นายนพดล จรรยาอดิศัย ผู้อำนวยการกลุ่มพัฒนาผู้ประกอบการด้านการมาตรฐาน สำนักงานมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม (สมอ.) (ที่ 4 จากซ้าย) เข้าเยี่ยมชมสถานประกอบการ บริษัท โอตานิเรเดียล จำกัด ที่นำ มอก.9999 เล่ม 1-2556 มาตรฐานด้านแนวทางเศรษฐกิจพอเพียง ภาคอุตสาหกรรมไปใช้แล้วประสบความสำเร็จ ส่งผลให้ธุรกิจมีการเติบโตอย่างยั่งยืน ซึ่งการเยี่ยมชมมี นายเอกชัย ลิมปิโชติพงษ์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท โอตานิเรเดียล จำกัด (ที่ 4 จากขวา) พร้อมด้วยทีมงานบริษัทร่วมให้การต้อนรับ ณ จ.นครปฐม
นายกิตติ เตชะทวีกิจกุล (ที่ 4 จากขวา) รองประธานกรรมการบริหาร บริษัท เมโทรซิสเต็มส์คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) พร้อมด้วย นางนิตยา ธนวิริยะกุล (ที่ 3 จากขวา) กรรมการบริหาร บริจาคอุปกรณ์ระบบเครือข่าย ให้กับสถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหารลาดกระบัง เพื่อใช้ประโยชน์ในการศึกษาของหลักสูตรวิศวกรรมสารสนเทศ ภาควิชาวิศวกรรมคอมพิวเตอร์ คณะวิศวกรรมศาสตร์ ซึ่งกำลังมีความต้องการปรับปรุงห้องปฎิบัติการระบบเครือข่ายให้มีอุปกรณ์เพียงพอต่อการฝึกปฎิบัติของนักศึกษา ตลอดจนเพื่อใช้ในการเรียนการสอน การพัฒนา และการทำวิจัยของนักศึกษาและคณาจารย์ตลอดจนใช้ประโยชน์ในการเปิดอบรมทางวิชาการให้กับบุคคลทั่วไป โดย รศ.ดร.คมสัน มาลีสี (ที่ 3 จากซ้าย) คณบดีคณะวิศวกรรมศาสตร์ สถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหารลาดกระบัง เป็นผู้รับมอบ
นายประณิธาน พรประภา (กลาง) กรรมการ บริษัท สยามไดกิ้นเซลส์ จำกัด นำทีมผู้บริหารระดับสูงของบริษัทฯ ได้แก่ นายทากาโยชิ มิกิ (ที่ 3 จากขวา) ผู้จัดการใหญ่ และ นายบัณฑิต ศรีวัลลภานนท์ (ที่ 3 จากซ้าย) กรรมการผู้จัดการ ร่วมเปิดตัวนวัตกรรมระบบปรับอากาศ วีอาร์วี โฟร์ ฮีท รีโคฟเวอรี่ ฮอท วอเตอร์ (VRV IV Heat Recovery Hot Water) ซึ่งเป็นอัจฉริยะระบบปรับอากาศแบบรวมศูนย์ที่มอบทั้งความเย็นสบาย และยังสามารถนำความร้อนมาผลิตน้ำร้อนใช้ภายในอาคาร ช่วยลดค่าใช้จ่ายด้านพลังงานและรักษาสิ่งแวดล้อม การเปิดตัวดังกล่าวจัดขึ้นภายในงานแสดงเทคโนโลยีวีอาร์วีรุ่นใหม่ภายใต้ชื่อ VRV One Step Ahead ณ ห้องบอลรูม 2 ชั้น 5 โรงแรม เอส 31
นายนักรบ เนียมนามธรรม กรรมการผู้จัดการ บริษัท เอ็นฟอร์ซ ซีเคียว จำกัด (ขวา) รับมอบของที่ระลึกจาก นายอดิศักดิ์ ตันตาปกุล บรรณาธิการบริหารนิตยสาร ไมโครคอมพิวเตอร์ (ซ้าย) ที่ให้เกียรติเข้าร่วมเป็นวิทยากรบรรยายในหัวข้อเรื่อง “ความปลอดภัยต้องเร็วรุ่งพุ่งแรงแข่งกับยุคโมบายล์ให้เท่าทัน” (Fast Forward Mobile Era) ภายในงาน เทคโนโลยีอุบัติใหม่ความท้าทายเพื่อเปลี่ยนแปลงองค์กรสู่เศรษฐกิจดิจิทัล หรือ “Smart Network 2015”
นายนิพนธ์ วงษ์แสงอรุณศรี (แถวหน้าที่ 4 จากซ้าย) ผู้อำนวยการฝ่ายการตลาด บริษัท แอลจี อีเลคทรอนิคส์ (ประเทศไทย) จำกัด มอบเครื่องซักผ้า LG Turbo Shot ให้แก่มูลนิธิและสถานสงเคราะห์ที่ขาดแคลนจำนวน 10 แห่ง เพื่อประโยชน์ใช้สอยในการรักษาความสะอาด ในกิจกรรม “LG Turbo Shot ชวนทำดีได้ไม่กลัวเลอะ” กับเว็บไซต์เรื่องเล่าเช้านี้ดอทคอม โดยมี นายณธกร ธนะสังข์ (แถวหน้า ที่ 5 จากขวา) Group Digital Sales บริษัท บีอีซี-เทโร เอ็นเตอร์เทนเม้นท์ จำกัด (มหาชน) ร่วมงาน
โดยกิจกรรมดังกล่าวเป็นการตอกย้ำความมุ่งมั่นของ บริษัท แอลจี อีเลคทรอนิคส์ (ประเทศไทย) จำกัดในการยกระดับการใช้ชีวิตของคนไทยด้วยเทคโนโลยีล้ำสมัย
ดร.สุเมธ ตันติเวชกุล เป็นประธาน แถลงข่าวเปิด โครงการสนามเด็กเล่นรีไซเคิล 88 สนาม เฉลิมพระเกียรติ 88 พรรษา จัดโดย มูลนิธิพีแอนด์จีประเทศไทยเพื่อสังคม และ พีแอนด์จี ประเทศไทย เพื่อส่งมอบสนามเด็กเล่นรีไซเคิลที่ผลิตจากขวดแชมพูของพีแอนด์จี ให้กับเด็กกลุ่มที่มีความต้องการพิเศษ มูลค่า 15 ล้านบาท เพื่อถวายเป็นพระราชกุศล เนื่องในโอกาสพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดชทรงพระชนมายุครบ 88 พรรษา ในวันที่ 5 ธันวาคม 2558 โดยมี มร.ราอูล ฟอลคอน กรรมการผู้จัดการ บริษัทพรอคเตอร์ แอนด์ แกมเบิล เทรดดิ้ง (ประเทศไทย) จำกัด และ นางกรรณิการ์ จรัสอุไรสิน เลขาธิการมูลนิธิพีแอนด์จีประเทศไทยเพื่อสังคม ให้การต้อนรับ ณ พิพิธภัณธ์เด็ก จตุจักร กทม
นายวิชิต พยุหนาวีชัย (กลาง) ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ซัมมิท แคปปิตอล ลีสซิ่ง จำกัด เดินหน้า รุกตลาดภาคใต้ เปิดตัวศูนย์บริการสินเชื่อเช่าซื้อรถจักรยานยนต์แห่งใหม่ จังหวัดสุราษฎร์ธานี และนครศรีธรรมราช เมื่อเร็ว ๆ นี้ หลังสำรวจตลาดตั้งแต่ต้นเดือนกันยายนที่ผ่านมาพบว่า ในช่วง 3 เดือนนี้ บริษัทมียอดปล่อยสินเชื่อมากกว่า 35 ล้านบาท เป็นผลจากการสร้างความสัมพันธ์ที่ดีกับร้านค้าพันธมิตร ในภาคใต้ ซึ่งปัจจุบันมีพันธมิตรกว่า 30% ของร้านค้าทั้งหมดในพื้นที่ มั่นใจความต้องการของลูกค้าและตลาดสินเชื่อเช่าซื้อรถจักรยานยนต์ในภาคใต้มีศักยภาพในการเติบโตสูง
พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ให้เกียรติเป็นประธานเปิดตัวโครงการ GovChannel ศูนย์กลางบริการภาครัฐสำหรับประชาชน โดย กระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร และ สำนักงานรัฐบาลอิเล็กทรอนิกส์ (องค์การมหาชน) (สรอ.) ร่วมกันพัฒนาขึ้นสำหรับเป็นศูนย์กลางการเข้าถึงข้อมูลและบริการอิเล็กทรอนิกส์ภาครัฐของหน่วยงานต่าง ๆ ได้จากจุดเดียว เพื่อยกระดับคุณภาพชีวิต และเข้าถึงบริการสาธารณะของประชาชนทุกคน ทุกกลุ่ม ทุกท้องถิ่น อย่างทั่วถึง ผ่าน 3 ช่องทาง ได้แก่ เว็บไซต์ www.GovChannel.go.th โมบายแอปพลิเคชัน GAC และ ตู้ Government Kiosk ตู้บริการเอนกประสงค์ของรัฐที่เข้าถึงข้อมูลและบริการภาครัฐได้ด้วยบัตรประชาชนเพียงใบเดียว รวมทั้งอุปกรณ์ SmartBox ซึ่งโครงการดังกล่าวสอดคล้องกับแนวทางการขับเคลื่อนนโยบายเศรษฐกิจดิจิทัล ณ ตึกสันติไมตรี ทำเนียบรัฐบาล
นายวิสุทธิ์ ศรีสุพรรณ (ซ้าย) รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง ให้เกียรติมอบรางวัล SET Awards ประจำปี 2558 ประเภทบริษัทจดทะเบียนที่มีผลการดำเนินงานยอดเยี่ยม (Best Company Performance Awards) ที่มีมูลค่าหลักทรัพย์ตามราคาตลาดไม่เกิน 3,000 ล้านบาท แก่ นายธรณ์ ประจักษ์ธรรม (ขวา) กรรมการผู้จัดการ บริษัท ไทยออพติคอล กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) หรือ TOG ผู้นำด้านการผลิตเลนส์สายตาคุณภาพรายใหญ่ที่สุดของประเทศไทย เพื่อยกย่องเชิดชูองค์กรในฐานะที่มีผลการดำเนินงานยอดเยี่ยม โดยรางวัล SET Awards 1015 จัดขึ้นโดยตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย
คุณยาซูฮิโกะ คอนโดะ (แถวที่ 2 กลาง) ประธานกรรมการมูลนิธิอิออนประเทศไทย ร่วมกับ คุณสุพร วัธนเวคิน (แถวที่ 2 – ที่ 3 จากซ้าย) รองประธานกรรมการมูลนิธิอิออนประเทศไทย และ คุณมาซามิสึ อิกุตะ (แถวที่ 2–ที่ 3 จากขวา) กรรมการผู้จัดการบริษัท อิออน (ไทยแลนด์) จำกัด และ มูลนิธิ AEON 1% Club จัดพิธีมอบทุนอิออนเพื่อการศึกษา ประจำปี 2558 จำนวน 32 ทุน มูลค่ารวม 2,240,000 บาท ให้แก่ นิสิตจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และนักศึกษามหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ณ เรือนจุฬานฤมิต จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
บริษัท ทรู อินเตอร์เนชั่นแนล คอมมิวนิเคชั่น จำกัด ผู้ให้บริการโทรต่างประเทศผ่าน รหัส006 โดย นายมนตรี มนตรีมณี (ซ้าย) ผู้จัดการทั่วไป รับมอบใบรับรองมาตรฐานระบบบริหารคุณภาพ ISO9001:2008 ต่อเนื่องเป็นปีที่ 7 จากสถาบัน British Standards Institution (BSI) โดย นายบุคลากร ใจดี (ขวา) ผู้แทน บริษัท บีเอสไอ แมเนจเม้นท์ ซิสเต็มส์ (ประเทศไทย) จำกัด เพื่อรับรองมาตรฐานการให้บริการคุณภาพระดับสากล และการควบคุมดูแลปรับปรุงระบบคุณภาพอย่างต่อเนื่อง อีกทั้งยังมุ่งมั่นที่จะพัฒนาคุณภาพบริการโทรต่างประเทศระดับพรีเมี่ยม เพื่อมอบคุณภาพเสียงอันดับหนึ่งกว่า 230 ปลายทางทั่วโลก ในราคาสุดคุ้มให้แก่ผู้ใช้บริการเพื่อความพึงพอใจสูงสุดของลูกค้า ตอกย้ำความเป็นผู้นำตลาดโทรต่างประเทศระดับพรีเมี่ยม "ทรู 006 โทรทั่วโลก คมชัด ประหยัดจริง"
นายเกียรติศักดิ์ กีรติยากรสกุล (ที่ 2 จากซ้าย) กรรมการผู้จัดการ บริษัท เค.พี.เอ็น. มอเตอร์ คาร์ จำกัด ผู้จัดจำหน่ายรถยนต์และธุรกิจยานยนต์ครบวงจร พร้อมด้วย นายดำรงศักดิ์ เรือนใจดี (ที่ 2 จากขวา) กรรมการผู้จัดการ บริษัท คิวโกว์ จำกัด ผู้เชี่ยวชาญด้านที่ปรึกษาทางการตลาดทั้งออนไลน์และออฟไลน์ครบวงจร ร่วมเซ็นสัญญาเปิดตัวเว็บไซต์ www.yangguru.com เพื่อจำหน่ายยางแบรนด์ดังยี่ห้อต่างๆ ในเเบบออนไลน์ ที่เน้นยางคุณภาพดี ราคาประหยัด รับประกัน 2 ปี หรือ 50,000 กิโลเมตร พร้อมบริการจัดส่งฟรีทั่วประเทศ ซึ่งตั้งเป้ายอดจำหน่ายสูงสุด 500 ล้านภายในปี 59 โดยมี คุณอ่ำ อัมรินทร์ นิติพน ดารานักร้อง ร่วมเป็นสักขีพยาน และแสดงความยินดี ณ โชว์รูม เค.พี.เอ็น. มอเตอร์ คาร์
คุณเทียนชัย ลายเลิศ ประธานกรรมการ บริษัท ยิบอินซอย จำกัด ให้การต้อนรับสื่อมวลชน พร้อมพูดคุยในฐานะองค์การภาคเอกชนผู้นำในธุรกิจเทคโนโลยีสารสนเทศรายแรก ที่ร่วมผลักดันบุคลากรเข้าสู่การรับรองสมรรถนะตามมาตรฐานอาชีพและคุณวุฒิวิชาชีพ สาขาวิชาชีพเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารและดิจิตอลคอนเทนต์ (ICT) และนำเสนอเป้าหมายการพัฒนาศักยภาพของบุคลากรในบริษัทฯ ให้มีความพร้อมในการปฏิบัติงานอย่างมืออาชีพเป็นที่ยอมรับในระดับสากล ณ ห้องประชุมใหญ่ อาคารอนุรักษ์ บริษัท ยิบอินซอย จำกัด
พินน์นรา ณ ระนอง ผู้จัดการธุรกิจปูน บริษัท ไทยผลิตภัณฑ์ยิบซั่ม จำกัด (มหาชน), จาเวียร์ จิเมโน ผู้แทนทั่วไปและกรรมการผู้จัดการ ประจำภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก คอนสตรัคชั่น โปรดักส์ เอเชีย แปซิฟิก, บิลลี่ เลา และ ลีโอ ชง ตัวแทนจากบริษัท คิริ (ฮ่องกง) จำกัด, ริชาร์ด มิเชล จูเกอร์รี่ กรรมการผู้จัดการ บริษัท ไทยผลิตภัณฑ์ยิบซั่ม จำกัด (มหาชน), เอียน ตัน ผู้จัดการอาวุโส ฝ่ายขายต่างประเทศ (สิงคโปร์) และ ธงชัย กมลพัฒนะ ผู้อำนวยการฝ่ายขายภายในประเทศและต่างประเทศ บริษัท ไทยผลิตภัณฑ์ยิบซั่ม จำกัด (มหาชน) ถ่ายภาพร่วมกันในงาน Gyproc thank you party 2015: Beyond The Universe ณ ห้องวิภาวดี บอลรูม โรงแรมเซ็นทาราแกรนด์เซ็นทรัลพลาซา ลาดพร้าว กรุงเทพฯ
นายเฮ้งค์ วาน เดอ บุนท์ (Henk Van De Bunt) ผู้จัดการทั่วไปของ บริษัท วิคเทม อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด พร้อมด้วย นายภูษิต ศศิธรานนท์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท เอ็กซ์โปลิงค์ โกลบอล เน็ทเวอร์ค จำกัด และ นายพรศิลป์ พัชรินทร์ตนะกุล นายกสมาคมผู้ผลิตอาหารสัตว์ไทย ร่วมแถลงข่าวการจัดงาน FIAAP/VICTAM/GRAPAS Asia 2016 ที่จะจัดขึ้นในระหว่างวันที่ 29-31 มีนาคม 2559 ณ ศูนย์งานแสดงสินค้าไบเทค ที่กรุงเทพฯ เพื่ออุตสาหกรรมอาหารสัตว์ อาหารสัตว์น้ำ อาหารสัตว์เลี้ยงในบ้าน ในเอเชีย-แปซิฟิก ที่กำลังขยายตัวในปัจจุบัน แถลงข่าว ณ โรงแรมเจ ดับบลิว มาริออท เมื่อเร็ว ๆ นี้
นายเอกราช ปัญจวีณิน (ขวาสุด) ผู้อำนวยการฝ่ายการบริหารสินค้าคอนซูเมอร์ และ นายรชฎ อิศรางกูร ณ อยุธยา (ซ้ายสุด) ผู้จัดการอาวุโสกลุ่มธุรกิจและการตลาดวินโดวส์และเซอร์เฟซ บริษัท ไมโครซอฟท์ (ประเทศไทย) จำกัด เปิดตัว Surface Pro 4 แท็บเล็ตที่บางที่สุด เบาที่สุด และทรงพลังที่สุด ที่สามารถแทนที่แล็ปท็อปของคุณได้อย่างเต็มรูปแบบ ในงาน The Masterpiece Collaboration powered by Surface Pro 4 โดยมี นายบัณฑิต อึ้งรังษี (ที่ 2 จากขวา) วาทยากระดับโลก นักพูดและนักเขียน และ นางสาวธัชมาพรรณ จันทร์จำรัสแสง (ที่ 2 จากซ้าย) นักวาดภาพประกอบชาวไทย ซึ่งมีผลงานเป็นที่รู้จักระดับสากลในฐานะ “Pomme Chan” มาร่วมงานสร้างสรรค์ศิลปะทางภาพและเสียงโดยใช้ Surface Pro 4 ณ อาคาร E88 ศูนย์การค้า W-District
นายณรงค์ฤทธิ์ อิทธิสารรณชัย ผู้จัดการฝ่ายสนับสนุนการขาย บริษัท สแกนเนีย สยาม จำกัด พร้อมด้วย นายสมชาย จริยสกุลโรจน์ ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ และ นายจักษิต บุญศรีโรจน์ ผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อ บริษัท สตาร์ทรัคแอนด์บัส จำกัด ร่วมกันส่งมอบรถบรรทุกสแกนเนีย รุ่น P360 CB8x4HSZ พร้อมติดตั้งเครนพับคันแรก มีประสิทธิภาพและความคล่องตัวสูง สามารถยกน้ำหนักรวมได้ถึง 65 ตัน/เมตร แก่ กองโรงงานช่างกล สำนักการคลัง กรุงเทพมหานคร เพื่อใช้ในกิจการพิเศษและงานกู้ภัย โดยมี นายชลอ อ้นหาด หัวหน้าฝ่ายซ่อมบำรุงและคณะเจ้าหน้าที่ เป็นตัวแทนในการรับมอบ เมื่อเร็ว ๆ นี้
นายกิตติ บุญประคอง (ที่ 2 จากซ้าย) ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท คอนวูด จำกัด, นายพงศ์สุเกษม หิรัณย์เตชะ (ซ้ายสุด) ผู้อำนวยการฝ่ายขาย บริษัท คอนวูด จำกัด, นายขจรศักดิ์ มโนทรัพย์ศักดิ์ (ที่ 4 จากซ้าย) ผู้จัดการทั่วไป อินทรีมอร์ตาร์ บมจ.ปูนซีเมนต์นครหลวง, นายจิรัฏฐ์ สิริเฉลิมพงศ์ (ที่ 5 จากซ้าย) ผู้จัดการทั่วไป บริษัท อินทรี ซุปเปอร์บล๊อก จำกัด และ นายโยธิน อึ่งกูล (ขวาสุด) ผู้อำนวยการด้านเทคนิค อินทรี ซุปเปอร์บล๊อก บริษัท อินทรี ซุปเปอร์บล๊อก จำกัด ผนึกความร่วมมือกันภายใต้ชื่อ อินทรี กรุ๊ป โดยนำนวัตกรรมวัสดุก่อสร้าง อาทิ อินทรี ทรูกรีต, ไม้ตกแต่งผนังและไม้ตกแต่งพื้น คอนวูด รุ่นไลน์เนอร์, คอนวูดบอร์ด ECP, อินทรี ซุปเปอร์บล๊อก วอลล์ พาแนล มาจัดแสดงโชว์ผลิตภัณฑ์และฟังก์ชั่นการใช้งานภายในบูธ ณ งานบ้านและสวนแฟร์ 2015 ณ อาคารชาเลนเจอร์ อิมแพ็ค เมืองทองธานีโดยมี ศ.ดร.บัณฑิต จุลาสัย (ที่ 3 จากซ้าย) อาจารย์คณะสถาปัตยกรรมศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ผู้ออกแบบบูธ ‘อินทรี กรุ๊ป’ ร่วมเป็นเกียรติภายในงาน
ดร. อรรชกา สีบุญเรือง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม เป็นประธานในพิธีและร่วมแสดงความยินดีกับ ดร. ปิยะ จงวัฒนา (ที่ 4 จากขวา) ประธานกรรมการบริหาร นายแสงชัย โชติช่วงชัชวาล (ที่ 4 จากซ้าย) กรรมการผู้จัดการ และคณะผู้บริหาร บมจ. พัฒน์กล ผู้ออกแบบ ติดตั้ง และผลิตโรงงานน้ำแข็ง เครื่องดื่ม และอาหารอันดับหนึ่งของประเทศไทย ในวาระครบรอบ 50 ปีการดำเนินกิจการในประเทศไทยด้วยความเป็นมิตรที่ดีต่อคู่ค้ามาโดยตลอด ณ ศูนย์นิทรรศการและการประชุมไบเทค บางนา
เจษฎา รัศมิภูติ ผู้อำนวยการอาวุโสฝ่ายวิศวกรรม บริษัท ซีเกท เทคโนโลยี (ประเทศไทย) จำกัด โรงงานโคราช (ขวา) มอบเงิน 110,000 บาทเพื่อสนับสนุนการซ่อมแซมโรงเรียนจากภาวะน้ำท่วมแก่โรงเรียนบ้านหนองสาร อ.ด่านขุนทด จ.นครราชสีมา โดยมี จักรพงค์ อริยานุวัฒน์ ผู้อำนวยการโรงเรียนบ้านหนองสาร (ซ้าย) เป็นตัวแทนรับมอบ เมื่อเร็ว ๆ นี้
มร.ซาน เซียน ชุน ผู้จัดการฝ่ายอบรมผลิตภัณฑ์จาก Oshkosh-JLG (Singapore) พร้อมด้วย นายทรงภพ เวชกุล ผู้จัดการฝ่ายขาย เจแอลจี ประจำประเทศไทย และ นายอนุสรณ์ แพทย์รักษา ผู้จัดการฝ่ายบริการหลังการขาย บริษัท ยูไนเต็ด มอเตอร์เวิกส์ จำกัด (มหาชน) ผู้จัดจำหน่ายรถกระเช้า JLG อย่างเป็นทางการในประเทศไทย ร่วมกันเป็นวิทยากรฝึกอบรมเชิงปฏิบัติการ เพื่อสร้างความชำนาญในการใช้ผลิตภัณฑ์รถกระเช้าเจแอลจีที่ถูกต้องเพื่อเป็นการเพิ่มศักยภาพในการใช้ผลิตภัณฑ์ ตลอดจนการดูแลบำรุงรักษารถยกกระเช้า เจแอลจี กว่า 20 รุ่น ให้เป็นมาตรฐานเดียวกัน กับ JLG Industries Inc. สหรัฐอเมริกา ให้กับทีมช่างเทคนิคของกลุ่มบริษัท ไพน์ แปซิฟิค คอร์ปอเรชั่น จำนวน 10 ท่าน ณ บริษัท ไพน์ แปซิฟิค คอร์ปอเรชั่น สำนักงานใหญ่ สมุทรปราการ
นายมานิต อุดมคุณธรรม ประธานกรรมการบริหาร พร้อมด้วย นายคุณวุฒิ ธรรมพรหมกุล กรรมการผู้จัดการ, นายบุญสม เลิศหิรัญวงศ์ กรรมการ, นายทวีวัฒน์ ตติยณีกุล กรรมการ บริษัท โฮม โปรดักส์ เซ็นเตอร์ จำกัด (มหาชน) และ นางสาววรรวิมล กนกธนาพร กรรมการผู้อำนวยการ บริษัท บัตรกรุงศรีอยุธยา จำกัด ร่วมเปิดงาน HomePro EXPO ครั้งที่ 22 งานมหกรรมสินค้าเรื่องบ้านครบวงจรที่ใหญ่ที่สุด ลดสูงสุด 80% ตั้งแต่วันที่ 13-22 พ.ย.2558 โดยมี แพนเค้ก–เขมนิจ จามิกรณ์ และ น้ำตาล–พิจักขณา วงศารัตนศิลป์ ร่วมงาน ณ ฮอลล์ 5-8 อิมแพ็ค เมืองทองธานี เมื่อเร็ว ๆ นี้
กฟผ. นำโดย นายสุนชัย คำนูณเศรษฐ์ ผู้ว่าการ การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย ร่วมกับ นายโกวิทย์ คันธาภัสระ ประธานและหัวหน้าเจ้าหน้าที่บริหาร จีอี ประเทศไทย สปป. ลาวและเมียนมา ร่วมลงนามสัญญาเพื่ออัพเกรดเครื่องกังหันก๊าซรุ่น GE 9F จำนวนสี่เครื่องที่ใช้อยู่ที่โรงไฟฟ้าพระนครเหนือและพระนครใต้ ด้วยเทคโนโลยี Advanced Gas Path ของจีอี ซึ่งจะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพให้กับเครื่องกังหันผลิตไฟฟ้า ทั้งนี้โซลูชั่น DLN2.6+ และ OpFlex AutoTune ของจีอีจะเพิ่มศักยภาพการผลิตไฟฟ้าให้สามารถเดินเครื่องได้อย่างมั่นคง ช่วยควบคุมระดับการปล่อยก๊าซเรือนกระจก มีความยืดหยุ่นในการใช้พลังงานโดยสามารถใช้ก๊าซได้ทั้งก๊าซจากภาคตะวันตกและภาคตะวันออกของประเทศไทย รวมถึงการใช้ก๊าซธรรมชาติเหลว (LNG) ที่นำเข้ามา ซึ่งเป็นการเพิ่มความมั่นคงทางพลังงานให้กับประเทศ
บริษัท แซส ซอฟท์แวร์ (ไทยแลนด์) จำกัด ผู้นำด้านการวิเคราะห์ข้อมูลเชิงธุรกิจ โดย นายทวีศักดิ์ แสงทอง กรรมการผู้จัดการ (ซ้ายมือ), นายไลฟง ทราน นักกลยุทธ์เชิงเทคโนโลยีระดับภูมิภาค, แซส (ขวามือ) ร่วมกันถ่ายทอดประสบการณ์ และให้ความรู้กับสื่อมวลชนในประเด็น แนวโน้มการใช้เทคโนโลยีการวิเคราะห์ข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับเทคโนโลยี Hadoop เพื่อเจาะลึกพฤติกรรมลูกค้าในยุคคลังข้อมูลขนาดใหญ่ ซึ่งเป็นทิศทางที่องค์กรต่าง ๆ เริ่มมีการแข่งขันด้านการวิเคราะห์ข้อมูลมากยิ่งขึ้น ในโอกาสเดินทางเข้าร่วมประชุมในประเทศไทย ณ สำนักงานแซส ซอฟท์แวร์ (ไทยแลนด์) อาคารเอ็กเชนท์ ทาวเวอร์ ชั้น 38 สี่แยกอโศก กรุงเทพฯ
นายเบเบ็บ จูนจูนัน อัครราชทูตอินโดนีเซียประจำประเทศไทย, นายเอ็ดดี้ ซูซิลโล รองผู้อำนวยการ ฝ่ายการตลาดอาเซียน กระทรวงการท่องเที่ยวอินโดนีเซีย และ นายชาญชัย พันธุ์โสภา กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท เดอะ แพลทินัม กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) ร่วมกันเปิดงาน Wonderful Indonesia เปิดโลกมหัศจรรย์ อินโดนีเซีย สานสัมพันธ์อาเซียน เพื่อเผยแพร่ศิลปวัฒนธรรมและแหล่งท่องเที่ยวอันงดงามของประเทศอินโดนีเซียแก่นักท่องเทียวชาวไทยและชาวต่างชาติ รวมถึงเพื่อให้เกิดการแลกเปลี่ยนเรียนรู้และสร้างความเข้าใจในวัฒนธรรมของประเทศอินโดนีเซียมากขึ้น เมื่อเร็ว ๆ นี้
นาย ซอ มิน วิน นายกสมาคมผู้ผลิตและส่งออกอาหาร สาธารณรัฐแห่งสหภาพเมียนมาร์ และ มร.จัสติน พาว ผู้จัดการทั่วไป บริษัท แบงค็อค เอ็กซ์ซิบิชั่น เซอร์วิสเซส จำกัด หรือ บีอีเอส (BES) พร้อมด้วยคณะผู้ร่วมจัดงาน แสดงความยินดีและร่วมกันเปิดงาน โพรแพ็ค เมียนมาร์ 2015 งานแสดงสินค้าอุตสาหกรรมและเทคโนโลยีกระบวนการผลิต การแปรรูปอาหาร เครื่องดื่ม เวชภัณฑ์ และ บรรจุภัณฑ์ ที่ใหญ่ที่สุดของสาธารณรัฐแห่งสหภาพเมียนมาร์ โดยการจัดงานครั้งนี้มีผู้ร่วมจัดแสดงงานกว่า 228 บริษัท จาก 23 ประเทศทั่วโลก เมื่อเร็ว ๆ นี้
มร.โคจิ เทสึกะ ประธาน บริษัท ฟูจิ ซีร็อกซ์ (ประเทศไทย) จำกัด (คนกลาง) เป็นประธานในการเปิดศูนย์ Innovative Document Solution Center หรือศูนย์ IDSC ไลฟ์โชว์รูมแห่งแรกของฟูจิ ซีร็อกซ์ ในประเทศไทย เพื่อจัดแสดงนวัตกรรมด้านโซลูชั่นการจัดการเอกสารสำหรับธุรกิจแบบครบวงจร ตอบสนองไลฟ์สไตล์การทำงานของออฟฟิศสมัยใหม่ ที่เน้นความคล่องตัว ด้วยเครื่องพิมพ์มัลติฟังก์ชั่นระดับออฟฟิศ ที่มีฟังก์ชั่นการทำงานแบบไร้สาย รองรับการทำงานผ่านระบบคลาวด์ด้วยการสั่งงานผ่านแอพพลิเคชั่น จึงช่วยให้สามารถทำงานได้อย่างง่ายดาย และสามารถเชื่อมต่อกับระบบในสำนักงานได้จากทุกที่ แม้ไม่อยู่ในสำนักงาน ซึ่งความสามารถของฟังก์ชั่นพิเศษเหล่านี้ จะช่วยเพิ่มศักยภาพการแข่งขันให้กับธุรกิจทั้งขนาดเล็ก และขนาดกลางให้เติบโตไปได้อย่างรวดเร็ว ณ ศูนย์ IDSC ชั้น 25 อาคารซันทาวเวอร์ส บี ถนนวิภาวดีรังสิต
นายชลัทชัย ปภัสร์พงษ์ รองกรรมการผู้จัดการ บริษัท สื่อสากล จำกัด เป็นประธานแถลงข่าวจัดงาน “AAITF Bangkok 2015” งานแสดงสินค้าเจรจาธุรกิจ อุตสาหกรรมชิ้นส่วนยานยนต์ อะไหล่ยานยนต์ และอุปกรณ์ตกแต่ง จัดขึ้นเป็นครั้งแรกในประเทศไทย ในระหว่างวันที่ 9-11 ธันวาคม 2558 เวลา 10.00 น.–18.00 น. ณ อาคาร 9 อิมแพคท์ ฟอรั่ม เมืองทองธานี พร้อมงาน มหกรรมยานยนต์ ครั้งที่ 32 เพื่อส่งเสริมการผลิตและจำหน่ายสินค้าที่เกี่ยวเนื่องกับอุตสาหกรรมยานยนต์ในภูมิภาค อาทิ อุปกรณ์ซ่อมบำรุง อุปกรณ์ตกแต่ง ระบบเชื่อมต่อ อะไหล่ทดแทน ผลิตภัณฑ์บำรุงรักษา เครื่องเสียง และอีกมากมาย ถือเป็นโอกาสดีในการขยายตลาดอุปกรณ์เกี่ยวเนื่องยานยนต์ของผู้ประกอบการไทยสู่ภูมิภาคอาเซียน
เนชั่นแนล อินสทรูเม้นทส์-NI (Nasdaq: NATI) ผู้ให้บริการโซลูชั่นที่ช่วยให้วิศวกรและนักวิทยาศาสตร์ทุกแขนง แก้ปัญหาความท้าทายทางด้านวิศวกรรมที่สำคัญ ๆ ของโลก จัดงานประจำปี NIDays Graphical System Design Conference 2015 ที่กรุงเทพฯ โดยเชิญวิศวกร นักการศึกษา และนักวิทยาศาสตร์เข้าร่วมงาน ในงานเน้นเนื้อหาทางเทคนิคด้านระบบทดสอบไร้สายตัวใหม่ของ NI (NI’s new Wireless Test System: WTS)
นายชานเดริน ไนเออ รองประธาน ประจำภูมิภาคเอเชียแปซิฟิค เนชั่นแนล อินสทรูเม้นทส์กล่าวว่า “ลูกค้าของเรากำลังเผชิญหน้ากับความต้องการที่เพิ่มมากขึ้นของระบบวิศวกรรมที่ชาญฉลาด และมีความซับซ้อนมากขึ้นเรื่อย ๆ ซึ่งระบบดังกล่าวอยู่ในโลกของการที่อุปกรณ์และเครื่องจักรต่าง ๆ ในภาคอุตสาหกรรมเชื่อมต่อถึงกัน (Industrial Internet of Things: IIoT) นอกจากการเชื่อมต่อกันของเครื่องจักรต่าง ๆ ที่ทำให้เกิดประสิทธิภาพมากขึ้นในระดับโรงงาน หรือสมาร์ทกริดต่าง ๆ ซึ่งเป็นสายส่งพลังงานที่ถาวร เนชั่นแนล อินสทรูเม้นทส์ยังคงแสดงความมุ่งมั่นของเราที่จะให้การสนับสนุนวิศวกร และนักวิทยาศาสตร์ ในการกระตุ้นให้เกิดนวัตกรรม และประสิทธิภาพการผลิต ด้วยวิธีการนำเสนอแบบ Platform-based"
งาน NIDays เปิดโอกาสให้วิศวกร นักวิทยาศาสตร์ และนักวิชาการ สร้างเครือข่ายและติดต่อสื่อสารกับกลุ่มผู้เชี่ยวชาญ ผู้ที่มีความต้องการ และมีความสนใจคล้ายกันจากภาคอุตสาหกรรมและภาควิชาการ รวมถึงพันธมิตร และลูกค้าของ NI ได้ร่วมแลกเปลี่ยนแอพพลิเคชั่นล่าสุดที่นำมาจัดแสดงในงาน ระหว่างงาน มีการจัดแสดงแอพพลิเคชั่นด้านระบบทดสอบประสิทธิภาพสูง รวมทั้งฮาร์ดแวร์และซอฟต์แวร์ที่ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพให้กับอุปกรณ์ และแอพพลิเคชั่นระบบทดสอบแบบอัตโนมัติ รวมถึงซอฟต์แวร์การออกแบบระบบ LabVIEW 2015
ซอฟต์แวร์ NI LabVIEW 2015 มีการเพิ่มความเร็วในการทำงานให้เร็วขึ้น และพัฒนาวิธีการตรวจสอบการทำงาน (Debug) ของโปรแกรมที่กำลังพัฒนาให้เร็วขึ้นเพื่อช่วยให้นักพัฒนาซอฟต์แวร์สามารถพัฒนาระบบที่ตนสร้างสรรค์ขึ้นได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น โดยสามารถนำโค้ดเดิม และกระบวนการทางวิศวกรรมมาใช้ได้ทั่วทั้งระบบ ซอฟต์แวร์ LabVIEW สร้างขึ้นเพื่อช่วยเร่งประสิทธิภาพด้านวิศวกรรม ด้วยการรวบรวมฟีเจอร์ที่ช่วยให้นักพัฒนาประหยัดเวลาและเงินท่ามกลางความก้าวหน้าทางเทคโนโลยี เงื่อนไขต่าง ๆ และความกดดันในการที่จะทำให้โซลูชั่นออกสู่ตลาดหรือมีการนำไปใช้งานเพิ่มมากขึ้น
เพื่อให้ตอบโจทย์เงื่อนไขต่าง ๆ ในการเชื่อมต่ออุปกรณ์ในอุตสาหกรรมเข้าด้วยกัน (IIoT) แพลตฟอร์มของ NI เป็นการรวบรวมระบบอัจฉริยะ การเชื่อมต่อ และสื่อสารระหว่างระบบเข้าด้วยกัน พร้อมด้วยซอฟต์แวร์ในการวิเคราะห์ ที่ออกแบบมาเพื่อให้สามารถนำเสนอข้อมูลเชิงลึกและมีคุณค่าต่อลูกค้า ฮาร์ดแวร์ที่ฝังตัวใหม่ เป็นสถาปัตยกรรมเปิด ยืดหยุ่น ปรับคอนฟิกูเรชั่นได้ (LabVIEW Reconfigurable I/O: RIO) ซึ่งคอนโทรลเลอร์ในการผสานรวมประสิทธิภาพสูง (CompactRIO Controller) ที่มาพร้อมกับแอพพลิเคชั่นที่เหมาะกับภาคอุตสาหกรรม ส่วน Controller for FlexRIO เหมาะสำหรับนักออกแบบที่ต้องการให้แอพพลิเคชั่นแบบฝังตัวมีประสิทธิภาพสูง และและ Single-Board RIO Controller สำหรับนักออกแบบที่ต้องการให้แอพพลิเคชั่นแบบฝังตัวของตนมีความยืดหยุ่นมากขึ้น
โซลูชั่นใหม่ที่โดดเด่นอีกหนึ่งโซลูชั่นคือ Wireless Test System (WTS) ของ NI ซึ่งช่วยลดค่าใช้จ่ายของระบบทดสอบการผลิตไร้สายขนาดใหญ่ แม้ว่าบริษัทต่างๆ กำลังเผชิญกับความท้าทายของความซับซ้อนที่เพิ่มมากขึ้นของการทดสอบแบบไร้สาย บริษัทฯ ต่าง ๆ ยังสามารถมั่นใจได้ว่าค่าใช้จ่ายในการทดสอบจะลดลง แต่ผลลัพธ์เพิ่มขึ้นได้ ด้วยระบบที่ทำให้การวัดผลเร็วขึ้น และการทดสอบแบบคู่ขนาน
กล่าวโดยสรุป การเติบโตอย่างก้าวกระโดดของข้อมูลด้านวิศวกรรม ความชาญฉลาดของระบบต่าง ๆ และระบบวัดผลที่ทำงานด้วยซอฟต์แวร์ ช่วยให้ผู้ใช้งานสามารถใส่หรือฝังความชาญฉลาดและกระบวนการประมวลผลต่าง ๆ ไว้ในจุดที่รวบรวมข้อมูลไว้ได้ และดึงเฉพาะข้อมูลที่จำเป็นที่สุดมาใช้ คอนโทรลเลอร์ CompactDAQ ซึ่งเป็นคอนโทรลเลอร์ตัวใหม่ที่มีแบบ 4 และ 8 ช่องเสียบ ใช้หน่วยประมวลผลของ Intel Atom quad-core 1.91 GHz E3845 สามารถตั้งโปรแกรมได้ด้วยซอฟต์แวร์การออกแบบระบบตัวใหม่ คือ LabVIEW 2015 ซึ่งช่วยให้วิศวกรและนักวิทยาศาสตร์สามารถจัดระบบการรวบรวมข้อมูลของตนได้ตามความต้องการ เช่นการเพิ่มฟังก์ชั่นต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นการประมวลผล ความชาญฉลาด และฟังก์ชั่นที่ใช้ในการควบคุม
รศ.ดร.วนิดา พวกุล ที่ปรึกษาอธิการบดีมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรี (คนที่ 3 จากซ้าย) ร่วมแสดงความยินดีกับอาจารย์ มจธ.ที่ได้รับรางวัลนักวิจัยดีเด่นที่มีผลงานตีพิมพ์และมีความถี่ในการอ้างอิงหรือถูกนำไปใช้ตามเกณฑ์การประเมินของฐานข้อมูล Web of Science สูงจาก สำนักพิมพ์ Thomson Reuters ซึ่งเป็นผู้ให้บริการฐานข้อมูล Web of Science ตามโครงการบอกรับสมาชิกฐานข้อมูลอิเล็กทรอนิกส์เพื่อการสืบค้น (Reference Database) โครงการพัฒนาเครือข่ายห้องสมุดในประเทศไทย (ThaiLIS) ซึ่งเป็นฐานข้อมูลที่สำนักงานคณะกรรมการการอุดมศึกษา ได้ดำเนินการบอกรับสมาชิกวารสารอิเล็กทรอนิกส์ และฐานข้อมูลเพื่อการอ้างอิง รวมทั้งหมด 14 ฐานข้อมูลให้กับสถาบันอุดมศึกษา 78 แห่ง ให้สามารถสืบค้นอ้างอิง เพื่อใช้ประโยชน์ในการจัดทำผลงานวิชาการตีพิมพ์เผยแพร่ในฐานข้อมูลที่มีความน่าเชื่อถือ โดยอาจารย์ มจธ.ที่ได้รับรางวัลทั้ง 5 ท่าน ประกอบด้วย รศ.ดร.บุญเจริญ ศิริเนาวกุล คณะวิศวกรรมศาสตร์, รศ.ดร.ภูมิ คำเอม คณะวิทยาศาสตร์, ผศ.ดร.จารุวรรณ ชนม์ธนวัฒน์ คณะศิลปศาสตร์, ศ.ดร.สมชาย วงศ์วิเศษ คณะวิศวกรรมศาสตร์ และ รศ.ดร.นคร วรสุวรรณรักษ์ บัณฑิตวิทยาลัยร่วมด้านพลังงานและสิ่งแวดล้อม ณ ห้องประชุมศาสตราจารย์ วิจิตร ศรีสะอ้าน ชั้น 5 สำนักงานคณะกรรมการการอุดมศึกษา
บริษัทยางพารายักษ์ใหญ่อันดับหนึ่งของจีนชวน สกว. ทำวิจัยร่วมกัน ชี้รัฐบาลไทยควรมีนโยบายส่งเสริมผลักดันการสร้างองค์ความรู้และพัฒนาบุคลากร รวมถึงแก้ปัญหาทั้งระบบ เพื่อขับเคลื่อนอุตสาหกรรมยางพาราอย่างยั่งยืน
ศ.นพ.สุทธิพันธ์ จิตพิมลมาศ ผู้อำนวยการ สกว. พร้อมคณะผู้บริหาร สกว. ให้การต้อนรับ นายจาง ยาน ประธาน บริษัท รับเบอร์ วัลเลย์ จำกัด และคณะจากสาธารณรัฐประชาชนจีน ซึ่งเดินทางมาเยี่ยมชมและรับฟังผลการดำเนินงานของ สกว. โดยเฉพาะการสนับสนุนทุนวิจัยมุ่งเป้ายางพาราภายใต้การสนับสนุนของ คอบช. และหารือถึงแนวทางการทำวิจัยร่วมกันระหว่างสองหน่วยงาน ในฐานะที่ สกว.ได้ให้การสนับสนุนทุนวิจัยเกี่ยวกับยางพาราตั้งแต่การวิจัยพื้นฐานจนถึงการสร้างผลิตภัณฑ์มายาวนานถึง 12 ปี เนื่องจากเห็นความสำคัญของยางพาราที่เป็นสินค้าเกษตรสำคัญของประเทศไทย
ประธานบริษัท รับเบอร์ วัลเลย์ จำกัด กล่าวว่า ในช่วงสิบปีที่ผ่านมามวลรวมของอุตสาหกรรมยางพาราได้รับการพัฒนายางเป็นระบบจนก้าวเป็นอันดับ 1 ของจีน ทั้งนี้ยางพาราเป็นอุตสาหกรรมพื้นฐานของประเทศที่นำมาพัฒนาสาธารณูปโภคและอุตสาหกรรมอื่น ๆ จึงมั่นใจว่าเป็นอุตสาหกรรมที่มีการเติบโตสูงอย่างต่อเนื่อง รัฐบาลไทยให้ความสำคัญกับงานวิจัยยางพาราและได้หารือกับนายกรัฐมนตรีของไทยเรื่องข้อมูลการพัฒนาประเทศโดยใช้ยางพาราเป็นพื้นฐาน และจำเป็นต้องพัฒนาทั้งระบบตั้งแต่ภาคเกษตรกรรมจนถึงภาคอุตสาหกรรม นอกจากนี้บริษัทยังได้พัฒนาองค์ความรู้อย่างครบครัน และพร้อมที่จะแบ่งปันให้กับประเทศไทย ในอนาคตระบบการนำเข้าและส่งออกยางพาราจะต้องใช้ระบบอินเตอร์เน็ต และพึ่งพาบุคลากรที่มีความรู้พื้นฐานทางด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี
อย่างไรก็ตามปัญหาราคายางพารานับเป็นอุปสรรคสำคัญที่ส่งผลกระทบต่อระบบเศรษฐกิจ จึงอยากให้มีการราคาซื้อขายและปริมาณความต้องการที่เหมาะสมตามสภาพความเป็นจริง ทั้งนี้ระบบทุนนิยมสร้างปัญหาให้กับเกษตรกร จึงต้องช่วยกันปรับเปลี่ยนทัศนคติ รัฐบาลไทยควรมีนโยบายที่ดีในการส่งเสริมผลักดันให้เกิดการสร้างองค์ความรู้ พัฒนาบุคลากรให้มีความรู้ความสามารถในการผลิตและทำวิจัยเกี่ยวกับยางพารา รวมถึงสร้างความเข้าใจแก่สังคม ตนคาดหวังสูงว่าจะมีการแก้ปัญหาที่เกี่ยวข้องและพัฒนาระบบที่สมบูรณ์แบบตลอดทั้งห่วงโซ่ตั้งแต่ต้นน้ำถึงปลายน้ำ เพื่อสร้างความยั่งยืนให้กับอุตสาหกรรมยางพารา
สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) เปิดรับสมัครเด็กและเยาวชนระดับมัธยมศึกษาที่มีความสนใจด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีทุกสาขา เข้าร่วมโครงการพัฒนาอัจฉริยภาพทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีสำหรับเด็กและเยาวชน หรือ Junior Science Talent Project (JSTP) รุ่นที่ 19 ประจำปี 2559 โอกาสที่จะได้รับ อาทิ กิจกรรมเสริมประสบการณ์ต่าง ๆ การเข้าค่ายวิทยาศาสตร์ การทำโครงงานวิจัยโดยมีนักวิทยาศาสตร์เป็นพี่เลี้ยง การได้รับโอกาสคัดเลือกเพื่อรับทุนการศึกษาและทุนวิจัยจนจบปริญญาเอก เป็นต้น น้อง ๆ เยาวชนที่สนใจสามารถดาวน์โหลดใบสมัคร ทั้งระดับ ม.ต้น และ ม.ปลาย เปิดรับใบสมัครถึงวันที่ 30 ธันวาคม 2558 โดยไม่เสียค่าใช้จ่าย สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติม โทรศัพท์ 0-2564-7000 ต่อ 1431, 1433, 1434, 1436, 1437 อีเมล jstp@nstda.or.th หรือที่เว็บไซต์ http://www.nstda.or.th/jstp/
เทรลเลบอร์ก ไวบราคูสติก ผู้นำด้านการผลิตชิ้นส่วนยานยนต์เพื่อการซับเสียงและแรงกระแทกจากการขับขี่ ได้เปิดตัวฐานการผลิตแห่งใหม่ในจังหวัดระยอง เพื่อผลิตและส่งมอบชิ้นส่วนยางรองสำหรับแท่นเครื่อง แชสซี และตัวถัง สำหรับลูกค้าในประเทศ รวมถึงแบรนด์ชั้นนำอย่างฟอร์ด จีเอ็ม และวอลโว่
“ฐานการผลิตแห่งใหม่ในจังหวัดระยองนี้จะช่วยให้ เทรลเลบอร์ก ไวบราคูสติก สามารถขยายธุรกิจให้ครอบคลุมถึงตลาดรถยนต์ที่เติบโตเร็วที่สุดแห่งหนึ่งของโลกในประเทศไทย” จิม ลอว์ กรรมการบริหารของเทรลเลบอร์ก ไวบราคูสติก กล่าวขณะร่วมพิธีเปิดโรงงาน ซึ่งมีแขกผู้มีเกียรติเข้าร่วมเป็นสักขีพยานมากมาย ทั้งตัวแทนจากลูกค้า ซัพพลายเออร์ และหน่วยงานภาครัฐ เพื่อร่วมชมโรงงานและเจาะลึกโลกเทคโนโลยีการซับเสียงและแรงกระแทกสำหรับรถยนต์
“ผู้ผลิตรถยนต์หลายรายต่างพากันยินดีต้อนรับโรงงานแห่งใหม่ของเรา” ดร.แมทธีอัส สคูห์ร ประธานประจำประเทศจีนและภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกของ เทรลเลบอร์ก ไวบราคูสติก กล่าวเสริม “การเปิดสายการผลิตในประเทศไทยนี้ เป็นไปตามแผนงานเพื่อการขยายฐานลูกค้าของเรา โดยเฉพาะอย่างยิ่งในกลุ่มผู้ผลิตรถยนต์จากประเทศญี่ปุ่น”
ผู้ผลิตรถยนต์ที่มีโรงงานในประเทศไทยต่างก็ต้องการเลือกซื้อชิ้นส่วนรถยนต์ที่ผลิตขึ้นภายในประเทศ เพราะนอกจากจะได้รับสิทธิประโยชน์ทางภาษีแล้ว ยังช่วยให้การส่งมอบชิ้นส่วนทั้งสะดวกและรวดเร็วอีกด้วย “หากมีเครือข่ายซัพพลายเออร์ชิ้นส่วนภายในประเทศแล้ว ลูกค้าของเราก็สามารถลดความยุ่งยากวุ่นวายในด้านการสำรองชิ้นส่วนในคลัง และลดค่าใช้จ่ายด้านโลจิสติกส์อีกด้วย” ดร.สคูห์ร กล่าวเสริม
โรงงานใหม่ของเทรลเลบอร์ก ไวบราคูสติก ตั้งอยู่ในนิคมอุตสาหกรรมเหมราชอีสเทิร์นซีบอร์ด อันเป็นทำเลที่ตั้งที่ใกล้เคียงกับโรงงานของฟอร์ด จีเอ็ม ซูซูกิ และผู้ผลิตรถยนต์รายอื่น ๆ ปัจจุบัน โรงงานแห่งนี้มีพนักงานรวม 30 คน โดยบริษัทมีแผนที่จะขยายกิจการให้มีพนักงานราว 200 คนในปี 2561 เพื่อผลิตชิ้นส่วนยางรองสำหรับแท่นเครื่อง แชสซี ตัวถัง และชุดกันกระเทือนสำหรับลูกค้าในประเทศและต่างประเทศ โรงงานแห่งนี้เป็นสายการผลิตแห่งที่ 39 ของบริษัททั่วโลก และยังเป็นโรงงานผลิตชิ้นส่วนกันกระเทือนรถยนต์จากซีกโลกตะวันตกรายแรกที่มาเปิดทำการในประเทศไทย จึงทำให้เทรลเลบอร์ก ไวบราคูสติก มีความพร้อมเต็มที่ในการขยายธุรกิจในภูมิภาคนี้ ด้วยการร่วมงานกับผู้ผลิตรถยนต์หลายรายในตลาด
ทั้งนี้ ประเทศไทยถือเป็นหนึ่งใน 15 ประเทศชั้นนำทั่วโลกในด้านศักยภาพการผลิตรถยนต์ ทั้งยังมีเป้าหมายที่จะยกระดับขึ้นเป็นศูนย์กลางอุตสาหกรรมยานยนต์ของภูมิภาคอาเซียน ซึ่งครอบคลุมสิบชาติสมาชิกในแถบเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ โดยคาดว่าภายในปี 2563 ยอดการผลิตรถยนต์ในประเทศไทยจะเพิ่มขึ้นเป็น 5 ล้านคันต่อปี
3 พันธมิตรธุรกิจไทย-ญี่ปุ่น จับมือเปิดตัวบริษัทที่ปรึกษาธุรกิจใหม่ในไทย ในนาม บริษัท ฮงโกะ สึจิ แอนด์ ชวลิต จำกัด (Hongo Tsuji and Chavalit Ltd.) เพื่อให้บริการงานบัญชีและภาษีแบบครบวงจร รองรับการเติบโตของบริษัทญี่ปุ่นในไทย พร้อมตั้งเป้าเติบโตไม่ต่ำกว่า 20% ในช่วงปีแรก
นายทาคาชิ คูซูโมโต หุ้นส่วนผู้จัดการ บริษัท คูซูโมโต ชวลิต แอนด์ พาร์ทเนอร์ส จำกัด กล่าวว่า “บริษัท ฮงโกะ สึจิ ซึ่งเป็นสำนักงานบัญชีและที่ปรึกษาด้านภาษีที่ใหญ่ที่สุดในประเทศญี่ปุ่น ร่วมกับสำนักงานกฎหมายชวลิตซึ่งเป็นบริษัทที่ใหญ่ติดอันดับ 1 ใน 4 ของสำนักงานกฎหมายในประเทศไทย (โดยมีบริษัทในเครือ คือ บริษัท สำนักงานกฎหมายสยามซิตี้ จำกัด) และบริษัท คูซูโมโต ชวลิต แอนด์ พาร์ทเนอร์ส จำกัด (KCP) ซึ่งเป็นบริษัทผู้ให้บริการด้านการให้คำปรึกษาการลงทุน, M&A, Joint Venture ให้กับบริษัทญี่ปุ่นประกาศความร่วมมือก่อตั้งสำนักงานบัญชีแห่งใหม่ชื่อว่า “บริษัท ฮงโกะ สึจิ แอนด์ ชวลิต จำกัด” เพื่อรองรับการเติบโตของบริษัทญี่ปุ่นในไทย โดยคาดว่าความร่วมมือกันในครั้งนี้จะมีส่วนช่วยให้บริษัทญี่ปุ่นในไทยประมาณ 7,000 แห่ง ได้รับการบริการและคุณภาพของงานด้านบัญชีและภาษีที่ได้มาตรฐานและดียิ่งขึ้น”
ส่วนสาเหตุที่เลือกเปิดขยายธุรกิจในประเทศไทย เนื่องจากเล็งเห็นว่าปัจจุบันในประเทศไทยมีธุรกิจสัญชาติญี่ปุ่นมากกว่า 7,000 แห่ง และบริษัทที่ให้บริการโดยสามารถตอบโจทก์ได้ตรงในทุก ๆ ความต้องการกับธุรกิจเหล่านั้นมีค่อนข้างน้อยมาก จึงเป็นโอกาสให้เราขยายธุรกิจมาที่นี่ นอกจากนี้ บริษัทฯ ยังมีความพร้อมในด้านต่าง ๆ ทั้งในเรื่องคุณภาพของการให้บริการด้านบัญชีและภาษีฯที่ตอบสนองความต้องการของลูกค้าทุกกลุ่มอาชีพทั้งบริษัทไทยและญี่ปุ่น อีกทั้งยังสามารถให้บริการทั้งการปรึกษาภาษีฯ และกฎหมายอย่างครบวงจร
“สำหรับการก่อตั้งบริษัทใหม่นี้ใช้งบลงทุนเบื้องต้นประมาณ 3 ล้านบาท และกลุ่มลูกค้าของบริษัทฯ จะเน้นไปที่ธุรกิจประเภทสายการผลิต กลุ่มอุตสาหกรรมยานยนต์ การบริการทางการเงิน ธุรกิจค้าปลีก ธุรกิจเกี่ยวกับร้านอาหาร และในอีกหลาย ๆ ธุรกิจ โดยคาดหวังว่าการเติบโตของบริษัทในช่วงแรกจะมากกว่าการเติบโตของเศรษฐกิจประเทศไทยที่ประมาณ 20%” นายคูซูโมโต กล่าวสรุปท้าย
นายธวัช ผลความดี เลขาธิการสำนักงานมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม เปิดเผยว่า สมอ.ได้ปรับปรุงหลักเกณฑ์การอนุญาตที่เคยประกาศใช้ โดยเพิ่มวิธีการในการอนุญาตให้สอดคล้องกับความเสี่ยงของผลิตภัณฑ์ และความตกลงของ ASEAN โดยวิธีการใหม่นั้นสามารถออกใบอนุญาตได้ภายใน 15 วัน ซึ่งจะใช้สำหรับผลิตภัณฑ์ที่มีความเสี่ยงต่ำ และเป็นผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรมที่มีขนาดใหญ่ มีความรับผิดชอบสูง เช่นผลิตภัณฑ์ยานยนต์ ผลิตภัณฑ์เหล็กแผ่นที่เป็นวัตถุดิบมาแปรรูปเป็นผลิตภัณฑ์อื่น โดยการยื่นขอรับใบอนุญาตผู้ยื่นคำขอสามารถใช้ใบรับรอง ISO 9001 และรายงานผลการทดสอบผลิตภัณฑ์ที่เป็นไปตาม มอก. ให้ สมอ. และ สมอ.จะออกใบอนุญาตภายใน 15 วัน นอกจากนั้น สมอ.ยังยอมรับใบรับรอง (Certificated of Conformity) จากหน่วยตรวจสอบรับรองที่ สมอ.ให้การยอมรับมาออกใบอนุญาตได้ภายใน 15 วัน โดยไม่ต้องตรวจโรงงานหรือเก็บตัวอย่างอีกทางหนึ่ง
ส่วนกรณีการนำเข้า สมอ.ได้มีการขึ้นทะเบียนโรงงานผู้ทำในต่างประเทศ ซึ่งจะส่งผลให้ผู้นำเข้าที่นำเข้าจากโรงงานที่ขึ้นทะเบียนไม่ต้องไปตรวจประเมินโรงงานอีก สมอ.จะเก็บเฉพาะตัวอย่างตรวจสอบอย่างเดียว ซึ่งการดำเนินการดังกล่าวจะช่วยลดระยะเวลาและลดค่าใช้จ่าย และในการประกาศหลักเกณฑ์ใหม่ในครั้งนี้นี้ สมอ.ยังได้ปรับข้อกำหนดกิจกรรมจาก 12 ข้อเป็น 5 ข้อ คือ การควบคุมวัตถุดิบ การควบคุมกระบวนการผลิต การควบคุมผลิตภัณฑ์สำเร็จรูป การควบคุมผลิตภัณฑ์ที่ไม่เป็นไปตามข้อกำหนด และการควบคุม เครื่องตรวจ เครื่องวัดและเครื่องทดสอบ
เลขาธิการ สมอ.กล่าวเพิ่มเติมว่า สมอ.จะส่งเสริมให้ผู้ประกอบการขอรับการรับรองมาตรฐานทั่วไปเพื่อยกระดับคุณภาพสินค้าและเพิ่มขีดความสามารถของผู้ประกอบการ รวมทั้งเป็นการคุ้มครองผู้บริโภค โดยได้กำหนดตัวชี้วัดในการดำเนินงานว่าจะต้องมีผู้ประกอบการขอรับการรับรองมาตรฐานทั่วไปเพิ่มขึ้นอย่างสม่ำเสมอทุกปี สำหรับปี 2559 สมอ.ได้กำหนดตัวชี้วัดไว้ที่ 45 มอก.ซึ่งหากผู้ประกอบการได้รับใบอนุญาตมากขึ้นจะทำให้มีการพัฒนาคุณภาพสินค้า และเกิดความคุ้มค่ากับผู้บริโภคมากขึ้น ซึ่งการปรับปรุงหลักเกณฑ์ในครั้งนี้ สมอ.ได้จัดสัมมนาผู้ประกอบการขึ้นในวันนี้ (26 พ.ย.58) เพื่อชี้แจงการปรับลดขั้นตอนการอนุญาตดังกล่าว และร่วมแลกเปลี่ยนความคิดเห็นเพื่อให้การดำเนินการเป็นไปด้วยความรวดเร็ว ชัดเจน โปร่งใส และมีประสิทธิภาพ
ลาซาด้า ผู้นำด้านการช้อปปิ้งและแพลตฟอร์มพื้นที่ขายของออนไลน์ในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ประกาศขยายพื้นที่คลังสินค้าในประเทศไทย โดยเป็นการพัฒนาบริการไปอีกขั้น เพื่อตอบสนองการเจริญเติบโตอย่างรวดเร็วของธุรกิจ
การขยายคลังสินค้าในครั้งนี้ นับเป็นการจัดการโครงสร้างทางโลจิสติกส์ล่าสุดที่ลาซาด้าได้ลงทุนไปเมื่อเร็ว ๆ นี้ และถือเป็นหนึ่งในสิบศูนย์กระจายสินค้าที่ตั้งอยู่บนภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ โดยคลังสินค้าแห่งนี้ ตั้งอยู่ ณ ทีพาร์ค บางพลี 3 โดยเป็นบริการที่ตอบสนองอุปสงค์ที่เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วในธุรกิจออนไลน์ช้อปปิ้งในประเทศไทย ซึ่ง 60% ของการขยายคลังสินค้านั้นเกิดขึ้นภายใน 1 ปีนับตั้งแต่ลาซาด้าย้ายคลังสินค้ามาอยู่ที่บางพลี ด้วยระบบการจัดการการขนส่งของลาซาด้า เอ็กซ์เพรส รวมไปถึงบริษัทขนส่งที่เป็นพันธมิตรกับลาซาด้าอีกกว่า 6 บริษัทลูกค้าของลาซาด้าสามารถวางใจกับระบบขนส่งที่รวดเร็วและมีคุณภาพเชื่อถือได้ให้กับผู้บริโภคชาวไทยทั่วประเทศ ตั้งแต่ผู้ที่อาศัยในเขตกรุงเทพฯ ถึงเบตง และแม่สะเรียง ที่มีทั้งส่งภายในวันเดียวกันในกรุงเทพฯ และ 3 วันในต่างจังหวัด
คุณเบอร์ทรันด์ พีรส์รัชส์ ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายปฏิบัติการ บริษัท ลาซาด้า ประเทศไทย กล่าวว่า “เราได้พบกับความเจริญเติบโตอย่างรวดเร็วที่ประเทศไทยภายในเวลาเพียงสามปี เราขอแสดงความขอบคุณผู้บริโภคทุกท่านที่พึงพอใจกับบริการที่เรามอบให้ ไม่ว่าจะเป็นสินค้าหลากประเภทจากทั้งในและนอกประเทศ สินค้าเอ็กซ์คลูซีฟ หลากหลายช่องทางการชำระเงินที่มีความปลอดภัยสูง อาทิ การชำระเงินปลายทาง รวมไปถึงการจัดส่งที่มีคุณภาพและรวดเร็วโดยการขยายคลังสินค้าในบางพลีของเราในครั้งนี้ ถือเป็นการยกระดับความแข็งแกร่งของลาซาด้าไปอีกขั้นสู่ความเป็นที่หนึ่งของห้างสรรพสินค้าออนไลน์ชั้นนำให้แก่ผู้บริโภคชาวไทยทุกคน”
โดยศูนย์กระจายสินค้าแห่งนี้ตั้งบนพื้นที่ขนาด 17,000 ตารางเมตร สามารถรองรับสินค้าได้สูงสุดถึง 500,000 รายการ ครอบคลุมตั้งแต่เข็มเย็บผ้า ไปจนถึงตู้เย็นขนาดใหญ่ และคำสั่งสินค้าสามารถดำเนินการโดยใช้ระบบคำสั่งจากมือถือภายในคลัง อีกทั้งยังใช้ “Technology Stack” เพื่อช่วยการจัดการสินค้าอย่างครบวงจร พร้อมทั้งการติดต่อประสานงานกับทุกหน่วยงาน โปรแกรมดังกล่าวสามารถดำเนินงานด้วยระบบอัตโนมัติจึงให้ประสิทธิภาพการทำงานที่ยอดเยี่ยมและถูกต้อง สำหรับแพลตฟอร์มการให้บริการลูกค้าลาซาด้า ยังได้ช่วยให้บริษัทสามารถให้บริการขนส่งสินค้าได้ทันเวลา มีประสิทธิภาพในการเข้าถึงข้อมูลการสั่งซื้อล่าสุดของลูกค้าและรวบรวมข้อคิดเห็นจากลูกค้าได้ทันที
“ลาซาด้าเลือกโครงการ TPARK บางพลี 3 ให้เป็นศูนย์กระจายสินค้าที่ครบวงจรของเราเนื่องจากทีพาร์คมีคลังสินค้าพร้อมให้เข้าใช้งานได้ทันทีบนทำเลยุทธศาสตร์ที่เหมาะกับการดำเนินงานด้านโลจิสติกส์ของลาซาด้า ที่สำคัญยังสามารถรองรับการขยายพื้นที่คลังสินค้าเพิ่มเติมได้ในอนาคตซึ่งเป็นสิ่งสำคัญสำหรับธุรกิจเราที่เติบโตอย่างรวดเร็ว และยังช่วยให้การดำเนินงานด้านโลจิสติกส์ของเรามีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น”
นายปธาน สมบูรณสิน กรรมการผู้จัดการ บริษัท ไทคอน โลจิสติกส์ พาร์ค จำกัด
ส่วนทางด้าน นายปธาน สมบูรณสิน กรรมการผู้จัดการ บริษัท ไทคอน โลจิสติกส์ พาร์ค จำกัด หรือ TPARK ผู้นำในการพัฒนาคลังสินค้าคุณภาพสูงพร้อมใช้เพื่อให้เช่ารายใหญ่ของประเทศไทย กล่าวเสริมว่า “โครงการ TPARK บางพลี 3 เป็นทำเลที่ตอบโจทย์ด้านการกระจายสินค้าของลาซาด้าเป็นอย่างดี เพราะตั้งอยู่บนถนนบางนา-ตราด กม. ระหว่าง 19 และกม. 23 ซึ่งอยู่ใกล้กับถนนวงแหวนอุตสาหกรรมที่สามารถเชื่อมโยงถนนสายหลักต่าง ๆ ที่มุ่งสู่ทั่วทุกภูมิภาคของประเทศไทย จึงช่วยให้การกระจายสินค้าเป็นไปอย่างสะดวกรวดเร็ว อีกทั้งยังช่วยให้สามารถบริหารต้นทุนได้อย่างมีประสิทธิภาพสูงสุด นอกจากนี้ TPARK ยังมีที่ดินในย่านบางพลีที่พัฒนาแล้วและกำลังอยู่ระหว่างการพัฒนารวมทั้งสิ้นมากกว่า 600 ไร่ คิดเป็นพื้นที่คลังสินค้าให้เช่ารวมกว่า 500,000 ตารางเมตร ซึ่งเอื้อประโยชน์ต่อลูกค้าเดิมที่ต้องการขยายพื้นที่คลังสินค้าเพิ่มเติมเพื่อรองรับการขยายตัวของธุรกิจได้อย่างทันท่วงที รวมถึงลูกค้ารายใหม่ที่มีความต้องการใช้พื้นที่คลังสินค้าแบบเร่งด่วน ก็สามารถใช้บริการได้ทันที”
“สำหรับลาซาด้า ถือเป็นลูกค้าในธุรกิจอีคอมเมิร์ซรายแรกของ TPARK ซึ่งนับเป็นสัญญาณที่ดีของ TPARK ที่จะได้มีส่วนร่วมในการขยายธุรกิจของลาซาด้า ซึ่งเป็นผู้นำตลาดในธุรกิจช้อปปิ้งออนไลน์ TPARK มั่นใจว่า ทำเลและคลังสินค้าที่มีคุณภาพของ TPARK เหมาะสมต่อการเป็นศูนย์กระจายสินค้าของธุรกิจช็อปปิ้งออนไลน์และช่วยให้ธุรกิจนี้เติบโตได้ดี” นายปธาน กล่าวทิ้งท้าย
ดร.สมชาย หาญหิรัญ อธิบดีกรมส่งเสริมอุตสาหกรรม กล่าวว่า ปัจจุบันพบว่าผู้ประกอบการ SMEsได้รับผลกระทบต่อการดำเนินธุรกิจในหลายด้าน โดยเฉพาะปัญหาภาระหนี้สินและการเข้าถึงแหล่งเงินทุนของผู้ประกอบการ SMEs ซึ่งแน่นอนว่าเป็นปัญหาที่ส่งผลกระทบต่อการบริหารจัดการธุรกิจไม่ว่าจะเป็นด้านการผลิต การบริหารจัดการ การขยายตลาด ทั้งนี้พบว่าSMEsส่วนใหญ่ร้อยละ 62.58 เคยได้รับการอนุมัติสินเชื่อจากสถาบันการเงิน แต่ยังมีอีกร้อยละ 37.42 ไม่เคยได้รับอนุมัติสินเชื่อจากสถาบันการเงิน (ที่มา: สำนักงานส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (สสว.)) เนื่องจากหลาย ๆ สาเหตุอาทิ การขาดหลักทรัพย์ค้ำประกัน ไม่มีแผนธุรกิจที่ดี และการขาดประวัติการชำระเงิน ตลอดจนอุปสรรคจากการเป็นผู้ประกอบการหน้าใหม่ อย่างไรก็ตามปัญหาด้านเงินทุนเป็นปัญหาใหญ่ที่แก้ไขได้ยากพอสมควร อย่างไรก็ตาม เพื่อบรรเทาปัญหาระยะสั้นทางด้านการเงินหมุนเวียนให้กับ SMEs ทาง กสอ. ได้เร่งให้ศูนย์ส่งเสริมอุตสาหกรรมภาคทั้ง 11 แห่ง เร่งพิจารณาคำขอกู้เงินทุนหมุนเวียนระยะสั้นที่ กสอ. มีอยู่ทั้งหมดกว่า 70 ล้านบาท โดยเร็ว ซึ่งขณะนี้ได้ช่วยเหลือเงินทุนหมุนเวียนระยะสั้นไปแล้ว 51 ราย จำนวนเงินกว่า 10 ล้านบาท และมีคำกู้ซึ่งรอรับการสนับสนุนอยู่อีกจำนวนกว่า 7 ล้านบาท (ข้อมูล ณ วันที่ 18 พ.ย. 2558)
ดร.สมชาย กล่าวเพิ่มเติมว่า กสอ. สั่งการให้ศูนย์ส่งเสริมอุตสาหกรรมภาคทั้ง 11 แห่งให้ทำหน้าที่เป็นแกนกลางในการประสานงานกับสถาบันการเงินในพื้นที่ เพื่อให้ SMEs เข้าถึงซึ่งในขณะนี้ กสอ. ได้ร่วมมือกับสถาบันการเงินทั้งภาครัฐและเอกชนทั่วประเทศรวมกว่า 20 แห่ง อาทิ ธ.ไทยพาณิชย์ ธ.กรุงเทพ ธ.กรุงไทย ธ.ออมสิน ธ.พัฒนาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมแห่งประเทศไทย (SME BANK) ธ.เพื่อการเกษตรและสหกรณ์ ธ.เพื่อการส่งออกและนำเข้าแห่งประเทศไทย (EXIM BANK) ธ.อาคารสงเคราะห์ ธ.อิสลามแห่งประเทศไทย ฯลฯ เพื่อหารือถึงแนวทางเพิ่มโอกาสการอนุมัติเงินทุนโดย กสอ. จะทำหน้าที่เป็นแกนกลางในการเชื่อมโยงข้อมูลผู้ประกอบการSMEsที่เข้าร่วมโครงการพัฒนาศักยภาพด้านต่าง ๆ ของกสอ.ไปยังสถาบันการเงินโดยตรง ซึ่งจะสามารถช่วยสร้างความเชื่อมั่นแก่สถาบันการเงิน และเพิ่มโอกาสในการเข้าถึงแหล่งเงินทุนให้แก่ผู้ประกอบการมากขึ้น โดยในขณะนี้ดำเนินการไปแล้วในบางศูนย์ภาคฯ คือ ภาคที่ 1 ภาคที่ 6 และภาคที่ 7 นอกจากนี้ยัง มีแผนดำเนินการต่อไปให้ครบทุกศูนย์ภาคฯ
โดยในปี 2558 ที่ผ่านมา กสอ. ได้ส่งต่อ SMEs ให้กับ SMEBANK กว่า 600 กิจการรวมเป็นวงเงิน 2,586.60 ล้านบาท ซึ่งได้รับการอนุมัติสินเชื่อไปแล้ว จำนวน 349 กิจการเป็นวงเงินทั้งสิ้น1,249 ล้านบาท และอยู่ระหว่างการพิจารณาเพิ่มอีกจำนวน 165 กิจการซึ่งในปีงบประมาณ 2559 มี SMEsที่จะเข้าร่วมกิจกรรม/โครงการกับ กสอ. ประมาณ 10,000 กิจการ ซึ่ง กสอ. ได้มีการหารือร่วมกับสถาบันการเงินต่าง ๆ เพื่อส่งต่อข้อมูลผู้รับบริการระหว่างกัน เพื่อช่วยเหลือผู้ประกอบการให้เข้าถึงแหล่งเงินทุนสำหรับการขยายกิจการและสร้างโอกาสในการเพิ่มศักยภาพให้กับธุรกิจรองรับการแข่งขันระดับสากลต่อไป โดย กสอ. จะมีการลงนามข้อตกลงความร่วมมือกับสถาบันการเงินในเดือนมกราคมนี้
สำหรับผู้ประกอบการที่สนใจโครงการต่างๆของกรมส่งเสริมอุตสาหกรรมสามารถสอบถามรายละเอียดได้ที่ กรมส่งเสริมอุตสาหกรรม กระทรวงอุตสาหกรรม ถนนพระรามที่ 6กรุงเทพฯ โทรศัพท์ 0-2202-4414-18 หรือเข้าไปที่ www.dip.go.th หรือ www.facebook.com/dip.pr
นายธนา ธิรมนัส (ที่ 2 จากขวา) กรรมการผู้จัดการ โอซีเอส ภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ จำกัด บริษัทในเครือ โอซีเอส กรุ๊ปจากประเทศอังกฤษ ผู้ให้บริการโซลูชั่นการบริหารจัดการอาคารสถานพยาบาลชั้นนำ ร่วมแสดงความยินดี กับ มร.พอล ไครเออร์ (ที่ 3 จากขวา) ที่ปรึกษาอิสระด้านนวัตกรรมและโซลูชั่น/ที่ปรึกษาองค์กรด้านสาธารณสุขและบริษัทเทคโนโลยี จากลอนดอน ประเทศอังกฤษ ในโอกาสมาร่วมให้ความรู้ด้านการพัฒนาระบบสิ่งสนับสนุนในโรงพยาบาล โดยมี ศ.นพ.อร่าม โรจนสกุล (ขวาสุด) ผู้อำนวยการศูนย์การแพทย์สมเด็จพระเทพรัตน์ คณะแพทย์ศาสตร์ รพ. รามาธิบดี นพ.ไพโรจน์ บุญคงชื่น ( ซ้ายสุด) รอง ผอ.ศูนย์การแพทย์สมเด็จพระเทพรัตน์ฯ ศ.นพ.พรชัย มูลพฤกษ์ (ที่ 2 จากซ้าย) ผู้บริหารคณะแพทย์ศาสตร์ รพ.รามาธิบดี รศ. นพ. สาธิต โหตระกิตย์ (ที่ 3 จากซ้าย) รองคณบดีฝ่ายการคลัง คณะแพทย์ศาสตร์ รพ.รามาธิบดี และ ผศ.พญ.เยาวนุช คงด่าน (กลาง) กรรมการผู้จัดการ บริษัท อาร์เอฟเอส จำกัด ร่วมให้การต้อนรับ ในงานสัมมนามาตรฐานระบบสิ่งสนับสนุนโรงพยาบาลในประเทศไทย ครั้งที่ 1 ที่ รร.เซ็นจูรี่ ปาร์ค เมื่อเร็ว ๆ นี้
อวาย่า ผู้นำระดับโลกในด้านซอฟต์แวร์การสื่อสารทางธุรกิจระบบและการให้บริการประกาศว่า ในปีนี้บริษัทได้รับถึงเก้ารางวัลสำหรับความเป็นผู้นำทางด้านระบบคอนแท็กเซ็นเตอร์และระบบการสื่อสารแบบรวมศูนย์ทั่วภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก จัดโดยบริษัททางด้านวิเคราะห์ ฟรอสต์ แอนด์ ซัลลิแวน รางวัลของฟรอสต์ แอนด์ ซัลลิแวน นั้นมอบให้แก่เวนเดอร์เพื่อยกย่องถึงความสามารถของพวกเขาในการสร้างการเติบโตเชิงกลยุทธ์ และความเป็นเลิศในการนำไปใช้งานได้จริง นวัตกรรมทางเทคโนโลยีและผลิตภัณฑ์ ความเป็นผู้นำในการมุ่งเน้นคุณค่าของลูกค้า และการเจาะตลาดในภูมิภาค
ลูกค้าทั่วทุกมุมโลกมีความคาดหวังจากการให้บริการลูกค้าสูงมาก จากผลรายงาน Autonomous Customer 2015 Global Report จัดทำโดยบีทีและอวาย่าประจำปี 2015 พบว่าร้อยละ 88 ของลูกค้าจะมีความภักดีต่อแบรนด์องค์กรมากขึ้นเมื่อพวกเขาสามารถติดต่อกับองค์กรนั้น ๆ ได้สะดวกและไม่ยุ่งยาก และค่าเฉลี่ยราวร้อยละ 84 ของลูกค้าในเอเชียแปซิฟิกระบุว่าจะซื้อสินค้า/บริการเพิ่มเติมจากองค์กรที่สามารถทำเช่นนั้นได้ ด้วยความคาดหวังของลูกค้าที่เพิ่มสูงขึ้น องค์กรต่าง ๆ จึงควรที่จะติดตั้งแอพพลิเคชั่นการใช้งานและการแก้ปัญหาซึ่งจะสามารถสร้างการมีส่วนร่วมของลูกค้าและการให้บริการที่มีความเป็นเลิศแก่ลูกค้าอย่างรีบด่วน
อวาย่าได้รับการยอมรับในฐานะที่เป็นผู้นำในการส่งมอบโซลูชั่นการมีส่วนร่วมของลูกค้าทั่วโลกที่มีความเชี่ยวชาญในการช่วยให้ธุรกิจสามารถบริหารจัดการและเพิ่มประสิทธิภาพการเจริญเติบโตของผลการดำเนินงานและการบริหารงานของพนักงานรับสายรวมถึงผลิตภาพของการทำงานที่ดียิ่งขึ้น รางวัลต่าง ๆ ที่ได้รับตอกย้ำถึงขีดความสามารถของบริษัทที่มีต่อโซลูชั่นแบบครบวงจรของการมีส่วนร่วมของลูกค้าและการที่อวาย่าเป็นตัวเลือกที่ตลาดโปรดปรานในฐานะ Vendor of Choice หรือผู้จัดจำหน่ายยอดนิยม
ฟรอสต์ แอนด์ ซัลลิแวน ได้มอบหกรางวัลทางด้าน Contact Center Applications Vendor of the Year แก่อวาย่าสำหรับตลาดทั่วเอเชียตะวันออกเฉียงใต้และอินเดีย รางวัล Contact Center Applications Vendor of the Year จาก ฟรอสต์ แอนด์ ซัลลิแวน นั้นมอบให้แก่บริษัทซึ่งสามารถแสดงศักยภาพความเป็นเลิศในด้านของเทคโนโลยีและการเติบโตของรายได้ในตลาดแอพพลิเคชั่นคอนแท็กเซ็นเตอร์ เกณฑ์การตัดสินรวมถึงส่วนแบ่งการตลาดและการเจาะตลาด อัตราการเจริญเติบโตของรายได้ กลยุทธ์ทางธุรกิจและการเติบโต การนำไปประยุกต์ใช้งานได้อย่างดีเลิศ นวัตกรรมของผลิตภัณฑ์และเทคโนโลยี และความเป็นผู้นำในการตระหนักถึงคุณค่าของลูกค้า
รางวัลทั้งหมดที่ ฟรอสต์ แอนด์ ซัลลิแวน มอบให้แก่อวาย่าทางด้าน Contact Center Applications Vendor of the Year ได้แก่:
ผลการดำเนินงานที่แข็งแกร่งของอวาย่าเป็นที่ยอมรับของ ฟรอสต์ แอนด์ ซัลลิแวน และได้ตัดสินมอบรางวัล Asia Pacific Inbound Contact Routing Systems Market Share Leadership Award ให้แก่บริษัท โดยรางวัล Market Share Leadership หรือความเป็นผู้นำของส่วนแบ่งทางการตลาดนั้น ฟรอสต์ แอนด์ ซัลลิแวน จะมอบให้แก่บริษัทที่ได้แสดงให้เห็นถึงความเป็นเลิศในการได้รับส่วนแบ่งการตลาดที่สูงที่สุดในวงการสำหรับปีนั้น ๆ รางวัลนี้ยกย่องถึงความมุ่งมั่นของบริษัทที่มีพัฒนาการอย่างต่อเนื่องและยังคงรักษาความเป็นผู้นำในธุรกิจแอพพลิเคชั่นระบบคอนแท็กเซ็นเตอร์โดยเป็นผู้ริเริ่มนำเทคโนโลยีและแนวโน้มที่จะช่วยให้ธุรกิจประสบความสำเร็จมาใช้
นอกเหนือจากการได้รับรางวัลทางด้านระบบคอนแท็กเซ็นเตอร์แล้ว อวาย่าก็ยังได้รับการยอมรับในความเป็นผู้นำทางด้านการสื่อสารแบบรวมศูนย์ บริษัทได้รับรางวัล 2015 Unified Communications Vendor of the Year สำหรับประเทศอินเดียและอินโดนีเซียในฐานะที่เป็นแบบอย่างสำหรับการเจริญเติบโตและประสิทธิภาพ การทำงานที่ดีเยี่ยมตลอดทั้งปี
นายบัณฑิต ว่องวัฒนะสิน กรรมการผู้จัดการ บริษัท อินเตอร์เนต โซลูชั่น แอนด์ เซอร์วิส โพรวายเดอร์ จำกัด หรือ ไอเอสเอสพี (ISSP) กล่าวว่า ปัจจุบันธุรกิจสตาร์ทอัพของไทย กำลังเติบโตอย่างรวดเร็ว ซึ่งนอกจากสตาร์ทอัพที่เกี่ยวข้องกับด้านไอทีแล้ว ยังรวมไปถึงธุรกิจขนาดเล็ก ที่มีการทำอีคอมเมิร์ช ขายของผ่านเพจเฟสบุ้ค, อินสตาแกรม, ไลน์ ซึ่งกลุ่มธุรกิจสตาร์ทอัพเหล่านี้ เมื่อแรกเริ่มที่เปิดธุรกิจ จะใช้เพียงระบบการจัดการร้านค้าหรือธุรกิจของสื่อสังคมออนไลน์มีให้บริการเท่านั้น ซึ่งหากต้องการขยายธุรกิจในอนาคตจะทำให้เกิดความยุ่งยากในการจัดการร้านค้า เนื่องจากระบบเหล่านั้นไม่ได้รองรับการบริหารจัดการร้านแบบครบวงจร หรือแม้กระทั่งที่มีการเปิดเว็บไซต์เป็นของตัวเอง โดยทำงานจัดการระบบร้านค้าผ่านโฮสที่เซิร์ฟเวอร์ใดเซิร์ฟเวอร์หนึ่ง และอาจคิดว่าการเปลี่ยนมาใช้ระบบคลาวด์นั้นเป็นโซลูชั่นที่ยุ่งยาก เป็นการเพิ่มงบประมาณการลงทุนที่เกินตัว
แต่ในความเป็นจริงแล้วการใช้คลาวด์คอมพิวติ้ง เป็นการลงทุนในระยะยาวที่คุ้มค่าโดยเฉพาะอย่างยิ่งสำหรับธุรกิจสตาร์ทอัพ เพราะระบบคลาวด์มีความยืดหยุ่น ใช้งานตามความต้องการได้ ไม่ต้องมีการลงทุนล่วงหน้า คิดค่าบริการตามการใช้งานจริง เหมาะสำหรับธุรกิจขนาดเล็กที่ต้องการนำระบบไอทีเข้ามาเพิ่มประสิทธิภาพของ ระบบบริหารจัดการร้านค้า การทำสต็อค บัญชี ฯลฯ พร้อมมีผู้เชี่ยวชาญด้านไอทีคอยดูแลให้โดยไม่ต้องลงทุนสูง และสำหรับสตาร์ทอัพจะยิ่งมีความพร้อมมาก เช่น ในเรื่องของการสร้างเว็บไซต์ของบริษัทหรือระบบร้านค้า e-commerce ผ่านระบบสำเร็จรูปบนคลาวด์ในแบบที่คุ้นเคย แม้ไม่มีความรู้ด้านการเขียนโปรแกรมมาก่อนก็ตาม ระบบคลาวด์จึงเปรียบเสมือนเครื่องมือสำคัญที่จะผลักดันให้สตาร์ทอัพไทยเติบโตได้ในระยะยาว และรองรับการเติบโตทางธุรกิจอย่างเหมาะสม
ที่ผ่านมาลูกค้าของไอเอสเอสพีที่เปิดร้านค้าออนไลน์ และสตาร์ทอัพด้านไอทีหลายรายประสบความสำเร็จแบบก้าวกระโดด เนื่องด้วยแนวคิดและวิสัยทัศน์ที่ทันสมัยของนักธุรกิจรุ่นใหม่ ที่เลือกใช้ระบบคลาวด์เข้าไปช่วยในเรื่องระบบบริหารจัดการ และระบบไอทีของร้านค้า ทำให้ลดขั้นตอนการทำงานที่ไม่จำเป็น ปล่อยให้ธุรกิจสามารถรันไปได้ด้วยระบบด้วยเทคโนโลยีคลาวด์ ทำให้เจ้าของธุรกิจไม่ต้องกังวลงานด้านไอที และสามารถมีเวลาขยายตลาดของสินค้า หรือบริการได้อย่างรวดเร็ว และเทคโนโลยีคลาวด์ยังสามารถปรับขยายบริการได้ตามความต้องการของลูกค้าโดยไม่สะดุด จากการให้บริการจากผู้เชี่ยวชาญด้านคลาวด์ของไอเอสเอสพีตลอด 24 ชั่วโมง ทั้ง 7 วัน
“เทคโนโลยีเป็นเครื่องมืออันทรงพลัง การที่กลุ่มธุรกิจสตาร์ทอัพหันมาใช้เทคโนโลยีคลาวด์ในการทำธุรกิจ จะทำให้พวกเขาสามารถแข่งขันกับธุรกิจที่มีขนาดใหญ่กว่าได้ โดยการเลือกใช้คลาวด์จะสามารถกำหนดการใช้งานได้ตามความต้องการของแต่ละธุรกิจ ที่มีความแตกต่างกัน และด้วยความพร้อมของระบบบริหารจัดการหลังบ้านที่ดี จะทำให้สตาร์ทอัพของไทยมีความพร้อมที่จะเข้าไปลงแข่งขันกับคู่แข่งทางการค้าเมื่อเปิดประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน หรือเออีซี ได้อย่างมีประสิทธิภาพ” นายบัณฑิต กล่าวทิ้งท้าย
มร.อิจิ ฟูรูคาวา กรรมการผู้จัดการ บริษัท ฟูจิตสึ ซีสเต็ม บีสซีเนส (ประเทศไทย) จำกัด (ที่ 1 จากซ้าย) ผู้นำด้านเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร ร่วมด้วย มร.ฮิโรยูกิ ซาไค กรรมการผู้จัดการ บริษัท ฟูจิตสึ ลิมิเต็ด จำกัด (ที่ 2 จากซ้าย) และ มร.จูนอิจิ ไซโต กรรมการ หัวหน้าภูมิภาคเอเชีย บริษัท ฟูจิตสึ ลิมิเต็ด จำกัด (ที่ 3 จากซ้าย) ได้ร่วมกันประกาศวิสัยทัศน์องค์กรในงานสัมมนา Fujitsu Asia Conference 2015 เกี่ยวกับ Human Centric Innovation in Action การเดินหน้าพัฒนานวัตกรรมบริการด้านเทคโนโลยีของฟูจิตสึที่คำนึงถึงมนุษย์ชาติเป็นหลัก เพื่อให้สามารถนำมาใช้งานได้จริง ตอบโจทย์ สอดคล้องกับความต้องการของโลกดิจิทัล ในรูปแบบของ IoT (Internet of Thing) ที่กำลังเกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว ณ โรงแรมโซฟิเทล สุขุมวิท กรุงเทพฯ
นายชัยยศ ปิยะวรรณรัตน์ กรรมการผู้จัดการ ประจำประเทศไทย พม่า กัมพูชาและลาว บริษัท เอบีบี จำกัด เปิดเผย ในงานเปิดตัวหุ่นยนต์ “ยูมี” ว่า บริษัทให้ความสำคัญในการขยายธุรกิจ ในภูมิภาคอาเซียนอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะประเทศไทย และพม่า เนื่องจากตลาดธุรกิจอุตสาหกรรม และธุรกิจพลังงานมีขนาดใหญ่ โดยแนวทางรุกธุรกิจในไทย ล่าสุดบริษัทได้เปิดตัวหุ่นยนต์ยูมี (YuMi) เข้าทำตลาดหุ่นยนต์อุตสาหกรรม ซึ่งมีมูลค่าประมาณ 3,000-4,000 ตัวต่อปี และมีการเติบโตต่อเนื่อง ขยายไปยังอุตสาหกรรมใหม่ ๆ มากขึ้น เช่น อุตสาหกรรมอาหารและเครื่องดื่ม ซึ่งมีความจำเป็นต้องใช้หุ่นยนต์ในกระบวนการหยิบจับเพื่อความสะอาดปลอดภัยด้านอาหาร การบรรจุภัณฑ์ และการยกเคลื่อนสินค้า จากในอดีตหุ่นยนต์จะใช้งานจำกัดในอุตสาหกรรมชิ้นส่วนและยานยนต์เท่านั้น
หุ่นยนต์ยูมีสามารถตอบโจทย์ภาคอุตสาหกรรมที่กำลังเผชิญการขาดแคลนแรงงานอย่างต่อเนื่อง โดยยูมีถือเป็นหุ่นยนต์แบบ 2 แขนกล ที่ทำงานร่วมกับมนุษย์ได้อย่างแท้จริง หยิบจับและประกอบชิ้นส่วนพลาสติกได้เหมือนมนุษย์ มีความแม่นยำ ซึ่งจะช่วยทำงานแทนมนุษย์ได้ในเวลาที่เร่งรีบในการเพิ่มกำลังการผลิตหรือมีพนักงานหยุดงาน
“สำหรับแนวทางการทำตลาดหุ่นยนต์ยูมีจะโฟกัสกลุ่มเป้าหมายอุตสาหกรรมการผลินชิ้นส่วนพลาสติก และอิเล็กทรอนิกส์ และจะเข้าไปให้บริการลูกค้าทดลองใช้งานตามความต้องการของลูกค้า (เทเลอร์ เมด) และการเปิดตัวในไทยครั้งนี้ถือเป็นอันดับต้นๆของภูมิภาคอาเซียน การทำตลาดครั้งนี้บริษัทยังไม่ตั้งเป้าหมายยอดขายแต่อย่างใด เบื้องต้นต้องการสร้างรับรู้ให้กับลูกค้าเกี่ยวกับการใช้งานว่าจะช่วยเพิ่มกำลังการผลิตได้ ส่วนจะเข้ามาใช้งานแทนคนเลยหรือไม่อาจจะยัง เพราะไทยยังไม่ได้มีค่าแรงสูงมากนักแต่ปัญหาการขาดแคลนแรงงานก็เป็นปัจจัยให้ตระหนักใช้หุ่นยนต์มากขึ้น" นายชัยยศ และเพิ่มเติมว่า
ส่วนการขยายธุรกิจในประเทศพม่า บริษัทให้ความสำคัญกับกลุ่มผลิตภัณฑ์ และเทคโนโลยีด้านพลังงานเป็นหลัก เนื่องจากพม่าต้องการใช้พลังงานค่อนข้างมาก เพราปัจจุบันมีประชากร 1 ใน 3 ของ 50 ล้านคนเท่านั้นที่มีพลังงานใช้ ขณะที่ความสามารถผลิตไฟฟ้าอยู่ที่ระดับ 3,500 เมกะวัตต์เท่านั้น น้อยกว่าไทยถึง 10 เท่า ที่มีกำลังผลิตราว 35,000 เมกะวัตต์ ดังนั้นเชื่อว่ารัฐบาลจะให้น้ำหนักกับการพัฒนาพลังงานในประเทศมากขึ้น สะท้อนให้เห็นถึงโอกาสและศักยภาพตลาดสำหรับธุรกิจของบริษัท นอกจากนี้บริษัทยังให้ความสำคัญในการขยายธุรกิจในลาวด้วย เพราะเป็นอีกตลาดที่มีศักยภาพ รวมทั้งกัมพูชาที่อยู่ระหว่างการศึกษาตลาด
"ไทยยังเป็นประเทศยุทธศาสตร์ของเอบีบี เพราะเป็นตลาดที่มีขนาดใหญ่ และมีศักยภาพอีกมาก อย่างตลาดหุ่นยนต์อุตสาหกรรม เราเป็นผู้ใช้จำนวนมากไม่เกินอันดับ 15 ของโลก ส่วนพม่าแม้จะเป็นประเทศที่มีการขยายตัวทางเศรษฐกิจ 6-7% ต่อปี แต่เมื่อเทียบขนาดตลาดกับไทย ไทยก็ยังสำคัญอยู่มาก แม้ในปัจจุบันภาพรวมเศรษฐกิจที่ชะลอตัว ทำให้การส่งออกอยู่ในภาวะติดลบ ยอมรับว่าส่งผลกระทบต่อยอดขายบริษัทเล็กน้อย อย่างไรก็ตาม ภาพรวมทั้งปีนี้บริษัทคาดว่ายอดขายจะเติบโตได้เล็กน้อย หรือเป็นอัตรา 1 หลัก ซึ่งในสภาวะเศรษฐกิจเช่นนี้ถือว่าพอใจ" นายชัยยศ กล่าวทิ้งท้าย
นายวัลลภ กมลวิศิษฎ์ (กลาง) รองกรรมการผู้จัดการ บริษัท พรหมมหาราช พัฒนาที่ดิน จำกัด และบริษัทในเครือ ผู้บริหารจัดการศูนย์การค้า เดอะ พาลาเดียม เวิลด์ ช้อปปิ้ง และโรงแรม เดอะ เบอร์เคลีย์ ประตูน้ำ พร้อมคณะผู้บริหารจากบริษัทไอทีชั้นนำ ร่วมเปิดตัวโซน “พาลาเดียม ไอที ประตูน้ำ” บนพื้นที่ 25,000 ตารางเมตร บริเวณชั้น 4 5 และ 6 ของเดอะ พาลาเดียม เวิลด์ ช้อปปิ้ง ด้วยงบประมาณมากกว่า 100 ล้านบาท ในการสร้างเป็นศูนย์รวมสินค้าและบริการครบวงจรด้านไอทีที่ทันสมัยและใหญ่ที่สุดในย่านประตูน้ำ เน้นจับกลุ่มคนไอทีทุกเพศ ทุกวัย นักท่องเที่ยว ทั้งยังผสานจุดแข็งด้านธุรกิจศูนย์การค้าและโรงแรม เพื่อรองรับลูกค้ากลุ่ม MICE ด้านไอที ทั้งในและต่างประเทศ
นายสุรงค์ บูลกุล (ซ้าย) ประธานกรรมการ พร้อมด้วย นายนพดล ปิ่นสุภา (กลาง) อดีตกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท โกลบอล เพาเวอร์ ซินเนอร์ยี่ จำกัด (มหาชน) หรือ GPSC มอบหนังสือส่งมอบภารกิจของบริษัทฯ ให้ ดร.เติมชัย บุนนาค (ขวา) ที่เข้ารับตำแหน่งกรรมการผู้จัดการใหญ่ โดย ดร.เติมชัย บุนนาค นับเป็นผู้มีความรู้ ความเชี่ยวชาญและประสบการณ์ยาวนานในธุรกิจพลังงานจากการร่วมงานในกลุ่ม ปตท. มานานกว่า18 ปี และเคยดำรงตำแหน่งเป็นประธานกรรมการ และกรรมการ ของบริษัทผลิตไฟฟ้าชั้นนำอีกหลายแห่ง ได้แก่ บริษัท พีทีที ยูทิลิตี้ จำกัด, บริษัท ผลิตไฟฟ้าและพลังงานความร้อนร่วม จำกัด, บริษัท ผลิตไฟฟ้าอิสระ (ประเทศไทย) จำกัด, บริษัท บี.กริม บีไอพี เพาเวอร์ จำกัด และ บริษัท ราชบุรี เพาเวอร์ จำกัด ซึ่ง ดร.เติมชัย นั้นพร้อมพร้อมที่จะสานต่อเป้าหมายทางธุรกิจของ GPSC ในฐานะแกนนำในการดำเนินธุรกิจไฟฟ้าและสาธารณูปโภคของกลุ่ม ปตท. ในการมุ่งมั่นที่จะก้าวขึ้นเป็นหนึ่งในผู้นำด้านธุรกิจไฟฟ้าของภูมิภาคเอเชีย ด้วยการขยายการลงทุนและพัฒนาโครงการทั้งในและต่างประเทศ โดยเห็นว่าธุรกิจไฟฟ้า นับเป็นธุรกิจที่เป็น Mega Trend ของพลังงานในวันนี้ พร้อมเสนอนโยบายหลักสำคัญ 2 ประการในการปฏิบัติงาน คือ Safety โดยมีเป้าหมายอุบัติเหตุเท่ากับศูนย์ และ Reliability ซึ่งจะนำไปสู่ผลประกอบการที่ดี และสร้างความเชื่อมั่นให้กับผู้มีส่วนได้เสียของบริษัททุกภาคส่วน
ยังมีกิจกรรมต่อเนื่องสำหรับแคมเปญใหญ่ “25 Years of Trust” แคมเปญฉลองครบรอบ 25 ปีของเอปสัน ประเทศไทย ล่าสุดบิ๊กบอส ยรรยง มุนีมงคลทร ผู้จัดการทั่วไป ปล่อยโปรโมชั่นพิเศษ “เอปสันฉลอง 25 ปี แจก 25 รางวัล” เพื่อขอบคุณลูกค้าที่วางใจในแบรนด์เอปสัน เพียงลูกค้าที่ซื้อสินค้าเอปสัน (ยกเว้นตลับและขวดหมึก ผงหมึก ผ้าหมึก เทป และกระดาษทุกประเภท) นำหมายเลขเครื่อง (Serial Number) ลงทะเบียนที่ www.epson.co.th/warranty ตั้งแต่วันที่ 1 พฤศจิกายน 2558 จนถึง 29 กุมภาพันธ์ 2559 ก็ลุ้นเป็นเจ้าของไอโฟน 6s ที่มาคู่ Apple Watch จำนวน 25 รางวัล มูลค่ารางวัลรวมกว่า 1 ล้านบาท บิ๊กบอสยังฝากย้ำว่าซื้อสินค้าอย่าลืมไปลงทะเบียนเพื่อลุ้นรางวัลในรอบแรกจำนวน 10 รางวัล จับรางวัลวันที่ 11 มกราคม 2558 ติดตามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ www.epson.co.th และ www.facebook.com/EpsonThailand
นายมาตยวงศ์ อมาตยกุล (กลาง) นักวิชาการพาณิชย์เชี่ยวชาญ กรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ กระทรวงพาณิชย์ ให้เกียรติมอบใบ ประกาศนียบัตรผู้ได้รับตราสัญลักษณ์ Thailand Trust Mark (TTM) ประจำปี 2558 แก่ผู้ประกอบการส่งออกไทย 6 กลุ่มอุตสาหกรรม จำนวน 65 บริษัท 66 รางวัล เพื่อยกระดับภาพลักษณ์ของสินค้าและบริการไทยให้อยู่ในระดับแถวหน้าตามมาตรฐานสากล ตั้งแต่กระบวนการผลิตที่มีคุณภาพ บริษัทผู้ผลิตเป็นองค์กรที่มีการดำเนินกิจกรรมที่คำนึงถึงผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม สังคมและแรงงานที่เป็นธรรม โดยมี มล.คฑาทอง ทองใหญ่ (ที่ 5 จากซ้าย) ผู้อำนวยการสถาบันส่งเสริมการออกแบบและนวัตกรรมเพื่อการค้า นายนพดล ทองมี (ที่ 2 จากซ้าย) ผู้อำนวยการสำนักพัฒนาการค้าและธุรกิจการเกษตรและอุตสาหกรรม กรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ กระทรวงพาณิชย์ ให้การต้อนรับ พร้อมจัดเสวนา Quote of inspiration แรงบันดาลใจสู่ความสำเร็จ ถ่ายทอดประสบการณ์ตรงจากตัวแทนผู้ประกอบการส่งออกชั้นนำ
ฟอร์ด มอเตอร์ คัมปะนี และ มหาวิทยาลัยโปลีเทคนิครัฐเซนต์ปีเตอร์สเบิร์ก (St. Petersburg State Polytechnic University) เดินหน้าขั้นตอนสุดท้ายของโครงการวิจัยขนาดใหญ่ ที่มุ่งพัฒนาความสามารถของเทคโนโลยีด้านการสื่อสารภายในรถยนต์ ซึ่งฟอร์ดได้จดสิทธิบัตรเทคโนโลยีหลายเทคโนโลยีที่มาจากผลงานการวิจัยของมหาวิทยาลัยฯ ที่เชี่ยวชาญด้านเทเลแมติกส์การสื่อสารหุ่นยนต์อวกาศ โดยเทคโนโลยีเหล่านั้นจะสามารถช่วยพัฒนาการเชื่อมต่อของยานยนต์ในอนาคตต่อไป
เป้าหมายหลักของโครงการระหว่างฟอร์ดและมหาวิทยาลัยโปลีเทคนิครัฐเซนต์ปีเตอร์สเบิร์ก คือ การมุ่งพัฒนาเทคโนโลยีการสื่อสารที่มีเสถียรภาพ เพื่อเชื่อมต่อผู้ขับขี่กับระบบบริการคลาวด์ (Cloud) ได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ ซึ่งความท้าทายสำคัญที่ฟอร์ดพยายามแก้ไข คือ การทำให้การสื่อสารระหว่างยานพาหนะและระบบคลาวด์มีความเสถียรแม้ในสภาวะที่สัญญาณเชื่อมต่อไม่ดี หรือมีการใช้ระบบเครือข่ายไร้สายมากเกิน โดยโครงการนี้ใช้ระยะเวลานานสามปี
ข้อมูลต่าง ๆ จะได้รับการเก็บบันทึกและส่งต่อจากยานพาหนะต้นแบบที่กำลังเคลื่อนที่อยู่ โดยยานพาหนะต้นแบบนี้มีความสามารถในการเชื่อมต่อที่หลากหลาย ไม่ว่าจะเป็น การเชื่อมต่อกับคลาวด์ เครือข่ายโทรศัพท์ สัญญาณ Wi-Fi และเชื่อมต่อกับพาหนะอื่น ๆ รวมถึงระบบพื้นฐานการขนส่ง โดยทีมวิจัยได้สร้างระบบการจัดการเชื่อมต่ออัจฉริยะที่ใช้ซอฟต์แวร์ และชุดคำสั่งอัลกอริธึม เพื่อเลือกช่องทางการเชื่อมต่อที่ดีที่สุดสำหรับการส่งข้อมูลไปยังคลาวด์ ทั้งนี้ ยานพาหนะแต่ละคันจะสามารถประเมินคุณภาพของช่องทางการสื่อสารและส่งข้อมูลได้อย่างราบรื่น
ทีมนักวิจัยยังได้พัฒนาแผนที่ขนาดเล็กที่ใช้บอกพื้นที่ครอบคลุมการเชื่อมต่อ ที่เก็บรวบรวมลักษณะของภูมิประเทศเอาไว้ และในขณะเดียวกันก็ได้รวบรวมข้อมูลเกี่ยวกับจุดกระจาย และเชื่อมต่อสัญญาณโทรศัพท์แบบไร้สาย คุณภาพการบริการของช่องทางการสื่อสารที่มีอยู่ต่าง ๆ รวมถึงปริมาณการใช้สัญญาณเข้าไว้ด้วย
โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ทีมงานได้ศึกษาการรายงานข้อมูลเกี่ยวกับสถานการณ์ฉุกเฉินบนท้องถนนในกรณีที่ผู้ขับขี่อยู่ในพื้นที่ที่สัญญาณเชื่อมต่อไม่ดีผ่านสถานการณ์จำลอง โดยทีมงานได้ส่งรถยนต์หนึ่งคันเข้าไปในอุโมงค์ที่มีเกล็ดน้ำแข็งบนถนน ซึ่งรถยนต์คันดังกล่าวต้องทำการส่งสัญญาณแจ้งเตือนรถคันอื่น ๆ เกี่ยวกับสภาพถนนลื่นในพื้นที่ที่ไม่มีเครือข่ายโทรศัพท์ ไม่มี Wi-Fi และได้ส่งรถคันที่สองที่ขับสวนทางได้รับการติดตั้งทั้งระบบการเชื่อมต่อระหว่างยานพาหนะ และมีเครือข่ายโทรศัพท์
ระบบจัดการการเชื่อมต่ออัจฉริยะนี้ จะเลือกใช้ช่องทางการเชื่อมต่อระหว่างยานพาหนะจากรถยนต์คันที่สองในการส่งข้อมูลที่ได้จากรถคันแรกไปยังคลาวด์ หลังจากนั้น จึงส่งสัญญาณแจ้งเตือนไปยังผู้ขับขี่คนอื่นๆ ว่ามีสถานการณ์เสี่ยงอันตรายบริเวณปากทางเข้าอุโมงค์ หากไม่มีรถคันอื่นอยู่บริเวณนั้น ระบบจัดการการเชื่อมต่ออัจฉริยะจะเลื่อนการส่งข้อความแจ้งเตือนไปจนกว่ารถคันแรกจะออกจากอุโมงค์และเครือข่ายโทรศัพท์สามารถใช้งานได้ตามปกติ
สำหรับในสถานการณ์ที่ปกติไม่ฉุกเฉิน ระบบจัดการการเชื่อมต่ออัจฉริยะ จะตรวจดูพื้นที่สัญญาณเชื่อมต่อ เพื่อเลือกจุดส่งสัญญาณที่ดีที่สุด ดังนั้น เมื่อรถยนต์ขับไปบริเวณพื้นที่ห่างไกลสัญญาณ แต่ต้องมีการอัพเดตซอฟแวร์ การอัพเดทดังกล่าวจะเริ่มต้นเมื่อรถยนต์มีสัญญาณเชื่อมต่อที่ดีขึ้น
ในอนาคต เมื่อมีการเก็บสะสมข้อมูลต่าง ๆ ในเวลาเดียวกัน จากรถยนต์หลายร้อยคัน แผนที่พื้นที่การเชื่อมต่อ จะสามารถแสดงข้อมูลล่าสุดได้ตลอดเวลา โดยสิ่งนี้จะเป็นเสมือนฐานข้อมูลอัจฉริยะสำหรับการคมนาคมและโครงการจราจรอัจฉริยะต่าง ๆ ในเมือง ซึ่งหมายความว่า ไม่ว่าในสถานการณ์ใดก็ตาม ทั้งในขณะที่รถยนต์กำลังขับเคลื่อนหรือจอดนิ่งอยู่กับที่ รถยนต์คันที่มีสัญญาณเชื่อมต่อสัญญาณโทรศัพท์ โมเด็ม สัญญาณ Wi-Fi และสัญญาณอื่นๆ ที่เสถียรที่สุด จะถูกนำมาใช้เป็นแหล่งสำคัญ เพื่อช่วยในการเชื่อมต่อสำหรับการให้บริการสารสนเทศได้อย่างเสถียร ซึ่งจะช่วยยกระดับประสบการณ์การเชื่อมต่อสื่อสารในแวดวงยานยนต์ได้อีกขั้น
โครงการดังกล่าวจะเสร็จสิ้นภายในสิ้นปีนี้ โดยผลการวิจัยที่ได้จะถูกนำมาประยุกต์ใช้ในการผลิตและพัฒนารถยนต์ฟอร์ด ซึ่งรวมถึงระบบการสื่อสารระหว่างยานพาหนะ การส่งข้อมูลแบบฉุกเฉินเร่งด่วน และการอัพเดทซอฟต์แวร์ทางอากาศอีกด้วย
เนสท์เล่ เปิดดีซีแห่งใหม่อย่างเป็นทางการที่ TPARK วังน้อย 2 บนพื้นที่ขนาดใหญ่กว่า 2.7 หมื่น ตรม. ดันเป็นศูนย์กระจายสินค้าของเนสท์เล่ที่ใหญ่และทันสมัยที่สุดในภูมิภาคอินโดไชน่า พร้อมดึงดีเอชแอล ซัพพลายเชน เสริมความแข็งแกร่งด้านโลจิสติกส์ ซึ่งจะช่วยเสริมเนสท์เล่ให้ตอบสนองความต้องการของผู้บริโภคในประเทศไทยนับล้านคนได้ดียิ่งขึ้น ผ่านการจัดส่งสินค้าของบริษัทที่ได้รับความนิยมสูงได้อย่างมีประสิทธิภาพและตรงเวลา คลังสินค้าแบบ Built to Suit คุณภาพสูงแห่งใหม่นี้ได้รับการพัฒนาโดยบริษัท TPARK และ เป็นคลังสินค้าที่ได้มาตรฐานการป้องกันไฟ NFPA ของอเมริกา
นายทิเซียโน โอลิเวททิ ผู้อำนวยการบริหารฝ่ายซัพพลายเชน บริษัท เนสท์เล่ (ไทย) จำกัด บริษัทชั้นนำด้านโภชนาการเพื่อการมีสุขภาพและคุณภาพชีวิตที่ดี เปิดเผยว่า “พันธกิจของเนสท์เล่ คือ การมอบทางเลือกในการบริโภคที่เปี่ยมไปด้วยรสชาติและคุณค่าทางโภชนาการสูงสุดด้วยผลิตภัณฑ์อาหาร และเครื่องดื่มที่หลากหลายสำหรับผู้บริโภค ทั้งนี้ บริษัทฯ ได้เปิดศูนย์กระจายสินค้าแห่งใหม่ บนพื้นที่ 27,000 ตารางเมตร ที่โครงการ TPARK วังน้อย 2 เพื่อสนับสนุนให้การกระจายสินค้าของเนสท์เล่ไปสู่ลูกค้าของเราที่มีอยู่ทั่วประเทศสามารถดำเนินการได้อย่างรวดเร็ว และมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น ซึ่งความพร้อมของสินค้าจะทำให้ลูกค้าของเรามีความพึงพอใจมากขึ้น โดยศูนย์กระจายสินค้าแห่งนี้ นับเป็นศูนย์กระจายสินค้าที่ใหญ่ที่สุดและทันสมัยที่สุดของเนสท์เล่ในภูมิภาคอินโดไชน่า ซึ่งสะท้อนให้เห็นถึงความเชื่อมั่นของเนสท์เล่ในการลงทุนด้านคลังสินค้าที่มีคุณภาพสูง และระบบโลจิสติกส์ที่ทันสมัย ซึ่งเป็นองค์ประกอบที่สำคัญสำหรับการเติบโตทางธุรกิจของเนสท์เล่ในประเทศไทย”
ทั้งนี้ เนสท์เล่ ประเทศไทย ได้แต่งตั้งให้ บริษัท ดีเอชแอล ซัพพลายเชน (ประเทศไทย) จำกัด เป็นผู้บริหารจัดการศูนย์กระจายสินค้าแห่งใหม่นี้ โดย นายเควิน เบอร์เรล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ดีเอชแอล ซัพพลายเชน ประเทศไทย ฟิลิปปินส์ และ เวียดนาม ได้กล่าวว่า “เราตัดสินใจเลือกวังน้อยเป็นที่ตั้งของโครงการเพื่อตอบโจทย์ความต้องการด้านซัพพลายเชนของเนสท์เล่ ซึ่งที่ตั้งโครงการแห่งนี้ถือเป็นทำเลยุทธศาสตร์ที่เอื้อประโยชน์ต่อการกระจายสินค้าไปยังปลายทางทั่วประเทศไทย การเป็นพันธมิตรทางธุรกิจกับเนสท์เล่มาอย่างยาวนานนั้นเป็นรากฐานสำคัญของประสบการณ์และความเชี่ยวชาญที่ทำให้ดีเอชแอลสามารถออกแบบศูนย์กระจายสินค้าอันทันสมัยแห่งนี้เพื่อตอบสนองความต้องการทางธุรกิจของเนสท์เล่ได้เป็นอย่างดี และด้วยความรู้ความเชี่ยวชาญในระบบโลจิสติกส์ของดีเอชแอล จึงเชื่อมั่นได้ว่ากระบวนการกระจายสินค้าจะมีความคุ้มค่าต่อต้นทุนอย่างสูงสุด ผนวกกับการนำเทคโนโลยีขั้นสูงเข้ามาใช้ในการบริหารจัดการ ก็จะทำให้ระบบกระจายสินค้ามีความถูกต้อง สามารถตรวจสอบสถานะของสินค้า และมีประสิทธิภาพสูงสุด ศูนย์กระจายสินค้าแห่งใหม่นี้นับเป็นก้าวย่างใหม่ในความร่วมมือทางธุรกิจในอนาคตขององค์กรทั้งสามแห่ง ผมมีความยินดีในความสำเร็จของโครงการนี้ซึ่งมีพื้นฐานมาจากการวางแผนงานที่ยอดเยี่ยมและสัมพันธภาพอันดียิ่งระหว่างดีเอชแอลกับเนสท์เล่และ TPARK”
นอกเหนือจากความได้เปรียบด้านทำเลยุทธศาสตร์แล้ว อาคารคลังสินค้าแบบ Built to Suit แห่งนี้ยังถูกออกแบบและพัฒนาภายใต้มาตรฐานของเนสท์เล่ ซึ่ง นายปธาน สมบูรณสิน กรรมการผู้จัดการ TPARK หรือ บริษัท ไทคอน โลจิสติคส์ พาร์ค จำกัด ซึ่งเป็นผู้พัฒนาคลังสินค้าคุณภาพสูงแห่งนี้ ได้อธิบายว่า “จุดเด่นของคลังสินค้าเนสท์เล่ คือ ระบบป้องกันอัคคีภัยตามมาตรฐาน NFPA (National Fire Protection Association) ซึ่งเป็นองค์กรชั้นนำของโลกที่สนับสนุนกิจกรรมด้านการป้องกันอัคคีภัย ประเทศสหรัฐอเมริกา ครอบคลุมการติดตั้งถังดับเพลิง ระบบสปริงเกอร์ ระบบน้ำดับเพลิง ระบบสูบน้ำดับเพลิง นอกจากนี้ พื้นอาคารภายในคลังสินค้ายังสามารถรองรับน้ำหนักได้ถึง 6 ตัน ต่อตารางเมตร รวมไปถึงระบบการระบายอากาศแบบ Mechanic Fan ที่ช่วยดึงอากาศบริสุทธิ์จากภายนอกหมุนเวียนเข้าสู่ภายในคลังสินค้าได้อย่างต่อเนื่อง เพื่อสุขภาวะที่ดีของผู้ใช้อาคาร เป็นต้น ซึ่ง TPARK มั่นใจว่า ด้วยคุณภาพมาตรฐานการออกแบบ และพัฒนาอาคารแบบสร้างตามความต้องการ (Built to Suit) ของ TPARK ผสานกับมาตรฐานระดับสากลของเนสท์เล่เองจะสามารถตอบสนองการใช้งานที่เหมาะสมกับลักษณะธุรกิจอาหารและเครื่องดื่มของเนสท์เล่ และการบริหารจัดการระบบโลจิสติกส์ของดีเอชแอล ซัพพลายเชน ได้อย่างมีประสิทธิภาพสูงสุด รวมไปถึง คลังสินค้าแห่งนี้ยังสามารถรองรับการขยายพื้นที่ ในอนาคตตามความต้องการของเนสท์เล่ได้สูงสุดถึง 43,000 ตารางเมตรอีกด้วย นอกจากนี้ ลูกค้าในโครงการ TPARK วังน้อย 2 ยังเชื่อมั่นได้อีกด้วยว่า โครงการจะไม่ได้รับผลกระทบจากเหตุการณ์น้ำท่วมเข้าในโครงการอย่างแน่นอน เนื่องจาก TPARK ได้ออกแบบและพัฒนาโครงการให้มีความสูงมากกว่าระดับน้ำท่วมในปี 2554 ที่ผ่านมา” นายปธาน กล่าวสรุป
นายทวีศักดิ์ แสงทอง กรรมการผู้จัดการ บริษัท แซส ซอฟท์แวร์ (ไทยแลนด์) จำกัด (คนกลาง) เข้ารับรางวัล “องค์กรที่มีผลงานด้านความรับผิดชอบต่อสังคมดีเด่น ประจำปี 2558” (“AMCHAM CSR Excellence (ACE) Recognition 2015”) จากหอการค้าอเมริกันในประเทศไทย (AMCHAM) โดยมี นายนายกลิน ทาวน์เซนด์ เดวีส์ เอกอัครราชทูตสหรัฐอเมริกาประจำประเทศไทย (คนซ้าย)ให้เกียรติเป็นประธานมอบรางวัล พร้อมด้วย นายดาร์เรน บัคลีย์ ประธานหอการค้าอเมริกันในประเทศไทย (คนขวา) ในฐานะเป็นองค์กรที่ทำกิจกรรมและตระหนักถึงความรับผิดชอบต่อสังคมอย่างต่อเนื่อง และยังได้จัดทำโครงการ แซส เคอริคูลัม พาธเวย์ (SAS Curriculum Pathways) ซึ่งเป็นบทเรียนออนไลน์ทางการศึกษา ตามแนวพระราชดำริของสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี
ซีพี ออลล์ ผู้บริหารเซเว่น อีเลฟเว่น ร้านอิ่มสะดวกของคนไทย มุ่งเน้นนโยบายส่งเสริมการศึกษา พัฒนาเยาวชน จัดเวทีสัมมนาวิชาการครั้งใหญ่ ซีพี ออลล์ เอดดูเคชั่น 2016 “เพื่ออนาคตการศึกษาไทย 2016” พร้อมเดินหน้าส่งเสริมการเรียนภาคทฤษฎีควบคู่กับการปฎิบัติงานในสถานประกอบการจริงให้กับเยาวชนไทยได้เข้าศึกษาที่วิทยาลัยเทคโนโลยีปัญญาภิวัฒน์ และ สถาบันการจัดการปัญญาภิวัฒน์ สถาบันการศึกษาเพื่อสังคมในกลุ่มซีพี ออลล์ โดยได้สนับสนุนการศึกษากว่า 12,000 ทุน รวมเป็นเงินกว่า 1,100 ล้านบาท มาอย่างต่อเนื่องกว่า 10 ปี
นายก่อศักดิ์ ไชยรัศมีศักดิ์ ประธานกรรมการบริหาร บมจ.ซีพี ออลล์ ผู้บริหารเซเว่น อีเลฟเว่น ร้านอิ่มสะดวกของคนไทย กล่าวว่า ซีพี ออลล์ ได้ดำเนินนโยบายเกี่ยวกับการส่งเสริมการศึกษา พัฒนาเยาวชนอย่างเป็นรูปธรรมด้วยการก่อตั้งสถาบันการศึกษา 2 แห่ง คือ วิทยาลัยเทคโนโลยีปัญญาภิวัฒน์ (PTC) และสถาบันการจัดการปัญญาภิวัฒน์ (PIM) โดยสถาบันการศึกษาทั้ง 2 แห่งนี้ได้เปิดสอนในรูปแบบของการเรียนรู้ภาคทฤษฎีควบคู่กับการปฎิบัติงานจริง เพื่อผลิตเยาวชนให้เข้าใจโลกของการทำงานและประสบความสำเร็จในการทำงานจริง อันเกิดจากการบ่มเพาะความพร้อมทางวุฒิภาวะที่ถูกสั่งสมมาตั้งแต่ขณะเรียน การได้เห็นโลกของการทำงานที่แท้จริงคือสิ่งที่ ซีพี ออลล์ มีความภูมิใจที่มีส่วนช่วยให้ประเทศชาติในการผลิตและพัฒนานักเรียนมืออาชีพให้กับสังคม
“โดยตลอด 10 ปีที่ผ่านมา ซีพี ออลล์ ได้มอบทุนการศึกษาเป็นเงินมูลค่ารวมแล้วกว่า 1,100 ล้านบาท และสามารถผลิตบุคลากรที่มีคุณภาพตรงกับความต้องการของตลาดไปแล้วกว่า 12,000 คน ซึ่งทุกคนจบแล้วได้งานทำ 100 เปอร์เซ็นต์ ซีพี ออลล์ จึงมุ่งมั่นสร้างเยาวชนสู่มืออาชีพ สู่สังคม และพร้อมสนับสนุนทุนการศึกษาอย่างต่อเนื่องทุกปี ตามนโยบายด้านการตอบแทนสังคมของบริษัท คือ ส่งเสริมการศึกษา พัฒนาเยาวชน” นายก่อศักดิ์ กล่าวทิ้งท้าย
ภายในงานมีการจัดเสวนาในหัวข้อ “อนาคตการศึกษาไทย ก้าวไกลด้วย Work-based Education” โดยมี รศ.ดร.สมภพ มานะรังสรรค์ อธิการบดี สถาบันการจัดการปัญญาภิวัฒน์ (PIM), ดร.ประชาคม จันทรชิต ที่ปรึกษาด้านมาตรฐานอาชีวศึกษาช่างอุตสาหกรรม สำนักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษา และ นายณรงค์ศักดิ์ ภูมิศรีสอาด ผู้แทนผู้รับใบอนุญาตวิทยาลัยเทคโนโลยีปัญญาภิวัฒน์ฯ (PTC) ร่วมเสวนา พร้อมทั้งมอบสิทธิพิเศษสำหรับผู้ร่วมงาน สามารถลงทะเบียนรับสิทธิ์ในการรับทุนการศึกษาเพื่อเข้าเรียนในสาขาธุรกิจค้าปลีกที่วิทยาลัยเทคโนโลยีปัญญาภิวัฒน์ สถาบันการศึกษาเพื่อสังคมในกลุ่มซีพี ออลล์ โดยการจัดงานครั้งนี้เป็นหนึ่งในนโยบายซีเอสอาร์ด้านส่งเสริมการศึกษา พัฒนาเยาวชนของซีพี ออลล์
ชไนเดอร์ อิเล็คทริค ผู้เชี่ยวชาญระดับโลกด้านการจัดการพลังงานและออโตเมชั่น ได้รับการจัดอันดับให้เป็นผู้นำด้านซอฟต์แวร์บริหารจัดการพลังงานในอาคาร ประจำปี 2015 ตามรายงานเปรียบเทียบความเป็นผู้นำด้านความเป็นสีเขียว 2015 Green Quadrant® Building Energy Management Software ที่จัดทำโดยเวอร์แดนทิกซ์ (Verdantix) องค์กรวิเคราะห์ อิสระ ทั้งนี้ชไนเดอร์ อิเล็คทริค สามารถรักษาความเป็นผู้นำติดกันเป็นปีที่ 2
ความเป็นผู้นำที่แสดงให้เห็นอย่างชัดเจนเป็นผลมาจากการที่เวอร์แดนทิกซ์ ได้รีวิว StruxureWare™ Resource Advisor แพลตฟอร์มการจัดการพลังงานที่ยั่งยืนของชไนเดอร์ อิเล็คทริค ซึ่งนับเป็นอีกครั้งที่ Resource Advisor ได้รับการจัดให้เป็นซอฟต์แวร์ที่ดีที่สุด โดยมีจุดแข็งอยู่ที่ ฟังก์ชั่นการรายงานปริมาณคาร์บอน ระบบการจัดหาพลังงาน การจัดการความเสี่ยง และ การจัดการด้านการออกใบแจ้งค่าสาธารณูปโภคโภค ซึ่ง Resource Advisor สร้างความเหนือชั้นในเรื่องของการวิเคราะห์ข้อมูลได้แบบเรียลไทม์ จากฟังก์ชั่นด้านการวิเคราะห์ประสิทธิภาพการจัดการ ซึ่งเป็นฟังก์ชั่นที่มีการเปิดตัวเมื่อต้นปีที่ผ่านมานี้เอง
“นับเป็นอีกครั้งที่ชไนเดอร์ อิเล็คทริค ได้แสดงความโดดเด่นในฐานะผู้นำในรายงานซอฟต์แวร์จัดการพลังงานสำหรับอาคารของเรา” เดอร์เร็ค คลาร์ค นักวิเคราะห์อุตสาหกรรม เวอร์แดนทิกซ์ กล่าว “สำหรับองค์กรระดับโลกที่กำลังมองหายุทธวิธีในการบริหารจัดการพลังงานแบบครบวงจร ควรจัด ชไนเดอร์ อิเล็คทริค อยู่ในลิสต์รายชื่อพันธมิตรอันดับต้นที่ต้องพิจารณา”
Resource Advisor เป็นแพลตฟอร์มการบริการในรูปแบบ Software-as-a-Service บนคลาวด์ที่สมบูรณ์แบบของชไนเดอร์ อิเล็คทริค ช่วยเพิ่มความสามารถในการทำงานร่วมกัน เพิ่มประสิทธิภาพและความโปร่งใสภายใต้ซอฟต์แวร์เพียงระบบเดียว Resource Advisor สามารถใช้โดยลูกค้าได้ หรือเป็นอีกหนึ่งช่องทางในการจัดการพลังงานจากระยะไกลเพื่อความยั่งยืนได้ สำหรับบริษัทที่ต้องการความเชี่ยวชาญหรือเพียงแค่ต้องการเพิ่มแบนด์วิธ ผู้เชี่ยวชาญด้านพลังงานของชไนเดอร์ อิเล็คทริคสามารถเพิ่มการวิเคราะห์จากระยะไกลให้ได้ เพื่อหาช่องทางใหม่ ๆ ในการเพิ่มประสิทธิภาพ หรือช่วยต่อยอดความเชี่ยวชาญในองค์กรได้เช่นกัน ระบบวิเคราะห์ประสิทธิภาพ (Performance Analytics) ของ Resource Advisor สามารถให้มุมมองที่เกี่ยวข้องกับการใช้ข้อมูลที่ไหลเข้ามา ตั้งแต่ “ต้นทางจนถึงปลายทาง” จึงช่วยให้ผู้ใช้มองเห็น ตอบสนอง รวมถึงวิเคราะห์ข้อมูลสาธารณูปโภคต่าง ๆ ได้ใกล้เคียงเวลาจริงบนแพลตฟอร์มเดียว
“ความเป็นผู้นำที่ได้รับการยอมรับจากเวอร์แดนทิกซ์ติดต่อกันเป็นปีที่ 2 ถือเป็นการยืนยันในงานที่เราทำ เพื่อนำเสนอโซลูชั่นที่ดีที่สุดสำหรับลูกค้าของเรา” สตีฟ วิลไฮท์ รองประธานอาวุโส กลุ่มบริการด้านพลังงานและความยั่งยืน ชไนเดอร์ อิเล็คทริค กล่าว “Resource Advisor ช่วยให้ลูกค้ามีข้อมูลที่นำมาใช้ดำเนินการได้จริง เป็นข้อมูลเชิงลึกและมีคุณค่ามากขึ้น ในการตอบโจทย์ด้านพลังงานและความยั่งยืนให้กับองค์กร”
การรายงาน The Green Quadrant รวบรวมข้อมูลจากการเปรียบเทียบข้อมูลของซัพพลายเออร์จำนวน 27 ราย ผลจากการตอบแบบสอบถามที่มีการให้คะแนนเต็ม 130 คะแนน รวมถึงการสัมภาษณ์กลุ่มลูกค้าที่เป็นปัจเจกบุคคล 17 รายใน 7 อุตสาหกรรม ซึ่งเป็นผู้ที่ซื้อหรือมีแผนจะซื้อซอฟต์แวร์บริหารจัดการพลังงานสำหรับอาคาร
รายงานฉบับนี้ เป็นการนำเสนอแนวทางสำหรับผู้บริหารระดับสูง และผู้มีอำนาจในการตัดสินใจ รวมถึงประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายการเงิน ผู้อำนวยการด้านพลังงาน สาธารณูปโภค อสังหาริมทรัพย์ รวมถึงหัวหน้าฝ่ายจัดซื้อ นอกจากนี้ยังช่วยอุตสาหกรรม เช่น ธนาคาร บริการธุรกิจ สุขภาพ โรงแรมและที่พัก ประกันชีวิต สื่อ และค้าปลีก ในการเลือกซัพพลายเออร์ซอฟต์แวร์บริหารจัดการ ทั้งเรื่องการจัดหาพลังงาน การใช้พลังงาน และการจัดการต้นทุนค่าใช้จ่ายพลังงานในองค์กร ครอบคลุมธุรกิจขนาดเล็กที่เป็นอาคารขนาดย่อม ไปจนถึงองค์กรขนาดใหญ่
จีอี [NYSE:GE] ประกาศความสำเร็จในการเข้าซื้อกิจการธุรกิจด้านพลังงานและกริดจากอัลสตอม โดยก่อนหน้านี้กว่า 20 ประเทศและภูมิภาค อาทิ สหภาพยุโรป สหรัฐอเมริกา จีน อินเดีย ญี่ปุ่น และบราซิล ได้อนุมัติทางกฎหมายเกี่ยวกับการเข้าซื้อกิจการดังกล่าวเรียบร้อยแล้ว การเข้าซื้อกิจการด้านพลังงานและกริดจากอัลสตอมครั้งนี้เป็นการเข้าซื้อกิจการครั้งใหญ่ที่สุดของจีอี
จีอีบรรลุข้อตกลงกับอัลสตอมในการซื้อธุรกิจพลังงานและกริดของอัลสตอมในวงเงิน1.235 หมื่นล้านยูโรในปี 2557 และหลังจากมีประกาศปรับรูปแบบการดำเนินงานเป็นลักษณะบริษัทร่วมทุนเมื่อเดือนมิถุนายน 2557 (ด้านพลังงานหมุนเวียน กริด และนิวเคลียร์) ปรับเปลี่ยนโครงสร้างข้อตกลง ปรับราคาซื้อขายเพื่อวัตถุประสงค์ทางกฎหมาย เงินสดสุทธิ ณ เวลาส่งมอบกิจการ และผลกระทบจากอัตราแลกเปลี่ยนทำให้มีราคาซื้อขายที่ 9.7 พันล้านยูโร (ประมาณ 1.06 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐ) ซึ่งวงเงินนี้ได้รวมถึงการใช้เงินทุนหมุนเวียนประมาณ 0.6 พันล้านยูโรในเดือนตุลาคม จีอีคาดว่าข้อตกลงนี้จะสร้างรายได้ต่อหุ้น 0.05-0.08 ดอลลาร์สหรัฐ ในปี 2559 และ 0.15-0.20 ดอลลาร์สหรัฐ ในปี 2561 และกำหนดค่าใช้จ่ายในการควบรวมการทำงานเข้าด้วยกันเป็นเงิน 3.0 พันล้านดอลลาร์สหรัฐในปีที่ห้าและคาดหวังผลตอบแทนที่ดีจากการซื้อกิจการครั้งนี้ ทั้งนี้ภาพรวมทางการเงินและกลยุทธ์ยังคงเหมือนเดิมตามที่จีอีประกาศไว้เมื่อเดือนเมษายน 2557
นายเจฟฟ์ อิมเมลท์ ประธานและหัวหน้าเจ้าหน้าที่บริหาร จีอี กล่าวว่า "ความสำเร็จของการเข้าซื้อกิจการธุรกิจพลังงานและกริดของอัลสตอม เป็นก้าวสำคัญอีกก้าวหนึ่งในการปรับเปลี่ยนแนวทางธุรกิจของจีอีทั้งนี้เทคโนโลยีของอัลสตอมที่จะเข้ามาช่วยเสริมทัพให้กับเทคโนโลยีของจีอี ขีดความสามารถของอัลสตอมที่ได้รับการยอมรับระดับโลก ฐานลูกค้าและความเชี่ยวชาญของอัลสตอม จะเป็นส่วนผลักดันการเติบโตในอุตสาหกรรมหลักของจีอีต่อไป เราพร้อมที่จะนำเสนอและให้บริการเทคโนโลยีที่ครบวงจรมากที่สุดในวงการพลังงานให้กับลูกค้าของเรา"
ลูกค้าจะได้เห็นประโยชน์ทันทีจากการควบรวมกันของจีอีและอัลสตอม รวมถึงประโยชน์ที่โครงการต่าง ๆ ที่ดำเนินการอยู่ในปัจจุบัน ดังนี้
นอกจากนี้ จีอี และ อัลสตอม ยังเป็นผู้เข้าร่วมประมูลรายสำคัญในโครงการโรงงานพลังความร้อนร่วมในเอเชีย ซึ่งจะใช้เครื่องกังหันก๊าซ 7HA ของจีอีสองเครื่อง ใช้เครื่องผลิตไอน้ำจากความร้อน (HRSG) ของอัลสตอมสองเครื่อง และใช้เครื่องผลิตไอน้ำของอัลสตอมหนึ่งเครื่อง อัลสตอมยังเป็นผู้เข้าร่วมประมูลรายสำคัญโดยนำเสนอเครื่องกังหันไอน้ำ Arabelle ให้กับเครื่องปฏิกรณ์นิวเคลียร์สองเครื่องในสหราชอาณาจักร เป็นผู้เข้าร่วมประมูลหม้อต้มไอน้ำ เครื่องกังหันไอน้ำและเครื่องผลิตไฟฟ้าในโครงการถ่านหินสะอาดในตะวันออกกลาง และอัลสตอมประสบความสำเร็จในการส่งมอบหม้อแปลงไฟฟ้าสำหรับระบบส่งไฟฟ้าแรงสูงกระแสตรง (High Voltage Direct Current: HVDC) ขนาด 800kV ให้กับโครงการ Champa-Kurukshetra ในประเทศอินเดีย และนับเป็นการนำเครื่องนี้ไปใช้เป็นครั้งแรกในประเทศอินเดีย
จีอียังได้ประกาศว่าการขายธุรกิจระบบอาณัติสัญญาณรถไฟให้กับอัลสตอมในวงเงินประมาณ 800 ล้านดอลลาร์สหรัฐได้ดำเนินการเสร็จเรียบร้อยแล้ว
จีอีดำเนินกลยุทธ์ต่าง ๆ อย่างต่อเนื่องเพื่อที่จะมุ่งสู่การเป็นบริษัทที่เรียบง่ายและมุ่งเน้นธุรกิจเฉพาะทางมากขึ้น นอกจากการเข้าซื้อกิจการอัลสตอม การแยกตัวออกของ Synchrony Financial ได้เริ่มดำเนินการแล้วแผนงานในการออกจากธุรกิจของ จีอี แคปปิตอล ก้าวหน้าไปจากแผนอย่างมากโดยมีการเซ็นสัญญาจำหน่ายหุ้นมูลค่า 126 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ และกลยุทธ์ในการก่อตั้ง จีอี ดิจิทัล เมื่อเร็ว ๆ นี้ เป็นการรวมขีดความสามารถด้านดิจิทัลทั้งหมดของบริษัทไว้ด้วยกัน เพื่อให้บริการโซลูชั่นและซอฟต์แวร์ที่มีประสิทธิภาพสูงสุดในอุตสาหกรรมให้กับลูกค้า นอกจากนี้จีอียังประสบความสำเร็จในตลาดและยังมีสถานะทางการเงินที่แข็งแกร่ง
ทีซีซี แลนด์ แอสเสท เวิรด์ หนึ่งในผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์ด้านธุรกิจศูนย์การค้าตอบโจทย์ทุกไลฟ์สไตล์ในยุคปัจจุบัน มั่นใจ “เทศกาลปีใหม่ 59” จะเป็นจุดเสริมความคึกคักให้แก่ธุรกิจ และจะต่อเนื่องการเติบโตต่อไปตลอดปี 2559 เตรียมทุ่มงบการตลาดกว่า 500 ล้านบาท สร้างสรรค์กิจกรรมตลอดปีรับการฟื้นตัวของตลาด คาดปี 2559 กวาดรายได้กว่า 2,500 ล้านบาท
นายณภัทร เจริญกุล กรรมการผู้จัดการกลุ่มรีเทล บริษัท ทีซีซี แลนด์ แอสเสท เวิรด์ จำกัด ในเครือกลุ่มทีซีซีแลนด์ เปิดเผยว่า ปัจจุบัน ทีซีซี แลนด์ แอสเสท เวิรด์ มีศูนย์การค้าที่อยู่ในการดูแลรวม 5 แบรนด์ ประกอบด้วย เอเชียทีค เดอะ ริเวอร์ฟร้อนท์, เกตเวย์, เซ็นเตอร์พอยท์ ออฟ สยามสแควร์, พันธุ์ทิพย์ และ บ็อกซ์ สเปซ รวมมูลค่าโครงการกว่า 20,000 ล้านบาท ทั้งนี้ จากปัจจุบันจนถึงปี 2562 บริษัทฯ ได้วางแผนขยายการลงทุนด้านธุรกิจรีเทลรวมมูลค่ากว่า 10,000 ล้านบาท
“ในช่วง 5 ปีข้างหน้า เราจะเดินหน้าขยายการลงทุนอย่างต่อเนื่อง เริ่มจากการพัฒนาแบรนด์ เกตเวย์ เพิ่มขึ้นอีก 1-2 แห่งในพื้นที่กรุงเทพฯ ตามมาด้วยการพัฒนา เอเชียทีค ในทำเลใหม่รวม 6 แห่งทั่วประเทศ ประกอบด้วย เชียงใหม่ พัทยา หัวหิน ภูเก็ต สมุย และขยายเอเชียทีคเจริญกรุง เฟส 2 โดยในแต่ละแห่งของเอเชียทีคจะมีธุรกิจโรงแรมประกอบอยู่ด้วย นอกจากนี้เราจะทำการปรับปรุงพันธุ์ทิพย์ทั้ง 4 แห่ง ได้แก่ ประตูน้ำ งามวงศ์วาน บางกะปิ และเชียงใหม่ให้แล้วเสร็จในช่วง 2 ปีข้างหน้า รวมถึงการพัฒนาแบรนด์ บ๊อคซ์ สเปซ ในอีก 3-4 ทำเลทั้งในกรุงเทพฯ และต่างจังหวัด และหากดำเนินไปตามแผนดังกล่าวจะทำให้พื้นที่รีเทลของกลุ่มสามารถสร้างรายได้ไม่น้อยกว่า 10,000 ล้านบาทในอีก 5 ปีข้างหน้า” นายณภัทร เจริญกุล กล่าว
ทั้งนี้ ทีซีซี แลนด์ แอสเสท เวิรด์ เชื่อมั่นว่า ภาพรวมธุรกิจศูนย์การค้าของไทยในช่วงปลายปีนี้จะเริ่มดีขึ้น และหากมองไปในช่วงปี 2559 ภาพรวมจะสดใสขึ้นอย่างแน่นอน โดยให้เป้าเติบโตไม่น้อยกว่า 20%
นายชาติชาย พยุหนนาวีชัย ผู้อำนวยการธนาคารออมสิน พร้อมด้วยผู้บริหารธนาคารฯ และคณะกรรมการตัดสิน ร่วมแสดงความยินดีกับผู้เข้าประกวดการประกาศผลโครงการประกวด “ออมสิน สุดยอดแนวคิดธุรกิจวิถีไทย” โดย นายปฏิวัติ อินทร์แปลง คาวบอยหนุ่มจากทีมฟาร์มอินทร์แปลง จ.ชุมพร ชนะใจกรรมการคว้ารางวัลชนะเลิศ รับเงินรางวัลมูลค่า 1,000,000 บาท ด้วยผลงาน IN MILK ผลิตภัณฑ์นม IN MILK Herb+ นมพาสเจอไรส์ ผสมสมุนไพรตะไคร้และใบเตยหอม ที่มีสรรพคุณทางยา, รองชนะเลิศอันดับ 1 ทีม EZ Jam ผลงาน EASY Jam “แยมมะเม่าชนิดแผ่น” ผลิตภัณฑ์แยมรูปแบบแผ่นสี่เหลี่ยมจัตุรัส ขึ้นรูปด้วยคาร์ราจีแนนและโลคัสบันกัม พร้อมคุณค่าทางสารอาหาร รับเงินรางวัลมูลค่า 500,000 บาท, รางวัลรองชนะเลิศอันดับ 2 ทีมธัญญะ ผลงาน สครับตำหรับไทย คัดสรรไว้ตามใจคุณ สครับสมุนไพรพร้อมใช้ สามารถ customize ตามความต้องการของผิวพรรณ รับเงินรางวัลมูลค่า 200,000 บาท งานประกาศผลจัดขึ้นที่ เอเชียทีค เดอะ ริเวอร์ฟร้อนท์ เมือเร็ว ๆ นี้
โดยออมสินเตรียมพาทั้ง 10 ทีมสุดท้าย ร่วมโปรแกรม Outing Startup เตรียมตัวเป็นผู้ประกอบการในอนาคต บินตรงดูงานญี่ปุ่น ระหว่างวันที่ 6-11 ธ.ค.นี้
ผู้สนใจสามารถดูรายละเอียดเพิ่มเติม หรือติดตามความเคลื่อนไหว ได้ที่ www.gsb100tomillion.com หรือ www.facebook.com/gsb100tomillion