมากขึ้น ได้กำลังขององค์อาคารมากขึ้นเมื่อเทียบกับราคาของวัสดุ ทำให้ในภาพรวมสามารถประหยัดต้นทุนก่อสร้างได้มากขึ้น แต่การที่เหล็กมีกำลังสูงขึ้น ทำให้หน้าตัดขององค์อาคารเล็กลง ในทางวิศวกรรมจึงมีความจำเป็นต้องให้ความใส่ใจในเรื่องการวิบัติเฉพาะที่ (Local Buckling) โดยจะต้องมีการวิเคราะห์และคำนวณที่ละเอียดมากขึ้น นอกจากนี้ทาง วสท. ยังมีแผนที่จะพัฒนามาตรฐานการออกแบบโครงสร้างเหล็กให้ทันสมัยและครอบคลุมเรื่องการวิบัติเฉพาะที่ซึ่งอาจเกิดขึ้น เพื่อทำให้การก่อสร้างโดยเหล็กรูปพรรณกำลังสูงในประเทศไทยมีประสิทธิภาพสูงสุด
เพื่อเผยแพร่องค์ความรู้และพัฒนาบุคคลากรในงานออกแบบวิศวกรรมและงานก่อสร้างของไทย ทาง วสท. ด้วยการสนับสนุนจาก เหล็กสยามยามาโตะ (SYS) กำหนดแผนงานจัดอบรมสัมมนาให้ความรู้ในเรื่องเหล็กโครงสร้างเหล็กรูปพรรณรีดร้อนกำลังสูง มาตรฐานใหม่ เกรด SM520 แก่สมาชิก วสท.ในต่างจังหวัดตามหัวเมืองใหญ่โดยไม่มีค่าใช่จ่ายในการอบรม รวม 3 ครั้ง โดยจะเริ่มจัดแห่งแรกในวันพุธที่ 6 กรกฎาคม 2559 ที่จังหวัดเชียงใหม่
บริษัท ฮอนด้า ออโตโมบิล (ประเทศไทย) จำกัด จัดพิธีเปิดโรงงานผลิตรถยนต์ฮอนด้าแห่งใหม่ในสวนอุตสาหกรรมโรจนะ จังหวัดปราจีนบุรี อย่างเป็นทางการ ซึ่งมีมูลค่าการลงทุน 17,150 ล้านบาท พร้อมชูจุดเด่น ARC Line (Assembly Revolution Cell) นวัตกรรมสายการประกอบรถยนต์รูปแบบใหม่ ที่นำมาใช้ในสายการผลิตแห่งนี้เป็นที่แรกของโลก โดยมีสายการผลิตหลักทำงานร่วมกับระบบการผลิตแบบเซลล์ ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการผลิต นอกจากนี้ โรงงานแห่งนี้ยังเป็นโรงงานที่มีเทคโนโลยีในการผลิตอันทันสมัยและเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมอีกด้วย เมื่อรวมกำลังการผลิตจากโรงงานที่อยุธยา และโรงงานปราจีนบุรีเข้าด้วยกัน ฐานการผลิตรถยนต์ฮอนด้าในประเทศไทยใหญ่เป็นอันดับ 4 ของฐานการผลิตรถยนต์ฮอนด้าทั่วโลก ฮอนด้ามุ่งสร้างความแข็งแกร่งทางธุรกิจและเพิ่มศักยภาพในการแข่งขันให้กับรถยนต์และชิ้นส่วนประกอบที่ผลิตขึ้นในประเทศไทย ซึ่งมีส่วนช่วยผลักดันให้ประเทศไทยเป็นฐานการผลิตรถยนต์ที่สำคัญในระดับโลก
ดร.สมคิด จาตุศรีพิทักษ์ (ที่ 2 จากซ้าย) รองนายกรัฐมนตรี ดร.อรรชกา สีบุญเรือง (ที่ 2 จากขวา) รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม นายสนธิรัตน์ สนธิจิรวงศ์ (ขวาสุด) ที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม พร้อมด้วยผู้บริหารฮอนด้า มร.ทาคาฮิโระ ฮาจิโกะ (ซ้ายสุด) ประธานกรรมการบริหารและซีอีโอ และผู้แทนกรรมการ บริษัท ฮอนด้า มอเตอร์ จำกัด ระหว่างเยี่ยมชมการทำงานของ ARC Line ในพิธีเปิดโรงงานฮอนด้าปราจีนบุรีอย่างเป็นทางการ
บริษัท อินเตอร์ลิ้งค์ คอมมิวนิเคชั่น จำกัด (มหาชน) ผู้นำอันดับหนึ่งในธุรกิจจัดจำหน่ายสายสัญญาณคอมพิวเตอร์และสื่อสารโทรคมนาคมที่ใหญ่ที่สุดในแถบเอเชียแปซิฟิก เดินหน้าลุยตลาดประเทศเวียดนาม จัดงาน “LINK Grand Opening in Vietnam” ตั้งเป้าขยายฐานลูกค้าเพิ่ม เน้นย้ำสินค้าคุณภาพ ราคาถูกกว่า และบริการที่ดีกว่า
จากการเปิดเสรีประชาคมเศรษฐกิจอาเซียนตั้งแต่ปี 2559 เป็นโอกาสในการขยายช่องทางในต่างประเทศเพิ่มเติม หลังจากที่ประสบความสำเร็จในการดำเนินธุรกิจในประเทศไทยมาเป็นระยะเวลากว่า 30 ปี ซึ่งมีอัตราการขยายตัวของธุรกิจเพิ่มขึ้นทุกปี โดยในปีนี้บริษัทให้ความสำคัญกับการทำตลาด CLMV คือ กัมพูชา ลาว พม่า และเวียดนาม เนื่องจากประเทศเหล่านี้กำลังอยู่ในช่วงของการพัฒนาระบบโทรคมนาคมให้ทันสมัย อีกทั้งมีภาพรวมเศรษฐกิจที่ขยายตัวต่อเนื่องอีกด้วย
โดยล่าสุด คุณสมบัติ อนันตรัมพร ประธานกรรมการ กลุ่มบริษัทอินเตอร์ลิ้งค์ คอมมิวนิเคชั่น จำกัด (มหาชน) นำทีมเดินทางไปเปิดตัวแบรนด์ LINK ผู้นำระบบสายสัญญาณ มาตรฐานอเมริกา ในประเทศเวียดนาม กับงาน “LINK Grand Opening in Vietnam” ซึ่งได้รับการตอบรับจากตัวแทนจำหน่ายในประเทศเวียดนามเป็นอย่างดี โดยได้คัดเลือกผลิตภัณฑ์ ไม่ว่าจะเป็นสาย LAN (UTP), สาย FIBER OPTIC, สาย CCTV, สาย TELEPHONE, MEDIA & VIDEO CONVERTER และตู้ RACK
นอกจากนี้ ภายในงานยังมีวิศวกรผู้เชี่ยวชาญของเราเดินทางมาบรรยายอัพเดตความรู้และความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีด้านสายสัญญาณ ในหัวข้อ "Cabling Innovation for the Future" เพื่อการเลือกใช้ได้อย่างเหมาะสมและก้าวทันนวัตกรรมที่มีในปัจจุบันอีกด้วย
ไทคอน ประกาศผลการดำเนินงานไตรมาส 1 ปี 2559 รายได้รวม 410 ล้านบาท กำไรสุทธิ 256 ล้านบาท ส่วนใหญ่มาจากกำไรจากการขายหน่วยลงทุนในบริษัทร่วม ชี้แนวโน้มครึ่งปีแรกไปได้สวย มั่นใจเดินหน้าขยายโครงการทั้งในประเทศและต่างประเทศได้ตามแผน
นายวีรพันธ์ พูลเกษ กรรมการผู้จัดการ บริษัท ไทคอน อินดัสเทรียล คอนเน็คชั่น จำกัด (มหาชน) รายงานผลการดำเนินงานของไทคอน สิ้นสุด ณ วันที่ 31 มีนาคม 2559 บริษัทฯ มีรายได้รวม 410 ล้านบาท กำไรสุทธิ 256 ล้านบาท โดยมีรายได้หลักมาจากรายได้จากค่าเช่าและค่าบริการ จำนวน 248 ล้านบาท กำไรจากการขายหน่วยลงทุนในบริษัทร่วม จำนวน 89 ล้านบาท รายได้จากค่าบริหารจัดการ 51 ล้านบาท นอกจากนี้ บริษัทยังมีส่วนแบ่งกำไรจากเงินลงทุนในกองทุนอสังหาริมทรัพย์ของไทคอน และมีกำไรที่รับรู้เพิ่มเติมจากการขายอสังหาริมทรัพย์ให้บริษัทร่วมจำนวน 334 ล้านบาทอีกด้วย
“ผลการดำเนินงานในไตรมาสแรกของปีนับว่าเติบโตได้ดี และมีแนวโน้มว่าครึ่งปีแรกจะสามารถทำผลงานได้ตามเป้าหมาย เนื่องจากเริ่มมีสัญญาณตอบรับในนโยบายส่งเสริมการลงทุนของภาครัฐที่ดีจากลูกค้าต่างประเทศรายใหญ่โดยเฉพาะลูกค้าใหม่ที่ไม่เคยดำเนินธุรกิจในประเทศไทยมาก่อน เช่น ประเทศทางยุโรป และนักลงทุนชาวจีนที่เริ่มปักธงขยายฐานการผลิตในประเทศไทย ซึ่งเริ่มเข้ามาเจรจาเช่าโรงงานและคลังสินค้ากับกลุ่มไทคอนในสัดส่วนที่เพิ่มขึ้น ซึ่งหลาย ๆ ทำเลยุทธศาสตร์ของบริษัทฯ ไม่ว่าจะเป็นทำเลอีสเทิร์นซีบอร์ด ทำเลบางพลี และวังน้อย ล้วนแต่ได้รับการตอบรับที่ดีมากจากกลุ่มลูกค้า โดยกลุ่มไทคอนเองมีการวางแผนก่อสร้างคลังสินค้าเพิ่มขึ้น"
ทั้งนี้ กลุ่มไทคอนเองยังคงเดินหน้าตามแผนธุรกิจที่วางไว้ทั้งในส่วนของโรงงานและคลังสินค้าให้เช่า โดยตั้งเป้าขยายพื้นที่โรงงานและคลังสินค้าให้เช่าในปีนี้ประมาณ 280,000 ตารางเมตร ภายใต้งบลงทุน 4,000 ล้านบาท เพื่อเสริมศักยภาพธุรกิจทั้งในประเทศไทยและต่างประเทศ โดยนอกเหนือจากการลงทุนในประเทศอินโดนีเซียแล้ว ไทคอนยังอยู่ระหว่างการศึกษาการลงทุน และเจรจากับพันธมิตรท้องถิ่นในประเทศเวียดนามอีกด้วย คาดว่าจะสรุปผลได้ภายในไตรมาส 3 ของปีนี้
ปัจจุบัน กลุ่มไทคอนยังคงรักษาความเป็นผู้นำในธุรกิจโรงงานและคลังสินค้าให้เช่ารายใหญ่ในประเทศไทยได้อย่างต่อเนื่อง ด้วยจำนวนโครงการที่ตั้งอยู่ในทำเลยุทธศาสตร์ทั้งสิ้น 47 โครงการ โดยมีพื้นที่โรงงานและคลังสินค้าให้เช่าภายใต้การบริหารจัดการกว่า 2.3 ล้านตารางเมตร แบ่งเป็นพื้นที่โรงงานของไทคอนกว่า 1.1 ล้านตารางเมตร และพื้นที่คลังสินค้าของทีพาร์คกว่า 1.2 ล้านตารางเมตร
คูโดส ผู้นำธุรกิจอุปกรณ์ในห้องน้ำคุณภาพสูง ปรับภาพลักษณ์ใหม่ จับมือกับ บริษัท ซังเอ (SAN-EI) บริษัทผู้ผลิตเครื่องใช้ในห้องน้ำชั้นนำจากประเทศญี่ปุ่น แตกไลน์ผลิตภัณฑ์เพื่อคุณภาพชีวิตและสิ่งแวดล้อม
ตั้งแต่เริ่มก่อตั้งแบรนด์คูโดสในปี พ.ศ.2554 คูโดสได้นำเสนอผลิตภัณฑ์คุณภาพสูงสำหรับห้องน้ำแก่กลุ่มลูกค้าชาวไทย ด้วยแนวคิดที่ต้องการพัฒนาคุณภาพชีวิตของผู้คนผ่านงานออกแบบผลิตภัณฑ์และนวัตกรรมล้ำสมัย เพื่อช่วยแก้ปัญหาสังคมที่ผู้คนเผชิญอยู่ในแต่ละวัน นอกจากนี้ การจับมือเป็นพันธมิตรกับบริษัท ซังเอ ฟอเซท เมนูแฟคเจอริ่ง (SAN-EI Faucet Manufacturing) ในครั้งนี้จะเป็นการช่วยต่อยอด ส่งเสริม และพัฒนาธุรกิจของทั้งสองฝ่าย โดยคูโดสจะได้รับถ่ายทอดเทคโนโลยีการผลิตสินค้าจากญี่ปุ่น รวมถึงร่วมกันคิดค้นนวัตกรรมใหม่ๆ ที่ตอบโจทย์ผู้บริโภคยุคปัจจุบันได้มากยิ่งขึ้น
นอกจากนี้ คูโดส ยังได้ปรับภาพลักษณ์แบรนด์ใหม่ ให้ทันสมัยมากยิ่งขึ้น เพื่อจับกลุ่มเป้าหมายคนรุ่นใหม่ โดยมีแนวคิดใหม่ของแบรนด์ คือ “Insploration” (Inspiration + Exploration) หรือการค้นหาแรงบันดาลใจผ่านการเดินทางไปศึกษาความคิดสร้างสรรค์จากทุกแห่งในโลก รวบรวมดีไซน์ที่สวยงามและนวัตกรรมล้ำสมัย นำมาพัฒนาเป็นผลิตภัณฑ์นำเสนอแก่กลุ่มลูกค้าชาวไทย ที่ปัจจุบันหันมาเลือกใช้สินค้าที่มีอรรถประโยชน์มากกว่าสินค้าแบบเดิม ๆ และสะท้อนความเป็นตัวเองมากขึ้น
นายสันติ ศรีวิชาญกุล กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ซี.ไอ.ที. จำกัด กล่าวว่า “ในช่วงหลายปีมานี้ ตลาดในประเทศไทยได้เปลี่ยนแปลงไปมาก รวมทั้งผู้บริโภคก็มีความต้องการผลิตภัณฑ์หรือสินค้าที่มีความซับซ้อน มีนวัตกรรมมากขึ้น ในฐานะที่คูโดสเป็นหนึ่งในผู้นำธุรกิจอุปกรณ์ในห้องน้ำในประเทศไทย เรามีความพยายามที่จะพัฒนาผลิตภัณฑ์ที่เหนือความคาดหวังของผู้บริโภคมาโดยตลอด และในปีนี้ ถือเป็นโชคดีของเราอย่างมากที่ได้พันธมิตรที่แข็งแกร่งอย่าง ซังเอ มาร่วมงานด้วย ซึ่งเราหวังว่าการร่วมมือกันระหว่างคูโดสและซังเอในครั้งนี้ จะนำไปสู่การนำเสนอนวัตกรรมใหม่ๆ ให้แก่ผู้บริโภคชาวไทยอย่างแน่นอน”
ล่าสุด คูโดส และ ซังเอ ได้พัฒนาผลิตภัณฑ์ใหม่ที่เน้นด้านนวัตกรรมสีเขียว อาทิ ก๊อกน้ำอีโค-เซนเซอร์ เป็นก๊อกน้ำเซ็นเซอร์อัจฉริยะ สามารถชาร์จแบตเตอรี่ในตัวได้อัตโนมัติ เพียงเปิดใช้น้ำ เครื่องกลภายในก็จะทำงานและเก็บไฟไว้สำหรับใช้น้ำครั้งต่อไป หรือ ก๊อกน้ำคอลัมน์ เป็นก๊อกน้ำสำหรับห้องครัวที่สามารถกรองคลอรีน สิ่งสกปรก รวมถึงโลหะหนักในน้ำได้ น้ำจึงสะอาดบริสุทธิ์พร้อมดื่มได้ทันที โดยผลิตภัณฑ์ทั้ง 2 ตัวนี้เพิ่งเปิดตัวไปในงานสถาปนิก’59 ที่ชาเลนเจอร์ ฮอลล์ 1-3 เมืองทองธานี ตั้งแต่วันที่ 26 เมษายน – 1 พฤษภาคม ที่ผ่านมา
“เราตื่นเต้นอย่างมากที่ได้เปิดตัวนวัตกรรมใหม่ล่าสุดของเราสู่ตลาดเมืองไทย ผลิตภัณฑ์ของคูโดสเน้นงานดีไซน์ที่เรียบง่ายแต่เปี่ยมไปด้วยประสิทธิภาพ รวมถึงการติดตั้งและบำรุงรักษาที่สะดวกง่ายดาย ซึ่งสอดคล้องกับผลสำรวจความต้องการผู้บริโภคยุคใหม่ที่เราได้ศึกษามา เรามีความคาดหวังอย่างมากสำหรับผลิตภัณฑ์นี้ที่จะตีตลาดในเมืองไทย” นายสันติ กล่าวเพิ่มเติม
ผลิตภัณฑ์ของคูโดส มีหัวใจหลักที่คุณภาพ ฟังก์ชั่นการใช้งาน และดีไซน์ที่โดดเด่นเป็นเอกลักษณ์ ซึ่งคุณสมบัติเหล่านี้ตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์ของผู้บริโภคยุคใหม่เป็นอย่างดี หนึ่งในผลิตภัณฑ์ที่โดดเด่นและสร้างชื่อให้กับคูโดสเป็นอย่างมาก คือ คูโดส เพียวบลิส (Kudos Purebliss) ฝักบัวกรองคลอรีนในกลุ่ม Skin Care Series ที่คูโดสได้พัฒนาร่วมกับซังเอ และเปิดตัวไปเมื่อปลายปี 2558 ที่ผ่านมา มีจุดเด่นที่ไส้กรองช่วยกรองคลอรีนอิสระคงเหลือในน้ำ ทำให้เส้นผมและผิวหนังไม่สูญเสียความชุ่มชื่นตามธรรมชาติ อีกทั้งยังช่วยประหยัดน้ำได้ถึง 45% นับเป็นสินค้าที่ตอบโจทย์กระแสสุขภาพและความงามที่กำลังมาแรง ทำให้สินค้าตัวนี้ประสบความสำเร็จด้วยยอดขายกว่า 4 ล้านบาทในเวลาเพียง 6 เดือน
“เราหวังว่าผลิตภัณฑ์และนวัตกรรมใหม่ๆ ของคูโดสจะช่วยให้เราบรรลุเป้าหมายสำคัญของแบรนด์ ที่มุ่งมั่นพัฒนาคุณภาพชีวิตและไลฟ์สไตล์ของผู้คนให้มีความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น และมีความสุขมากขึ้น” นายสันติ กล่าวทิ้งท้าย
ถึงแม้ว่าในปี 2559 จะเป็นการเริ่มต้นศักราชด้วยความผันผวนอย่างรุนแรงในตลาดเศรษฐกิจของไทยและทั่วโลก ซึ่งอาจสร้างความกังวลใจให้กับวงการธุรกิจต่าง ๆ ไม่มากก็น้อย โดยการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างเศรษฐกิจเช่นนี้ย่อมส่งผลกระทบต่ออัตราการขยายตัวของธุรกิจหรือการทุ่มทุนในการตรวจสอบทางวิศวกรรม. แต่อย่างไรก็ตาม บริษัท ทีโอซี ไกลคอล จํากัด ผู้นำในการผลิตสารเอทิลีนไกลคอลและเอทิลีนออกไซด์ก็ยังคงเชื่อมั่นและไว้วางใจ บริษัท ดาคอน อินสเป็คชั่น เซอร์วิสเซส จำกัด ในการให้บริการการตรวจสอบงาน Turn Around ปี 2558 ที่ผ่านมา โดย คุณสมเจตน์ คงสมจิตต์ Inspection Skilled Specialist และ คุณปกรณ์ งามทรัพย์ วิศวกรตรวจสอบของบริษัท พีทีที โกลบอล เคมิคอล จำกัด (มหาชน) ซึ่งทั้งสองท่านเป็นหัวเรือใหญ่ของทีมตรวจสอบในงาน Turn Around ปี 2558 ได้กล่าวถึงผลงานของ บริษัท ดาคอน ในงานที่ผ่านมา ดังนี้
การเลือกดาคอนสำหรับการทำงานตรวจสอบทางด้านวิศวกรรมในโครงการปิดซ่อมบำรุงใหญ่ (Turn Around) ที่ผ่านมาเรียกได้ว่าสามารถที่จะตอบโจทย์ได้เป็นอย่างดี โดยในสิ่งต่าง ๆ ที่ได้ให้เป็นการบ้าน ดาคอนสามารถทำได้จริง ซึ่งนับว่าเป็นหนึ่งสิ่งที่การสร้างความประทับใจและรักษามาตรฐานในคำมั่นสัญญาที่ได้ให้กับลูกค้าที่ว่าทำได้จริงและผลการตรวจสอบออกมาก็มีความน่าเชื่อถือ นั่นถือเป็นสิ่งที่สำคัญสำหรับธุรกิจบริการ แต่ว่าสิ่งที่สำคัญที่สุดคือคำพูดที่ได้ให้ให้คำมั่นสัญญากับลูกค้าในเรื่องของเทคนิคต่าง ๆ ซึ่งถ้าทำได้ก็บอกลูกค้าไปเลยว่าทำได้ แต่หากไม่สามารถทำได้ก็บอกว่าไม่ได้ไปเลยเพราะนี่คือ Reliability ของทั้งองค์กร
ในปัจจุบันโรงงานของบริษัท ทีโอซี ไกลคอล จํากัดได้ดำเนินการผลิตมาแล้ว 9 ปี ซึ่งการตรวจสอบทางวิศวกรรมขึ้นอยู่กับทางโรงงาน เพราะโรงงานต้องมีการปิดซ่อมบำรุง (Shut Down) อุปกรณ์เพื่อเปลี่ยนตัวเร่งปฏิกิริยา (Catalyst) เมื่อมีการปิดซ่อมบำรุงนับได้ว่าเป็นช่วงเวลาที่เหมาะสมที่จะต้องมีการตรวจสอบอุปกรณ์ เพราะในการเดินเครื่องจักรหรืออุปกรณ์ทุกอย่างในปัจจุบันจะมีเรื่องของประกันภัยมาเกี่ยวข้องด้วย โดยบริษัทประกันภัยจะทำการติดตามผลของการตรวจสอบเพื่อติดตามสถานะต่าง ๆ ของอุปกรณ์ว่าอยู่ในสภาพที่สามารถใช้งานได้ปกติหรือไม่ อีกทั้งเพื่อป้องกันการรั่วไหลที่จะเกิดขึ้นและป้องกันมิให้ส่งผลกระทบต่อประชาชนหรือชุมชนโดยรอบ ดังนั้นการตรวจสอบทางวิศวกรรมจึงเป็นอีกหนึ่งสิ่งที่สำคัญที่จะเข้ามาช่วยตรวจเช็คสถานะของอุปกรณ์ต่าง ๆ ภายในโรงงานว่ามีความเหมาะสมกับสภาพของการทำงาน ทั้งยังเพื่อสร้างความน่าเชื่อถือและความสบายใจให้กับชุมชนโดยรอบอีกด้วย ซึ่งงานในช่วงที่โรงงานทำการซ่อมบำรุงนั้นทีมงานที่เข้ามาร่วมงานด้วยต้องมีการประสานงานอย่างใกล้ชิดและรวดเร็ว เพราะช่วงเวลาดังกล่าวเป็นช่วงที่ต้องใช้เวลาที่มีอย่างจำกัด ซึ่งดาคอนนับได้ว่าเข้ามาตอบโจทย์ในช่วงเวลาดังกล่าวได้ทั้งการประสานงาน ความรวดเร็วในการทำงาน รวมถึงข้อมูลต่าง ๆ ที่จะมาช่วยสนับสนุนข้อมูลที่ทางทีโอซี ไกลคอลต้องการได้อย่างทันท่วงที โดยข้อมูลที่ได้มาก็นับว่ามีความน่าเชื่อถือเพราะมีแหล่งอ้างอิงว่าตามมาตรฐานของอะไร ภาคผนวกไหน หรือฉบับที่เท่าไหร่ เป็นต้น ซึ่งสิ่งเหล่านี้แสดงถึงความเป็นผู้เชี่ยวชาญในด้านนั้น ๆ อย่างแท้จริง สำหรับในการปิดซ่อมบำรุงใหญ่ในครั้งล่าสุดบริษัท ดาคอน ได้มี Project-Co เข้ามาช่วยประสานงาน ดูแลในเรื่องต่าง ๆ ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้งานออกมาราบรื่นและทำให้ทีมของทางโรงงานเดินต่อไปได้ไม่สะดุดเพราะ Project-Co จะช่วยประสานกับหน่วยต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องทั้งหมด ทั้งที่ในบางเรื่อง Project-Co อาจจะไม่ทราบก็ตามแต่ก็สามารถที่จะดำเนินการต่อไปได้
ทางด้านบุคลากรของทางดาคอนนับว่ามีศักยภาพที่ดี ซึ่งหากรักษามาตรฐานส่วนนี้ไว้ให้คงอยู่ได้ก็เป็นอีกหนึ่งทางเลือกของบริษัทหรือโรงงานต่าง ๆ ในการเลือกใช้บริการและเรียกใช้บริการต่อไป ซึ่งในการปิดซ่อมบำรุงครั้งต่อไปขึ้นอยู่กับการพิจารณาในด้านของราคาและเทคนิคในการทำงานด้วย เพราะเทคนิคต่าง ๆ ที่ทางโรงงานเลือกใช้ในการตรวจสอบทางวิศวกรรมอาจมีการเปลี่ยนรูปแบบที่แตกต่างกันออกไปในแต่ละปีด้วย ซึ่งเทคโนโลยีต่าง ๆ ของดาคอนก็ถือว่าเป็นอีกหนึ่งสิ่งที่จะมาเสริมทัพและสร้างทางเลือกให้กับลูกค้า อีกทั้งผลการตรวจสอบยังสร้างความน่าเชื่อถือให้กับองค์กรและบริษัทผู้ว่าจ้างได้ ดังนั้นในการนำเทคโนโลยีต่าง ๆ เข้ามานำเสนอทำให้ทางโรงงานสามารถเลือกอุปกรณ์ที่เหมาะสมในการตรวจสอบให้เหมาะสมที่สุด อาทิเช่น RT-Baby Scar ที่เข้ามาช่วยในเรื่องของความปลอดภัยและลดระยะของพื้นที่ความปลอดภัยในการทำงานให้สะดวกมากยิ่งขึ้น หรืองานในกลุ่ม Eddy Current ที่มาช่วยตรวจสอบหาความเสียหายของพื้นผิวอุปกรณ์และพื้นผิวของท่อได้ รวมถึงงาน UT high Temp ที่ทำงานได้สำหรับอุปกรณ์ที่มีการทำงานในอุณหภูมิสูง เป็นต้น
ซึ่งนี่เป็นอีกหนึ่งเสียงสะท้อนจากลูกค้าที่มอบความไว้วางใจให้กับ บริษัท ดาคอน ซึ่งนับได้ว่าเป็นส่วนสำคัญในการผลักดันให้ดาคอนนั้น มุ่งมั่นและไม่หยุดยั้งที่จะพัฒนาเทคนิคในการตรวจสอบที่ทันสมัยและบุคลากรที่มีคุณภาพเพื่อที่จะครองใจและรักษาความเป็นผู้นำในการตรวจสอบทางวิศวกรรมสำหรับลูกค้าอีกหลาย ๆ รายต่อไปในอนาคต
คณะรัฐมนตรีได้มีมติเห็นชอบ แผนมุ่งเป้าด้านการวิจัยและพัฒนาเพื่อสนับสนุนอุตสาหกรรมยานยนต์ไฟฟ้าของประเทศไทย ตามที่กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีเสนอ พร้อมกำหนดเป้าหมายให้ประเทศไทยมีอุตสาหกรรมการผลิต ประกอบ และพัฒนาพัฒนาชิ้นส่วนยานยนต์ไฟฟ้าภายในปี 2564 ซึ่งแผนนี้จะเป็นกรอบและทิศทางในการทำวิจัย พัฒนา สนับสนุนองค์ความรู้ และสร้างศักยภาพให้ประเทศไทยสามารถผลิตชิ้นส่วน อุปกรณ์สำคัญสำหรับยานยนต์ไฟฟ้าขึ้นเองภายในประเทศ ช่วยลดการนำเข้าชิ้นส่วนที่ต้องพึ่งพาต่างประเทศและส่งเสริมให้ประเทศไทยเป็นศูนย์กลางยานยนต์ไฟฟ้าในภูมิภาค โดยแผนฯ ดังกล่าวมุ่งเน้นให้มีการพัฒนาเทคโนโลยีและทดลองใช้จริงให้ได้ โดยแบ่งเป็น 4 แผนงานวิจัย คือ 1.ด้านแบตเตอรี่และระบบจัดการพลังงาน 2.ด้านมอเตอร์และระบบขับเคลื่อน 3.ด้านโครงสร้างน้ำหนักเบาและการประกอบ ซึ่งจะทำให้น้ำหนักรถเบาลง และ 4.ด้านการพัฒนานโยบาย มาตรฐาน และบุคลากรรองรับอุตสาหกรรมยานยนต์ไฟฟ้า
ดร.ทวีศักดิ์ กออนันตกูล ผู้อำนวยการ สวทช. กล่าวเสริมว่า อุตสาหกรรรมยานยนต์ เป็นอุตสาหกรรมที่ประเทศไทยเป็นฐานการผลิตและส่งออกยานยนต์ที่สำคัญในตลาดโลก โดยสามารถสร้างมูลค่าเพิ่มราว 12.8% ของ GDP แต่อุตสาหกรรมนี้มีการใช้พลังงานและปล่อยก๊าซเรือนกระจกต่อชั้นบรรยากาศค่อนข้างมาก ตั้งแต่การผลิต การใช้งาน จนถึงการทำลายเมื่อหมดอายุ ทุกขั้นตอนของวงจรชีวิตต้องใช้พลังงานทั้งสิ้น ประกอบกับความไม่มั่นคงของพลังงาน ทำให้ผู้ผลิตยานยนต์และผู้บริโภคเริ่มสนใจยานยนต์ประหยัดพลังงานเพื่อลดมลภาวะต่อสิ่งแวดล้อม ซึ่ง“ยานยนต์ไฟฟ้า” เป็นยานพาหนะประเภทพลังงานสะอาด สิ้นเปลืองเชื้อเพลิงน้อย และไม่ปล่อยไอเสียมากขึ้น และเป็นหนึ่งใน 10 อุตสาหกรรมเป้าหมาย (S-Curve) ของรัฐบาล อีกทั้ง ในการประชุมรัฐภาคีอนุสัญญาสหประชาชาติว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศสมัยที่ 21 ณ ประเทศฝรั่งเศส เมื่อปี 2558 ประเทศไทยได้แถลงจุดยืนในการประกาศลดก๊าซเรือนกระจกลง 20-25% ภายในปี 2030 โดยอาศัยหลักเศรษฐกิจพอเพียงเป็นแนวทางการดำเนินงาน มุ่งลดการใช้พลังงานจากฟอสซิล เปลี่ยนเป็นใช้พลังงานทดแทนที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม ดังนั้น การมีแผนมุ่งเป้าในการพัฒนาเทคโนโลยี เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพของเครื่องยนต์และชิ้นส่วนที่ใช้ในยานยนต์ไฟฟ้า การคิดค้นวัสดุที่มีน้ำหนักเบาเพื่อลดการสิ้นเปลืองเชื้อเพลิง หรือพัฒนาแบตเตอรีที่มีอายุใช้งานได้นาน เพื่อทำให้เกิดอุตสาหกรรมอย่างจริงจังในอนาคต จึงมีความสำคัญ อีกทั้งเป็นการดำเนินการตามนโยบายของภาครัฐที่ต้องการส่งเสริมให้ประเทศไทยมีความสามารถในการผลิตยานยนต์ไฟฟ้า นอกจากนี้ แผนมุ่งเป้าฯ ดังกล่าว จะเป็นส่วนหนึ่งในการผลักดันให้ประเทศไทยมุ่งไปสู่การบรรลุเป้าหมายการเพิ่มสัดส่วนค่าใช้จ่ายการวิจัยและพัฒนาของประเทศ ที่กำหนดไว้ที่ 1% ของ GDP และเพิ่มขึ้นเป็น 2% ในปี 2564 อีกด้วย ทั้งนี้ สวทช. จะดำเนินการวิจัยตามแผนมุ่งเป้าฯ นี้ โดยประสานเครือข่ายนักวิจัย ภาคเอกชน และเครือข่ายองค์การบริหารจัดการงานวิจัยแห่งชาติ (คอบช.) เพื่อเร่งรัดการวิจัยมุ่งเป้าสู่เชิงพาณิชย์ และอุตสาหกรรมต่อไป
ฟูจิตสึ เผยได้พัฒนาระบบบริหารจัดการสภาพแวดล้อมให้กับ บริษัท สแตนลีย์ อิเล็กทริก จำกัด ซึ่งเป็นระบบเก็บรวบรวมข้อมูลแบบเรียลไทม์และบริหารจัดการได้จากสำนักงานใหญ่ส่วนกลาง ซึ่งจ่ายพลังงานไฟฟ้าให้กับกลุ่มบริษัททั้งหมด ประกอบด้วยโรงงาน 27 แห่ง ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งในความพยายามในการลดการใช้พลังงานของ สแตนลีย์ อิเล็กทริก โดยระบบใหม่นี้เริ่มเปิดใช้งานมาตั้งแต่กรกฎาคม พ.ศ.2558 ในโรงงานแต่ละแห่งและปัจจุบันได้เริ่มดำเนินงานในโรงงานที่ญี่ปุ่นทั้งหมดแล้ว ข้อมูลการใช้พลังงานไฟฟ้าของแต่ละโรงงานถูกเก็บรวบรวมมาจากเซ็นเซอร์และระบบมากมาย จากนั้นนำมาแปลงให้อยู่ในฟอร์แมตเดียวกัน และเก็บรวบรวมไว้ในที่เดียว ก่อนจะถูกประมวลผลเพื่อนำเสนอในรูปแบบกราฟิกผ่านระบบ FUJITSU Sustainability Solution Environmental Management Dashboard ซึ่งเป็นหน้าแสดงแผงควบคุมที่แจ้งข้อมูลการใช้พลังงานของแต่ละโรงงาน สถานะความคืบหน้าการลดการใช้พลังงานตามเป้าหมาย และประสิทธิภาพด้านอื่น ๆ ของโรงงาน ผ่านรูปแบบที่เข้าใจได้ง่าย ซึ่งช่วยให้ผู้บริหาร ผู้จัดการโรงงานและทีมงาน เข้าใจสถานการณ์ของแต่ละโรงงาน และภาพรวมทั้งหมดของโรงงานได้ผ่านแผงควบคุมเพียงชุดเดียว จึงช่วยให้ผู้มีอำนาจตัดสินใจ สามารถตัดสินใจได้อย่างรวดเร็วและได้รับข้อมูลสนับสนุนที่ถูกต้อง ช่วยให้เกิดการสนับสนุนต่อเป้าหมายการลดการใช้พลังงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ ฟูจิตสึ ยังคงมีส่วนร่วมอย่างต่อเนื่องในความพยายามของสแตนลีย์ อิเล็กทริก ที่ต้องการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกภายใต้กำกับดูแลสภาพแวดล้อมที่เกี่ยวข้องระยะยาว
ใช้จ่ายอย่างชาญฉลาด ด้วยการลงทุนในเทคโนโลยีดิจิทัล
เน้นแนวทางหลัก 5 ประการในการเพิ่มมูลค่าและลดต้นทุน เพื่อให้พร้อมรับการเปลี่ยนแปลงทางเศรษฐกิจ
รายงานผลสำรวจโดย เอคเซนเชอร์ (ชื่อย่อในตลาดหลักทรัพย์นิวยอร์ก: ACN) ร่วมกับ ไมโครซอฟท์ (ชื่อย่อในตลาดหลักทรัพย์นิวยอร์ก: MSFT) เปิดเผยว่า ในยามที่กิจการน้ำมันและก๊าซทั่วโลก รวมทั้งในประเทศไทย เน้นการลงทุนอย่างรอบคอบและระมัดระวังทุกบาททุกสตางค์ บริษัทเหล่านั้นมีการใช้จ่ายอย่างชาญฉลาดด้วยการลงทุนในเทคโนโลยีดิจิทัล เพื่อเพิ่มมูลค่าและลดต้นทุนในภาวะที่ราคาน้ำมันและก๊าซมีราคาถูก
ข้อมูลจากการสำรวจซึ่งจัดทำเป็นปีที่ 5 แสดงให้เห็นว่า นับจากนี้ไปอีก 3-5 ปี 80% ของกิจการน้ำมันและก๊าซทั่วโลกมีแผนลงทุนในเทคโนโลยีดิจิทัล โดย 30% จะลงทุนเท่ากับในปัจจุบัน 36%จะลงทุนมากขึ้นกว่าเดิม และ 14% จะลงทุนมากขึ้นกว่าเดิมอย่างมีนัยสำคัญ การลงทุนต่อเนื่องในดิจิทัลเป็นผลมาจากความมั่นใจของผู้ตอบแบบสำรวจว่า เทคโนโลยีดิจิทัลจะช่วยให้องค์กรพัฒนาไปได้ต่อเนื่องด้วยความคล่องตัวมากขึ้นและชาญฉลาดขึ้น สำหรับกลุ่มผู้ตอบแบบสำรวจเทรนด์ดิจิทัลในธุรกิจน้ำมันและก๊าซประจำปี 2016 ได้แก่ ธุรกิจน้ำมันระดับสากล หน่วยงานอิสระ และบริษัทขุดเจาะน้ำมัน
มากกว่าครึ่งหนึ่งหรือ 53% ของผู้ตอบแบบสำรวจกล่าวว่า ดิจิทัลได้ก่อให้เกิดมูลค่าที่เพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญต่อธุรกิจของตน โดยปัจจุบัน การลดต้นทุนเป็นประเด็นที่ท้าทายมากที่สุด ในการนำเทคโนโลยีดิจิทัลเข้ามาช่วยแก้ปัญหา นอกจากนี้ 56% ของผู้ตอบยังระบุว่า คุณประโยชน์ที่ดีที่สุดของเทคโนโลยีดิจิทัลคือการช่วยให้ตัดสินใจได้ดีขึ้นและเร็วขึ้น ส่วนหนึ่งในอุปสรรคใหญ่ที่สุดในการชี้วัดคุณค่าของดิจิทัลในเชิงธุรกิจคือการขาดยุทธศาสตร์หรือกรณีศึกษาทางธุรกิจ ไม่ได้เป็นปัญหาเกี่ยวกับตัวเทคโนโลยี
สำหรับการลงทุนด้านเทคโนโลยีดิจิทัลในปัจจุบันมุ่งเน้นที่โมบิลิตี้ โดยเกือบ 3 ใน 5 ของผู้ตอบ (57%) ระบุว่ามีการลงทุนในเทคโนโลยีโมบายล์ เทียบกับสัดส่วนผู้ตอบ 49% ในปีที่แล้ว ถัดมาคือเรื่องการลงทุนในอินเทอร์เน็ต ออฟ ธิงส์ (IoT) ซึ่งปีนี้มี 44% ของผู้ตอบลงทุน เทียบกับ 25% ในปี 2558 ในส่วนของระบบคลาวด์ ปีนี้มีผู้ตอบ 38% เพิ่มขึ้น 8% จากปีที่แล้ว ดังนั้น ในช่วง 3-5 ปีข้างหน้า การลงทุนการปรับเปลี่ยนไปสู่ด้านบิ๊กดาต้าและอนาลิติกส์มากขึ้น (38%) ด้าน IoT (36%) และด้านโมบายล์ (31%)
ปีนี้นับเป็นครั้งแรกในเอเชียที่เอคเซนเชอร์เผยผลสำรวจพร้อมกันในมาเลเซีย อินโดนีเซีย สิงคโปร์ และประเทศไทย มีการจัดบรรยายสรุปสำหรับสื่อมวลชนและสาธิตให้เห็นศักยภาพของเทคโนโลยีดิจิทัลในระบบอนาลิติกส์ โมบิลิตี้ และ IoT ว่ามีบทบาทในธุรกิจค้าปลีกด้านพลังงาน การบำรุงรักษาโรงงาน และการฝึกอบรมบุคลากรอย่างไร
คุณอินทิรา เหล่ามีผล กรรมการผู้จัดการ–กลุ่มธุรกิจพลังงานและทรัพยากร และกลุ่มเทคโนโลยี เอคเซนเชอร์ ประเทศไทย กล่าวถึงผลการสำรวจว่า "ข้อมูลที่ได้จากการสำรวจแสดงให้เห็นพัฒนาการที่น่าสนใจในอาเซียนว่า อุตสาหกรรมน้ำมันและก๊าซใช้เทคโนโลยีดิจิทัลเพื่อช่วยให้ธุรกิจดำเนินไปได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้นและชาญฉลาดมากขึ้นอย่างไร ช่วยให้ธุรกิจก้าวผ่านความท้าทายทางเศรษฐกิจและอุตสาหกรรมในปัจจุบันได้อย่างไร ความสามารถในการตัดสินใจที่ดีขึ้นอันเป็นผลพวงมาจากการลงทุนเหล่านี้ ก็นับเป็นปัจจัยที่ช่วยธุรกิจวางตำแหน่งของตนในตลาดได้เหมาะสม รองรับการเติบโตในอนาคต และปรับเปลี่ยนไปสู่การเป็นองค์กรสมรรถนะสูงได้ด้วยการขยายขอบเขตตลาดใหม่ ๆ การสร้างกระแสรายได้ และการปรับโฉมประสบการณ์ของลูกค้าแบบใหม่ถอดด้าม”
ทั้งนี้ ผู้ตอบแบบสำรวจมากกว่าสองในสาม (66%) ที่ระบุว่าระบบอนาไลติกส์เป็นหนึ่งในศักยภาพที่สำคัญของการปรับเปลี่ยนองค์กร แต่มีเพียง 13% เท่านั้นที่เชื่อมั่นว่าระบบอนาลิติกส์ขององค์กรพัฒนาไปเต็มที่แล้ว ผู้ตอบเกือบสองในสาม (65%) มีแผนจะนำอนาลิติกส์เข้ามาใช้มากขึ้นในช่วงสามปีข้างหน้าเพื่อรองรับความต้องการขององค์กร
มร.เซนทิล รามานี ผู้อำนวยการศูนย์ Internet of Things Center of Excellence ของเอคเซนเชอร์ เล็งเห็นโอกาสมหาศาลในเรื่องนี้ “ศักยภาพการเติบโตของเทคโนโลยี IoT ในอาเซียนมีสูงกว่าที่อื่นมาก เพราะไม่มีระบบหรือกรอบเดิม และเทคโนโลยีดิจิทัลยังสร้างประโยชน์แก่ตลาดอย่างรวดเร็วแม้ตลาดนี้จะมีพื้นที่กว้างขวางมาก อัตราผลตอบแทนจากการลงทุน (ROI) อาจเกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว ขึ้นอยู่กับว่ามีการลงทุนในเทคโนโลยี IoT ด้านใด ลูกค้าหลายรายของเอคเซนเชอร์ก็เริ่มได้รับผลตอบแทนจากการลงทุนในระบบอนาลิติกส์และระบบบำรุงรักษาแล้ว”
การสำรวจครั้งนี้ ได้รับการสนับสนุนโดยเอ็คเซนเชอร์และไมโครซอฟท์ จัดทำโดย PennEnergy Research ร่วมกับวารสาร Oil & Gas Journal โดยสำรวจความเห็นและข้อมูลจากผู้ประกอบอาชีพในแวดวงอุตสาหกรรมน้ำมันและก๊าซทั่วโลก ที่รวมถึงวิศวกร นักธรณีวิทยา และผู้บริหารในระดับกลางถึงระดับสูง
ชไนเดอร์ อิเล็คทริค จัดงาน ดาต้าเซ็นเตอร์ อินโนเวชัน เดย์ แสดงเทคโนโลยีดาต้าเซ็นเตอร์ในรูปแบบใหม่ ที่นำเสนอโดยการเล่าประสบการณ์ในการสร้างและจัดการดาต้าเซ็นเตอร์แบบครบวงจร พร้อมเครื่องมือในการบริหารจัดการที่ทันสมัยในทุกขั้นตอน
นายธนัตถ์ เตชะธนบัตร รองประธาน ธุรกิจไอที ชไนเดอร์ อิเล็คทริค ประเทศไทย เผยว่า “การจัดงานดาต้าเซ็นเตอร์ อินโนเวชัน เดย์ ในครั้งนี้ เป็นการแสดงเทคโนโลยีดาต้าเซ็นเตอร์ ของ ชไนเดอร์ อิเล็คทริค ที่ได้ระดมผู้เชี่ยวชาญด้านดาต้าเซ็นเตอร์มาอธิบาย และแสดงถึงเครื่องมือสำคัญในการสร้างและบริหารดาต้าเซ็นเตอร์ เพื่อตอบรับกับการแข่งขันในยุคปัจจุบันและเพื่อให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุด ตั้งแต่การเริ่มวางแผนกลยุทธ์และการกำหนดเป้าหมายของธุรกิจ การออกแบบดาต้าเซ็นเตอร์ ไปจนถึงการสร้างดาต้าเซ็นเตอร์ด้วยเทคโนโลยีสุดล้ำที่เหมาะสมกับองค์กร อีกทั้ง ยังมีการนำซอฟต์แวร์บริหารจัดการยุคใหม่มาใช้ให้เหมาะสม นอกจากนี้ ยังมีการโชว์เทคโนโลยีอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้องกับดาต้าเซ็นเตอร์อีกมากมาย เชื่อว่าผู้ที่มาร่วมชมงานในครั้งนี้จะสามารถเก็บเกี่ยวความรู้ และความเชี่ยวชาญที่เรานำเสนอไปใช้ให้เกิดประสิทธิภาพกับองค์กรของตนได้ต่อไป”
REVIEW Your Living แอพพลิเคชั่นอสังหาประกาศเปิดตัวอย่างเป็นทางการ พร้อมให้ดาวน์โหลดกันแล้ว ทั้งระบบ IOS และ ANDROID หลังจากที่เปิดตัวบริการข้อมูลทางเว็บไซด์ www.reviewyourliving.com ไปเมื่อปลายปี 2556 ซึ่งมีกระแสตอบรับที่ดีมาก ปัจจุบันมีผู้เข้าชมเว็บไซด์กว่าหนึ่งแสนคนต่อเดือน และมียอดผู้ติดตามในเฟสบุ้คแฟนเพจกว่า 300,000 ไลค์ (ข้อมูลอัพเดท ณ วันที่ 10 พฤษภาคม 59)
นายชวัลย์ บุญประกอบศักดิ์ ประธานกรรมการบริหาร บริษัท ราชพฤกษ์ แอ็ดไวโซรี่ จำกัด กล่าวถึงแอพพลิเคชั่น REVIEW Your Living พร้อมทำการตลาดอย่างเต็มรูปแบบ เพื่อมุ่งตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์คนเมือง ด้วยแนวคิด “ปัจจุบันคนเข้าถึงข้อมูลข่าวสารผ่านช่องทางที่หลากหลายมากขึ้น ประกอบกับความเร็วอินเทอร์เน็ตที่รวดเร็วขึ้น และราคาสมาร์ทโฟนที่ถูกลง ทำให้ผู้ใช้งานมีความสะดวกสบายและสนุกกับเทคโนโลยีรูปแบบต่าง ๆ ได้มากขึ้น”
“REVIEW Your Living เป็นแอพพลิเคชั่นที่ทำหน้าที่เป็นตัวกลางระหว่างโครงการและผู้ต้องการซื้อ ขาย หรือให้เช่า โดยมีฟังก์ชั่นค้นหาโครงการ ทั้งบ้าน คอนโด และทาวน์โฮม ประกาศขาย-เช่าโดยไม่เสียค่าใช้จ่าย และระบบโลเคชั่นเบส ที่ช่วยหาโครงการตรงใจในรัศมี 5 กิโลเมตร นอกเหนือจากนั้นยังอัพเดทข้อมูลข่าวสารในแวดวงอสังหาริมทรัพย์อีกด้วย เรียกได้ว่าเป็นแอพพลิเคชั่นเดียวที่สามารถตอบโจทย์ทุกความต้องการอย่างแท้จริง ดาวน์โหลดฟรีได้แล้ววันนี้ที่www.reviewyourliving.com/download ติดตามข้อมูลโครงการ และข้อมูลอีกมากมายได้จาก Facebook: www.facebook.com/reviewyourliving เว็บไซต์ www.reviewyourliving.com
บนโลกของธุรกิจโซเชียลมีเดีย กระแสการสั่งซื้อสินค้าออนไลน์กำลังฟูเฟื่องและมีการแข่งขันค่อนข้างสูง เว็บไซต์การให้บริการสั่งซื้อสินค้าออนไลน์ มีให้บริการเลือกสรรมากมาย สำหรับสินค้าไอทีบนโลกธุรกิจออนไลน์นั้น เริ่มมีการแข่งขันกันอย่างต่อเนื่อง จากพื้นที่ร้านค้าทำเลทองในห้างสรรพสินค้าชั้นนำ ถูกปรับแต่งวางขายบนหน้าเว็บไซต์ในราคาพิเศษยิ่งกว่า พร้อมโปรโมชั่นแหวกแนว เพื่อให้ดึงดูดใจกับผู้บริโภคได้หันมาสั่งซื้อสินค้าออนไลน์กันมากขึ้น สำหรับในวงการธุรกิจค้าปลีกไอที ไอที ซิตี้ ผู้ค้าปลีกที่คร่ำหวอดในวงการค้าปลีกไอทีมากกว่า 20 ปี ได้รุกธุรกิจเพื่อให้บริการลูกค้า ในการสั่งซื้อสินค้าไอทีออนไลน์ในชื่อ www.itcityonline.com
รวมถึงสอบถามรายละเอียดสินค้า การขนส่งสินค้าและการรับประกันสินค้า อัพเดทข่าวสารด้านสินค้าไอทีได้อย่างต่อเนื่อง สินค้าที่นำมาจำหน่ายจะเกี่ยวข้องกับสินค้าประเภท อุปกรณ์คอมพิวเตอร์, โน้ตบุ๊ก, สมาร์ทโฟน, แท็บเล็ต, พริ๊นเตอร์, สแกนเนอร์, รวมไปถึงอุปกรณ์ด้านไอทีทุกประเภท และเป็นเว็บไซต์ที่จดทะเบียนพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ในนาม บริษัท ไอที ซิตี้ จำกัด (มหาชน) ซึ่งมีการดำเนินการธุรกิจอย่างถูกต้องตามกฎหมายและมีการให้ข้อมูลติดต่อบนหน้าเว็บไซต์อย่างชัดเจน
จุดประสงค์หลักของการให้บริการ IT CITY Online คือการบริการลูกค้าให้ได้รับความสะดวกในการสั่งซื้อสินค้าหลากหลายประเภท ทั้งข้อมูลข่าวสาร วิธีการชำระเงิน การขนส่งสินค้าและการรับประกันสินค้าที่ได้คุณภาพ มีการรับประกันสินค้าที่ยาวนานและมีสินค้าไอที ให้เลือกมากกว่า 2,500 รายการ พร้อมกับบริการที่ได้มาตรฐานผ่านทางเว็บไซต์ที่มีข้อมูลสินค้าประกอบการพิจารณา รวมไปถึงบริการด้านการชำระเงินและการจัดส่งสินค้าต่าง ๆ ที่อำนวยความสะดวกในเรื่องของ 1.ความสะดวกสบาย ลูกค้าไม่จำเป็นต้องเดินทางมาที่ร้าน IT CITY ก็สามารถซื้อสินค้าไอที ได้อย่างครบครันตามความต้องการ 2.ราคาและคุณภาพของสินค้ารวมถึงการบริการ ตรงตามมาตรฐานเช่นเดียวกับ ที่ขายหน้าร้านไอที ซิตี้ 3.สินค้าในหลาย ๆ รายการ ลูกค้าสามารถจะหาซื้อได้ที่เฉพาะ www.itcityonline.com เท่านั้น 4.ลูกค้าสามารถมั่นใจได้ 100% เต็มว่าสินค้าที่ซื้อไปจะได้รับการรับประกันจากร้าน IT CITY อย่างแน่นอน 5. ไอที ซิตี้ มีศูนย์บริการ กว่า 100 สาขา ทั่วประเทศไทย สินค้าที่ลูกค้าซื้อทาง www.itcityonline.com นั้น ลูกค้าสามารถนำมาเคลมสินค้าได้ที่ ไอที ซิตี้ ทุกสาขาทั่วประเทศ และ6.เนื่องจากความสัมพันธ์ที่ดีระหว่าง ไอที ซิตี้ กับพันธมิตรจากแบรนด์ต่าง ๆ ทำให้ลูกค้าของ www.itcityonline.com จะมีสิทธิ์ได้เลือกซื้อสินค้าหลายรายการที่เป็นชนิดพิเศษ ซึ่งจะมีจำหน่ายเฉพาะไอที ซิตี้เท่านั้น และรับสิทธิ์ได้ซื้อสินค้าในราคาพิเศษที่มีเฉพาะบน www.itcityonline.com เท่านั้น
สนใจสั่งซื้อสินค้าออนไลน์ผ่านเว็บไซต์ www.itcityonline.com หรือสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ไอที ซิตี้ คอลล์เซ็นเตอร์ โทรศัพท์ 0-2656-5030 หรือคลิกเข้าไปที่เว็บไซต์ www.itcity.co.th, www.facebook.com/itcitycare หรือ Line: @itcityonline
คุณเทียนชัย ลายเลิศ ประธานกรรมการ บริษัท ยิบอินซอย จำกัด ในฐานะรองประธานกรรมการ มูลนิธิเลนำคิน เป็นประธานในพิธีมอบทุนการศึกษาประจำปี 2559 ของมูลนิธิเลนำคิน (ก่อตั้งโดย บริษัท ยิบอินซอย จำกัด) โดยมี คุณศุภฤกษ์ ลายเลิศ กรรมการมูลนิธิเลนำคิน และ คุณสุวิชชา ลายเลิศ ผู้จัดการฝ่ายเทคโนโลยีสารสนเทศเพื่อการจัดการ บริษัท ยิบอินซอย จำกัด ร่วมเป็นผู้แทนคณะกรรมการของมูลนิธิฯ ในพิธีการมอบทุนการศึกษา ซึ่งปีนี้มีผู้ได้รับทุนทั้งสิ้น 234 ทุน โดยผู้ได้รับทุนมีทั้งพนักงานของ บริษัท ยิบอินซอย จำกัด และบริษัทในเครือ บุตรพนักงาน ทุนการศึกษาที่มอบให้มีตั้งแต่ระดับชั้นประถมถึงระดับปริญญาโท พิธีนี้จัดขึ้น ณ ห้อง YIPINTSOI STUDIO ชั้น 3 อาคารอนุรักษ์ บริษัท ยิบอินซอย จำกัด
เต็ดตรา แพ้ค (ประเทศไทย) จำกัด พร้อมด้วย WWF ประเทศไทย เดินหน้าประกาศความร่วมมือในการรณรงค์ เพื่อสร้างการรับรู้ถึงความสำคัญของกระบวนการจัดหาวัตถุดิบอย่างรับผิดชอบ และระบบการติดฉลาก FSC™ จากองค์การจัดการด้านป่าไม้ Forest Stewardship Council™ ซึ่งเป็นการรับรองมาตรฐานระดับสากล ที่ยืนยันว่าวัตถุดิบของผลิตภัณฑ์เหล่านี้ได้มาจากป่าปลูกเชิงพาณิชย์ ที่ผ่านการจัดการอย่างมีความรับผิดชอบ รวมถึงเพื่อสร้างสร้างความตระหนักถึงความหมายของฉลาก FSC บนผลิตภัณฑ์แก่ผู้บริโภค เพื่อให้สร้างอีกหนึ่งทางเลือกให้พวกเขาร่วมมีส่วนในการรักษาสิ่งแวดล้อม
เต็ดตรา แพ้ค ในฐานะผู้นำด้านกระบวนการแปรรูปและบรรจุอาหารระดับสากล มีความมุ่งมั่นในการจัดการห่วงโซ่อุปทานอย่างยั่งยืน และได้นำเอาประเด็นด้านสังคม สิ่งแวดล้อม และจริยธรรมมาเป็นส่วนหนึ่งในการพิจารณาจัดหาวัตถุดิบอย่างรับผิดชอบ โดยได้ดำเนินการจัดหาวัตถุดิบกระดาษและเยื่อไม้จากแหล่งป่าปลูกเชิงพาณิชย์ ที่ได้การรับรองจากองค์การจัดการด้านป่าไม้ Forest Stewardship Council™ (FSC) ซึ่งเป็นองค์กรไม่แสวงหาผลกำไรที่ได้รับการยอมรับอย่างกว้างขวางในระดับสากล ลูกค้าและผู้บริโภคจึงมั่นใจได้ว่าเยื่อไม้ที่นำมาใช้ในกระบวนการผลิตกล่อง ได้ผ่านการจัดการอย่างมีความรับผิดชอบทุกขั้นตอน ปัจจุบัน บริษัทฯ ยังได้รับการรับรองตามหลักเกณฑ์ของการจัดการห่วงโซ่ผลิตภัณฑ์ FSC Chain of Custody (FSC-CoC) สำหรับโรงงานผลิตบรรจุภัณฑ์ และบริษัทสาขาที่ดำเนินการอยู่ในประเทศต่าง ๆ ทั่วโลก บริษัทฯ จึงสามารถจัดสรรกล่องบรรจุภัณฑ์ที่ติดฉลาก FSC ให้แก่ลูกค้าได้จากทั่วทุกมุมโลก รวมไปถึงประเทศไทยได้อย่างมีประสิทธิภาพ
มร.เจฟ ฟิวโกว รองประธานบริหารฝ่ายสิ่งแวดล้อม บริษัท เต็ดตรา แพ้ค เอเชีย กล่าวว่า “การจัดหาวัตถุดิบอย่างรับผิดชอบ ถือเป็นหนึ่งในหัวใจสำคัญของการดำเนินงานของบริษัทฯ ซึ่งมีส่วนช่วยให้ลูกค้าสามารถขับเคลื่อนความสำเร็จทางธุรกิจได้อย่างยั่งยืน นอกจากนี้ บริษัทฯ ยังพร้อมเดินหน้าร่วมสนับสนุนให้ผู้บริโภครับทราบถึงความหมายของฉลาก FSC บนผลิตภัณฑ์ เพื่อสร้างแรงจูงใจในการเลือกซื้อ เต็ดตรา แพ้ค จึงขอเชิญชวนให้ลูกค้าและธุรกิจต่าง ๆ ในอุตสาหกรรมอาหารและเครื่องดื่มหันมาให้ความสำคัญแก่การติดฉลาก FSC บนกล่องบรรจุภัณฑ์ เพื่อเสริมสร้างการตระหนักรู้ของแนวคิดในการรักษาสิ่งแวดล้อมนี้
มร.ทิบอลต์ ลีเดอร์ ผู้บริหาร จาก WWF กล่าวว่า “ทรัพยากรโลกกำลังหมดไปอย่างรวดเร็ว โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ทรัพยากรธรรมชาติที่โลกไม่สามารถทดแทนได้ เพื่อเป็นการรับประกันว่าคนรุ่นหลังจะสามารถเข้าถึงทรัพยากรป่าไม้และทรัพยากรอื่น ๆ ที่มีคุณค่า ภาคธุรกิจจึงจำเป็นจะต้องให้ความสำคัญต่อการบริหารจัดการห่วงโซ่อุปทานแบบยั่งยืนโดยไม่ทำลายป่าไม้โดยสิ้นเชิง รวมถึงมาตรฐานการดำเนินธุรกิจโดยคำนึงถึงความรับผิดชอบขององค์กร ทั้งนี้ ผู้ประกอบการธุรกิจสามารถแสดงออกถึงความมุ่งมั่นผ่านการติดฉลาก FSC ซึ่งจะช่วยให้ผู้บริโภคเข้าใจถึงการมีส่วนร่วมในการรักษาสิ่งแวดล้อมอย่างง่าย ๆ ในชีวิตประจำวัน”
ความร่วมมือระหว่าง เต็ดตรา แพ้ค WWF จึงถือเป็นจุดริเริ่มของการสร้างความตระหนักถึงความสำคัญของฉลาก FSC บนผลิตภัณฑ์ ให้แก่ทั้งวงการอุตสาหกรรมอาหารและเครื่องดื่มและผู้บริโภค
เต็ดตรา แพ้ค ได้แนะนำระบบการติดฉลาก FSC บนกล่องบรรจุภัณฑ์อาหารเหลว เป็นครั้งแรกของโลกในปี พ.ศ.2550 ตั้งแต่ นั้นเป็นต้นมา จำนวนกล่องบรรจุภัณฑ์เต็ดตรา แพ้ค ที่มีฉลาก FSC ได้เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ถึงกว่า 54,000 ล้านกล่องในปี พ.ศ.2558 ทั้งนี้ เต็ดตรา แพ้ค ยังสร้างประวัติศาสตร์หน้าสำคัญ ในการส่งมอบกล่องบรรจุภัณฑ์ที่ติดฉลาก FSC จำนวนกว่า 2 แสนล้านกล่อง ณ เดือนเมษายน พ.ศ.2559 การขับเคลื่อนความเป็นเลิศผ่านการดำเนินงานด้านสิ่งแวดล้อมเป็นหนึ่งในยุทธศาสตร์หลักของเต็ดตรา แพ้ค โดยมีเป้าหมายระยะยาวในการส่งมอบบรรจุภัณฑ์ทั้งหมดที่แสดงฉลาก FSC
มิสเจย์โก ฟุง ผู้บริหารจาก องค์การจัดการด้านป่าไม้ กล่าวว่า “มาตรฐาน FSC มีเกณฑ์ในการพิจารณาอย่างเคร่งครัด และดำเนินการประเมินโดยองค์กรภายนอก เพื่อความน่าเชื่อถือ และเพื่อการันตีว่า ป่าไม้แหล่งที่มานั้นได้รับการบริหารจัดการอย่างมีความรับผิดชอบ โดย FSC ไม่เพียงเสนอแนวทางให้ผู้ประกอบการสามารถดำเนินธุรกิจได้อย่างยั่งยืน แต่ยังเป็นเครื่องหมายรับรองด้านสิ่งแวดล้อม ที่ร้านค้าปลีกและผู้บริโภคสามารถมั่นใจได้อีกด้วย”
ท่านสามารถอ่านรายงานด้านความยั่งยืนของเต็ดตรา แพ้ค ต่อได้ที่ www.tetrapak.com/sustainability
ระดมสมองเปิดการประชุมโครงการจัดทำมาตรฐานสมรรถนะสำหรับผู้ใช้ไอที (Digital Literacy) เร่งจัดทำมาตรฐานสมรรถนะด้านไอซีที ให้ครอบคลุมและรองรับกับผู้ใช้งานไอทีทั่วไป เพื่อยกระดับมาตรฐานสมรรถนะด้านการใช้ไอทีของกำลังคนทุกสาขาอาชีพได้อย่างมีประสิทธิภาพ เพื่อเตรียมความพร้อมของบุคลากรให้เข้าสู่ระบบเศรษฐกิจดิจิทัล
พ.อ.ดร.อรรถสิทธิ์ หัสถีธรรม ผู้อำนวยการสำนักนโยบายและแผนสถาบันคุณวุฒิวิชาชีพ (องค์การมหาชน) กล่าวว่า ในปัจจุบันการทำงานไม่ว่าจะอยู่ในสาขาใดจำเป็นต้องใช้ทักษะและความเชี่ยวชาญในหลายด้านไปพร้อมกัน โดยเฉพาะในเรื่องของการเรียนรู้ การปฏิบัติงานจริง การฝึกฝน โดยผู้ประกอบการในหลากหลายอาชีพล้วนต้องมีศักยภาพในการพัฒนาขีดความสามารถการทำงานด้านต่าง ๆ ทั้งในหน้าที่ของตน และการนำความรู้ ทักษะ และความสามารถมาประยุกต์ใช้ซึ่งเรียกว่า “สมรรถนะ” โดยในปัจจุบันรัฐบาลมีนโยบายการขับเคลื่อนประเทศไปสู่ระบบเศรษฐกิจดิจิทัล ดังนั้นการจัดโครงการจัดทำมาตรฐานสมรรถนะสำหรับผู้ใช้ไอที (Digital Literacy) เพื่อเป็นการพัฒนาสมรรถนะของกำลังคนให้รองรับเศรษฐกิจดิจิทัล ซึ่งมีความสำคัญโดยต้องยกระดับมาตรฐานสมรรถนะด้านการใช้ไอทีของกำลังคนทุกสาขาอาชีพให้ได้ อย่างมีประสิทธิภาพเพื่อเตรียมความพร้อมของบุคลากรให้เข้าสู่ระบบเศรษฐกิจดิจิทัล รวมทั้งต้องส่งเสริมความร่วมมือระหว่างสถาบันและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องทั้งภาคเอกชน สถานศึกษา เพื่อพัฒนาศักยภาพให้มีความพร้อมทุกด้านในการรองรับเศรษฐกิจดิจิทัลที่กำลังเติบโตอย่างก้าวกระโดด และพร้อมที่จะก้าวสู่ตลาด AEC ได้อย่างมีประสิทธิภาพ
ด้าน รองศาสตราจารย์ ดร.ประเสริฐ ปิ่นปฐมรัฐ อธิการบดีมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลธัญบุรี กล่าวว่า โครงการจัดทำมาตรฐานสมรรถนะสำหรับผู้ใช้ไอที (Digital Literacy)เพื่อพัฒนาสมรรถนะของกำลังคนรองรับเศรษฐกิจดิจิทัล เป็นการระดมสมองในทุกภาคส่วน ให้มาร่วมกันจัดทำมาตรฐานสมรรถนะสำหรับผู้ใช้ไอที (Digital Literacy) มีวัตถุประสงค์เพื่อจัดทำมาตรฐานสมรรถนะด้านไอซีที ให้ครอบคลุมและรองรับกับผู้ใช้งานไอทีทั่วไป นอกเหนือจากที่สถาบันได้จัดทำมาตรฐานอาชีพและคุณวุฒิวิชาชีพไปแล้วในกลุ่มอาชีพ และเพื่อยกระดับมาตรฐานสมรรถนะด้านการใช้ไอทีของกำลังคนทุกสาขาอาชีพได้อย่างมีประสิทธิภาพเพื่อเตรียมความพร้อมของบุคลากรให้เข้าสู่ระบบเศรษฐกิจดิจิทัล
ด้าน ศาสตราจารย์ ดร.ภาวิช ทองโรจน์ อธิการบดีมหาวิทยาลัยมหาสารคราม กล่าวว่า ในปัจจุบันศักยภาพของเทคโนโลยีสารสนเทศทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงหลายอย่าง ทั้งด้านการเกษตร ด้านอุตสาหกรรม และด้านการศึกษา ซึ่งด้านการศึกษานั้นเราจะเห็นได้จากการค้นหาเริ่มง่ายและเร็วขึ้น ยกตัวอย่างสมัยก่อนเวลาเราจะดูว่าต้นไม้มีสารเคมีอะไรบ้าง เราต้องใช้เวลาถึง 3 ปี ในการสำรวจ แต่ทุกวันนี้มีใบไม้เพียงไม่กี่ใบก็สามารถหาได้แล้วว่ามีสารเคมีอะไรบ้าง และจะเป็นลักษณะของความรู้ที่สามารถค้นคว้าได้เอง ซึ่งต่อเนื่องมาถึงยุคดิจิทัลในปัจจุบันที่วิถีชีวิตของผู้คนเริ่มเปลี่ยนหันมาสนใจเทคโนโลยีกันมากขึ้นจึงไม่แปลกที่ตอนนี้เรื่องไอทีจึงกลายเป็นเรื่องใกล้ตัว โดยทุกหน่วยงานไม่ว่าจะเป็นทั้งภาครัฐ ภาคเอกชน นักวิชาการ ผู้สูงอายุ ผู้ด้อยโอกาส และประชาชนทุกภาคส่วนในสังคม ต้องร่วมกันผลักดันให้เกิดการพัฒนาคุณภาพชีวิต และเกิดการพัฒนาธุรกิจใหม่ ๆ บนพื้นฐานของการประยุกต์ใช้เทคโนโลยีดิจิทัล เพื่อรองรับเศรษฐกิจดิจิทัล โดยใช้เทคโนโลยีดิจิทัลเป็นฟันเฟืองสำคัญในการเชื่อมโยงคนทุกกลุ่ม ทุกเพศ ทุกวัย เข้าด้วยกัน
วิทยาลัยแม่ฮ่องสอน มหาวิทยาลัยราชภัฏเชียงใหม่ นำคณะนักศึกษาชั้นปีที่ 3 สาขาวิชาคอมพิวเตอร์ธุรกิจ พร้อมคณะอาจารย์ เข้าศึกษาดูงาน ณ บริษัท เมโทรซิสเต็มส์คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) เพื่อเพิ่มพูนความรู้ ความเข้าใจ ตลอดจนเสริมสร้างทักษะ และประสบการณ์ตรงแก่นักศึกษา ในโอกาสนี้ ได้เข้าฟังการบรรยายความรู้ด้านไอทีจาก นายยงยุทธ ศรีวันทนียกุล ผู้ช่วยผู้อำนวยการกลุ่มผลิตภัณฑ์ซอฟต์แวร์โซลูชั่น บริษัท เมโทรซิสเต็มส์คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) โดย นายมีลาภ โสขุมา Solution Architech ร่วมบรรยาย และนำเยี่ยมชมศูนย์สาธิตเทคโนโลยีต่าง ๆ ภายในสำนักงานใหญ่ เมื่อวันที่ 18 พฤษภาคม 2559
นาย โคจิ ชินโจ กรรมการผู้จัดการ บริษัท คาสิโอ มาร์เก็ตติ้ง (ประเทศไทย) จำกัด เปิดเผยว่า จากหลักการความเชื่อขององค์กรที่ว่า “ความคิดสร้างสรรค์และการตอบแทนสังคม” (Creativity and Contribution) ทำให้บริษัท คาสิโอ ทุ่มเทสร้างสรรค์ผลิตภัณฑ์นวัตกรรมที่มีประสิทธิภาพสูงและเป็นผลิตภัณฑ์ที่ช่วยส่งเสริมความยั่งยืนด้านสิ่งแวดล้อมโดยตรง ทั้งนี้ บริษัท คาสิโอ มีส่วนแบ่งตลาดทั่วโลก 80% ในกลุ่มผลิตภัณฑ์โปรเจ็คเตอร์แบบไฮบริด ที่ใช้เลเซอร์และหลอด แอลอีดี โดยคาสิโอเป็นผู้สร้างสรรค์เทคโนโลยีโปรเจ็คเตอร์ให้มีความสว่างมากกว่า 2,500 ลูเมน โดยไม่ใช้หลอดไฟไอปรอท หรือ หลอดไฟเคลือบสารปรอท
โปรเจ็คเตอร์แบบไฮบริด ของคาสิโอ ได้ยึดมั่นแนวทางที่ว่า “ไร้หลอดไฟ เพื่ออนาคตที่สว่างไสวกว่า” (Lamp Free for a Brighter Future) เพื่อสนับสนุนให้เกิดการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมด้วยการยกเลิกการใช้งานหลอดไฟเคลือบสารปรอท และใช้แหล่งกำเนิดแสงแบบไฮบริดระหว่างเลเซอร์และหลอดแอลอีดี ทำให้โปรเจ็คเตอร์ไม่ต้องปล่อยไอปรอทหรือก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ออกสู่อากาศภายนอก
นอกจากนี้ โปรเจ็คเตอร์ คาสิโอยังมีอายุการใช้งานยาวนานขึ้นถึง 20,000 ชั่วโมง (ประมาณ 10 เท่าของโปรเจ็คเตอร์ชนิดหลอดไฟไอปรอท) และใช้พลังงานประมาณครึ่งหนึ่งของโปรเจ็คเตอร์ชนิดหลอดไฟไอปรอทเท่านั้น ทำให้ประหยัดค่าใช้จ่ายได้ในระยะยาว ลดต้นทุนรวมของการเป็นเจ้าของ (TCO: Total Cost of Ownership) รวมทั้งยังช่วยขจัดความยุ่งยากในการบำรุงรักษาและการเปลี่ยนหลอดไฟอีกด้วย
“คาสิโอเป็นแบรนด์ชั้นนำอันดับหนึ่งของโลกด้านโปรเจ็คเตอร์ไฮบริดเลเซอร์และแอลอีดี ตลอดระยะเวลาหกปีที่ผ่านมา[1] สำหรับประเทศไทยนับว่า เป็นครั้งแรกที่ได้เปิดตัวโปรเจ็คเตอร์และตัวแทนจำหน่ายรายเดียวในวันนี้อย่างเป็นทางการ โดยมีความมั่นใจว่า เอสวีโอเอจะสามารถช่วยให้คาสิโอขยายตลาดได้ครอบคลุมทุกกลุ่มเป้าหมาย อาทิ ภาครัฐและเอกชน รวมทั้งสถาบันการศึกษา” นายชินโจ กล่าว
สำหรับโปรเจ็คเตอร์ รุ่นใหม่มีทั้งหมด 8 รุ่น เป็นโปรเจ็คเตอร์แบบไฮบริดที่เป็นลูกผสมระหว่างเลเซอร์และหลอดแอลอีดีโดยไม่ใช้หลอดไฟเคลือบสารปรอทเป็นส่วนประกอบ มีระดับราคาที่ย่อมเยาและพร้อมให้สำนักงานและสถาบันการศึกษาต่าง ๆ ได้เลือกใช้งานตามต้องการ ประกอบด้วย คอร์ ซีรีส์ (Core Series) จำนวน 3 รุ่น ได้แก่ XJ-V10X, XJ-V100W และ XJ-V110W และ แอดวานซ์ ซีรีส์ (Advanced Series) จำนวน 5 รุ่น ได้แก่ XJ-F10X, XJ-F20XN, XJ-F100W, XJ-F200WN และ XJ-F210WN โดยผลิตภัณฑ์เหล่านี้มีเลนส์ซูมออปติคอล 1.5 เท่า ทำให้มีความยืดหยุ่นยิ่งขึ้นในการจัดวางโปรเจ็คเตอร์ พร้อมด้วยฟังก์ชั่น อินสแตนท์ ไลท์ คอนโทรล (Instant Light Control) เพื่อปรับความสว่างได้โดยอัตโนมัติตามแสงสว่างแวดล้อมของสถานที่ ขณะที่ผลิตภัณฑ์ใหม่ใน แอดวานซ์ ซีรีส์ ยังมาพร้อมกับตัวเลือกรูปแบบการแสดงผลที่มากกว่าเดิมผ่านทางพอร์ตเชื่อมต่อเอชดีเอ็มไอ (HDMI) ที่ หลากหลาย
นอกจากนั้น ยังสามารถปรับความสว่างระดับสูงสุดพร้อมใช้งานได้ภายในเวลาไม่ถึง 5 วินาที และสามารถปิดระบบได้ทันทีโดยไม่ต้องรอให้เครื่องระบายความร้อน ช่วยลดเวลาในการปรับตั้งและเพิ่มประสิทธิภาพในการปรับตั้งโปรเจ็คเตอร์ในห้องประชุมหรือห้องเรียน
ด้าน นายฐิตกร อุษยาพร ประธานกรรมการบริหาร บริษัท เอสวีโอเอ จำกัด (มหาชน) ตัวแทนจำหน่ายโปรเจ็คเตอร์ คาสิโอ รายเดียวในประเทศไทย กล่าวว่า ด้วยศักยภาพและความโดนเด่นของผลิตภัณฑ์คาสิโอ ที่เป็นแบรนด์ระดับสากล มีการจัดจำหน่ายทั่วโลก พร้อมกับคุณภาพสินค้าระดับมาตรฐานครอบคลุมตอบโจทย์การใช้งานของผลิตภัณฑ์ สำหรับโปรเจ็คเตอร์ คาสิโอ ที่เน้นเรื่องนวัตกรรมหลอดภาพแอลอีดี คุณสมบัติแบบ ไฮบริค ช่วยในการประหยัดพลังงานและลดค่าใช้จ่ายในการบำรุงรักษา รวมถึงสินค้าดังกล่าวยังให้ความสำคัญเรื่องการรักษาสิ่งแวดล้อม ด้วยคุณสมบัติดังกล่าว บริษัทฯ เล็งเห็นแนวโน้มการเติบโตขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยผ่านช่องจัดจำหน่ายร้านค้าตัวแทนของทางเอสวีโอเอกว่า 1,000 แห่ง เพื่อนำไปจำหน่ายต่อให้กับผู้ใช้งานทั่วไป ซึ่งความร่วมมือในครั้งนี้จะช่วยเพิ่มเป้าหมายส่วนแบ่งทางการตลาดประมาณ 5-10%
“นอกจากช่องทางการจัดจำหน่ายที่แข็งแกร่งในกลุ่มบริษัทหรือร้านค้าตัวแทนจำหน่ายสินค้าไอทีของ เอสวีโอเอแล้ว ทางเอสวีโอเอยังร่วมกับคาสิโอ จัดให้มีการจัดอบรมถึงคุณสมบัติที่แตกต่าง ความโดดเด่นของอุปกรณ์ วิธีการใช้ และแนะนำการบริการหลังการขายให้กับตัวแทนอยู่ตลอดเวลา รวมถึงกิจกรรมทางการตลาดให้กับร้านค้าตัวแทนจำหน่ายเพื่อเป็นการกระตุ้นยอดขายและสร้างสีสันทางการตลาดให้กับทาง คาสิโอ จากการร่วมมือกันในครั้งนี้” นายฐิตกร กล่าว
[1] ข้อมูลจาก Futuresource Consulting, หมวด SSI, สูงกว่า 2500 ลูเมน
ถิรไทย หรือ TRT ประกาศผลการดำเนินงาน Q1 ปี 58 มียอดขายรวม 459.75 ล้านบาท พร้อมกวาดรายได้เพิ่มในส่วนของบริการ 98.41 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปีก่อน 75.36 ล้านบาท หรือ 326.94% โดยรายได้มาจากบริษัทย่อยสามารถดำเนินด้านการบริการเป็นไปตามแผนงาน ด้าน “สัมพันธ์ วงษ์ปาน” ผู้บริหารเผยปีนี้คาดโกยรายได้ทะลุ 3,000 ล้านบาท หลังหน่วยงานการไฟฟ้าภาครัฐ และการขยายตัวของการใช้พลังงานไฟฟ้าอย่างต่อเนื่อง โดยตุน Backlog แล้วกว่า 3,218 ล้านบาทแล้ว
นายสัมพันธ์ วงษ์ปาน กรรมการผู้จัดการ บริษัท ถิรไทย จำกัด (มหาชน) หรือ TRT ผู้ผลิต จำหน่าย และซ่อมบำรุง หม้อแปลงไฟฟ้าทุกขนาดของคนไทยเพียงแห่งเดียว เปิดเผยถึงผลการดำเนินงานในไตรมาส 1 ปี 2558 ว่า บริษัทฯ และบริษัทย่อย มีรายได้จากการขายทั้งสิ้น 459.75 ล้านบาท ลดลงจากปีก่อน 19.27 ล้านบาท หรือ 4.02% นอกจากนี้ บริษัทฯ ยังมีรายได้จากการบริการ 98.41 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปีก่อน 75.36 ล้านบาท หรือ 326.94% ปัจจัยที่ทำให้มีรายได้เพิ่มขึ้นสูง เนื่องจากรายได้ของบริษัทย่อยสามารถดำเนินด้านการบริการเป็นไปตามแผนงาน ทั้งได้การซ่อมหม้อแปลงขนาดใหญ่เพิ่มขึ้น
นอกจากนี้บริษัทฯ ยังมีรายได้จากการให้บริการตามสัญญาก่อสร้าง จากการดำเนินการของบริษัทย่อย 16.33 ล้านบาท ซึ่งมีอัตรากำไรขั้นต้น 23.94% และบริษัทฯ มีกำไรขึ้นต้นจากการขาย 24.41% เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีก่อน 14.64% เนื่องจากราคาขายตามโครงการที่ส่งมอบปรับตัวขึ้นจากสภาวะการแข่งขันที่ลดลง
สำหรับกำไรขั้นต้นจากการบริการลดลงเท่ากับ 52.93% จากช่วงเดียวกันของปีก่อนที่ 66.27% เนื่องจากงานที่ส่งมอบเป็นการบริการทั่วไป ซึ่งมีกำไรขึ้นต้นเฉลี่ยตามตลาด นอกจากนี้ยังมีค่าใช้จ่ายในการขายเท่ากับ 45.73 ล้านบาท เพิ่มขึ้น จากปีก่อน 20.04 ล้านบาท หรือ 78.01 % และมีค่าใช้จ่ายในการบริหาร 93.95 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปีก่อน 16.88 ล้านบาท หรือประมาณ 21.90% เนื่องจากค่าใช้จ่ายของบริษัทย่อยมีธุรกิจเพิ่มขึ้น
นายสัมพันธ์ กล่าวต่อไปว่า ในปี 2559 จากการขยายตัวของการใช้ไฟฟ้า และการสร้างโรงไฟฟ้าใหม่ ทั้งตลาดพลังงานทดแทน วินฟาร์ม และโซล่าฟาร์ม ซึ่งบริษัทฯ คาดว่าจะมีผลประกอบการไปในทิศทางที่ดีขึ้นไม่น้อยกว่า 3,000 ล้านบาท โดยรายได้จะมาจากกลุ่มภาครัฐบาลประมาณ 655 ล้านบาท กลุ่มบริษัทเอกชนภายในประเทศ 1,025 ล้านบาท ส่งออก 570 ล้านบาท ซึ่งสามารถแยกมูลค่างานเป็นหม้อแปลง Power เป็นหลักถึง 1,600 ล้านบาท และกลุ่ม Distribution 650 ล้านบาท และการบริการอื่น ๆ และบริษัทฯ ในเครืออีกกว่า 1,802 ล้านบาท
“สำหรับปี 2559 คาดว่าจะเป็นปีทองของบริษัทฯ อีกปีหนึ่ง โดยปัจจุบันบริษัทฯ มีงานในมือ (Backlog) แล้วกว่า 3,218 ล้านบาท โดยส่งมอบในปี 2559 กว่า 2,337 ล้านบาท และปี 2560 มูลค่ากว่า 529 ล้านบาท และปี 2561 มูลค่า 352 ล้านบาท โดยแบ่งเป็นกลุ่มภาครัฐ 408 ล้านบาท กลุ่มบริษัทเอกชนในประเทศ 1,057 ล้านบาท และส่งออกอีก 519 ล้านบาท รวมถึงการบริการอื่น ๆ และบริษัทฯ ในเครืออีกกว่า 1,335 ล้านบาท ซึ่งทำให้บริษัทฯ มั่นใจรายได้ไม่ต่ำกว่าเป้าหมายที่ตั้งไว้อย่างแน่นอน” นายสัมพันธ์ กล่าวสรุปในตอนท้าย
คุณประพันธ์ รังสิโยภาส (กลาง) ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการฝ่ายการตลาด บริษัท อิออน ธนสินทรัพย์ (ไทยแลนด์) จำกัด (มหาชน) เปิดตัวแคมเปญ เชียร์สนั่น ลุ้นมันส์ถึงยุโรป กับ “AEON EURO MATCH 2016” ชวนลูกค้าลุ้นรับรางวัลสุดพิเศษมากมาย อาทิ แพ็กเกจทัวร์ประเทศฝรั่งเศส 7 วัน 4 คืน รางวัลละ 2 ท่าน จำนวน 10 รางวัลแอลอีดี ทีวี พานาโซนิค ขนาด 40 นิ้ว จำนวน 20 รางวัล และจี้ฟุตบอลทองคำหนัก 25 สตางค์ จำนวน 30 รางวัล รวมมูลค่าของรางวัลทั้งสิ้นกว่า 2,000,000 บาท ง่าย ๆ เพียงช้อปปิ้ง ผ่อนสินค้า หรือเบิกเงินสดกับอิออน ตั้งแต่ 3,000 บาทขึ้นไป/เซลส์สลิป/สัญญา รับ 1 สิทธิ์ และพิเศษรับเพิ่มสองสิทธิ์ทันทีเมื่อผ่อนทีวี ทุกรุ่น ทุกยี่ห้อ หรือเมื่อมียอดผ่อนสินค้าอื่น ๆ ตั้งแต่ 12,000 บาทขึ้นไป หรือเมื่อใช้จ่ายตั้งแต่ 3,000 บาทขึ้นไป ณ ร้านค้าที่ร่วมรายการ ตามที่บริษัทฯ กำหนด
ผู้ถือบัตรเครดิตและบัตรสมาชิกอิออน สามารถเข้าร่วมกิจกรรมลุ้นโชคได้แล้วตั้งแต่วันนี้ถึง 31 กรกฎาคม 2559 สำหรับผู้สนใจสามารถติดตามข่าวสารโปรโมชั่น หรือกิจกรรมต่าง ๆ เพิ่มเติมได้ที่ www.aeon.co.th
ดร.มารุต มณีสถิตย์ กรรมการผู้จัดการประจำประเทศไทย และพม่า นำทีมพนักงาน บริษัท ฮิตาชิ ดาต้า ซิสเต็มส์ พีทีอี ลิมิเต็ด ไปมอบปัจจัยสนับสนุนทุนการศึกษาของน้อง ๆ วัยเรียน และบริจาคของใช้จำเป็น พร้อมเป็นเจ้าภาพเลี้ยงอาหารว่างให้กับเด็กตั้งแต่ช่วงวัย 2 ขวบขึ้นไป และมอบอ้อมกอดอุ่น ๆ ให้กับสมาชิกในห้องเด็กอ่อน ซึ่งกิจกรรมนี้ จะจัดขึ้นเป็นประจำทุกปีอย่างต่อเนื่อง เพื่อแสดงออกถึงการแบ่งปันเพื่อสังคม และได้แบ่งปันช่วงเวลาความสุข ให้น้อง ๆ ได้อิ่มท้อง และทีมงาน ฮิตาชิ ดาต้า ซิสเต็มส์ ได้รับความอิ่มใจกลับมาเต็มที่ โดยในปีนี้จัดขึ้น ณ มูลนิธิสงเคราะห์เด็ก พัทยา จ.ชลบุรี
มหาวิทยาลัยราชภัฏหมู่บ้านจอมบึง อำเภอจอมบึง จังหวัดราชบุรี นำคณะนักศึกษาชั้นปีที่ 4 สาขาวิชาเทคโนโลยีสารสนเทศ คณะวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี พร้อมอาจารย์ เข้าศึกษาดูงาน และฟังการบรรยายความรู้ด้านไอที จาก นายยงยุทธ ศรีวันทนียกุล ผู้ช่วยผู้อำนวยการกลุ่มผลิตภัณฑ์ซอฟต์แวร์โซลูชั่น บริษัท เมโทรซิสเต็มส์คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) โดย นายมีลาภ โสขุมา Solution Architech ร่วมบรรยาย และนำเยี่ยมชมศูนย์สาธิตเทคโนโลยีต่าง ๆ ภายในบริษัท เมโทรซิสเต็มส์คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) สำนักงานใหญ่ เมื่อวันที่ 4 พฤษภาคม 2559 ที่ผ่านมา
มร.แฮร์มัน จี โรว์แลนด์ จูเนียร์ (ที่ 4 จากขวา) กรรมการผู้จัดการ บริษัท เจลลี เบลลี แคนดี้ คอมปานี (ประเทศไทย) จำกัด ในเครือบริษัท เจลลี เบลลี แคนดี้ คอมปานี จำกัด ผู้ผลิตขนมเจลลี่บีนรายใหญ่ของโลกจากสหรัฐอเมริกา ลงนามเซ็นสัญญาเช่าอาคารเก็บวัตถุดิบ และสินค้าที่ผลิตขึ้น ที่นิคมอุตสาหกรรมอีสเทิร์นซีบอร์ด (ระยอง) โดยอาคารแห่งนี้มีพื้นที่ 9,282 ตร.ม. และจะใช้เป็นคลังเก็บวัตถุดิบ และสินค้าที่ผลิตขึ้นจากโรงงานของบริษัทที่ตั้งอยู่ในนิคมอุตสาหกรรมอีสเทิร์นซีบอร์ด (ระยอง) เช่นกัน เพื่อให้บริษัทสามารถส่งมอบสินค้าที่มีคุณภาพแก่ตลาดสำคัญ ๆ ทั่วโลกได้อย่างทั่วถึง
บริษัท เหมราชพัฒนาที่ดิน จำกัด (มหาชน) จัดงานประชุมสามัญผู้ถือหุ้นประจำปี 2559 นำโดย นายแพทย์สมยศ อนันตประยูร (กลาง) ประธานคณะกรรมการ/ประธานกรรมการบริหาร บริษัท เหมราชพัฒนาที่ดิน จำกัด (มหาชน) พร้อมด้วยคณะกรรมการบริษัทท่านอื่น ๆ ประกาศความมุ่งมั่นที่จะเป็นผู้นำด้านการพัฒนาโซลูชั่นอุตสาหกรรมของไทย ด้วยผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรมที่ครอบคลุม เพื่อตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้าในด้านต่าง ๆ อาทิ ที่ดินอุตสาหกรรม โรงงานสำเร็จรูป คลังสินค้า ปัจจุบัน นิคมอุตสาหกรรมอันทันสมัยระดับโลกของเหมราชฯ รองรับนักลงทุนไทยและต่างชาติกว่า 700 ราย นอกจากนี้ บริษัทยังคงลงทุนและตั้งบริษัทร่วมทุนเพื่อพัฒนาระบบสาธารณูปโภคและเพิ่มกำลังการผลิตไฟฟ้าเพื่อตอบสนองต่อความต้องการที่กำลังเพิ่มมากขึ้นอย่างต่อเนื่อง
เอบีบี ร่วมออกบูธงานสถาปนิก’59 (Architect’16) งานแสดงวัสดุและเทคโนโลยีก่อสร้างที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในภูมิภาคอาเซียนครั้งที่ 30 ซึ่งจัดขึ้นในระหว่างวันที่ 26 เมษายน–1 พฤษภาคม 2559 ณ ชาเลนเจอร์ ฮอลล์ ศูนย์การแสดงสินค้าและการประชุม อิมแพ็ค เมืองทองธานี ด้วยการเปิดตัวนวัตกรรม ABB-free@home®: Making home automation easier than ever ระบบควบคุมบ้านอัจฉริยะใหม่จากเอบีบี ที่สามารถควบคุมฟังก์ชั่นภายในบ้านผ่านแอปพลิเคชั่นบนสมาร์ทโฟนหรือแท็บเล็ต ไม่ว่าจะเป็นการเปิด-ปิดไฟ, เลื่อนผ้าม่านขึ้น-ลง, เปิด-ปิดเครื่องปรับอากาศและเชื่อมต่อกับ Welcome M ระบบควบคุมประตูเข้า-ออกอัตโนมัติจากเอบีบี ที่สามารถตอบโจทย์พื้นฐานการใช้งานได้อย่างลงตัวและมีประสิทธิภาพพร้อมเพิ่มความสะดวกสบายอีกระดับให้กับผู้ใช้งาน
บิ๊กซี ร่วมสนับสนุน โครงการ หนูณิชย์ พาชิม ของกรมการค้าภายใน กระทรวงพาณิชย์ ด้วยการนำเสนออาหารจานด่วนที่มีราคาถูก สะอาด คุณภาพดี และมีรสชาติอร่อย เพื่อลดค่าครองชีพของคนไทย โดยมี นายวุฒิชัย ดวงรัตน์ รองปลัดกระทรวงพาณิชย์ (ยืนที่สี่จากซ้าย) นายวงศ์ศักดิ์ จารุวนาลัย พาณิชย์จังหวัดลพบุรี (ยืนที่สามจากขวา) นายภานุ แย้มศรี ผู้ว่าราชการจังหวัดลพบุรี (ยืนที่สี่จากขวา) และ นางสาววารุณี กิจเจริญพูลสิน ผู้อำนวยการฝ่ายองค์กรสัมพันธ์ บมจ.บิ๊กซี ซูเปอร์เซ็นเตอร์ (ยืนที่สามจากซ้าย) ร่วมกิจกรรมการตรวจเยี่ยมโครงการฯ และมอบป้ายสัญลักษณ์โครงการ หนูณิชย์ พาชิม ณ บริเวณศูนย์อาหาร ชั้น 2 ห้างบิ๊กซี ซูเปอร์เซ็นเตอร์ ลพบุรี
นายพิภพ โชควัฒนา ผู้บริหาร นิวซิตี้ ดิจิตอล บิสซิเนส เน็ทเวิร์ค สถาบันเครือข่ายธุรกิจและพัฒนาศักยภาพธุรกิจสู่องค์กรดิจิตอล ภายใต้เครือสหพัฒน์ ได้นำคณะธุรกิจเข้าเยี่ยมชมกิจการและศึกษาดูงาน บริษัท เมโทรซิสเต็มส์คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) และฟังการบรรยายความรู้เรื่อง Technology & Software Solution สู่องค์กรดิจิตอล เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพและมูลค่าธุรกิจ จาก นายยงยุทธ ศรีวันทนียกุล ผู้ช่วยผู้อำนวยการกลุ่มผลิตภัณฑ์ซอฟต์แวร์โซลูชั่น บริษัท เมโทรซิสเต็มส์คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) ณ สำนักงานใหญ่ ทั้งนี้เพื่อร่วมส่งเสริมการสร้างความแข็งแกร่งของเครือข่ายธุรกิจ และสนับสนุนให้องค์กรทางธุรกิจพัฒนาศักยภาพสู่องค์กรดิจิตอล
เฉาอัน หวัง รองประธาน ลิกซิล เฮาส์ซิง เทคโนโลยี ประจำภูมิภาคเอเชีย, พิทยา เตชะรุ่งนิรันดร์ ผู้จัดการทั่วไป ลิกซิล เฮาส์ซิ่ง เทคโนโลยี ประเทศไทย, คริสโตเฟอร์ เจ แมค ประธานกรรมการ ลิกซิล เฮาส์ซิ่ง เทคโนโลยี อินเตอร์เนชั่นแนล บิสซิเนส, เคอิจิ โอชิม่า ผู้อำนวยการฝ่ายส่งเสริมธุรกิจต่างประเทศ ลิกซิล เฮาส์ซิ่ง เทคโนโลยี ประเทศญี่ปุ่น ซาโทรู นากาซาโก ผู้จัดการทั่วไป สินค้ากลุ่มตกแต่งภายนอก ลิกซิล เฮาส์ซิ่ง เทคโนโลยี ประเทศญี่ปุ่น และ ศิรินทรา จิตตราวงศ์ ผู้อำนวยการฝ่ายการตลาดส่วนภูมิภาค ลิกซิล เฮาส์ซิ่ง เทคโนโลยี ประเทศไทย ร่วมออกบูธในงานแสดงเทคโนโลยีสถาปัตยกรรม ครั้งที่ 30 (งานสถาปนิก'59) เปิดตัวเทคโนโลยีและกลุ่มผลิตภัณฑ์เพื่อการตกแต่งบ้านแบบครบวงจร จากทอสเท็ม ณ อาคารชาเลนเจอร์ฮอลล์ 1-3 อิมแพ็คอารีน่า เมืองทองธานี กรุงเทพฯ
มร.ซานเจย์ มิชรา (4-จากซ้าย) กรรมการผู้จัดการ มร.กรัญจิตต์ โรชา (3-จากซ้าย) ผู้บริหารฝ่ายขายและการตลาด และ คุณสมิทธ์ แสงไฟ (2-จากซ้าย) ผู้บริหารฝ่ายการตลาดและสื่อสารองค์กร บริษัท ทาทา มอเตอร์ส (ประเทศไทย) จำกัด รับมอบรางวัล บิ๊กเบสคาร์ออฟเดอะเยียร์ 2015-2016 จาก นางอรรชกา สีบุญเรือง รมต.กระทรวงอุตสาหกรรม ประธานในพิธีมอบรางวัล พร้อมด้วย คุณจรวย ขันมณี (2-จากขวา) ประธานกรรมการบริหาร บริษัท ยานยนต์ สแควร์ กรุ๊ป จำกัด และประธานกรรมการอำนวยการ จัดงานมหกรรมยานยนต์ เพื่อการขาย หรือ BIG Motor Sale
นายโสภณ นานาสมบัติ ประธานกรรมการบริหาร บริษัท เอ็นเทค แอสโซซิเอท จำกัด ผู้แทนจำหน่ายผลิตภัณฑ์ Yuneec อย่างเป็นทางการพร้อมเปิดร้าน HobbyDD เพิ่มอีก 2 สาขาที่แฟชั่น ไอส์แลนด์ และเมกา บางนา เพื่อตอบสนองความต้องการของลูกค้าให้ครอบคลุมมากยิ่งขึ้น โดยท่านจะได้พบกับโปรโมชั่นพิเศษโดรน Yuneec รุ่นใหม่ล่าสุด Typhoon H แบบ 6 ใบพัดที่มีขนาดเล็กที่สุดและฉลาดที่สุด บินได้นาน 22 นาที ถ่ายภาพและวิดีโอผ่านกล้อง CGO 3+ ด้วยความละเอียดวิดีโอระดับ 4K พร้อมจอภาพขนาด 7 นิ้ว และ Android Touchscreen ดูภาพวิดีโอได้ทันที และยังมีผลิตภัณฑ์ Gadget อื่น ๆ ที่น่าสนใจอีกมากมาย
ผู้สนใจสามารถแวะเยี่ยมชมได้ที่ ร้าน HobbyDD สาขาแฟชั่น ไอส์แลนด์ ห้อง IT37 ชั้น 3 โซน IT และร้าน HobbyDD สาขาเมกา บางนา ห้อง OP2008/1 ชั้น 2 สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ www.HobbyDD.com
บริษัท ไทยผลิตภัณฑ์ยิบซั่ม จำกัด (มหาชน) ผู้ผลิตนวัตกรรมยิปซัมคุณภาพสูงภายใต้แบรนด์ ยิปรอค นำโดย ธงชัย กมลพัฒนะ (ที่ 3 จากซ้าย) ผู้อำนวยการฝ่ายขายภายในประเทศต่างประเทศ, สหัทยา ทองปรีชา (ที่ 2 จากซ้าย) ผู้อำนวยการฝ่ายการตลาด, เปมิกา ทะวิไชย (ที่ 1 จากซ้าย) ผู้จัดการผลิตภัณฑ์ระบบผนังยิปซัม, มรกต จิตอารีเสถียร (ที่ 2 จากขวา) ผู้จัดการผลิตภัณฑ์แผ่นฝ้าเพดานและกลุ่มสินค้าโครงคร่าวเหล็ก และ วิศิษฎ์ ชัยสิทธิโรจน์ (ที่ 1 จากขวา) ผู้จัดการผลิตภัณฑ์กลุ่มปูนฉาบ ร่วมจัดแสดงบูทนำเสนอผลิตภัณฑ์และเทคโนโลยีการก่อสร้างใหม่ล่าสุดภายใต้แนวคิด Gyproc Fit Your Style ณ งานสถาปนิก’59 อาคารชาเลนเจอร์ฮอลล์ 1-3 เมืองทองธานี
คุณมรกต ยิบอินซอย กรรมการผู้จัดการใหญ่ และประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ยิบอินซอย จำกัด ร่วมบันทึกเทปรายการ Bangkok Special ทางสถานีโทรทัศน์ดาวเทียม IPM Bangkok Channel โดยมี ดร.กัลยาณี ธรรมจารีย์ ผู้ดำเนินรายการ ให้การต้อนรับพร้อมพูดคุยถึงการบริหารงานในฐานะทายาทรุ่นที่่ 3 ของยิบอินซอย ร่วมทั้งกิจกรรมสร้างสรรค์สังคมในรูปแบบต่างๆ ที่ได้ดำเนินการมาอย่างต่อเนื่อง โดยการบันทึกเทปรายการดังกล่าวจะนำไปออกอากาศเร็ว ๆ นี้ ทางสถานีโทรทัศน์ดาวเทียม IPM Bangkok Channel ทุกวันอาทิตย์ เวลา 20.05 น.
มร.มาร์ติน นีลสัน ผู้อำนวยการฝ่ายพัฒนาธุรกิจ พร้อมด้วย นายสุรัช พร้อมรุ่งเรือง ผู้จัดการฝ่ายขายรถบรรทุก บริษัท สแกนเนีย สยาม จำกัด เป็นตัวแทนร่วมแสดงความยินดีแก่ บริษัท เหว่ยป๋อ อินเตอร์เนชั่นแนล ทรานสปอร์ต จำกัด เนื่องในโอกาสเปิดดำเนินธุรกิจขนส่งสินค้าระหว่างประเทศอย่างเป็นทางการ พร้อมทำการส่งมอบรถหัวลากสแกนเนีย รุ่น P 410 LA6x2MSZ จำนวน 15 คัน เพื่อใช้ในการขนส่งสินค้าจากประเทศไทยไปยังสาธารณรัฐประชาชนจีน โดยมี นายนฤพล กันยาปรีดากุล กรรมการบริหารและผู้จัดการฝ่ายการจัดซื้อ นายธนพงศ์ กันยาปรีดากุล กรรมการบริหาร และ เหล่าพนักงาน บริษัท เหว่ยป๋อ อินเตอร์เนชั่นแนล ทรานสปอร์ต จำกัด เป็นตัวแทนในการรับมอบรถ
บมจ.เดลต้า อีเลคโทรนิคส์ (ประเทศไทย) ผู้นำการผลิตและส่งออกผลิตภัณฑ์เพาเวอร์ซัพพลายและอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์รายใหญ่ของโลก โดย มร. เซีย เชน-เยน ประธาน และคณะวิศวกรรมศาสตร์ สถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหารลาดกระบัง (สจล.) โดย รศ.ดร.คมสัน มาลีสี คณบดี คณะวิศวกรรมศาสตร์ (สจล.) ร่วมพิธีเปิดห้องเรียนอัจฉริยะ (Delta Smart Classroom) ด้านวิศวกรรมศาสตร์ ที่ก้าวล้ำด้วยสื่อและการเรียนการสอน พลิกโฉมสู่การเรียนรู้มิติใหม่ตอบรับวิสัยทัศน์ ไทยแลนด์ 4.0 มุ่งสร้างวิศวกรผู้นำที่มีศักยภาพในอาเซียนและนานาชาติ ส่งเสริมพัฒนาการเรียนรู้ของนักศึกษาคนรุ่นใหม่ให้ก้าวทันโลกและต่อยอดได้ โดยผนึกความร่วมมือระหว่างสถาบันการศึกษาและภาคธุรกิจอุตสาหกรรมและเทคโนโลยี เพื่อสนับสนุนการศึกษาและแบ่งปันสู่สังคม
ก้าวไกลไปกับไทยแลนด์ 4.0 และโลกที่ขับเคลื่อนด้วยนวัตกรรมและองค์ความรู้ที่ไม่หยุดนิ่ง วิศวกรรมสถานแห่งประเทศไทย ในพระบรมราชูปถัมภ์ (วสท.) จัดงานประชุมใหญ่สามัญประจำปี 2558 นำโดย ศ.ดร.สุชัชวีร์ สุวรรณสวัสดิ์ นายก วสท. พร้อมด้วย รศ.สิริวัฒน์ ไชยชนะ เลขาธิการ และ ผศ.ศักดิ์ชัย สกานุพงษ์ เหรัญญิก โดยรายงานผลการดำเนินงานในปีที่ผ่านมาให้แก่คณะกรรมการ และสมาชิก วสท. พร้อมจัดเสวนาในหัวข้อ ทิศทางธุรกิจพลังงาน และปิโตรเคมีในวิกฤตราคาน้ำมันตกต่ำ โดย คุณวีรศักดิ์ โฆษิตไพศาล ประธานกรรมการ บริษัท เอ็ช เอ็ม ซี โปลีเมอส์ จำกัด ให้เกียรติเป็นวิทยากรในงาน พร้อมด้วยพิธีมอบรางวัลขอบคุณบริษัทผู้สนับสนุนโครงการปรับปรุงอาคาร วสท. ด้านระบบความปลอดภัย ณ อาคาร วสท.
นายสกล เหล่าสุวรรณ กรรมการผู้จัดการ บริษัท อิตัลไทยวิศวกรรม จำกัด หรือ (ITALTHAI Engineering : ITE) ให้การต้อนรับ นายหวัง เจิน กัว (Wang Zhen Guo) รองประธาน บริษัทซิโนเปค เอ็นจิเนียริ่ง อินคอร์ปอเรชั่น (Vice President of Sinopec Engineering Incorporation) จากสาธารณรัฐประชาชนจีน เพื่อความร่วมมือในการทำงานในตลาดงานก่อสร้างในอุตสาหกรรมปิโตรเคมี ณ อาคารอิตัลไทยทาวเวอร์
สำนักงานรัฐบาลอิเล็กทรอนิกส์ (องค์การมหาชน) หรือ EGA (อีจีเอ) จัดงานอบรบหลักสูตรแคมป์บ่มเพาะ MEGA2015 ให้กับทีมที่ผ่านเข้ารอบ Proposal ทั้งประเภทสุดยอดแนวคิด และทีมสุดยอดนวัตกรรม จำนวน 28 ทีมสุดท้าย จากผู้ส่งผลงานทั้งหมด 289 ผลงาน ในโครงการประกวดผลงานนวัตกรรมการพัฒนาโมบายแอปพลิเคชันภาครัฐ ชิงถ้วยพระราชทานสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ประจำปี 2558 (Mobile Enterprise d-Government Award 2015) MEGA 2015 มีวัตถุประสงค์เพื่อเพิ่มพูนทักษะ และเติมเต็มความรู้ในการอบรบพื้นฐานด้านเทคโนโลยีซอฟต์แวร์ การตลาด-ธุรกิจ อย่างครบเครื่อง โดยวิทยากรพิเศษมืออาชีพที่มีความเชี่ยวชาญและประสบการณ์ตรง เพื่อก้าวสู่ผู้ประกอบการมืออาชีพต่อไป นำโดย นายอดิศักดิ์ ศรีนครินทร์ ผู้ช่วยผู้อำนวยการสำนักงานรัฐบาลอิเล็กทรอนิกส์ และวิทยากรพิเศษจากภาครัฐและเอกชนร่วมให้ความรู้อย่างเข้มข้น ณ โรงแรมเจ้าพระยาปาร์ค กรุงเทพ
ดร.อรรชกา สีบุญเรือง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม (คนกลาง) ดร.คณิศ แสงสุพรรณ ที่ปรึกษาโครงการเอสเอ็มอี สปริง อัพ (SMEs Spring Up) (ที่ 3 จากซ้าย) และ นายประเสริฐ บุญสัมพันธ์ ประธานกรรมการบริหาร บริษัท พีทีที โกลบอลเคมิคอล จำกัด (มหาชน) (ที่ 5จากซ้าย ) พร้อมด้วยผู้บริหารกระทรวงอุตสาหกรรม ร่วมเปิดตัวโครงการ SMEs Spring Up ซึ่งเป็นความร่วมมือครั้งสำคัญระหว่างภาครัฐบาลและภาคเอกชน ในการพัฒนาหลักสูตรส่งเสริมศักยภาพ SMEs สู่องค์กรธุรกิจที่ประสบความสำเร็จแบบก้าวกระโดด ตั้งเป้าพัฒนาผู้ประกอบการ SMEs 100 รายภายในปีนี้ งานจัดขึ้นเมื่อเร็ว ๆ นี้ ณ ห้องกมลทิพย์ 3 โรงแรม เดอะ สุโกศล ถนนศรีอยุธยา กรุงเทพฯ
บริษัท เชฟรอนประเทศไทยสำรวจและผลิต จำกัด ร่วมกับ กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี โดย สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) องค์การพิพิธภัณฑ์วิทยาศาสตร์แห่งชาติ (อพวช.) และ สำนักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษา (สอศ.) กระทรวงศึกษาธิการ เปิดตัวโครงการ Enjoy Science: Young Makers Contest การประกวดสิ่งประดิษฐ์สำหรับ ‘เมกเกอร์’ หรือนักสร้างสรรค์นวัตกรรม ในระดับนักเรียน-นักศึกษาสายสามัญและอาชีวศึกษา ในหัวข้อ “นวัตกรรมเพื่อผู้สูงอายุและผู้พิการ” (ที่ 2 จากซ้าย) นางกรรณิการ์ เฉิน ผู้อำนวยการสำนักพัฒนาความตระหนักด้านวิทยาศาสตร์ อพวช., ดร.มงคลชัย สมอุดร ผู้อำนวยการสำนักวิจัยและพัฒนาการอาชีวศึกษา สอศ., นางหทัยรัตน์ อติชาติ ผู้จัดการฝ่ายนโยบายด้านรัฐกิจและกิจการสัมพันธ์ บริษัท เชฟรอนประเทศไทยสำรวจและผลิต จำกัด, และ ดร.อ้อมใจ ไทรเมฆ ผู้ช่วยผู้อำนวยการ สวทช.
บริษัท แคนนอน มาร์เก็ตติ้ง (ไทยแลนด์) จำกัด นำโดย นายทรงพล สาหร่าย (กลาง) ผู้จัดการฝ่ายสนับสนุนธุรกิจ จัดกิจกรรมเวิร์กชอปถ่ายภาพ CANON EOS 1DX MARK II SEMINAR Asia Tour–Live in Bangkok เปิดโอกาสให้ผู้มีใจรักการถ่ายภาพชาวไทยกว่า 700 คน ได้ร่วมและเรียนรู้ประสบการณ์ทำงานตรงจาก 4 สุดยอดช่างภาพมืออาชีพระดับโลก ได้แก่ ไซมอน บรูตี้ (ซ้าย) ช่างภาพกีฬาฝีมือระดับโลก นัท สุมนเตมีย์ (ขวา) ช่างภาพสาขาถ่ายภาพใต้น้ำ ณัฐ ประกอบสันติสุข (ที่ 2 จากซ้าย) ช่างภาพสาขาแฟชั่น และ นรา จิรายุวัฒนา (ที่ 2 จากขวา) ช่างภาพสาขาการถ่ายภาพแต่งงาน ณ อาคาร Thai CC Tower (BTS สถานีสุรศักดิ์) โดยลูกค้า Canon สามารถติดตามข่าวสารกิจกรรมต่าง ๆ ได้ที่ www.canon.co.th/eosclub
คณะทำงานห้องเรียนเคมีดาว นำโดย นางพรธิชา วงศ์ยานนาวา ผู้เชี่ยวชาญด้านกิจการความรับผิดชอบต่อสังคม กลุ่มบริษัทดาวประเทศไทย (แถวบน ที่ 7 จากขวา) และ ศ.ดร.ศุภวรรณ ตันตยานนท์ นายกกิตติคุณ สมาคมเคมีแห่งประเทศไทยฯ และผู้อำนวยการโครงการ “ห้องเรียนเคมีดาว” (แถวบน ที่ 6 จากขวา) เดินทางไปยังโรงเรียนที่ขาดโอกาสในพื้นที่จังหวัดพระนครศรีอยุธยา 3 แห่ง เพื่อให้เด็กนักเรียนมีโอกาสเรียนรู้ผ่านการทำการทดลองวิทยาศาสตร์ด้วยตัวเอง
นายสมศักดิ์ มุกดาวรรณกร (ที่ 2 จากขวา) ผู้อำนวยการฝ่ายภาครัฐ บริษัท ไมโครซอฟท์ (ประเทศไทย) จำกัด พร้อมด้วย นายอรรถพล ฤกษ์พิบูลย์ (กลาง) รองกรรมการผู้จัดการใหญ่หน่วยธุรกิจน้ำมัน บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) ในฐานะ “Data Champion” ผู้บุกเบิกการนำเทคโนโลยีวิเคราะห์ข้อมูลขั้นสูงมาเสริมศักยภาพทางธุรกิจเป็นรายแรกในอุตสาหกรรมพลังงานของไทย และ นายเคียว โอฮิระ (ที่ 2 จากซ้าย) ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เพอเพิล อนาลิทติกส์ (ไทยแลนด์) จำกัด ผู้เชี่ยวชาญด้านการวิเคราะห์ข้อมูลเชิงคาดการณ์ ร่วมเผยวิสัยทัศน์การขับเคลื่อนธุรกิจด้วยข้อมูลกับโซลูชั่นจากไมโครซอฟท์ในงานเปิดตัว SQL Server 2016 แพลตฟอร์มข้อมูลอัจฉริยะจากไมโครซอฟท์
พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ให้เกียรติเป็นประธานเปิดตัวบริการใหม่ภายใต้ GovChannel ประกอบด้วย 1.ระบบแจ้งข้อมูลข่าวสารภาครัฐ หรือ แอพพลิเคชัน G-News 2.ระบบข้อมูลการใช้จ่ายภาครัฐ หรือ ระบบภาษีไปไหน เพื่อตรวจสอบภาครัฐ หวังลดคอรัปชั่น เป็นรัฐบาลแรกของประเทศไทยที่ทำให้ประชาชนได้รับรู้ว่าภาษีของประชาชนทุกคนถูกจับจ่ายไปกับโครงการใดบ้าง ที่เว็บไซต์ govspending.data.go.th และ 3.บริการใหม่เพิ่มเติมในตู้ Government Kiosk โดยมี ดร.อุตตม สาวนายน รมว.การกระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร พร้อมด้วย ดร.ศักดิ์ เสกขุนทด ผู้อำนวยการสำนักงานรัฐบาลอิเล็กทรอนิกส์ (องค์การมหาชน) และผู้บริหารจากหน่วยงานราชการที่เกี่ยวข้องร่วมพิธีเปิด ณ บริเวณลานหน้าตึกบัญชาการ ทำเนียบรัฐบาล
นายธวัชชัย โฉมวรรณ์ ผู้อำนวยการสายงานขายและการตลาด บริษัท ชุมพรอุตสาหกรรมน้ำมันปาล์ม จำกัด (มหาชน) หรือ ซีพีไอ ผู้นำอุตสาหกรรมน้ำมันปาล์มครบวงจรในประเทศ ร่วมสนับสนุนงบประมาณ สำหรับสร้างห้องน้ำ-ห้องสุขา ให้กับหมู่บ้านคันธทรัพย์ ต.สลุย อ.ท่าแซะ จ.ชุมพร จำนวน 50,000 บาท ตามนโยบาย CSR ภายใต้การพัฒนาธุรกิจให้เติบโตอย่างยั่งยืน ควบคู่การดูแลเอาใจใส่ต่อสิ่งแวดล้อม และความปลอดภัยของชุมชน พร้อมทั้งให้ความช่วยเหลือสังคมด้วยความจริงใจ รวมทั้งสามารถดำเนินกิจการร่วมกับชุมชน และได้รับการยอมรับอย่างยั่งยืน