ศิริพร วันฟั่น
ความรับผิดชอบต่อสังคมของธุรกิจ (Corporate Social Responsibility) หรือที่เรามักจะคุ้นหูกันในชื่อเรียกสั้น ๆ ว่า “CSR” กำลังกลายเป็นกระแสที่มาแรง ซึ่งหากจะมองโดยเผิน ๆ ก็จะเป็นแค่เรื่องของการทำกิจกรรมเพื่อสร้างภาพลักษณ์ที่ดีขององค์กรเท่านั้น แต่หากจะมองให้ลึกซึ้งถึงที่ไปที่มาและความจำเป็นของซีเอสอาร์แล้ว คงต้องกลับไปดูกันตั้งแต่ต้นสายปลายเหตุว่า ทำไมองค์กรธุรกิจต่าง ๆ จึงต้องให้ความสำคัญกับเรื่องนี้
สำหรับหัวข้อย่อย (3.3) ชุดฝึกอบรมสำหรับการผลิตด้วยความรับผิดชอบ (Responsible Production Training Package) ที่ประกอบไปด้วย 18 โมดูลพร้อมกับเครื่องมือที่เกี่ยวข้อง ในตอนที่ 13–20 ได้กล่าวถึงเนื้อหาโมดูลที่ 5 “การบ่งชี้และจำแนกประเภทความเป็นอันตราย (Hazard Identification and Classification)” โดยได้กล่าวจนมาถึงหัวข้อที่ 4.การติดฉลากและสัญลักษณ์แสดงความเป็นอันตรายตามระบบ GHS ดังนั้นในตอนนี้ก็จะขอกล่าวต่อตามเนื้อหาด้านล่าง
4.การติดฉลากและสัญลักษณ์แสดงความเป็นอันตรายตามระบบ GHS ก่อนหน้านี้ วิทยากรได้เกริ่นนำให้ผู้เข้าอบรมได้รับรู้ในเบื้องต้นกันไปแล้ว เกี่ยวกับว่า ระบบ GHS คืออะไร เหตุผลความจำเป็นที่ควรมีระบบนี้ ความเป็นมาและการบังคับใช้ระบบ GHS ในประเทศไทย ลำดับถัดไปก็จะได้กล่าวต่อถึงเนื้อหาของระบบ GHS ไม่ว่าจะเป็น จุดมุ่งหมาย ประโยชน์ ขอบข่ายการใช้งาน สาระสำคัญ ประเภทความเป็นอันตรายและการสื่อสารข้อมูลบนฉลาก ข้อมูลที่จำเป็นบนฉลาก GHS และรูปสัญลักษณ์ (GHS Pictograms) ที่สัมพันธ์กับประเภทความเป็นอันตราย ตลอดจนเอกสารข้อมูลความปลอดภัย (SDS)
จุดมุ่งหมายของระบบ GHS คือ 1) เพื่อปกป้องสุขภาพอนามัยของประชาชนและสิ่งแวดล้อมจากสารเคมี โดยให้มีการสื่อสารความเป็นอันตรายของสารเคมีด้วยฉลาก และข้อมูลความปลอดภัยสารเคมี 2) เป็นแนวทางสำหรับประเทศที่ไม่มีระบบการจำแนกและติดฉลากสารเคมี 3) ลดความซ้ำซ้อนของการทดสอบและการประเมินสารเคมี 4) อำนวยความสะดวกในด้านการค้าสารเคมีระหว่างประเทศ โดยมีการประเมินและระบุความเป็นอันตรายของสารเคมีภายใต้หลักเกณฑ์เดียวกัน
ขอบเขตการนำระบบ GHS ไปใช้ 1) ครอบคลุมสารเคมีอันตรายทุกชนิด สารละลายเจือจาง (Dilute Solutions) และสารผสม (Mixtures) 2) ไม่ครอบคลุมผลิตภัณฑ์ทางเภสัชกรรม (ยารักษาโรค) วัตถุเจือปนอาหาร (Food Additives) เครื่องสำอาง และสารป้องกันและกำจัดศัตรูพืชที่ตกค้างอยู่ในอาหาร (Pesticide Residues in Food)
กลุ่มเป้าหมาย 1) สถานประกอบกิจการ (Workplace) จะเกี่ยวข้องในส่วนของฉลากและเอกสารข้อมูลความปลอดภัยสารเคมี 2) ผู้บริโภค (Consumers) จะเกี่ยวข้องในส่วนของฉลาก 3) การขนส่ง (Transport) จะเกี่ยวข้องในส่วนของฉลาก ป้ายแสดงความเป็นอันตราย และเอกสารการขนส่ง และ 4) เจ้าหน้าที่กู้ภัย (Emergency Responders) จะเกี่ยวข้องในส่วนของฉลากและป้ายแสดงความเป็นอันตราย
ประโยชน์ที่ได้รับ 1) กลุ่มคนงาน ผู้ใช้สารเคมี และผู้บริโภค–ส่งเสริมความปลอดภัยในการใช้สารเคมีผ่านการสื่อสารความเป็นอันตรายที่เป็นรูปแบบเดียวกันและเข้าใจง่าย, ส่งเสริมให้เกิดความตระหนักถึงอันตรายของสารเคมี และใช้สารเคมีอย่างปลอดภัย 2) ภาคธุรกิจ–ส่งเสริมความปลอดภัยในการทำงานและการขนส่งสารเคมี และสร้างสัมพันธภาพที่ดีกับคนงานที่ใช้สารเคมี, เพิ่มประสิทธิภาพและลดค่าใช้จ่ายในการปฏิบัติตามกฎระเบียบในภาคส่วนต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องกับการสื่อสารความเป็นอันตรายของสารเคมีเนื่องจากทุกภาคส่วนใช้ระบบเดียวกัน, ลดค่าใช้จ่ายในระยะยาวเนื่องจากการลดลงของอุบัติเหตุและการรักษาพยาบาลที่เกิดจากสารเคมี, ส่งเสริมภาพลักษณ์และความน่าเชื่อถือของสถานประกอบกิจการและผลิตภัณฑ์, อำนวยความสะดวกด้านการค้าสารเคมีระหว่างประเทศ ลดความซ้ำซ้อนในการจัดทำฉลากและเอกสารข้อมูลความปลอดภัย 3) ภาครัฐ–ลดอุบัติเหตุจากสารเคมี และภาระค่าใช้จ่ายในการรักษาพยาบาลที่เกิดจากสารเคมี, ส่งเสริมการปกป้องสุขภาพคนงานและผู้บริโภคจากอันตรายของสารเคมี, ลดค่าใช้จ่ายและอำนวยความสะดวกในการประสานความร่วมมือในด้านกฎระเบียบ การบังคับใช้ และการเฝ้าระวัง, ส่งเสริมการสื่อสารความเป็นอันตรายของสารเคมีทั้งในระดับประเทศและระหว่างประเทศ
ข้อจำกัดของการนำระบบ GHS ไปใช้ เนื่องจากการบริหารจัดการสารเคมี (Chemical Management) ในสถานประกอบกิจการมีเป้าหมายหนึ่งคือการใช้งานสารเคมีได้อย่างปลอดภัย โดยทั่วไปก็จะใช้ระบบบริหารความเสี่ยง (Risk Management System) มีการประเมินความเสี่ยง เพื่อให้ทราบถึงระดับความเสี่ยง ซึ่งความเสี่ยงจะเท่ากับอันตรายคูณกับการได้รับสัมผัส แต่ระบบ GHS จะใช้การจำแนกความเป็นอันตรายและสื่อสารความเป็นอันตรายนั้น ๆ ผ่านทางฉลากและเอกสารข้อมูลความปลอดภัย ซึ่งเป็นการบ่งบอกแต่เฉพาะอันตรายของสารเคมี ที่เป็นการประเมินความเป็นอันตรายตามคุณสมบัติของสารเคมีโดยตรง โดยไม่ได้บอกถึงความเสี่ยง ดังนั้น ในการสื่อสารความเป็นอันตราย จึงต้องเตือนให้ผู้ที่เกี่ยวข้องลดการรับสัมผัสสารเคมี เพราะเป็นการทำให้ความเสี่ยงจากอันตรายของสารเคมีลดลง
ประกาศกระทรวงอุตสาหกรรม เรื่อง ระบบการจำแนกและการสื่อสารความเป็นอันตรายของวัตถุอันตราย พ.ศ.2555 ตามที่ได้กล่าวไว้ในตอนที่แล้วว่า ไทยได้นำระบบ GHS มาประยุกต์ใช้ภายใต้ พ.ร.บ. วัตถุอันตราย พ.ศ.2535 ซึ่งครอบคลุมวัตถุอันตรายที่ใช้ในโรงงานอุตสาหกรรม วัตถุอันตรายทางการเกษตร และผลิตภัณฑ์วัตถุอันตรายที่ใช้ในบ้านเรือนหรือทางสาธารณสุข ในที่นี้จะกล่าวแต่เฉพาะกรมโรงงานอุตสาหกรรมซึ่งมีกฎหมายอยู่ 2 ฉบับที่เกี่ยวข้องกับระบบ GHS นั่นคือ 1) พ.ร.บ. โรงงาน พ.ศ.2535 จะว่าด้วยการกำกับดูแล โดยโรงงานที่มีการใช้สารเคมี มีหน้าที่ต้องใช้ฉลากและเอกสารข้อมูลความปลอดภัยที่มาจากผู้ผลิตเพื่อให้เกิดความปลอดภัยในการปฏิบัติงาน ส่วนโรงงานผู้ผลิตสารเคมี มีหน้าที่ต้องจัดทำฉลากและเอกสารข้อมูลความปลอดภัย เพื่อสื่อสารไปยังผู้ใช้ให้เกิดความปลอดภัยในการใช้ และ 2) พ.ร.บ. วัตถุอันตราย พ.ศ.2535 ว่าด้วยการกำกับดูแล ผู้ผลิต ผู้นำเข้า และผู้ส่งออก และผู้มีไว้ครอบครองซึ่งวัตถุอันตราย โดยที่วัตถุอันตรายจะมีรายชื่ออยู่ในประกาศกระทรวงอุตสาหกรรม เรื่อง บัญชีรายชื่อวัตถุอันตราย ซึ่งมีหน่วยงานที่รับผิดชอบจำนวน 6 หน่วยงาน ได้แก่ กรมโรงงานอุตสาหกรรม กรมวิชาการเกษตร กรมปศุสัตว์ กรมประมง กรมธุรกิจพลังงาน และสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา อย่างไรก็ดี วัตถุอันตรายตามกฎหมายฉบับนี้จะไม่ครอบคลุมสารเคมีทั้งหมด และจากวัตถุอันตรายที่ควบคุมตามบัญชีรายชื่อฯ มีประมาณ 1,700 รายการ จะอยู่ในความรับผิดชอบของกรมโรงงานอุตสาหกรรม ประมาณ 500 รายการ
ประกาศกระทรวงอุตสาหกรรม เรื่อง ระบบการจำแนกและการสื่อสารความเป็นอันตรายของวัตถุอันตราย พ.ศ.2555 (ที่ได้นำระบบ GHS มาประยุกต์ใช้) มีผลใช้บังคับเมื่อ 13 มี.ค.2555 มีสาระสำคัญ คือ
1) ใช้บังคับกับวัตถุอันตรายที่กรมโรงงานอุตสาหกรรมเป็นผู้รับผิดชอบ ยกเว้นของเสียเคมีวัตถุ (Chemical Wastes) และเครื่องใช้ไฟฟ้าและอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ที่ใช้แล้ว
2) ให้ผู้ผลิต หรือผู้นำเข้าซึ่งวัตถุอันตรายที่เป็นสารเดี่ยวและสารผสมต้องดำเนินตามข้อกำหนดว่าด้วยระบบการจำแนกและการสื่อสารความเป็นอันตรายของวัตถุอันตราย (ที่ระบุไว้ในแนบท้ายประกาศ) ดังนี้ 2.1) จำแนกความเป็นอันตรายทางกายภาพ 16 ประเภท ความเป็นอันตรายต่อสุขภาพ 10 ประเภท และความเป็นอันตรายต่อสิ่งแวดล้อม 2 ประเภท 2.2) ติดฉลาก 2.3) จัดทำเอกสารข้อมูลความปลอดภัย ทั้งนี้ สารเดี่ยว (Substance) ให้ดำเนินการแล้วเสร็จภายในระยะเวลา 1 ปี (พ.ศ.2556) และสารผสม (Mixture) ให้ดำเนินการแล้วเสร็จภายในระยะเวลา 5 ปี (พ.ศ.2560) นับจากวันที่ประกาศนี้มีผลใช้บังคับ
3) การส่งออกซึ่งวัตถุอันตราย ต้องมีการจำแนกความเป็นอันตราย ติดฉลากวัตถุอันตราย และจัดทำเอกสารข้อมูลความปลอดภัย ให้เป็นไปตามข้อกำหนดว่าด้วยระบบการจำแนกและการสื่อสารความเป็นอันตรายของวัตถุอันตราย ยกเว้นกรณีประเทศคู่ค้ามีข้อกำหนดเกี่ยวกับกรณีนี้เป็นการเฉพาะ
4) ให้ผู้ผลิต ผู้นำเข้า ผู้ส่งออก และผู้มีไว้ครอบครองซึ่งวัตถุอันตราย มีหน้าที่ต้องสื่อสารความเป็นอันตรายในรูปแบบฉลากและเอกสารข้อมูลความปลอดภัยที่ผู้ผลิตหรือผู้นำเข้าจัดทำ ตามข้อ 2 แล้วแต่กรณี เพื่อให้ผู้เกี่ยวข้องสามารถดำเนินการเกี่ยวกับวัตถุอันตรายนั้น ๆ ได้อย่างปลอดภัย
หมายเหตุ
สาระสำคัญของระบบ GHS ประกอบไปด้วย 2 ส่วนหลัก คือ
1) การจำแนกความเป็นอันตราย (Hazard Classification) เพื่อระบุลักษณะสมบัติที่เป็นอันตรายของวัตถุอันตราย (ทั้งสารเดี่ยวและสารผสม) โดยมีเกณฑ์การจำแนกความเป็นอันตรายไว้ในภาคผนวกของคู่มือสำหรับระบบ GHS หรือตารางที่ 1 แนบท้ายประกาศกระทรวงอุตสาหกรรม เรื่อง ระบบการจำแนกและการสื่อสารความเป็นอันตรายของวัตถุอันตราย พ.ศ.2555 ที่ได้จำแนกความเป็นอันตรายของวัตถุอันตราย ออกเป็น 3 กลุ่มด้วยกัน คือ ความเป็นอันตรายทางกายภาพ (Physical Hazards) ความเป็นอันตรายต่อสุขภาพ (Health Hazards) และความเป็นอันตรายต่อสิ่งแวดล้อม (Environmental Hazards) ความเป็นอันตรายในแต่ละกลุ่มนี้ จะถูกจำแนกออกเป็น ‘ประเภท (Class)’ ที่พิจารณาตามความเป็นอันตรายทางกายภาพ 16 ประเภท ความเป็นอันตรายต่อสุขภาพ 10 ประเภท และความเป็นอันตรายต่อสิ่งแวดล้อม 2 ประเภท) และมีการจำแนกประเภทความเป็นอันตรายของวัตถุอันตรายที่อยู่ในประเภทเดียวกันออกเป็นประเภทย่อย (Division/Category/Type) ตามระดับความรุนแรงของความเป็นอันตรายหรือความเป็นพิษ ยกตัวอย่างเช่น Acrylic Acid ถูกจำแนกอยู่ในกลุ่มความเป็นอันตรายทางกายภาพ อยู่ในกลุ่มประเภท ‘ของเหลวไวไฟ (Class Flammable Liquid)’ และระดับความรุนแรงของความเป็นอันตรายอยู่ใน ‘ประเภทย่อย (Category) 3’
ตารางที่ 46 การจัดกลุ่มวัตถุอันตรายในระบบ GHS ตามความเป็นอันตราย
2) การสื่อสารความเป็นอันตราย (Hazard Communication) ประกอบไปด้วย การติดฉลาก (Labelling) และจัดทำเอกสารข้อมูลความปลอดภัย (Safety Data Sheets–SDS) โดยมีรายละเอียด ดังนี้
2.1) ฉลาก (Labels) เป็นข้อความ รูปสัญลักษณ์ รูปภาพ หรือสิ่งอื่นใดที่ติดอยู่บนบรรจุภัณฑ์หรือหีบห่อวัตถุอันตราย เพื่อสื่อสารถึงความเป็นอันตรายของวัตถุอันตรายนั้น ๆ โดยฉลากที่ติดต้องมีขนาดที่เหมาะสมตามขนาดของบรรจุภัณฑ์หรือหีบห่อวัตถุอันตราย และเห็นได้อย่างชัดเจน ซึ่งองค์ประกอบของฉลากตามระบบ GHS มีดังนี้ คือ
ตารางที่ 47 รูปสัญลักษณ์ (Pictograms) ในระบบ GHS จำแนกตามประเภทความเป็นอันตราย
ตัวอย่างที่ 15 ฉลากติดบนภาชนะบรรจุสารเคมีตามระบบ GHS
2.2) เอกสารข้อมูลความปลอดภัย (Safety Data Sheet-SDS) จะให้ข้อมูลเกี่ยวกับสารเดี่ยวหรือสารผสม เพื่อใช้เป็นแนวทางการจัดการสารเคมีและวัตถุอันตรายในสถานประกอบกิจการทั้งผู้ว่าจ้างและผู้ปฏิบัติงาน ซึ่งประกอบด้วย ข้อมูลเฉพาะด้านของความเป็นอันตรายทางกายภาพ เคมี สุขภาพ และสิ่งแวดล้อม และใช้เป็นแหล่งข้อมูลสำหรับมาตรการด้านความปลอดภัยสำหรับการจัดการสารเคมีอันตรายในสถานประกอบกิจการ เพื่อความปลอดภัยในการใช้ การเก็บรักษา การขนส่ง การกำจัด และการจัดการอื่น ๆ เพื่อให้การปฏิบัติงาน และการจัดการสารเคมีเป็นไปอย่างถูกต้องปลอดภัย และสามารถตอบโต้เหตุฉุกเฉินกรณีเกิดอุบัติเหตุหรือเกิดการรั่วไหลได้อย่างถูกต้องและเหมาะสม ตามระบบ GHS ได้กำหนดข้อมูลที่ต้องระบุในเอกสาร 16 หัวข้อ (ตารางที่ 48) เพื่อให้เกิดความสอดคล้องและเป็นระบบเดียวกันทั่วโลก
ตารางที่ 48 แสดงหัวข้อของข้อมูลในเอกสารข้อมูลความปลอดภัย (SDS)
สำหรับโมดูลที่ 5 “การบ่งชี้และจำแนกประเภทความเป็นอันตราย (Hazard Identification and Classification)” ถ้านับถึงตอนนี้ เท่ากับว่าวิทยากรได้นำเสนอและอธิบายให้ผู้เข้าอบรมได้ทราบถึงการบ่งชี้อันตราย (Hazard Indentification) การจำแนก (Classification) และการอ่านข้อมูลบนฉลาก (Labells) ของสารเคมีอันตราย เสร็จสิ้นแล้วทั้ง 4 ระบบซึ่งเป็นระบบมาตรฐานสากลที่นิยมใช้กัน อันได้แก่ (1) ระบบการจำแนกประเภท การติดฉลากและบรรจุภัณฑ์สำหรับสารเดี่ยวหรือสารผสมของสหภาพยุโรป ทั้งฉบับเดิม (DSD/DPD) และฉบับใหม่ (CLP), (2) NFPA 704: Hazard Rating System ที่เป็นระบบมาตรฐานสำหรับบ่งชี้ความเป็นอันตรายของวัสดุเพื่อใช้ในการตอบโต้ภาวะฉุกเฉิน ที่กำหนดและรักษามาตรฐานโดยสมาคมป้องกันอัคคีภัยแห่งชาติ (NFPA) ของสหรัฐอเมริกา (3) รูปสัญลักษณ์การขนส่ง (Transport Pictograms) ตามข้อกำหนดของกฎระเบียบต้นแบบมาตรฐานตามข้อแนะนำของสหประชาชาติ (UN Model Regulations) ว่าด้วยการขนส่งสินค้าอันตราย โดยเน้นไปที่ข้อตกลงยุโรปว่าด้วยการขนส่งสินค้าอันตรายระหว่างประเทศทางถนน (ADR) และ (4) ระบบการจำแนกประเภทและการติดฉลากสารเคมีที่เป็นระบบเดียวกันทั่วโลกหรือระบบ GHS ซึ่งเนื้อหาทั้งหมดก็จะเป็นไปตามวัตถุประสงค์ของโมดูลที่ 5 ที่มุ่งให้ผู้เข้าอบรมได้มีความรู้พื้นฐานในการบ่งชี้โดยง่ายถึงสารเคมีอันตรายและสมบัติของสารเหล่านี้ ผ่านทางข้อมูลบนฉลากและระบบจำแนกอันเป็นที่รู้จักและยอมรับในระดับสากล
ลำดับถัดไป วิทยากรก็ควรทำการทบทวนเนื้อหาการอบรม และแบ่งกลุ่มให้ผู้เข้าอบรมได้ทดลองทำแบบฝึกหัด การบ่งชี้ฉลากและสัญลักษณ์ที่ได้เรียนรู้กันไป โดยอาจจะสอบถามในประเด็นเหล่านี้ เช่น ฉลากแบบใดที่พบอยู่โดยทั่วไปสำหรับสารเคมีที่ใช้อยู่ในสถานประกอบกิจการของตนเอง รู้ถึงความหมายที่สื่อบนฉลากนั้นหรือไม่ ลองยกตัวอย่างฉลากเคมีภัณฑ์พร้อมแปลความหมายของการสื่อสารความเป็นอันตราย เป็นต้น
การประเมินผู้เข้าอบรม ในช่วงระหว่างการฝึกอบรมในโมดูลที่ 5 นี้ ให้สอบถามผู้เข้าอบรมเกี่ยวกับความรู้ ความเข้าใจในการใช้ข้อมูลบนฉลากเพื่อบ่งชี้สมบัติและความเป็นอันตรายของสารเคมี และความเข้าใจถึงสมบัติทางเคมีและการจำแนกความเป็นอันตราย ส่วนภายหลังการทำแบบฝึกหัดกลุ่ม ก็ควรสอบถามผู้เข้าอบรมถึงข้อผิดพลาดที่พบอยู่บ่อยครั้งมากที่สุดในเรื่องของการบ่งชี้ความเป็นอันตราย (Hazard Identification) และระบุว่าฉลากประเภทใดที่ผู้เข้าอบรมมีความคุ้นเคยมากที่สุดและเกี่ยวข้องโดยตรงกับประสบการณ์จากการทำงานในสถานประกอบกิจการตนเอง
โมดูลที่ 6: การไหลของกระบวนการผลิตและการดำเนินการกับสารเคมี (Process and Chemicals Flow)
วิทยากรสามารถใช้โปรแกรม Powerpoint นำเสนอในเรื่องของการจัดทำแผนที่การไหลของกระบวนการ (Process Flow Mapping) ที่รวมถึง ความหมายและคำอธิบายถึงขอบเขตของกระบวนการ, การระบุ การจัดทำรายการและการจัดลำดับขั้นตอนและกิจกรรมในการไหลของกระบวนการ อีกทั้งกิจกรรมต่าง ๆ ที่ดำเนินการโดยซัพพลายเออร์ทางตรง (Direct Suppliers) ของสารเคมีอันตราย ตลอดจนในการขนส่งและใช้เคมีภัณฑ์ ผลิตผลพลอยได้ และของเสีย นอกจากนี้ วิทยากรก็ต้องมีการเตรียมเอกสารประกอบการบรรยายไว้ด้วย เพื่อแจกจ่ายให้ผู้เข้าอบรมในระหว่างการแบ่งกลุ่มทำแบบฝึกหัดเกี่ยวกับการจัดทำแผนภาพการไหลของกระบวนการ (Process Flow Diagram)
รายละเอียดของการฝึกอบรมโมดูลที่ 6 มีดังนี้ คือ
หมายเหตุ: ยังไม่จำเป็นต้องจัดเรียงหัวข้อ หรือเน้นเป็นการเฉพาะในหัวข้อใดหัวข้อหนึ่ง แต่เมื่อบ่งชี้เสร็จสิ้นแล้ว ก็ให้ผู้เข้าอบรมได้มีส่วนร่วมในความคิดเห็นของพวกเขาเองตามที่ได้ระดมสมองกันก่อนหน้านี้ โดยการร่วมกันจัดทำแผนที่ห่วงโซ่คุณค่าของอุตสาหกรรมเคมีท้องถิ่น แล้วจัดเรียงหัวข้อรายการข้างต้นอย่างเป็นลำดับตามตรรกะเสียใหม่ ที่อยู่บนพื้นฐานประสบการณ์จริงของผู้เข้าร่วมอบรมแต่ละคน
ข้อเสนอแนะสำหรับการทำแบบฝึกหัดเป็นกลุ่ม (Group Exercise) ทบทวนสิ่งที่ช่วยสนับสนุนหรือเอื้ออำนวยต่อการทำแบบฝึกหัดเป็นกลุ่ม ในเรื่องของการจัดเตรียมแผนภาพการไหลของกระบวนการ (Process Flow Diagram) และสำหรับแบบฝึกหัดนี้ไม่จำเป็นต้องมีแบบจำลองที่เป็นกรณีศึกษา (Mock Case–study) อย่างไรก็ดี แบบจำลองที่เป็นกรณีศึกษาที่มีข้อมูลเพียงพอก็สามารถนำมาใช้ได้ ถ้าพิจารณาแล้วว่าเป็นสิ่งจำเป็น แบบฝึกหัดนี้จะช่วยอธิบายสถานการณ์ให้ผู้เข้าอบรมได้รับทราบข้อมูลที่เพียงพอเกี่ยวกับการดำเนินงานของสถานประกอบกิจการของพวกเขาเอง หรืออีกด้านหนึ่งก็จะเป็นการที่พวกเขาได้นำข้อมูลที่เพียงพอจากสถานประกอบกิจการของพวกเขาเอง มาใช้ในการทำแบบฝึกหัด
การประเมินผู้เข้าอบรม สอบถามผู้เข้าอบรมเกี่ยวกับระดับการได้รับรู้ถึงวิธีการที่ซัพพลายเออร์ ผู้รับเหมา และผู้จัดส่ง ได้จัดการหรือดำเนินการกับสารเคมีอันตราย ในขณะที่ทำธุรกิจกับสถานประกอบกิจการของผู้เข้าอบรม ทั้งนี้ทั้งนั้น ก็ขึ้นอยู่กับว่า ผู้เข้าอบรมแต่ละคนมีพื้นฐานในการรับรู้หรือความคุ้นเคยมากน้อยแค่ไหน เกี่ยวกับการไหลของกระบวนการในสถานประกอบกิจการของตนเอง และการรับรู้ว่าที่ ๆ ใดที่สารเคมีของสถานประกอบกิจการ (เคมีภัณฑ์ ผลิตผลพลอยได้ และของเสีย) ได้ถูกจัดส่งไป และการใช้ขั้นสุดท้ายของสารเคมีเหล่านั้นด้วยเช่นกัน
ข้อเสนอแนะอื่นๆ
****** ติดตามอ่านตอนต่อไปในฉบับหน้า *****
แหล่งข้อมูลอ้างอิง
• GHS คืออะไร และทำไมถึงเกี่ยวข้องกับคนไทย โดย ขวัญนภัส สรโชติ ศูนย์ความเป็นเลิศด้านการจัดการสิ่งแวดล้อมและของเสียอันตราย สำนักพัฒนาบัณฑิตศึกษาและวิจัยด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี; 20 ก.ย. 2555
• ประกาศกรมการขนส่งทางบก เรื่อง ป้ายอักษร ภาพและเครื่องหมายของรถบรรทุกวัตถุอันตราย พ.ศ. 2555
สงวนลิขสิทธิ์ ตามพระราชบัญญัติลิขสิทธิ์ พ.ศ. 2539 www.thailandindustry.com
Copyright (C) 2009 www.thailandindustry.com All rights reserved.
ขอสงวนสิทธิ์ ข้อมูล เนื้อหา บทความ และรูปภาพ (ในส่วนที่ทำขึ้นเอง) ทั้งหมดที่ปรากฎอยู่ในเว็บไซต์ www.thailandindustry.com ห้ามมิให้บุคคลใด คัดลอก หรือ ทำสำเนา หรือ ดัดแปลง ข้อความหรือบทความใดๆ ของเว็บไซต์ หากผู้ใดละเมิด ไม่ว่าการลอกเลียน หรือนำส่วนหนึ่งส่วนใดของบทความนี้ไปใช้ ดัดแปลง โดยไม่ได้รับอนุญาตเป็นลายลักษณ์อักษร จะถูกดำเนินคดี ตามที่กฏหมายบัญญัติไว้สูงสุด